Tuesday, 21 May 2024
LITE TEAM

30 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูญหายสากล รำลึกถึงบุคคลที่ถูกอุ้มหายทั่วโลก

30 สิงหาคม วันรำลึกถึงบุคคลสูญหายสากล หรือวันผู้สูญหายสากล (International Day of the Victims of Enforced Disappearances)

วันที่ 30 สิงหาคม ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันรำลึกถึงบุคคลสูญหายสากล หรือวันผู้สูญหายสากล ด้วยเล็งเห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิของความเป็นมนุษย์และตระหนักถึงสถานการณ์การบังคับสูญหายหรือการอุ้มหายที่เกิดขึ้นทั่วโลก

การบังคับให้สูญหาย หรือที่เรารู้จักทั่วไปว่า ‘การอุ้มหาย’ ถูกพิจารณาเป็น ‘การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง’ และถือเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยที่อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - CPED) ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ได้กำหนดนิยามของ ‘การอุ้มหาย’ ไว้ว่า หมายถึง การจับกุม คุมขัง ลักพาตัว หรือการลิดรอนเสรีภาพในรูปแบบอื่น โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งกระทำการโดยได้รับการอนุญาต การสนับสนุนหรือการยอมรับโดยปริยายของรัฐ ตามมาด้วยการปฏิเสธที่จะยอมรับว่าได้มีการลิดรอนเสรีภาพ หรือด้วยการปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่ปรากฏตัวบุคคลที่หายสาบสูญ ซึ่งส่งผลให้บุคคลดังกล่าวตกอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย

การบังคับให้สูญหายมักถูกใช้เป็นกลยุทธ์สร้างความหวาดกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในสังคม ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ได้แก่ สิทธิในการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย สิทธิในเสรีภาพและความมั่นคงของบุคคล สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น ๆ ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการละเมิดสิทธิต่อครอบครัวของผู้ที่ถูกบังคับสูญหาย เช่น สิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ อันเกิดจากการที่ขาดบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญในการประกอบอาชีพ หรือหารายได้ สิทธิในการมีสุขภาพดี เนื่องจากความวิตกกังวล เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (CPED) เมื่อปี 2555 แต่การลงนามดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย 

แต่อย่างไรก็ตาม หลายภาคส่วนของประเทศไทย ได้ผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือปกป้องคุ้มครองทุกคนมิให้ตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายอีกต่อไป

28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ สวรรคต สิ้น ‘วังหน้า’ พระมหาอุปราชองค์สุดท้าย

กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ผู้ทรงเป็น ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ได้สวรรคต ในวันนี้เมื่อ 138 ปีก่อน นับเป็น ‘วังหน้า’ องค์สุดท้าย

กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน ‘พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ประสูติแต่ ‘เจ้าคุณจอมมารดาเอม’ เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำ เดือน 10 ตรงกับวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2381

เมื่อแรกประสูติพระองค์มีพระอิสริยยศที่ ‘หม่อมเจ้า’ โดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามว่า ‘ยอร์ช วอชิงตัน’ ตามชื่อของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก

คนทั่วไปออกพระนามว่ายอด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระนามให้ใหม่ว่า ‘พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ บวรราโชรสรัตนราชกุมาร’ และได้รับการสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อปี 2404 และได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็น ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นเจ้านายที่มีความสามารถหลายด้าน ด้านนาฏกรรม ทรงพระปรีชา เล่นหุ่นไทย หุ่นจีน เชิดหนัง และงิ้วด้านการช่าง ทรงชำนาญเครื่องจักรกล ทรงต่อเรือกำปั่น ทรงทำแผนที่แบบสากล ทรงสนพระทัยในแร่ธาตุ ถึงกับทรงสร้างโรงถลุงแร่ไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พ.ศ. 2426 ทรงได้รับประกาศนียบัตรจากฝรั่งเศส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาช่าง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือล้นเกล้ารัชกาลที่ 4  ก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์เพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ ฝ่ายเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้เสนอให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็น ‘กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ’ เมื่อ พ.ศ. 2410 แต่ไม่ได้ตั้งให้เป็นวังหน้า

จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต 1 วัน ได้มีการประชุมพระญาติวงศ์และขุนนาง ที่ประชุมจึงตกลงที่จะแต่งตั้ง กรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็น ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ตามคำเสนอของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ โดยเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา ขณะนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา

บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์จึงอัญเชิญกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นทรงดำรงตำแหน่งวังหน้า นับเป็น ‘วังหน้า’ พระองค์ที่ 6 และพระองค์สุดท้าย ทรงเป็นวังหน้าพระองค์แรกที่พระเจ้าแผ่นดินมิได้ทรงแต่งตั้ง

ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี โดยคบค้าสนิทสนมกับ โทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ

ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง จนทำให้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง

การนี้ ทางวังหลวงเข้าใจว่า ‘วังหน้า’ เป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ ส่วนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็เสด็จหลบหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษไม่ยอมเสด็จออกมา

เหตุการณ์ตึงเครียดนี้กินเวลาถึงสองสัปดาห์ จนกระทั่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เดินทางกลับจากราชบุรีเข้ามาไกล่เกลี่ย

โดยฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการเมืองภายในของสยาม และไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย

ต่อมา กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อวันศุกร์ เดือน 9 แรม 3 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1247 หรือวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระชนมายุ 48 พรรษา

พระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2429 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง

จนถึงปีจอ พ.ศ. 2429 จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นสยามมกุฎราชกุมารและยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช ตั้งแต่นั้นมา

26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงอภิเษกสมรส กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

วันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิเษกสมรส กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี 

พระราชพิธีอภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน ถือเป็นการอภิเษกสมรสครั้งแรกในสยาม ซึ่งได้นำแบบอย่างธรรมเนียมการสมรสของชาวตะวันตกมาปรับใช้ มีพิธีการจดทะเบียนสมรสเป็นคู่แรกของสยาม และมีการพระราชทานของชำร่วยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม ซึ่งเป็นแม่แบบพิธีแต่งงานของไทยที่สืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ย้อนไปเมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี หรือหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน ถือเป็น ‘พระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรกในสยาม’

หลังจากการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วย การเศกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๑ ความตอนหนึ่งว่า “ให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะทำการพิธีนั้นได้”

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนฯ ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ความตอนหนึ่งว่า

“บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพพรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ ข้าพระพุทธเจ้าได้ กราบทูลสมเด็จแม่ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะมีหนังสือกราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเพื่อทราบพระราชปฏิบัติ ท่านก็ทรงเห็นด้วยกับข้าพระพุทธเจ้า ส่วนเสด็จน้านั้น ท่านรับสั่งว่าท่านไม่ทรงเกี่ยวข้องด้วย เพราะท่านได้ถวายหญิงรําไพไว้ขาดแด่สมเด็จแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว…” (อ้างใน ราชเลขาธิการ 2531: 15)

ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงลงพระนามในสมุด ‘ทะเบียนแต่งงาน’ แล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยเป็น ‘ผู้สู่ขอตกแต่ง’ และ ‘ผู้ทรงเป็นประธานและพยานในการแต่งงาน’ และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ลงพระนามเป็นพยาน รวม 12 พระองค์

นับว่าเป็น ‘ครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสมรสในพระราชวงศ์’ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเริ่มมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการครองเรือนให้เป็นแบบตะวันตก และยังเป็นแม่แบบของพิธีแต่งงานของไทยยุคใหม่ที่มีการจดทะเบียนสมรส

ในเวลาค่ำ พระราชทานเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่มาร่วมงาน และได้ทรงพระราชทานของชำร่วย เป็นแหวนทองคำลงยาประดับเพชร ถือเป็น ‘ของชำร่วยวันแต่งงานครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม’

24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

วันนี้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

ประกาศราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

จึงทรงพระราชดำริว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

23 สิงหาคม พ.ศ. 2553 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ

วันนี้ เมื่อ 13 ปีที่แล้ว เป็นวันเปิดให้บริการ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ หรือ รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อย่างเป็นทางการวันแรก

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (Airport Rail Link) หรือ รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนแบบพิเศษ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปัจจุบันต้นสถานีของ ARL คือ พญาไทและปลายสถานี คือสนามบินสุวรรณภูมิ โดยใช้ระยะเวลาการเดินทาง 25 นาที

ในวันที่ 25 ตุลาคม 2564 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘AERA1’ (เอราวัน) ภายใต้ผู้รับสัมปทานรายใหม่ คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ของกลุ่มซี.พี. และพันธมิตร จากผู้รับสัมปทานรายเดิม คือ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) บริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ในอนาคต ‘รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์’ จะมีการรวมรถไฟฟ้าสายนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา โดยใช้เส้น Airport Rail Link เดิมเป็นส่วนต่อขยาย โดยแนวเส้นทางส่วนที่ต่อขยายคือ สถานีพญาไท เชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นสถานีต้นทางของรถไฟชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ- รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน และจะเชื่อมต่อไปยังสถานีดอนเมือง

ทั้งนี้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งาน ระยะเวลาที่ใช้เดินทางจาก สถานีพญาไทไปสนามบินดอนเมืองจะใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้การเดินทางสู่สองสนามบินเป็นเรื่องง่ายดาย ทั้งลดระยะเวลาการเดินทางและมีความสะดวกสบายที่มากขึ้น

