Wednesday, 14 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

“Be the 1” ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เชิญร่วมเป็นหนึ่งพลังของผู้ให้ ในโครงการ “Be The 1 ทุกคนเป็นที่ 1 ได้ ด้วยการบริจาคโลหิต” ช่วยผู้ป่วยยามวิกฤติ ขาดแคลนโลหิตทั่วประเทศ

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เชิญชวนประชาชนทั่วไปที่สุขภาพดี มาร่วมเป็นอีกหนึ่งพลังของผู้ให้ด้วยการบริจาคโลหิต ในโครงการ “Be The 1 ทุกคนเป็นที่ 1 ได้ ด้วยการบริจาคโลหิต” ระหว่างวันที่ 20-26 กันยายน 2564 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 6 แห่ง และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ รับ “เสื้อยืด Be The 1 Thailand” เป็นที่ระลึก

รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ การระบาดของโรคโควิด-19 เกิดภาวะขาดแคลนโลหิตสะสมกว่า 2 เดือน ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั่วประเทศ จึงจัดกิจกรรมรณรงค์การบริจาคโลหิต ด้วยการคว้า 5 เซียนนักตบลูกยางสาวไทยนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ซึ่งเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับในด้านผลงานการแข่งขันรายการต่างๆ ในระดับโลก ประกอบด้วย กิ๊ฟ-วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์, ซาร่า-นุศรา ต้อมคำ, หน่อง-ปลื้มจิตร์ ถินขาว, อร-อรอุมา สิทธิรักษ์ และปู-มลิกา กันทอง เป็นพรีเซนเตอร์โครงการฯ เพื่อรณรงค์โดยการสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนเป็นที่ 1 ได้ด้วยการบริจาคโลหิต สร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองพร้อมสร้างกุศลยิ่งใหญ่ โลหิตของทุกท่านมีคุณค่าสำหรับผู้ป่วยที่รอการรักษา 1 ครั้งของการให้ช่วยได้มากกว่า 1 ชีวิต

กิจกรรม ประกอบด้วย

• บริจาคโลหิต ระหว่างวันที่ 20-26 กันยายน 2564 รับ “เสื้อยืด Be The 1 Thailand” เป็นที่ระลึก

• ถ่ายภาพบริจาคโลหิต โพสต์ลง Facebook หรือ IG ตั้งค่าเป็นสาธารณะ (Public)   ​

ติด #BeThe1Thailand ลุ้นรับลูกวอลเลย์บอล Limited Edition พร้อมลายเซ็นของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จำนวน 5 รางวัล เป็นที่ระลึก

‘รมว.สุชาติ’ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมมอบของที่ระลึกผู้เกษียณฯ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 28 ปี กระทรวงแรงงาน

วันที่ 23 กันยายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีกราบสักการะ และถวายพวงมาลัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช พระภูมิชัยมงคล และท้าวมหาพรหมณ์เทวฤทธิ์ และพิธีถวายความเคารพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงแรงงาน ประจำปี พ.ศ.2564 โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ บริเวณกระทรวงแรงงาน

จากนั้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบของที่ระลึกสำหรับผู้เกษียณอายุราชการประจำปี พ.ศ. 2564 ณ ห้องจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบ VDO Conference และ Facebook Live โดย นายสุชาติ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน ได้เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 จนถึงปัจจุบัน รวม 28 ปี จากอดีตจนถึงปัจจุบันภารกิจของกระทรวงแรงงานมีการปรับเปลี่ยน และเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กระทรวงแรงงาน ต้องเผชิญกับวิกฤตในหลาย ๆ ด้าน ทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะภาคแรงงานและสถานประกอบกิจการ  ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายให้กระทรวงแรงงานต้องเร่งแก้ไขปัญหา เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รักษาระดับการจ้างงาน พร้อมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยกระทรวงแรงงานได้มีมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาในหลายด้าน ได้แก่

1) ด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยการ up-skill re-skill และ new-skill เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และตลาดแรงงานในยุค New Normal

