Sunday, 25 May 2025
Hard News Team

นักวิชาการไทยในอิหร่าน โพสต์!! ไทยน่าจะได้ใช้ ‘น้ำมันราคาถูก’ ถ้าไม่เกรงกลัวอิทธิพล ประเทศมหาอำนาจ แล้วรับส่วนลดจากอิหร่าน

(23 ต.ค. 67) ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยีด นักวิชาการคนไทย ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ ‘ราคาน้ำมัน’ โดยมีใจความว่า ...

อิหร่านยังครองแชมป์น้ำมันถูกที่สุดในโลกมาหลายสิบปี

ถ้ามีบัตรน้ำมัน ราคาเบนซินต่อลิตร 70 สตางค์ ถ้าไม่มีบัตรน้ำมัน ราคา 1.40 สตางค์ ครับ

รถผมเติมเต็มถังน้ำมันเบนซิน 65 ลิตร เสียค่าน้ำมันเป็นเงินไทยประมาณ 45 บาท

ถูกขนาดนี้ ประเทศไทยยังไม่กล้าซื้อ เพราะเกรงกลัวมหาอำนาจ ถึงแม้ว่าน้ำมันจะมีราคากลางของตลาดโลก แต่ส่วนลดที่น่าสนใจ ทำให้ชาติที่ไม่กลัวมหาอำนาจเป็นลูกค้าหลักของอิหร่าน

ปล.ผมใช้ชีวิตอยู่อิหร่านนะครับ

‘Huawei’ เปิดตัว ‘HarmonyOS NEXT’ สลัด!! ‘Android’ ทิ้งอย่างสิ้นเชิง

(23 ต.ค. 67) แกนหลักของ HarmonyOS เป็นการพัฒนาของ Huawei ด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งทำให้จีนสามารถหลุดพ้นจากการพึ่งพา Android และจะสามารถพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ ต่อยอดตามความต้องการของตนเองได้ โดยไม่ถูกจำกัดจากปัจจัยอื่นๆ

ตามข้อมูลที่เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ HarmonyOS เวอร์ชันก่อนหน้านี้ยังคงใช้โค้ดบางส่วนจากโครงการ Android Open Source Project (AOSP) ทำให้ต้องรองรับแอปพลิเคชัน Android บางส่วน

แต่ HarmonyOS NEXT ที่เพิ่งเปิดตัวได้พัฒนาระบบพื้นฐานขึ้นเองทั้งหมด ทำให้บรรลุเป้าหมายการพึ่งพาตนเองและการควบคุมระบบปฏิบัติการภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ความลื่นไหลของระบบ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ

ตามรายงานของสื่อ มีแอปพลิเคชันและบริการเมตามากกว่า 15,000 รายการที่เปิดตัวบน HarmonyOS NEXT ครอบคลุม 18 อุตสาหกรรม และแอปพลิเคชันสำนักงานทั่วไปได้ครอบคลุมบริษัทมากกว่า 38 ล้านแห่งทั่วประเทศ

ตามรายงาน HarmonyOS NEXT ลดอุปสรรคและต้นทุนในการเข้าถึงระบบ โดยได้ปรับปรุงให้มีความคล่องตัวขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และแอปพลิเคชันจำนวนมากได้รับการอัปเดตแบบต่อเนื่องวันละครั้ง

หยู เฉิงตง (Yu Chengdong) หรือ Richard Yu กรรมการบริหารของ Huawei และประธานคณะกรรมการของกลุ่มธุรกิจผู้บริโภค กล่าวระหว่างการประชุมว่า "HarmonyOS NEXT ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ในแง่ของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ความปลอดภัย และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ปัจจุบัน แอปพลิเคชันที่เปิดตัวบนแพลตฟอร์มได้รับการอัปเดตเกือบทุกวัน สามารถเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และสถานการณ์หลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และห้องโดยสารรถยนต์

