Tuesday, 17 June 2025
Hard News Team

สมุทรปราการ-พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารเรียนนามพระราชทาน “อาคารเทพรัตน์” โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (19 พ.ค.68) ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. ณ โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม  ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ได้ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารเรียนหลังใหม่  นามพระราชทาน “อาคารเทพรัตน์” โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม สมุทรปราการ

โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ และหัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนคณะผู้บริหารโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม นำโดย นายวิโรจน์ จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม นำคณะครูนักเรียน บุคลากร ผู้ปกครองโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ร่วมให้การต้อนรับ

จากนั้น นายวิโรจน์ จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ โดยมี คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครู บุคลากรทางการศึกษา คณะผู้ปกครอง นักเรียนโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และประชาชนชาวอำเภอบางบ่อ เข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ทางโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ยังได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมวิธาน เจ้าคณะอำเภอบางบ่อ เจ้าอาวาสวัดสุคันธาวาส นำคณะสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นประธานในพิธีพร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติร่วมถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และ ประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนี้ท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมวิธาน เจ้าอาวาสวัดสุคัลธาวาสได้เจิมแผ่นศิลาฤกษ์ จากนั้น องคมนตรีได้กดปุ่มเปิดแพรคุมป้ายอาคารเรียนอย่างเป็นทางการ 

พร้อมกันนี้ องคมนตรีได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ แก่ผู้มีอุปการะคุณ และมอบโล่ศิษย์เก่าดีเด่น และมอบรางวัลแข่งขันเครื่องบินพลังยางให้แก่นักเรียนโรงเรียนบางบ่อวิทยาคมอีกด้วยด้วย สำหรับ อาคารเรียนหลังใหม่ โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ได้รับการสนับสนุนงบประมาณปี 2563 โครงการก่อสร้างอาคารเรียน 4 ชั้น 18 ห้องเรียน จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เป็นจำนวนเงิน 50,906,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินการจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยผู้รับจ้างคือ บริษัท พี อี ซี ซี กรุ๊ป จำกัด ในวงเงิน 39,800,000 บาท ตามสัญญา เลขที่ 1/2563 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2563 โดยเริ่มก่อสร้าง ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 และได้มีการขยายสัญญาเพิ่มเติม เนื่องจากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมโรงเรียน และโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และดำเนินการก่อสร้างต่อเรื่อยมาจนกระทั่งอาคารแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2566

ทั้งนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง นักเรียน และประชาชนอำเภอบางบ่อ  ทางโรงเรียนจึงได้ดำเนินการขอพระราชทานชื่ออาคาร จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชื่ออาคารเรียนดังกล่าวว่า “อาคารเทพรัตน์” และพระราชทาน พระราชานุญาตให้เชิญอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ประดับที่ป้ายชื่อพระราชทาน เมื่อวันที่  6 มกราคม 2568

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘สมรักษ์’ แจงชัดไม่โกรธ หลังลูกประกาศเลิกยุ่ง รับพลาดสองเรื่อง ยันจะไม่ทำให้ลูกเดือดร้อนอีก

(20 พ.ค. 68) สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักชกชื่อดัง อัดคลิปชี้แจงกรณีดราม่าครอบครัว หลังลูกสาว ‘เบสท์’ รักษ์วนีย์ และลูกชาย ‘โบ๊ท’ ภูวรักษ์ ประกาศเลิกยุ่งกับพ่อ หากมีปัญหาอีกครั้ง โดยระบุว่าเหนื่อยกับการช่วยเคลียร์ปัญหาหนี้สินซ้ำซาก จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ และลูกๆ ถูกวิจารณ์ว่าอกตัญญู

สมรักษ์กล่าวในคลิปว่า ได้ย้อนฟังบทสัมภาษณ์ของลูกแล้ว เห็นว่าลูกไม่ได้ผิด เพราะลูกๆ ดีและเก่ง พร้อมยอมรับว่าตนก่อเรื่องสองครั้ง ทั้งคดีลอตเตอรี่และคดีเด็กอายุ 17 ปี ลูกจึงประกาศชัด หากมีเรื่องครั้งที่สาม จะไม่รับผิดชอบอีก เขาเข้าใจและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่สมควร