2) ด้านการส่งเสริมการมีงานทำ จัดงาน Job Expo Thailand 2020 ล้านงานเพื่อล้านคน เตรียมตำแหน่งงานผ่านแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ ส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ตลอดจนดูแลคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานให้เหมาะสม

3) ด้านคุ้มครองและแก้ไขปัญหาแรงงาน บริหารจัดการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและใช้ระบบแรงงานสัมพันธ์ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงาน แก้ไขปัญหาการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

 

ลำปาง - มทบ.32 จัดกิจกรรมค่ายเยาวชนส่งเสริมคุณธรรม - จริยธรรม ชมรมกตัญญูคลับ ม.ราชภัฎ

ตามที่กองทัพบกได้ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังสิ่งดีงามให้แก่เยาวชนด้วยการให้หน่วยจัดอบรมโครงการเยาวชนส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ประจำปี 2564 นั้น มณฑลทหารบกที่ 32 ได้ประสานกับมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง ในการเชิญชวนผู้นำนักศึกษา จากองค์การนักศึกษา สโมสรคณะต่างๆและชมรมกตัญญูคลับ ร่วมโครงการฯ มีวัตถุประสงค์การจัดเพื่อส่งเสริมให้กลุ่มเยาวชนระดับอุดมศึกษามีแนวคิดและทัศนคติที่ดีต่อสังคม มีวินัยในการอยู่ร่วมกัน  ประพฤติตนอยู่ในกรอบของความดีงาม ตามจารีตประเพณีของชาติไทยและเคารพต่อสถาบันหลักของชาติ รู้จักการมีจิตสาธารณะดูแลชุมชนและปฏิบัติตนมีประโยชน์ต่อส่วนรวม

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 เวลา 14.30 น. พลตรีอโณทัย ชัยมงคล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมโครงการเยาวชนฯ ณ ห้องประชุมโอฬารรัตน์ มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริตต์ สายสี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยฯ ร่วมในพิธีฯ ซึ่งการดำเนินการอบรมนั้นหน่วยได้ยึดถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดอย่างเคร่งครัด ซึ่งก่อนการอบรมฯมีการประสานโรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรีจัดบุคลากรทางการแพทย์ของหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK) ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและเยาวชนที่เข้ารับการอบรมฯ

เชียงใหม่ - กองทัพภาคที่ 3 ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ส.จัดโครงการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้ครูฝึกทหารกองประจำการในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รุ่นที่ 1 เพื่อนำไปสอนทหารกองประจำการในสังกัด

วันที่ 22 กันยายน 2564 ณ มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่  เวลา 11.30 น. พันเอกสงบศึก วังแก้ว  รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นประธานในพิธีปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้ครูฝึกทหารกองประจำการในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ภาคเหนือตอนบน รุ่นที่ 1 ร่วมด้วยผู้มีเกียรติ พันเอก ประณต ศิริพันธ์  หัวหน้ากองกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 33 พันโท นพอนันต์ ปาลิวนิช  รองหัวหน้ากองกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 33 ผู้แทน ปปส.ภาค 5 และคณะวิทยากร ประกอบด้วย นางสาวสุกันยา ใหญ่วงศ์ ผู้อำนวยการส่วนประสานพื้นที่ ว่าที่ร้อยเอก ดร.พัฒนดล พลเยี่ยม หัวหน้ากลุ่มงานระบบฐานข้อมูล นางทิพากร ชีวสกุลยง หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ นางสาวนฤมล วรรณพริ้ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฯ  และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ นายกิตติชัย เหลืองกำจร  ที่ปรึกษาศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นางบังอร สุปรีดา ข้าราชการบำนาญโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ 

โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัด มณฑลทหารบกที่ 33 กองทหารราบที่ 7 (ร.7) กรมทหารราบที่ 7 กองบินที่ 1 (ร.7 พัน 1) กองพลทหารราบที่ 7 กองบินทหารปืนใหญ่ที่ 7 (ป พัน 7 พล.ร.7)  กองพันทหารพัฒนาที่ 3 (พันพัฒนา 3)  รวม 20 นาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กฎหมายยาเสพติด ทักษะชีวิต เทคนิคการสอน  และการใช้เทคโนโลยีการสอน  เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ฝึกสอนและสร้างการรับรู้ให้กับทหารกองประจำการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในสังกัดต่อไป โดยกระบวนการจัดโครงการฯได้ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19

ขอนแก่น – ชวนเที่ยวงานแสดงผ้าไหม OTOP มัดหมี่ - เบียนนาเล่ - ถักทอเส้นใยอีสานสู่สายใยโลก! Craft the world ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า จังหวัดขอนแก่น โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดฯ  กำหนดจัดงานแสดงและจำหน่ายผ้าไหม OTOP  : มัดหมี่ เบียนนาเล่ 2021 Mudmee Biennale 2021 ถักทอเส้นใยอีสาน สู่สายใยโลก Craft the world  ในระหว่างวันที่ 23– 25 กันยายน 2564 ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้น 2 เวลา 10.00 น.-20.00 น. ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ อาทิ การจัดแสดงและจำหน่ายผ้าไหม ระดับพรีเมี่ยม ของจังหวัดขอนแก่น กว่า 30  คูหา, การแสดงแฟชั่นโชว์ การแสดงศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมส่งเสริมการขาย, การจัดแสดงโชว์ผลงาน การประกวดผ้าไหม และผ้าไหมมัดหมี่ของจังหวัดขอนแก่น,  กิจกรรมเสวนาวิชาการ :การพัฒนาส่งเสริมผ้าไหม เพื่อการส่งออก สู่ตลาดโลก เป็นต้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวอีกว่า เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ทางจังหวัดได้จัดให้มีการประกวดผ้าไหมในงานจัดแสดงและจำหน่ายผ้าไหม ผลิตภัณฑ์จากไหมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ และแพร่หลายมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การขับเคลื่อนเมืองหัตถกรรมโลกแห่งผ้ามัดหมี่สู่สากล เพื่อสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในเรื่องการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย เผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกาย สิ่งทอ และการอนุรักษ์ผ้าไทยให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ และเป็นการสืบสาน อนุรักษ์ ปลุกกระแสเทรนด์ผ้าไหมให้ทันสมัย พร้อมดึงรายได้เข้าสู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการเชิดชูเกียรติแก่ผู้สืบทอดภูมิปัญญาผ้าไหม โดยมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดขอนแก่น ส่งผ้าไหมมัดหมี่ เข้าประกวดทั้งหมด จำนวน 135 ผืน แยกตามประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 ผ้าไหมมัดหมี่แบบ 2 ตะกอหรือ 3 ตะกอ จำนวน 74 ผืน ประเภทที่ 2 ผ้าไหมมัดหมี่ลายประจำจังหวัด “แคนแก่นคูน” จำนวน 29 ผืน และประเภทที่ 3 ผ้าไหมมัดหมี่ลายพระราชทาน “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” จำนวน 32 ผืน

"จากการประกวดฯ ส่งผลทำให้ผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมจังหวัดขอนแก่น มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตผ้าไหม ให้มีขนาด สัดส่วน สีสัน ลวดลาย ที่เหมาะสมสวยงาม และตอบสนองประโยชน์การใช้สอยให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตลอดจนมีการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ และแพร่หลายมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การขับเคลื่อนเมืองหัตถกรรมโลกแห่งผ้ามัดหมี่สู่สากล ตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป"

 

อยุธยา - “บิ๊กป้อม” ลงพื้นที่กรุงเก่า ตรวจความพร้อมพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำหลาก มั่นใจไม่เกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 54 แน่นอน! พร้อมเร่ง 9 แผนหลักบรรเทาอุทกภัยลุ่มเจ้าพระยา

