Wednesday, 14 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

‘ดีเอสไอ’ คว้า 4 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564 จากสำนักงาน ก.พ.ร. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ได้จัดพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564 ให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย รางวัลเลิศรัฐ (4รางวัล) รางวัลบริการภาครัฐ (103 รางวัล) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม (78 รางวัล) และรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (49 รางวัล) และจะจัดให้มีพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564

โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล / พันตำรวจโท สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ / พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจโท วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายนิคม สุวรรณรุ่งเรือง ผู้อำนวยการกองนโยบายและยุทธศาสตร์ และนางสาวสุรวรรณ  บุญญาศิริรัตน์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร เป็นผู้แทนข้าราชการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ารับรางวัล 4 รางวัล ได้แก่

1.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ระดับก้าวหน้า

2.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 1 ด้านการนำองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม

3.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 2 ด้านการวางแผนยุทธศาสตร์และการสื่อสารเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ  และ

4. รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี ผลงาน รู้ทัน (ROOTAN) : มาตรการเชิงรุกรองรับอาชญากรรมไซเบอร์ในช่วงสถานการณ์โควิด ของกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวให้คำมั่นว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการขององค์กร พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยจะขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่ความเป็นเลิศและยั่งยืน เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในระบบการบริหารราชการไทย ต่อไป

ค่ายรถสะเทือน 'Xiaomi' ทุ่มหมื่นล้าน ลุยตลาด 'รถยนต์ไฟฟ้า' พร้อมปล่อยรถ 2023 I Knowledge Times EP.20

???? KnowledgeTimes BizView 
???? ค่ายรถสะเทือน!! 'Xiaomi' !! ทุ่มหมื่นล้าน ลุยตลาด 'รถยนต์ไฟฟ้า' พร้อมปล่อยรถ 2023 !

“Xiaomi” แบรนด์เทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่เรารู้จักกันในฐานะเจ้าของแบรนด์ Smartphone และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีสินค้าและบริการอีกมากมาย ประกาศเปิดตัวธุรกิจ “ยานยนต์ไฟฟ้า” ด้วยเงินลงทุนมูลค่า 1 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท

โดย “Lei Jun” CEO และผู้ก่อตั้ง Xiaomi ได้ออกมาประกาศว่าตอนนี้เขาได้จดทะเบียนตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “Xiaomi EV Inc.” พร้อมเผยความมั่นใจผ่านคำกล่าวด้วยว่า “ยินดีที่จะนำชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยง และต่อสู้เพื่ออนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของเรา”

ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อราว ๆ ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Xiaomi ได้เข้าซื้อบริษัทสตาร์ทอัพ ผู้พัฒนาในด้านเทคโนโลยีการขับรถยนต์แบบอัตโนมัติจากจีนที่ชื่อ “DeepMotion” ด้วยเงินกว่า 77 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมของ Xiaomi อย่างชัดเจนถึงการเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

โดยนักวิเคราะห์มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ Xiaomi จะพัฒนาขึ้นนั้น อาจมาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติใน Level 4 คือระดับที่รถสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (Self Driving Mode) ได้อย่างสมบูรณ์รวมถึงสามารถรับมือกับการขับในเขตเมืองได้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับ Full Self Driving อย่าง ‘Tesla’ ของ ‘อีลอน มัสก์’ เลยก็ว่าได้ 

สำหรับ “Xiaomi EV Inc.” ในปัจจุบัน มีพนักงานแล้วกว่า 300 ตำแหน่ง จากผู้สมัครทั้งหมดกว่า 20,000 คน และยังได้วางแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 50,000 ล้านบาท ภายในเวลา 10 ปี 

ขณะที่ทาง Xiaomi ก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงปี 2023 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยรถยนต์ดังกล่าวจะมากับความสามารถที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Smart Devices เพื่อตอบสนองประสบการณ์การใช้งานทุกผลิตภัณฑ์ของ Xiaomi ทั้งหมดได้อีกด้วย 