เจ้าตัวย้ำว่าตอนนี้ระวังตัวมากขึ้น และไม่ต้องการให้ลูกลำบากอีก พร้อมเผยว่ากำลังทำงานสอนมวยที่ค่ายต่างๆ และไม่ได้รบกวนลูกแล้ว ส่วนคดีลอตเตอรี่ เบสท์เคยช่วยสำรองจ่ายบ้าง แต่ไม่ถึง 20 ล้านบาท ส่วนคดีพรากผู้เยาว์อยู่ระหว่างต่อสู้ในชั้นศาล

สุดท้าย สมรักษ์ขอความเห็นใจ ไม่อยากให้ใครไปตำหนิลูก เพราะทั้งเบสท์และโบ๊ทเป็นลูกที่ดี ย้ำว่าลูกเก่งและทำดีที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของตน และจะพยายามไม่สร้างปัญหาอีกในอนาคต

“อลงกรณ์-คอรัปชั่น ฟ้องดู”เดินสายผนึกสื่อมวลชนภาคใต้สร้างเครือข่าย “ใยแมงมุม”ต้านโกงทั่วประเทศหวังประเทศไทยโปร่งใสมีธรรมาภิบาล

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ประธานที่ปรึกษาของ รมว.ทส.และรองประธานคณะกก.ยุทธศาสตร์ ปชป. อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้เกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการ “ใยแมงมุม” (Spider Web)ปราบโกงภายหลังเป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษในโครงการอบรมสัมมนาสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อภาคใต้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทุจริตภาครัฐและเอกชนจัดโดยสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติภายใต้การสนับสนุนของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ที่โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า แกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และสมาชิกกลุ่มStrongซึ่งเป็นเครือข่ายของปปช. ที่ประกอบด้วยนักศึกษาและประชาชนจิตอาสาเห็นด้วยและพร้อมร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” (Corruption Fondue)ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้โดยการสนับสนุนของสถาบันเอฟเคไอไอ.มีเป้าหมายหลักคือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)ขจัดทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงในภาครัฐและเอกชน
“ในการเดินสายสร้างความเข้าใจแพลตฟอร์มคอรัปชั่นเทคที่เรียกว่า“คอรัปชั่น ฟ้องดู” พร้อมกับการสร้างเครือข่าย“ใยแมงมุม”ซึ่งล่าสุดคือภาคใต้ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากแกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และเครือข่ายStrongของปปช. ก่อนหน้านี้ได้ขยายเครือข่ายสร้างความร่วมมือกับสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมาแล้ว และเป้าหมายต่อไปคือกรุงเทพฯ และภาคกลาง

แพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีแต่ยังเป็นความหวังใหม่ในการสร้างวัฒนธรรม “ไม่ทนต่อการทุจริต” ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน การเดินหน้าสร้างเครือข่ายใยแมงมุมครั้งนี้สะท้อนเจตจำนงที่จะก้าวข้ามวิกฤตคอรัปชั่นเพื่อสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในประเทศไทย“นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด.

20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระราชดำรัส รัชกาลที่ 9 ดั่งน้ำทิพย์ คลี่คลายวิกฤตทางการเมือง ‘พฤษภาทมิฬ’

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้  ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในเหตุการณ์การเมือง พฤษภาทมิฬ ทรงใช้พระมหากรุณาธิคุณระงับความขัดเเย้งทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ให้เข้าใจกันและยุติความขัดเเย้งของทั้งสองฝ่ายเพื่อความสงบสุขเรียบร้อยของประเทศไทย

โดยมีความบางตอนว่า  

“...ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง..."  