‘ปิ่น เก็จมณี’ คุณแม่สายสตรอง ย้อนวัยเป็นนักศึกษาอีกครั้ง ซุ่มเรียนปริญญาเอก ม.รังสิต ทั้งสวยทั้งเก่งครบเครื่องจริงๆ

(22 ส.ค.66) สำหรับคุณแม่ลูกสามสายสตรองอย่าง ‘ปิ่น เก็จมณี’ หลังจากที่กลับมาใช้ชีวิตโสด ก็ได้เห็นไลฟ์สไตล์หลากหลายผ่านไอจี ig: kejmanee อยู่บ่อย ๆ เช่น การขี่ม้าหรือกลับมาเล่นละครซึ่งเป็นอาชีพที่รัก

ล่าสุดทาง Facebook มหาวิทยาลัยรังสิตลงภาพ สาวปิ่น ที่ย้อนวัยเป็นนักศึกษาอีกครั้ง เพื่อเรียนปริญญาเอก ซึ่งอีกไม่ก็จะได้เป็นว่าที่ด็อกเตอร์แล้ว โดยโพสต์นี้มีแคปชันไว้ว่า “วาร์ปไปดูคลาสเรียน ป.เอก เจอพี่ ปิ่น เก็จมณี พิชัยรณรงค์สงคราม นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรรัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (รุ่นที่ 1) ม.รังสิต”  ต้องบอกว่าเป็นคุณแม่ที่สวยและเก่งมาก ๆ ครบเครื่องสุด ๆ

‘ไก่ มีสุข’ เผย เตรียมสร้างที่พำนักสงฆ์บนที่ดิน 20 ไร่ หวังนำพาผู้มีจิตศรัทธาให้มาฟังธรรม - ปฏิบัติธรรม

(22 ส.ค. 66) อินสตาแกรม ‘kaimeesuk’ ของ ‘ไก่ มีสุข คุณดิลกชัยพัฒน์’ อดีตพิธีกรชื่อดัง ได้โพสต์วิดีโอพร้อมข้อความระบุว่า…

“พื้นที่เกือบ 20 ไร่ ของมีสุขแลนด์ meesukland (ที่ดินเป็นรูปตัว L) ข้าพเจ้า น.ส.มีสุข แจ้งมีสุขและครอบครัว ประกอบด้วย พ่อทวี แม่มุกดา สามีคุณคิม ลูกสาวนามรูป พี่ชาย+สะใภ้+หลานสาว พอดี และพลอยพัชร์ น้องสาว+เขย ขอตั้งจิตอันบริสุทธิ์ถวายที่ดิน ปลูกต้นไม้ พันธุ์ไม้ และจัดแลนด์สเคป เพื่อสร้างที่พำนักสงฆ์ แด่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งนี้ รวมถึงหลวงปู่คลาด /ท่านเจ้าคุณ ว.วชิโรดม และพระป่าสายหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ได้จำวัด ณ ที่แห่งนี้ เพื่อนำพาให้เหล่าอุบาสก อุบาสิกาผู้มีใจปฏิบัติได้มาฟังธรรม และปฏิบัติโดยทั่วกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

บันทึก 22.08.66 #มีสุขแลนด์ #ถวายที่ดิน #เพื่อเป็นสถานที่สัปปายะ #ที่ดินส่วนแอลตั้งทั้งหมด”

หลังโพสต์ข้อความไปแล้ว ผู้ติดตามก็ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นร่วมอนุโมทนาสาธุ รวมถึง ‘เบนซ์ พรชิตา’ ที่แสดงความคิดเห็นว่า “อนุโมทนาสาธุค่ะ”

‘นพพร เมืองสุพรรณ’ เจ้าของเพลงลูกทุ่งอมตะ ‘คิดถึงจังเลย’ เสียชีวิตลงแล้ว ด้วยวัย 74 ปี หลังป่วยหนักมานานหลายปี

(22 ส.ค.66) วงการลูกทุ่งเศร้า ‘นพพร เมืองสุพรรณ’ เจ้าของเพลงดัง ‘คิดถึงจังเลย’ ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อช่วงตี 5 ที่ผ่านมา ในวัย 74 ปี ที่จังหวัดอ่างทอง ด้วยโรคพาร์กินสันและเบาหวานตั้งแต่ปี 2554

สำหรับงานพิธีฌาปนกิจจะมีขึ้นที่วัดสองเขตสามัคคี (ลาดตาล) ต.ดอนมะสังข์ อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี ในวันเสาร์ที่ 26 ส.ค. 2566 

‘นพพร เมืองสุพรรณ’ เป็นคนสุพรรณบุรี น้ำเสียงมีเอกลักษณ์ แผดสูงทรงพลัง แต่ช่วงโควิดประสบปัญหาเรื่องรายได้ เพราะไม่มีงานด้าน สมาคมนักแต่งเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทยและพระเอกนักบุญ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้เข้าไปช่วยดูแลและมอบเงินช่วยเหลือ ที่บ้านพัก จ.อ่างทอง ซึ่งมีหลานสะใภ้คอยดูแล