สำหรับสิ่งที่เข้ามาสนับสนุนก้าวครั้งใหม่ของ Xiaomi ในครั้งนี้ เชื่อกันว่ามาจากแรงส่งของผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่บริษัทมีรายได้สุทธิสูงถึง 87,790 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 64% จนส่ง Xiaomi ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์ 2 ของโลก แซงหน้า Apple ได้สำเร็จ

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Xiaomi คือ แบรนด์ที่สามารถทำได้ดีในทุกอุตสาหกรรม! หากคิดจะออกตัวทำ แถมทำได้ดีในเชิงคุณภาพสูง แต่ราคาต่ำกว่าผู้เล่นรายอื่น ๆ เสมอในทุกผลิตภัณฑ์สินค้าด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่ค่ายสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi เท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ตลาดนี้แบบเต็มตัว แม้แต่ Apple ก็เล็งเห็นถึงโอกาส โดยได้ลงทุนร่วมกับ Hyundai และ Kia Motor Corp กว่า 3,600 ล้านดอลลาร์ไปก่อนหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Apple Car รุ่นแรกจะเป็นรถไฟฟ้าที่มี Performance สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าปกติทั่วไปในตลาดปัจจุบัน และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2025

ก็เรียกได้ว่า ตลาดรถยนต์ในนาทีนี้ อาจจะไม่ใช่เวทีของค่ายรถยนต์เหมือนในอดีตอีกต่อไปเสียแล้ว...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจเตือน! นักลงทุนแชร์ออนไลน์ ระวังถูกหลอกสูญเงิน ใครคิดโกงระวังโทษหนัก!! แถมถูกยึดทรัพย์อีกด้วย

วันที่ 16 ก.ย.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนต้องการนำเงินเก็บของตนเองมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไร หรือต้องการเงินโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินหรือเงินกู้นอกระบบที่มีการเรียกอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงเข้าร่วมเล่นแชร์ออนไลน์ที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์  ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้จักตัวตนจริงของอีกฝ่าย แต่นำเงินหลักหมื่นหลักแสนมาร่วมเล่นแชร์ออนไลน์และถูกมิจฉาชีพหลอกลวงสูญเงินเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งคิดสั้น ตัดสินใจไปก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินคืนมา ยกตัวอย่าง

กรณีนักเรียนมัธยม อายุ 17 ปี ที่ก่อเหตุใช้อาวุธมีดชิงทรัพย์ร้านค้าทอง และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อไปว่า แต่เดิมนั้น “การเล่นแชร์” ส่วนใหญ่จะเล่นกันในหมู่คนที่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักคุ้นเคยกัน เพราะต้อง อาศัยความไว้เนื้อเช่ือใจซึ่งกันและกันพอสมควร แต่มาถึงโลกยุคดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น จึงมีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนผ่านการเล่นแชร์ออนไลน์ โดยจะมีการโฆษณาชักชวน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ออมเงินโดยอ้างว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าสถาบันการเงินสุดท้ายก็ปิดวงแชร์หลบหนีพร้อมเงินที่ผู้เสียหายร่วมเล่นแชร์ หรือ หลอกให้ร่วมลงทุนในธุรกิจ(ที่ไม่มีอยู่จริง)ในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมิจฉาชีพจะอ้างว่าได้ผลกำไรสูง ในระยะเวลาสั้น ๆ  ซึ่งมิจฉาชีพมักจะทำให้ตายใจด้วยการจ่ายผลตอบแทนตามที่โฆษณาไว้เพื่อเป็นการหลอกให้ลงทุนสูงขึ้น และบางคนถึงขั้นไปชักชวนญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาร่วมลงทุนอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายมิจฉาชีพมักจะอ้างว่าธุรกิจขาดทุน มีปัญหา จึงไม่สามารถส่งเงินได้ตามปกติ พร้อมทั้งบอกกับผู้เสียหายว่าอย่าเพิ่งแจ้งความ สุดท้ายจะตัดการติดต่อและหลบหนีไปในที่สุด

สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องนั้น จะขอกล่าวเฉพาะประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6กำหนดว่า

ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีลักษณะ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้(1) เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์ รวมกันมากกว่าสามวง

1.1) มีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน

1.2) มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงเป็นมูลค่ามากกว่า จำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