ปัจจุบัน จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับ HarmonyOS มีมากกว่า 1 พันล้านเครื่อง มีนักพัฒนาที่ลงทะเบียน 6.75 ล้านคน ในขณะเดียวกัน Huawei ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศจีนเพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

HarmonyOS เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 โดยใช้กับจอแสดงผลอัจฉริยะของ Huawei   และเริ่มใช้กับโทรศัพท์มือถือ Huawei ในปี 2021

ในไตรมาสแรกของปี 2024 HarmonyOS ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกเกิน 4 เปอร์เซ็นต์ ตามสถิติจาก Counterpoint บริษัทวิจัยตลาดเทคโนโลยีระดับโลก

ในตลาดจีน ด้วยความนิยมในผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ของ Huawei ทำให้ HarmonyOS มีส่วนแบ่งตลาด 17 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก และ iOS ของ Apple มีส่วนแบ่งตลาด 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าส่วนแบ่งตลาดของ HarmonyOS แซงหน้า iOS เป็นครั้งแรก กลายเป็นระบบปฏิบัติการอันดับสองในตลาดจีน ตามรายงานของ Counterpoint

ตามรายงานการวิเคราะห์ของ Zhongtai Securities เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมระบุว่า ระบบนิเวศแอปพลิเคชันของ HarmonyOS กำลังเติบโต  และการทำตลาดในวงกว้างของ HarmonyOS กำลังจะมาถึงในปี 2024 ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้ผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันจำนวนมากปรับตัว ย้ายแพลตฟอร์ม และพัฒนาต่อยอด

นับถอยหลัง ชี้!! ชะตา ‘ทักษิณ-พท.-นายกอิ๊งค์’ กับ ‘คดีล้มล้างฯ ภาคสอง’ คาด!! ศาลรธน. มีมติพ.ย.นี้ หากฝ่าวิกฤตไม่พ้น ปีหน้า อาจได้เห็น ยุบสภา

(23 ต.ค. 67) ใกล้เข้าไปอีกนิด  ชิดเข้าไปอีกหน่อย  คาดว่าไม่เกินเดือนพ.ย.2567 คงจะได้เห็นทิศทางที่แจ่มชัดสำหรับคดีเรียกกันสั่นๆว่า ‘คดีล้มล้างฯภาคสอง’

วันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งบางประการกรณี นายธีรยุทธ  สุวรรณเกษร  ยื่นร้องขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 สั่งการให้ทักษิณ  ชินวัตร  (ผู้ถูกร้องที่1)และพรรคเพื่อไทย(ผู้ถูกร้องที่2) เลิกกระทำการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งผู้ร้องกล่าวหากล่าวอ้างไว้ 6 ประเด็น  

ยกตัวอย่าง2 ประเด็น(ตามสำนวนการสรุปในเอกสารแถลงข่าวของศาลรธน.

ประเด็นที่1 -ผู้ถูกร้องที่1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษในเรือนจำ  ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤติ

ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลเศรษฐา  ทวีสิน อดีตนายกฯเพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

ดังที่ทราบกันดีว่าคดีนี้นายธีรยุทธใช้โมเดลเดียวกับคดีล้มล้างฯภาคแรก กรณี ‘พิธา-ก้าวไกล จนเกิดการยุบพรรค  คือการใช้สิทธิตามรธน.มาตรา 49ยื่นต่ออัยการสูงสุดมาก่อน  แต่ครบ15วันอัยการสูงสุดไม่มีคำตอบ  จึงใช้สิทธิยื่นต่อต่อศาลรธน...

ศาลรธน.วันที่ 22 ต.ค.ประชุมมีมติให้ส่งหนังสือไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วบ้างอย่างไร  และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด  โดยให้จัดส่งต่อศาลรธน.ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

นับนิ้วถอยหลัง  15 วันบวกระยะเวลาที่ศาลต้องมีเวลาพิจารณาข้อมูลต่างๆ...คาดว่าพุธที่ 27 พ.ย.บวกลบ7วัน  น่าจะเป็นหมุดหมายที่ศาลจะได้..ประชุมตัดสินว่าจะรับคดีล้มล้างฯภาค2  หรือไม่...ซึ่ง”เล็ก  เลียบด่วน” ได้เคยวิเคราะห์ไปบ้างแล้วว่า..โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้นก้ำกึ่ง  แต่เอียงๆไปในทาง ‘น่าจะรับ’...