ทั้งนี้ ผลงานสร้างชื่อของ ‘นพพร เมืองสุพรรณ’  นั้นมีมากมาย อาทิ เพลงคิดถึงจังเลย, คอยน้องทั้งคืน, เก็บเงินแต่งงาน, กลับเถิดเรียมจ๋า, รอนางที่ริมโขง, เสียงหัวใจ, กลองกลิ้งเหมือนลิง, สาวอีสานหวานใจ, หนุ่มขี้อาย และเพราะพี่จน

‘เอ้ก บุษกร’ ยิ้มสู้กล้อง!! แม้เหนื่อยจนแทบปาดเหงื่อ หลังพยายามชวน ‘กัปตัน-น้องดิน’ ถ่ายรูปครอบครัว

(22 ส.ค.66) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัวสุขสันต์ที่มักจะมีโมเมนต์น่ารัก อบอุ่น และหรรษามาชวนยิ้มเสมอ สำหรับบ้าน ‘หงษ์มานพ’ ของพระเอกหนุ่มรุ่นใหญ่ ‘กัปตัน ภูธเนศ’ และ ‘เอ้ก บุษกร’ ที่ตอนนี้ ‘น้องดิน’ ลูกชายสุดที่รักทั้งคู่กำลังอยู่ในวัยที่ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไม่น้อย

อย่างล่าสุด ‘เอ้ก บุษกร’ ก็ได้เปิดภาพน่ารักระหว่างที่พาครอบครัวเที่ยวพักผ่อนอยู่ที่ จ.ระยอง โดยงานนี้คุณแม่คนสวยก็ได้แท็กทีมสามีและลูกชายลงเล่นน้ำในสระ และไม่วายที่จะแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งกว่าจะได้ภาพแต่ละช็อต แต่ละมุม ก็ทำเอาสาวเอ้กนั้นเหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

พร้อมกันนี้สาวเอ้กก็ยังได้เขียนแคปชันแซวความพยายามของตัวเองเอาไว้ว่า “กว่าจะได้ภาพครอบครัวสักภาพ #dignehongmanop #phakdibodin #HongmanopHome #เปิดบ้านหงษ์มานพ #5years9months21daysold”

ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นโพสต์ดังกล่าวของคุณแม่คนสวยแล้วนั้น บรรดาเพื่อนพ้องและแฟนๆ ต่างก็เข้ามาคอมเมนต์ชมความน่ารักและความสู้ของคุณแม่กันอย่างคับคั่ง

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ติด Top 30 ที่มีผู้ติดตาม IG สูงสุดทั่วโลก แถมโพสต์โฆษณาลงแค่ครั้งเดียว สามารถทำเงินได้แบบถล่มทลาย

(21 ส.ค.66) ช่วงนี้มาแรงไม่มีแผ่วจริง ๆ สำหรับไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ ที่ทางเว็บไซต์ Hopper HQ ได้มีการจัดอันดับคนดังที่มียอดผู้ติดตามสูงสุดทั่วโลก 100 อันดับ ซึ่งผลปรากฏว่าสาวลิซ่าติดแรงค์ Top 30 โดยเธออยู่อันดับที่ 26

สำหรับสาวลิซ่านั้นถูกจัดให้อยู่ในหมวดของ Celebrity ที่มียอดผู้ติดตามในแอปพลิเคชันอินสตาแกรม หรือ ไอจี เป็นจำนวนมากถึง 95,815,834 ผู้ติดตาม (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ส.ค. 66) ซึ่งลิซ่าจะได้ค่าโฆษณาให้กับสินค้าต่าง ๆ ใน 1 โพสต์เป็นจำนวนเงิน 575,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,309,000 บาท

ทั้งนี้เหล่าคนดังที่มีผู้ติดตามลำดับก่อนหน้าลิซ่าทั้ง 25 อันดับ มีดังนี้

1. Cristiano Ronaldo
2. Lionel Messi
3. Selena Gomez
4. Kylie Jenner
5. Dwayne Johnson
6. Ariana Grande
7. Kim Kardashian
8. Beyonce Knowles
9. Khloe Kardashian
10. Justin Bieber
11. Kendall Jenner
12. Taylor Swift
13. Jennifer Lopez
14. Virat Kohli
15. Nicki Minaj
16. Kourtney Kardashian
17. Miley Cyrus
18. Katy Perry
19. Neymar da Silva Santos Junior
20. Kevin Hart
21. Belcalis ‘Cardi B’ Almánzar
22. Demi Lovato
23. Robyn ‘Rihanna’ Fenty
24. LeBron James
25. Billie Eilish


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top