1.3) นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์นั้นได้รับประโยชน์ ตอบแทนอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จะได้รับทุนกองกลางในการเข้าร่วมเล่นแชร์ ในงวดหนึ่งงวดใดได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ฯ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำท้ังปรับ”

มาตรา 9 ห้ามมิให้ ผู้ใดโฆษณาชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ ผู้ใดฝ่าฝืนต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

2.พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 12 ผู้ใดกระทําความผิดตามมาตรา 4หรือมาตรา 5 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ฉ้อโกงประชาชน ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นอกจากนี้ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนได้ว่าผู้กระทำผิดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือปกปิดที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาหรือครอบครองทรัพย์สิน โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 5 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึง สิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จึงขอประชาสัมพันธ์การลงทุนแชร์หรือร่วมทำธุรกิจที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนตามที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะการลงทุนที่อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญการร่วมลงทุนกับบุคคลรู้จักกันในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ไม่เคยเจอตัวจริง ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณ อายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวันพฤหัสบดี ที่ 16 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ

สำหรับพิธีดังกล่าวฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่พี่น้องประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อยมาจนครบเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจที่จะเข้ารับประกาศเกียรติคุณ ทั้งสิ้นจำนวน 32 นาย

โดยเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่

1. พล.ต.อ. มนู  เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

2. พล.ต.อ. ชนสิษฎ์  วัฒนวรางกูร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

3. พล.ต.อ.ณัฐธร  เพราะสุนทร ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4. พล.ต.อ. วิรุฬ  เอี่ยมไพจิตร์ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

5. พล.ต.อ. เพิ่มพูน  ชิดชอบ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6. พล.ต.อ. อดิศร์  งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

7. พล.ต.อ. จารุวัฒน์  ไวศยะ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

8. พล.ต.อ. พงษ์วุฒิ  พงษ์ศรี  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

9. พล.ต.อ. กิตติพงษ์  เงามุข  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

10. พล.ต.อ. สุรพล  อยู่นุช  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยึดหลักการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด  จึงสั่งการให้หน่วยต่างๆ ในสังกัด กำหนดให้มีการจัดพิธีฯแก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณอายุราชการ ณ ที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน  พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และกำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดของทางราชการ และมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวสาร

สุโขทัย - เปิดนิทรรศการภาพถ่าย “การท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย”

วันนี้ (15 กันยายน 2564) เวลา 09.00 น. ที่ศาลาเอนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานเปิดนิทรรศการภาพถ่าย “การท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย” โดยสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสุโขทัย ร่วมกับจังหวัดสุโขทัย จัดโครงการประกวดภาพถ่ายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุโขทัย ภายใต้หัวข้อ “การ ท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย” เพื่อกระตุ้นกระแสการท่องเที่ยว ทําให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ และกลับเข้ามาเที่ยวในจังหวัดสุโขทัย หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) มีแนวโน้มดีขึ้น นําไปสู่การเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัยต่อไป

โครงการประกวดภาพถ่ายฯ ในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทภาพดิจิทัล มีผู้ส่งเข้าประกวดจำนวน 82 ภาพ และประเภทภาพสมาร์ทโฟน มีผู้ส่งเข้าประกวด 35 ภาพ รวม 117 ภาพ ซึ่งเป็นภาพที่เล่าเรื่องการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัย ภาพทั้งหมดสามารถนําไปใช้ในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว เพื่อก่อให้เกิดความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และเพื่อนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกลิ่นอายความเป็นสุโขทัย อีกทั้งยังก่อให้เกิดจินตนาการในการ ท่องเที่ยวมุมมองใหม่ ๆ ด้วย

ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์ - บริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว เพื่อร่วมกันทุกฝ่ายในการปราบปราม สืบสวน จับกุม แก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์ชาติ

วันที่ 15 กันยายน 2564 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร.(ปป) พร้อมด้วย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส.,พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.(1),พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส.(4),พล.ต.ต.พยูห์ ธนศรีสืบวงศ์ รอง ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส.,พล.ต.ต.รพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์, นายสราวุธ ภักดี ผอ.ป.ป.ส.ภาค 6, นายรณกร เผ่าวิจารณ์ นายอำเภอพยุหะคีรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์และบริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนทำลายเครือข่ายกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศจากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบนลักลอบลำเลียงมาพักคอยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างเพื่อกระจายเข้าไปในพื้นที่ตอนในของประเทศ