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

‘ทรัมป์’ ชม ‘กาตาร์’ เจตนาดีให้ฟรี Boeing 747-8 เปรียบเหมือน ‘เทพีเสรีภาพ’ ไม่จำเป็นต้องตอบแทน

(19 พ.ค. 68) สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า การที่สหรัฐฯ รับมอบเครื่องบิน Boeing 747-8 มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ (ราว 14,400 ล้านบาท) จากประเทศกาตาร์ เป็นการทำธุรกรรมระหว่างรัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย และผ่านการตรวจสอบจากที่ปรึกษาทำเนียบขาว กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกฎหมายแล้ว

ขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลทรัมป์ กล่าวปกป้องการตัดสินใจดังกล่าว โดยเปรียบเปรยว่า “ฝรั่งเศสเคยมอบเทพีเสรีภาพให้เรา และอังกฤษเคยมอบโต๊ะทำงานให้เรา ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาเรียกร้องอะไรล่วงหน้าหรือไม่” พร้อมชี้ว่ากาตาร์มีคำสั่งซื้อเครื่องบินจาก Boeing มูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นคำสั่งซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

ด้านทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขาคง ‘โง่มาก’ หากปฏิเสธ ‘เครื่องบินฟรี’ ลำนี้ โดยตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ เครื่องบินลำนี้ได้เดินทางมาถึงรัฐเท็กซัสแล้วนานกว่าหนึ่งเดือน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ปัจจุบันของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีและใช้งบประมาณมหาศาลในการปรับแต่งเครื่องบินลำดังกล่าวให้ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับผู้นำประเทศ โดยเฉพาะหากมีการใช้งานในภารกิจของประธานาธิบดีในอนาคต

สกพอ. ผนึกกำลัง กกท. ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ยกระดับเมืองอัจฉริยะ EECiti สร้างศูนย์กีฬานานาชาติจ.ชลบุรี บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ หนุนเมืองน่าอยู่รองรับประชากร 3.5 แสนคน ปูทางไทยจัดกีฬาโลก-คอนเสิร์ต-เวทีนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างงาน 2 แสนตำแหน่งใน 10 ปี

(19 พ.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) สร้าง “ศูนย์กีฬานานาชาติ จ.ชลบุรี” บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ ภายในโครงการเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ EECiti หวังยกระดับสู่ศูนย์กลางการจัดการแข่งขันกีฬาและอีเวนต์ระดับโลก พร้อมส่งเสริมสุขภาพและเศรษฐกิจกีฬาไทย

ศูนย์กีฬาแห่งนี้จะได้มาตรฐานระดับนานาชาติ รองรับทั้งการแข่งขัน กีฬาอาชีพ คอนเสิร์ต เทศกาลขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์ฟื้นฟูนักกีฬาและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติมุ่งพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. เผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ระบบนิเวศเมืองน่าอยู่ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่พื้นที่ EEC ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว คาดว่าโครงการจะรองรับประชากรกว่า 3.5 แสนคน และสร้างงานกว่า 2 แสนตำแหน่งภายในปี 2580

นอกจากศูนย์กีฬานานาชาติแล้ว พื้นที่ EECiti ยังเตรียมพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะติด 1 ใน 10 ของโลก พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รองรับการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซีในอนาคต

‘อมตะ ซัมมิท’ เร่งตรวจสอบผนังอาคารถล่ม พร้อมประสานผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุอย่างละเอียด

(19 พ.ค. 68) บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด ออกแถลงการณ์กรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่า ในนิคมฯอมตะซิตี้ ชลบุรี หลุดร่วงจากตัวอาคารยืนยันเดินหน้าตรวจสอบสาเหตุอย่างเร่งด่วน และยกระดับมาตรการความปลอดภัยในทุกอาคาร

นางสาวจันจิรา แย้มยิ้ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่าแห่งหนึ่งภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เกิดการหลุดร่วงจากตัวอาคารว่า บริษัทขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงหนึ่งราย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เช่า ซึ่งบริษัทฯไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด

บริษัทฯให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้เช่าและบุคลากรทุกฝ่าย โดยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง และตัวแทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.เพื่อเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์อย่างละเอียด พร้อมเพิ่มการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย

นอกจากนี้ บริษัทฯจะนัดหมายเพื่อร่วมประชุมกับผู้เช่าอาคารในลักษณะเดียวกันทุกราย เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แผนการดำเนินงาน และมาตรการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เช่า และเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโครงสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจร่วมกัน

บริษัทฯขอยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดกว้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสาธารณะชน เข้าตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เช่า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

รัฐบาลชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 เล็งใช้งบ 1.57 แสนล้านไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแทน

(19 พ.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องให้ชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ไว้ก่อน พร้อมพิจารณานำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า งบประมาณที่ตั้งไว้จะนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร คมนาคม รถไฟความเร็วสูง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีและสร้างงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ชะลอเพราะงบไม่พอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป มีข้อจำกัดมากขึ้น จึงต้องทบทวนการใช้งบให้เหมาะสม โดยยังไม่ตัดทิ้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสถานการณ์เอื้ออำนวยในอนาคตก็สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้

รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระตุ้นการจ้างงาน และใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด

‘อนุทิน’ เห็นภาพชัดเชื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม พร้อมปัดข่าว ภท. เตรียมคว่ำ พ.ร.บ.งบ ฯ 69

(19 พ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ว่าพรรคภูมิใจไทยจะคว่ำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ตนมองว่าปกติ ทำไมผู้สื่อข่าวถึงได้มองว่าจะเครียด ซึ่งไม่มีอะไรเลย 

ส่วนที่กรณีพรรคเพื่อไทยรวมพลังกับพรรคกล้าธรรม ขณะที่พรรคภูมิใจไทยกำลังรวมพลัง กับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น 

นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยรวมพลังกับทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้าน หากทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็พร้อมสนับสนุนหมดทุกอย่าง พร้อมชื่อว่าการเติบโตของพรรคกล้าธรรม ไม่ใช่การมาคานอำนาจกับพรรคภูมิใจไทย เพราะทุกพรรคก็ต้องการ การเติบโต และพรรคไหนที่สามารถรับใช้ประชาชนได้ พรรคนั้นก็จะเติบโต เหมือนกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตนเองก็พูดคุยและมีการทำงานร่วมกันกับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมอยู่ตลอด 

นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นความจริงที่พรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 เพราะรัฐบาลทำงบประมาณมาด้วยกัน และผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว อีกทั้งงบประมาณก็มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ขณะที่กระทรวงในส่วนพรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบดูอยู่อาทิ กระทรวงมหาดไทย มีงบประมาณถึง 400,000 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ ประมาณ 500,000 ล้านบาทกระทรวงอุดมศึกษาฯ ประมาณ 200,000 ล้านบาท และกระทรวงแรงงานอีกประมาณสองถึง 30,000 ล้านบาท รวมแล้วกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่มีงบประมาณ ล้านล้านบาท หากว่าจะไม่เห็นชอบหรือไปโหวตคว่ำก็คงไม่ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลและประชาชน ก็ต้องให้การสนับสนุน เนื่องจากเป็นงบประมาณที่รัฐบาลดำเนินการเอง 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าขอถามเป็นครั้งที่10 ว่าตอนนี้มีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าตนขอยืนยันเป็นครั้งที่ 11 ว่าไม่มี และขณะนี้รัฐบาลก็มีความเข้มแข็ง มีเสียงในสภามากกว่า 320 เสียง และพรรคกล้าธรรมก็ยิ่งมีเสียงสส.เพิ่ม ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น ทำให้ตนเองไปผ่าตัดเลนส์ตาได้อย่างสบายใจ 

ส่วนได้มองสัญญาณเชิงบวกกับสีน้ำเงินหรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ได้มองอะไรเลย มองแต่เรื่องการทำงาน จากสายตาที่เคยขุ่นมัว พอเปลี่ยนเลนส์ตาก็ทำให้ชัดใสปิ๊ง กลับมาหล่อเหมือนเดิม และเห็นอนาคตของรัฐบาลได้ชัด ว่าจะอยู่ครบเทอม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top