บรรดากูรู  นักวิชาการ นักสังเกตการณ์ให้ความเห็นตรงกันว่าในบรรดา กระสุน6เม็ด..กรณีปมลับชั้น 14  ที่โยงใยไปถึงพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษให้1ปี  แต่อดีตนายกฯทักษิณสร้างปริศนาให้ตัวเองว่า..ติดคุกจริงหรือไม่!? คือประเด็นที่แหลมคมที่สุด.. 

ศาลรธน.รับไว้พิจารณาวันไหน..อดีตเทวดาชั้น 14 ก็คงร้อนๆหนาวๆ 

ไม่เพียงกรณีคำร้องของนายธีรยุทธ...อีกด้านหนึ่งนายกฯแพทองธาร  ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  ก็ถูกคำร้องร้องเรียนต่อกกต.,ปปช.อีกยุบยับ...นับนิ้วทุกกรณีแล้วมีมากถึง 21 คำร้อง  ทั้งเรื่องคุณสมบัตินายกฯ,การครอบงำพรรคและฯลฯ  ซึ่งไม่กี่วันก่อนเลขาธิการกกต.ออกมายอมรับแล้วว่า..คำร้องยุบพรรคเพื่อไทยบางคำร้องมีมูล...

ในส่วนของกกต.ก็ต้องใช้เวลาสอบสวนรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง 1-2 เดือน...
ใครที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามคำร้อง..หากกรณีคำร้องคดีล้มล้างฯศาลไม่รับไว้พิจารณา..ก็มีลุ้นคดียุบพรรคจากกกต.ที่อาจจะได้เห็นการยื่นคำร้องต่อศาลรธน.ต้นปีหน้า..

ในขณะเดียวกันหากศาลรธน.รับไว้พิจารณาทั้งกรณีคดีล้มล้างฯและคำร้องของกกต. กว่าจะมีคำตัดสินวินิจฉัยก็ต้องใช้เวลาอีกปีเศษเป็นอย่างน้อย.. 

ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งไม่ไปเดินเหยียบเปลือกกล้วยล้มหัวคะมำเป็นอัมพฤกษ์อำมพาตไปเสียก่อน  ก็มีช่วงเวลาให้บริหารประเทศไปอีกนานพอประมาณ

แม้จะมีกระแสข่าวลือลอยมาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวว่า...ถ้าต้นปีกลางปีหน้า 2568 ถ้าจนมุมจริงๆ นายกฯอิ๊งค์อาจจะทิ้งไพ่ใบใหญ่..ยุบสภา ล้างไพ่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย.. 

ซึ่ง ‘เล็ก  เลียบด่วน’ พินิจแล้วเห็นว่าถ้าจะเกิดก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น...

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลื้ม!! ‘นักธุรกิจ - นักลงทุน’ ทั่วโลก เชื่อมั่น ‘ประเทศไทย’ เผย!! ยอดคำขอรับ การส่งเสริมการลงทุน สูงสุดในรอบ 10 ปี