โดยเข้าปฏิบัติการ 125 จุด ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 78 ราย และตรวจยึดตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ รายละเอียดดังนี้ เงินสดจำนวน 62,000 บาท ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท  รถยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท รถแทร็คเตอร์ 1 คัน มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง มูลค่าประมาณ 54,900 บาท เงินฝากในบัญชีธนาคาร 8 รายการ มูลค่าประมาณ 90,000 บาท รวมตรวจยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามพ.ร.บ.มาตรการฯ ต่อไป

ผู้ปกครองเด็กพิเศษ LD ร่วมลงพื้นที่ให้คำแนะนำ "Universal Design" อาจารย์ ครู และบุคลากร โรงเรียนสุพรรณบุรีปัญญานุกูล

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนสุพรรณบุรีปัญญานุกูล ต.ทับตีเหล็ก อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณีบุรี "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" ผู้ปกครองเด็กพิเศษ LD และ ตำแหน่ง นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย พร้อมด้วย "นายชัยพร ภูผารัตน์" ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย มีโอกาสได้เข้าเยี่ยม คณะผู้บริหาร "โรงเรียนสุพรรณบุรีปัญญานุกูล" โดย "นางสรวีย์ ดอกกุหลาบ" ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ พร้อมด้วยคณะครู อาจารย์ มาให้การต้อนรับ ทั้งนี้ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการ และ ผู้สูงอายุ / ผู้ที่อาจมีอาการบาดเจ็บ เจ็บป่วยจำเป็นต้องใช้รถวีลแชร์ / สตรีมีครรภ์ และ "Universal Design" การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล เป็นการรองรับการใช้งานที่สอดคล้อง กับการให้บริการ กับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ที่เข้ามาใช้บริการภายใน "โรงเรียนสุพรรณบุรีปัญญานุกูล" แห่งนี้ มีความสะดวกยิ่งขึ้น

ในการนี้ "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" ผู้ปกครองเด็กพิเศษ "LD" ได้ขอคำชี้แนะการดูแลบุตร หลาน ในฐานะผู้ปกครองเด็กพิเศษ เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ถึงวิธีการดูแล การส่งเสริมและพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตของน้อง ๆ เด็กพิเศษ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของผู้ปกครองและน้อง ๆ เด็กพิเศษ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ต่อไป

กองบังคับการตรวจ จับกุม 2 คดี! “แก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - “รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย”

ตามนโยบายของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ                 

   

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง ผกก.ตม.จว.จันทบุรี และ พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ พุทธิพงษ์ ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์  ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ จำนวน 2 คดีดังนี้

1.“จับกุมแก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - ตม.จว.จันทบุรี

กล่าวคือ ตม.จว.จันทบุรี ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ออกตรวจตามแนวชายแดน ช่องทางธรรมชาติ และพื้นที่เสี่ยงต่อการหลบหนีเข้าเมือง เพื่อป้องกันปรามปราบขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมาเลเซีย จำนวน3ราย คือ 1.นายลิม(ขอสงวนสกุล) อายุ33ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ซึ่งอยู่เกินอนุญาตเป็นเวลา 536 วัน 2.นายอึง(ขอสงวนสกุล) อายุ 17 ปี และ3.นางเจ๊าะ(ขอสงวนสกุล) อายุ39ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิดบริเวณหลังโกดังรับซื้อผลไม้ใกล้คลองกั้นระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ม.4 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

โดยได้ทำการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ทราบว่า ได้เดินทางจากกรุงเทพฯมายังจังหวัดจันทบุรีในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะลักลอบหลบหนีตามช่องทางธรรมชาติข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านไปทำงานในบ่อนพนันคาสิโนออนไลน์ โดยได้เสียค่าใช้จ่ายคนละ 10,000 บาท เนื่องด้วยในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้อยู่เป็นจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าวมีพยานหลักฐานที่จะต้องดำเนินการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการต่อไป