วันนี้ (22 กันยายน 2564) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมของการบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมี นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวต้อนรับและรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำเสนอภาพรวมการบริหารจัดการน้ำรับน้ำหลากตามมาตรการ กอนช. และแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั้งระบบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน นำเสนอแนวทางการจัดการและเตรียมพื้นที่รับน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำ และนายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำเสนอแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมด้วย ผู้แทนหน่วยงานในพื้นที่ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางบาล อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ที่ในขณะนี้มีปริมาณน้ำท่าตามธรรมชาติที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น   ซึ่งกรมชลประทานได้เพิ่มอัตราการระบายของเขื่อนเจ้าพระยาเป็น 1,481 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณท้ายเขื่อนบางแห่งที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย พื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณ  คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อยที่ ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีราษฎรประมาณ 602 ครัวเรือน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านในพื้นที่รับรู้ว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงฤดูน้ำหลาก ซึ่ง กอนช. ได้ให้กรมชลประทานเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ และเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังยังจุดเสี่ยงล่วงหน้า พร้อมทั้งประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น เพื่อแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่องแล้ว

สำหรับความพร้อมของพื้นที่ลุ่มต่ำสำหรับรับน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดในพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นด่านหน้าก่อนมวลน้ำจะไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด พร้อมเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงรับน้ำหลากและเตรียมแผนเผชิญเหตุให้พร้อม และให้จังหวัดร่วมบูรณาการกับกรมชลประทานพิจารณาความเหมาะการรับน้ำหลากเข้าทุ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างทั้ง 10 แห่ง    

โดยกำหนดให้ดำเนินการหลังวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ประกอบด้วย ทุ่งเชียงราก ทุ่งท่าวุ้ง  ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท–ป่าสัก ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งบางกุ้ง ทุ่งบางบาล-บ้านแพน ทุ่งป่าโมก ทุ่งผักไห่ ทุ่งเจ้าเจ็ด และทุ่งโครงการฯ โพธิ์พระยา รวมทั้งให้ปรับลดการระบายน้ำจากแหล่งน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก พร้อมทั้งวางแผนเก็บน้ำสํารองทุกแหล่งทั้งผิวดินและใต้ดิน ไว้รองรับในช่วงฤดูแล้งหน้า

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำกรมชลประทานเร่งดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ซึ่งเป็น 1 ใน 9 แผนหลักของการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2566 ขณะเดียวกัน จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้และรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้การยอมรับและเกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนแผนงานด้านน้ำระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านน้ำในพื้นที่ได้อย่างตรงจุดและยั่งยืนด้วย

ด้าน นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (ณ 20 ก.ย.64) มีปริมาณน้ำรวม 10,475 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 42 ของปริมาณความจุ หากเปรียบกับปริมาณน้ำในปี 2554 เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ยังมีปริมาณน้ำน้อยกว่ามาก  ในครั้งนั้นปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนหลักทั้ง 4 แห่ง รวมกันมากกว่า 22,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจากสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน ผนวกกับการบูรณาการวางแผนบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้ “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” ที่ได้กำหนด 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 พร้อมเตรียมแผนปฏิบัติการรับมืออย่างเข้มงวด ตลอดจนการวางแผนใช้พื้นที่ลุ่มต่ำในทุ่งเจ้าพระยารวมกับทุ่งบางระกำ เป็นพื้นที่รับน้ำหลาก ซึ่งในปีนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เหมือนในปี 2554 อย่างแน่นอน

 

อีอีซี สานพลังเครือข่ายพลังพลังสตรี ดึงแนวร่วมกว่า 600 คน กระตุ้นบทบาทคนพื้นที่-ดูแลพื้นที่ อีกก้าวของความสำเร็จ ในการเฝ้าระวังด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

21 กันยายน 2564 ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี ร่วมเป็นเกียรติและเป็นประธานในการประชุมสรุปผลการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างพลังและการมีส่วนร่วมของกลุ่มพลังสตรี ในการดูแลและเฝ้าระวังด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน อีอีซี โดย กลุ่มเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี 3 จังหวัด