(23 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงาน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุนเป็นจำนวนมากและได้กำชับให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยเร่งดำเนินนโยบายและแนวทางอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มปริมาณการเข้าลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า บีโอไอ ได้รายงานว่ามีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวนมากถึง 2,195 โครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าเงินลงทุนมีมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 42 ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 5 แสนล้าน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้และการขอรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นอันดับ 1 มีมูลค่า กว่า1.8 แสน กลุ่มดิจิทัล มูลค่า 9 หมื่นกว่าล้านบาท อันดับ3 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าประมาณ6.7 หมื่นล้านบาท กลุ่มเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท และ อันดับ5 เป็น กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีมูลค่าประมาณ3.4 ล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวมกว่า 5.4แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ประมาณ1.8แสนล้านบาท จีน 1.1แสนล้านบาท ฮ่องกง 6.8หมื่นล้านบาท ไต้หวัน 4.4หมื่นล้านบาท และญี่ปุ่น 3.5หมื่นล้านบาท และพบว่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา 4.08 แสนล้านบาท ภาคกลาง 2.2 แสนล้านบาท ภาคเหนือ 3.5 หมื่นล้านบาท ภาคใต้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภาคอีสาน2.3หมื่นล้านบาท และภาคตะวันตก 8.8 พันล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า ส่วนการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยสนับสนุน ‘ผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัว’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้นั้น มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 2.7 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการออกบัตรส่งเสริมในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุน 6.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า100% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทั้งนี้ การออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
“ตัวเลขการลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเดินหน้าเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุน เพื่อรองรับกับสถานการณ์การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

ต่างชาติ แห่ส่งลูกเรียน!! ‘โรงเรียนนานาชาติในไทย’ มากขึ้น ดันมูลค่าตลาดใกล้แตะแสนล้าน ชี้!! มีมาตรฐาน - ค่าเทอมไม่สูง

(23 ต.ค. 67) นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ โอเชี่ยน กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจของไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยว่า ภายในเดือนสิงหาคม 2568 โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ บนถนนวิภาวดีรังสิต เป็นแคมปัสใหม่ ซึ่งบริษัทใช้เงินลงทุนไป 1,000 ล้านบาท จะเปิดสอนอย่างเป็นทางการ ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงเกรด 13 โดย 80-90% เป็นนักเรียนไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีเนื้อที่ 10 ไร่ เป็นอาคารสูง 6-7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร

อยู่ด้านหลังโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์เดิม เนื่องจากพื้นที่เดิมไม่สามารถขยายได้อีก และเต็มความจุ 400-500 คน รวมถึงเปิดสอนมา 20-30 ปีแล้ว ส่วนพื้นที่ใหม่จะรองรับได้สูงสุด 1,200-1,400 คน ส่วนค่าเทอมอยู่ที่ 600,000 บาทต่อปี ในอนาคตมีแผนจะนำโรงเรียนเดิมอยู่ด้านหน้าทุบและนำที่ดินพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและสำนักงาน รองรับผู้ปกครองนักเรียน

โดยมองว่าต่อไปอาจจะมีต่างชาติเข้ามาเรียน หลังเห็นสัญญาณชาวต่างชาติส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยมากขึ้น ในย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่หรือภูเก็ต โดยเฉพาะชาวจีน ที่มาซื้อบ้านหรูอยู่ใกล้โรงเรียน และระยะหลังก็เริ่มมีชาวเมียนมาเข้ามามากขึ้น ซึ่งต่างชาติมองว่าโรงเรียนนานาชาติในไทยนั้นได้มาตรการฐานและค่าเทอมก็ไม่สูงมาก เขาสามารถจ่ายได้ปีละ 1 ล้านบาท

ขณะที่คนไทยก็นิยมส่งลูกเรียน โรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนสองภาษา เพราะมองว่าถูกกว่าส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ ประกอบกับนักเรียนในระบบเริ่มลดลงด้วย จึงทำให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโตและเป็นธุรกิจขาขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีนี้ที่เกิดโควิด โตปีละ 10% หรือปีละ 10,000 ล้านบาท คาดอีก 3 ปี ข้างหน้ามูลค่าตลาดรวมน่าจะแตะ 100,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่กว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติเป็นกองทุนก็มีความสนใจจะซื้อกิจการโรงเรียนนานาชาติในไทย รวมถึงของเราด้วย แต่เราไม่ขาย นายณพงศ์กล่าว

นายณพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงเรียนนานาชาติ 3 แห่ง อยู่ที่กรุงเทพ 2 แห่ง และเขาใหญ่ 1 แห่ง โดยสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 800 ล้านบาท ปี ประกอบด้วย โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตันคอลเลจ ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ มีนักเรียน 700 คน ค่าเทอมประมาณ 6 แสนถึง 1 ล้านบาทต่อปี , โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ บนถนนวิภาวดีรังสิต มีนักเรียน 400-500 คน ค่าเทอมประมาณ 5-7 แสนบาทต่อปี และโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์เขาใหญ่ มีนักเรียนกว่า 100 คน ค่าเทอมประมาณ 5-7 แสนบาทต่อปี โดยนักเรียนทั้งหมดมีนักเรียนชาวไทยประมาณ 60% และต่างชาติประมาณ 40% และในนี้มีนักเรียนชาวจีน 10%

ขสมก. ลงโทษ!! พนง.จ่ายงาน ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับ ‘คนขับรถเมล์’ พร้อม!! อบรมใหญ่ ให้เป็น ‘หัวหน้าที่ดี’ รับฟังปัญหา ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’

(23 ต.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพที่แคปจากแชตที่คุยกับหัวหน้างาน ขอลางานกลับไปหาแม่ที่กำลังป่วยหนัก โดยบทสนทนาระบุว่า ผมกำลังกลับบ้านนะพี่ แม่ผมไม่ไหวแล้ว ถ้างั้นผมจะบอกพี่อีกทีนะ แม่ผมจะตาย พี่ให้ผมทำไง โดยหัวหน้างานตอบกลับมาว่า ทำไมหยุดงานมั่วซั่วงี้ ไม่แจ้งล่วงหน้ากลับเชิญพบหัวหน้า ไม่ใช่มาแจ้งตอนเขาปิดงาน อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่าผู้โพสต์เป็นพนักงานขนรถโดยสารของขนส่งมวลชนแห่งหนึ่ง และมารดาเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา

ล่าสุด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ออกแถลงการณ์ ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เรื่อง การดำเนินการพนักงานจ่ายงาน กรณีใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับพนักงานขับรถโดยสาร เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมระบุบทลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือน พร้อมอบรมเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างานที่ดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แถลงการณ์ระบุว่า เนื่องจากสื่อโซเชียลได้มีการเผยแพร่ข่าว กรณี พนักงานจ่ายงาน ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับ พนักงานขับรถโดยสาร ที่ส่งข้อความขออนุญาตลางานอย่างกะทันหัน ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมมารดาที่ป่วยและมีอาการทรุดหนัก ซึ่งอยู่ระหว่างรักษาตัวในห้องไอซียู ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ซึ่งต่อมามารดาของพนักงานได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอแสดงความเสียใจกับพนักงานขับรถโดยสารคนดังกล่าว และขอชี้แจงให้ทราบว่า จากการสอบข้อเท็จจริง พนักงานจ่ายงานคนก่อเหตุให้การยอมรับว่าได้ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับพนักงานขับรถโดยสารจริง เนื่องจากอ่านข้อความไม่ครบถ้วน และเสียใจกับการกระทำของตนเอง โดยให้สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ขสมก.ได้ลงโทษพนักงานจ่ายงาน ด้วยการว่ากล่าวตักเตือน พร้อมทั้งอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างานที่ดี รับฟังและช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีความสุข นำไปสู่การให้บริการที่ดีแก่ประชาชน

‘หนุ่มวิชาการจีน’ อ้าง จบ 2 อภิมหาบัณฑิต 4 ป. เอก 4 ป. โท ชาวเน็ตสวมวิญญาณโคนัน ตามสืบ!! ‘ปริญญาจริงหรือจกตา’