2.“รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย” - ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์

ก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ทำการสืบสวนขยายผลจากการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายครั้งที่ผ่านพบว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นทางผ่านมุ่งหน้าไปทำงานปลายทางหลายที่ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือทางใต้เช่นจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะมาพักคอยเปลี่ยนรถที่ละแวกอำเภอปราณบุรี ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนลงไปจนพบลักษณะบ้านที่ต้องสงสัยอยู่ในพื้นที่ ม.3 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุในครั้งนี้ และต่อมาได้สืบทราบว่ามีแรงงานที่ลักลอบเข้ามามาพักคอยที่บริเวณดังกล่าว จึงได้วางแผนจับกุมโดยวางกำลังซุ่มดู ซึ่งซุ่มดูอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น.ในวันเดียวกันก็พบว่ามีคนหลายคนทั้งหญิงชายอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวภาษาพูดคุยไม่ใช่ภาษาไทย จึงแน่ใจว่าเป็นคนต่างด้าวและได้เข้าไปตรวจสอบพบ นายศักดิ์ชัย(ขอสงวนสกุล) อายุ 54 ปี เป็นเจ้าบ้านและมีคนสัญชาติกัมพูชา จำนวน  5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน และมีคนสัญชาติเมียนมา เป็นเพศหญิงอีก 1 คน ตรวจสอบกับระบบ Biometrics ไม่พบในฐานข้อมูลสอบถามรับว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาจริงและพักคอยอยู่หลายวันแล้ว จึงได้จับกุมทั้งหมดนำดำเนินคดี โดยแจ้งข้อกล่าวหานายศักดิ์ชัยฯ ว่า “ช่วยเหลือ หรือ ซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายหรือพ้นจากการจับกุม” และแจ้งข้อกล่าวหา บุคคลต่างด้าวจำนวน 6 คนว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามข้อมูลคนต่างด้าวพบว่าหลบหนีเข้ามา ระหว่างนี้พักคอยเพื่อรอติดต่อหางานทำเมื่อได้งานจะมีรถเข้ามารับที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางต่อไป ปลายทางต้องการไปหางานทำที่จังหวัดภูเก็ตเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 18,000 บาท โดยนายศักดิ์ชัยฯ เจ้าของบ้านให้การรับสารภาพว่ารับคนมาจากเพื่อนที่รู้จักกัน ให้มานอน พักคอยระหว่างคนต่างด้าวหางานโดยรับค่าจ้างเหมา 1,500 บาทต่อคน ซึ่งจากพยานหลักฐานที่พบจะมีการสืบสวนขยายผลดำเนินไปยังผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สตม. รวบสาวใหญ่ อ้าง! ซี้นักการเมือง หลอกตุ๋นต่างด้าว สามารถให้สัญชาติไทยได้ สูญเงินหลายแสนบาท!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุม

น.ส.ชลิดาฯ อายุ 32 ปี ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”

ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงคนต่างด้าวที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ว่าสามารถขอสัญชาติไทยให้ได้ เพราะรู้จักกับนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.ชลบุรี โดยมีการสร้างโปรไฟล์ปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นและส่งให้ผู้เสียหายติดต่อ ซึ่งมีการเรียกรับเงินโดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อคน รายละ 60,000 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและได้โอนเงินให้ น.ส.ชลิดาฯ ไปแล้วนั้น ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงเชื่อว่าตนถูก น.ส.ชลิดาฯ หลอกลวงให้โอนเงิน เบื้องต้นพบผู้เสียหาย 3 ราย เป็นชาวกัมพูชา ความเสียหายประมาณ 200,000 บาท ซึ่งเชื่อว่ามี ยังมีผู้เสียหายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่ถูกหลอกให้โอนเงินในลักษณะดังกล่าวอีกหลายราย แต่ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี

ต่อมา ชุดจับกุม สตม. ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่า น.ส.ชลิดาฯ หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ ชุดจับกุม สตม. ได้ร่วมกันจับตัว น.ส.ชลิดาฯ ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”ตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ จ.336/2564 โดย น.ส.ชลิดาฯ รับสารภาพว่า เป็นผู้หลอกลวงผู้เสียหายคนต่างด้าวหลายราย โดยการปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากตนติดการพนันอย่างหนักและเป็นหนี้สินจึงคิดหาเงินด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งชุดจับกุม สตม. ได้นำตัว น.ส.ชลิดาฯ ส่งสถานีตำรวจภูธรแสนสุข จ.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