ดร. คณิศ ได้กล่าวขอบคุณในความร่วมมือที่ดีจากกลุ่มเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี รวมทั้งมอบแนวทางการสานพลังการมีส่วนร่วม และการสร้างบทบาทเครือข่ายพลังสตรีต่อการมีส่วนร่วมในการดูแลและพัฒนาพื้นที่ อีอีซี ในอนาคตด้วย โดยภายในงาน ดร.เกษมสันต์ จิณณวาโส ที่ปรึกษาพิเศษ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สกพอ. และนางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการ ร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าวด้วย

เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ได้ดำเนินโครงการฯ เพื่อนำไปขยายผล สร้างเครือข่าย สร้างการรับรู้เกี่ยวกับบทบาทและภารกิจของ อีอีซี ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการพัฒนาเชิงพื้นที่ และแนวทางการสร้างกลไกการเฝ้าระวัง มุ่งเน้นให้กลุ่มพลังสตรีร่วมเป็นกระบอกเสียงและขยายเครือข่ายเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน และร่วมกันเฝ้าระวังการใช้ที่ดิน ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อีอีซี

ภายในงาน นางสร้อยทอง ออกบัว ประธานเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ฉะเชิงเทรา นางชนาธิป บุญกลั่น ประธานเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ชลบุรี และนางพิกุล กิตติพล ประธานเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ระยอง ได้นำเสนอผลงานการขยายผลการดำเนินโครงการฯ ของแต่ละจังหวัด ซึ่งเชื่อมโยงการสร้างสมดุลของสิ่งแวดล้อม การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจชุมชน และการยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน เช่น การบริหารจัดการขยะและการรักษาสิ่งแวดล้อม การขยายผลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร การเพิ่มพูนศักยภาพเพื่อเชื่อมโยงให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มพลังสตรีในพื้นที่และชุมชน เป็นต้น

 นายธนภณ เข็มกลัดทอง ประธานเครือข่าย ทสม. จังหวัดฉะเชิงเทรา นางสุดา ประกอบกิจ ประธานเครือข่าย ทสม. จังหวัดชลบุรี และนายสุรินทร์ สินรัตน์ประธานเครือข่าย ทสม. จังหวัดระยอง มีความยินดีและเห็นพ้องต้องกันในการสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้การดำเนินงานขับเคลื่อนพลังเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

ปทุมธานี - ศธ.จับมือ สพฐ. มรภ.วไลยอลงกรณ์ ประกาศเดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน จาก Passive Learning สู่ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 ณ หอประชุมคุรุสภา กรุงเทพมหานคร กระทรวงศึกษาได้จัดให้มีการประชุมทางวิชาการประกาศนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “ประกาศเดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู๋นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤต Covid -19 แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps” ขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นผลสำเร็จของการดำเนินการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดให้มีการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการพัฒนาการคิดขั้นสูงเชิงระบบที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมผ่านการ Coaching ของผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโรงเรียนต้นแบบภาคเหนือจำนวน 10 จังหวัด รวม 30 โรงเรียน จำแนกเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 10 โรงเรียน โรงเรียนขนาดกลาง 10 โรงเรียน และโรงเรียนขนาดใหญ่ 10 โรงเรียน ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เกิดผลงานจากการปฏิบัติเป็นนวัตกรรมครูสู๋นวัตกรรมของนักเรียนจำนวนมากกว่า 1,500 นวัตกรรม และหวังให้เกิดคลื่นการพัฒนาการจัดการศึกษาไทยในยุค New Normal อย่างกว้างขวางต่อไป