(23 ต.ค. 67) จ้าว จือเจี้ยน นักวิชาการจีนป้ายแดง วัย 29 ปี ได้ปลุกสัญชาตญาณโคนันของชาวเน็ตจีนทั่วประเทศไปแล้ว เมื่อประวัติการศึกษาของเขาถูกเผยแพร่หลังจากได้รับตำแหน่งนักวิจัยของสถาบัน Inner Mongolian National Culture and Art Research Institute ที่เต็มไปด้วยวุฒิการศึกษามากมายเหลือเชื่อ อันประกอบด้วย งานวิจัยหลังปริญญาเอก 2 ใบ, ปริญญาเอก 4 ใบ, ปริญญาโท 4 ใบ และเป็นสมาชิกองค์กรทางวิชาการอีกมากกว่า 20 แห่ง 

นอกจากจะเป็นนักวิชาการมากปริญญาแล้ว ยังมาจากหลากหลายสาขาวิชาอีกด้วย โดย จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่า เขาได้รับปริญญาเอกในสาขา ศิลปะการแสดง, จิตวิทยา, การศึกษา และ พระคัมภีร์ศึกษา อีกทั้งยังระบุถึงสถาบันที่จบมาด้วยว่า ได้ปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยคาทอลิคแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ และ Lyceum of the Philippines University ที่เป็นสถาบันเอกชน

นอกจากนี้ เขายังจบปริญญาโทจากหลายสถาบัน ในสาขาการสื่อสาร, พุทธศาสนา, จิตและสมาธิศึกษา จาก University of Hong Kong, Baptist University และ University of Zaragoza,  Miguel de Cervantes European University ในสเปน

ไม่เพียงแค่ใบปริญญาในปริมาณน่าสะพรึงเท่านั้น เขายังเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรวิชาการถึง 22 แห่ง ในสาขาต่างแขนง ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ ยันแพทยศาสตร์ และยังเคยตีพิมพ์บทความทางวิชาการระดับสูงอีก 24 ชิ้น ที่ได้รับคะแนนความถี่ในการอ้างอิงระดับ 28+ 

แต่ถึงจะมีหลักฐานอ้างอิง แต่ประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน ก็เต็มไปด้วยคำถาม เพราะการจบวุฒิปริญญาเอกสักใบ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอย่างหนักไม่ต่ำกว่า 4 ปี ไม่น่าเชื่อที่นักวิชาการหนุ่มวัยเพียง 29 ปี จะเรียนได้หมดครบทุกปริญญาที่อ้างมา

เมื่อประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน กลายเป็นประเด็นถกเถียง ทางสถาบันต้นสังกัดที่รับเขาเข้าทำงานจึงต้องระงับการจ้างเพื่อตรวจสอบ

โดยเมื่อ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา หยิน ฟู่จุน หัวหน้าของสถาบันกว่าผ่านสื่อ China Newsweek ว่า จึงตอนนี้ยังไม่พบ ‘การปลอมแปลงที่ชัดเจน’ ของใบปริญญาโททั้ง 4 ใบของจ้าว จากการตรวจสอบของหน่วยงานบริการด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนของจีน (CSCSE) จึงเชื่อได้ว่าปริญญาโททั้ง 4 ใบ เป็นของจริง 

ส่วนวุฒิปริญญาเอก 1 ใบก็ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และยังรอผลการตรวจอีก 1 ใบ ส่วนปริญญาเอกใบอื่นๆที่เหลือ จ้าว จือเจี้ยน ไม่ประสงค์ยื่นตรวจสอบ แต่ทั้งนี้ หยิน ฟู่จุน หัวหน้าสถาบันระบุว่า จ้าว ผ่านขั้นตอนการประเมินของสถาบันในตำแหน่งนักวิชาการเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกเสียใจที่เกิดดรามาในประวัติการศึกษาของเขา

แต่นักวิจารณ์ชาวเน็ตยังไม่จบง่ายๆ และได้โต้แย้งในประเด็นเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของวุฒิการศึกษาของเขา เนื่องจากใบปริญญาบางส่วนของเขาได้รับจากหลักสูตรออนไลน์ และ มหาวิทยาลัย อย่าง Miguel de Cervantes European ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อสถาบันที่ใช้ตรวจสอบด้วยซ้ำ (ซึ่งในบ้านเราจะเรียกว่า สถาบันที่ กพ. ไม่รับรอง)