รวบคนร้าย! แฝงตัวเป็น ADMIN FACEBOOK PAGE “djpoom” หลอกเอาเงินบริจาค ขยายผลพบว่ามีการปลอม PAGE FACEBOOK ที่ LIVE สดขายสินค้า พบผู้เสียหายร่วม 100 ราย ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.ระดมกวาดล้างคนต่างด้าว ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ขบวนการขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนการขนแรงงานต่างด้าวเข้า – ออกพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค  โควิด-19 และรวมถึงการที่คนต่างชาติเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,พ.ต.ท.ภาสกร นภาโชติ รอง ผกก.กก.3.บก.ปอศ, พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รอง ผกก.สส.บก.ตม.3

เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ว่าที่ พ.ต.ต.สิทธิมณ  สร้อยภู่ระย้า สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม., ร.ต.อ.อดิศร บุญชุ่ม รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม, ร.ต.อ.ฉัตรมงคล มิ่งเชื้อ รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม,ร.ต.อ.จตุรโชค เพชรคง รอง สว.ฝอ.ภ.จว.ปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ร่วมกันจับกุม นายอดิศร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี  ตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อหา “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ”

สืบเนื่องจาก กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่าได้มีคนร้ายเข้ามาทำการแฝงตัวเป็น ADMIN PAGE “djpoom” และทำการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินที่ทาง PAGE “djpoom” ต้องการนำไปบริจาคไป และมีคนร้ายได้ปลอมเป็น PAGE ใน FACEBOOK ที่ทำการ LIVE สด ขายสินค้า จากนั้นจะทำการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไปเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และโอนต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายต้องการจนมีผู้เสียหายหลายราย  

ต่อมาทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. , ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายในคดีนี้คือ นายอดิศรฯ จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและทำการออกหมายจับผู้ต้องหา ในข้อหา  “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายอดิศรฯ ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในจังหวัดนนทบุรี จึงได้ทำการขอหมายค้นและเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ

โดยจากการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สามารถตรวจยึดคอมพิวเตอร์และสมุดบัญชีหลายรายการ ที่ผู้ต้องหานำมาใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ทำการสร้าง PAGE FACEBOOK “รับซื้อบัญชีธนาคาร - บัญชี true wallet รับซื้อในราคาสูง” ต่อมาได้มีนายวิรุณฯ ได้ติดต่อเข้ามายัง PAGE  และทำการขายบัญชีธนาคารจำนวน 2 บัญชี คือบัญชีธนาคารกรุงไทยและบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งได้ขายบัญชี กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2 บัญชี ในราคา 7,000 บาท ซึ่งหลังจากที่นายอดิศรฯ ได้บัญชีมาแล้วก็ได้เข้าไปแฝงตัวปลอมเป็น ADMIN  ของ PAGE  “djpoom” ที่กำลัง LIVE สด ในการหาเงินมาร่วมบริจาคช่วยในสถานการณ์ COVID – 19 และทำการส่งเลขที่บัญชีที่ซื้อมาจากนายวิรุณฯไปยังผู้เสียหาย และให้ผู้เสียหายทำการโอนเงินมาให้ อีกทั้งนายอดิศรฯ ยังมีพฤติการณ์ในการปลอม PAGE FACEBOOK ที่กำลัง LIVE สด ขายสินค้า และจากนั้นจะทักไปหาผู้เสียหายทาง MASSENGER  และจะหลอกผู้เสียหายโอนเงินมาให้โดยอ้างว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม รวมทั้งหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลธนาคารจากผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไป ซึ่งจากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้เสียหายร่วม 100 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งนายอดิศรฯ ยอมรับว่าได้ทำมาแล้วหลายครั้งและจากการตรวจสอบพบว่าเคยเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีฉ้อโกงมาก่อน

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top