ในการนี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความชื่นชมยินดีถึงผลสำเร็จของความพยายามในการนำนโยบายสู่การปฏิบัติครั้งนี้ ที่มีความชัดเจนสะท้อนให้เห็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ตอบสนองเจตนารมณ์ของมรัฐธรรมนูญ มาตรา 54, มาตรา 258 จ.(4) และนโยบายของรัฐบาลตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความถนัดของผู้เรียนรายบุคคลตามหลักการพหุปัญญา และเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องขับเคลื่อนมากขึ้นกว่าเดิมโดยต้องเร่งดำเนินการให้เต็มกำลัง เพื่อให้เกิดผลจริงตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ ทรายแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กล่าวว่า ในการที่เราจะปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนที่จะจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning นั้น ครูจะต้องปรับบทบาทของตนเอง ในยุคปัจจุบัน ครูจะต้องมีบทบาทหน้าที่หลายอย่าง ครูต้องทำหน้าที่ Coaching ได้ ครูต้องเป็นต้นแบบเป็นตัวอย่าง ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ให้มากขึ้นยิ่งในยุค New Normal เช่น ครูจะต้องทำสื่อต่าง ๆ ขึ้นเองได้ เช่น vdo clip สื่อการเรียนการสอนให้มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้เรียนได้มากยิ่งขึ้น

ทางแยก!! 'ธุรกิจการศึกษาจีน' จะ 'รักชาติ' หรือ 'ข้ามชาติ' ต้องเลือก!! | Knowledge Times EP.21

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? ทางแยก!! 'ธุรกิจการศึกษาจีน' จะ 'รักชาติ' หรือ 'ข้ามชาติ' ต้องเลือก!!

จีนจัดระเบียบการศึกษา ปฏิรูปอุตสาหกรรมติวเตอร์สอนพิเศษนอกโรงเรียน ต้องปฏิบัติตามนโยบายการศึกษาของรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด เพื่อปลูกฝังให้คนจีน ‘รักชาติ-รักแผ่นดิน’ เข้าใจอุดมการณ์หลักในการนำพาประเทศประสบความสำเร็จ และเป็นไปตามผลลัพธ์ดังที่คาดหวังไว้

โดยกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมของจีน ได้มีการร่วมออกกฎระเบียบดังกล่าว ที่อยู่ระหว่างทดลองบังคับใช้ ซึ่งกฎระเบียบไม่อนุญาตครูประถม มัธยม และอนุบาล ทำงานทั้งที่โรงเรียนและสถาบันกวดวิชานอกสถานศึกษาควบคู่กัน

ขณะเดียวกัน สถานที่สอนพิเศษ ซึ่งสอนวิชาเดียวกับที่เรียนอยู่ในโรงเรียนจำเป็น ต้องได้รับใบอนุญาต และต้องจ้างครูที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นโรงเรียนสอนพิเศษต่าง ๆ ยังถูกห้ามสอนออนไลน์นอกเวลา ไม่ว่าจะผ่านการส่งข้อความ วิดีโอออนไลน์ หรือไลฟ์สตรีมมิ่ง อีกด้วย

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลจีน ยังได้ออกกฎระเบียบให้ธุรกิจด้านการศึกษา บริษัทเทคโนโลยีด้านการศึกษา โรงเรียนและสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ ในจีนให้เป็น “องค์กรไม่แสวงหากำไร” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ก่อนจะเกิดปัญหาสังคมอย่างรุนแรง

ทันทีที่รัฐบาลจีนประกาศให้โรงเรียนติวเตอร์เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร หุ้นกลุ่มธุรกิจการศึกษาของจีนก็ร่วงอย่างหนัก 

ส่งผลให้ธุรกิจสถาบันกวดวิชา ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับงบประมาณประเทศไทยทั้งปี (หรือ 3 ล้านล้านบาท) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และขนาดของอุตสาหกรรมติวเตอร์นอกเวลาเรียน จะลดลงถึง 30% 

นอกจากนี้ บริษัทที่เกี่ยวเนื่องและกำลังหาโอกาสเติบโตในอนาคต ก็มีอันต้องได้รับผลกระทบเช่นกัน อาทิ... 

บริษัท Gaotu (บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก) ได้ประกาศเลิกรับสมัครนักเรียนอายุ 3-6 ปี และเลิกจ้างพนักงานถึง 1 ใน 3 ส่วน

ด้าน VIPKid ที่ได้รับการสนับสนุนโดย Tencent ได้ประกาศเลื่อนการ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออกไป 

ด้าน Andrea Previtera ที่ปรึกษาการลงทุนด้านอุตสาหกรรม EdTech ให้ข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนไว้ว่า ผลกระทบครั้งนี้ ทำให้บรรดานักลงทุนหลายราย หันไปลงทุนในตลาดที่ธุรกิจบริการทางการศึกษากำลังเติบโตแทน เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย และไทย

ทว่า จีนก็ยังคงเชื่อมั่นในเนื้อนโยบาย โดยมองว่า ยิ่งธุรกิจการกวดวิชานอกระบบเติบโตมากเท่าไร ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการศึกษาในระบบ ที่ไม่สามารถผลิตผู้สอนและสร้างระบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ 

ทำให้ผู้ปกครองที่กังวลต่ออนาคตของบุตรหลานต้องดิ้นรนเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษ และอาจจะนำไปสู่การรับองค์ความรู้และวัฒนธรรมที่พร้อมจะทำให้ชาตินิยมและความรักในชาติเสื่อมคลาย

ถึงกระนั้น ด้านสื่อมวลชนจีน ได้มีการรายงานถึงวิธีต่าง ๆ ที่บรรดาผู้ปกครองและครูสอนพิเศษจะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคุมเข้มของรัฐ โดยเฉพาะการสอนพิเศษแบบ "ใต้ดิน" เพื่อเลี่ยงกฎหมาย เช่น การจ้างครูสอนพิเศษโดยอ้างว่าเป็นคนทำความสะอาดบ้าน แต่ใช้วิธีคิดเงินเดือนให้มากถึงราว 30,000 หยวน หรือประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน

เมื่อทางการจีนต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เหมาะสมกับค่านิยม วัฒนธรรม และขนบแห่งความเป็นชาติจีน แต่ยุคสมัยนิยม ที่เริ่มแสวงหาองค์ความรู้จากทุกซีกโลก ก่อให้เกิดการจัดระเบียบครั้งสำคัญที่สะเทือนต่อแวดวงธุรกิจการศึกษาจีนและพลเมืองจีนบางส่วน

จะทำให้ภาพของชาวจีนต่อจากนี้ เป็นอย่างไรต่อไป 'รักชาติ' หรือ 'ข้ามชาติ' ดี ต้องรอดูกัน... 

ชลบุรี - สโมสรโรตารี่ ร่วมอำเภอสัตหีบ ข้ามทะเลปลูกป่าเกาะพระสร้างความสมดุลให้ธรรมชาติ

วันนี้ (22 ก.ย.64) สโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล โดย นายกชนัญดา กองพล นำคณะสโมสรโรตารี่ฯ เดินทางลงเรือที่ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  ข้ามทะเลไปที่เกาะพระ เพื่อทำกิจกรรมปลูกป่าโกงกาง ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นหนึ่งในโครงการที่สโมสรโรตารี่ฯ ให้ความสำคัญ สโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล จึงได้ร่วมกับสโมสรโรตารี อิสเทิร์นซีบอร์ด มาร่วมทำกิจกรรมปลูกป่าโกงกางในครั้งนี้  และในวันนี้ได้รับเกียติจาก นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ และสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอสัตหีบ ที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมปลูกป่าโกงกางที่เกาะพระแห่งนี้ด้วย

นายกชนัญดา กองพล กล่าวว่า กิจกรรมปลูกป่าโกงกางในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นหนึ่งในโครงการที่สโมสรโรฯ ให้ความสำคัญ สโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล จึงได้ร่วมกับสโมสรโรตารี อิสเทิร์นซีบอร์ด มาร่วมทำกิจกรรมปลูกป่าโกงกางในครั้งนี้  ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกับชายฝั่งทะเลซึ่งจะเป็นการป้องกันการกัดเซาะของกระแสน้ำทะเล และยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ อีกด้วย

 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top