มิหนำซ้ำ CSCSE เพิ่งจะระบุเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า สถาบัน Lyceum of the Philippines University วิทยาเขตบันทังกัส ที่จ้าวจบมา เป็นหนึ่งใน 13 สถาบันต่างประเทศที่อยู่ในระดับล่าง ที่จำเป็นต้องตรวจสอบวุฒิการศึกษาอย่างเข้มงวด 

ส่วนองค์กรวิชาการ 22 แห่งที่จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่าเป็นสมาชิก หลายแห่งเป็นสมาคมสาธารณะ หรือไม่ก็ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา ที่แค่จ่ายเงินค่าสมาชิกก็เข้าร่วมได้

และตอนนี้ รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มข้น ในการปราบปรามนักวิชาการหลายคนที่พยายามหาทางลัดในการเพิ่มวุฒิการศึกษาเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตน 

โดยเมื่อปี 2022 อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานถูกไล่ออก หลังพบว่าสถาบันได้ใช้เงินกว่า 18 ล้านหยวน ส่งบุคลากร 23 คนไปเรียนหลักสูตรปริญญาเอกฉบับเร่งรัด การันตีจบได้ภายใน 28 เดือนที่มหาวิทยาลัยอดัมสันในฟิลิปปินส์

ด้วยเหตุนี้ ทำให้อาจารย์ และนักวิชาการหน้าใหม่ที่โชว์ปริญญาเวอร์วัง หรือมีประวัติการศึกษาน่าเหลือเชื่อ ชวนสงสัย จึงกลายเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดานักสืบโซเชียลจีน ไม่ว่าจะมีกี่สิบปริญญาขุดหมด ถ้าไม่สลด ขุดต่อ 

ด้วยพระปรีชา ของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 5’ ทำให้ ‘ไทย’ ได้เป็น ‘ไท’ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น

(23 ต.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ได้โพสต์ข้อความสุดซึ้ง เกี่ยวกับประโยค ‘สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ’ โดยมีใจความว่า …

เวลาผมเขียนประโยคที่ว่า ‘สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ’ นั้น 

ก็ขอเรียนตรงๆว่า ไม่เคยสักครั้งที่เขียนไปแค่ตามวาระ หรือตามมารยาทอะไรใดๆ

แต่ก็จะมีที่มาที่ไปให้สามารถกล่าวได้เต็มปากทุกๆครั้งว่าทำไมที่ระลึกถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ไหน ก็จะสามารถกล่าวได้เต็มปาก เขียนได้เต็มคำเช่นนั้น
อย่างวันปิยมหาราชนี้นั้น หากเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ใดๆเลย เกิดจะสงสัยว่ามีความสำคัญอะไรใดๆนั้น

ในรัชสมัยของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ห้า’ นั้น ประเทศเรามีการพัฒนามากมายในทุกๆรูปแบบ มีความเจริญก้าวหน้าทันยุคทันสมัย และที่สำคัญที่สุดสำหรับคนไทยคนหนึ่งอย่างผม

ก็คือ เปิดแผนที่โลกแผ่นนี้เมื่อไหร่ ก็สามารถชี้ใครต่อใครทั่วโลกให้เห็น ขวานทองด้ามเล็กๆ ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

เพราะสีทองๆส้มๆดังกล่าวนั้น แสดงถึงความหมายถึงความเป็นไท แสดงถึงเอกราชที่ไม่ต้องขึ้นกับใคร และไม่ว่ามหาอำนาจจากสหภาพยุโรปจะแผ่อำนาจเข้ายึดครองเกือบทุกอาณาจักรทั่วโลกอย่างไร

ก็มีเพียงญี่ปุ่น เกาหลี (ที่เป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น) ไลบีเรีย (ที่เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯ) และสยามประเทศ เท่านั้น

ที่รอดพ้นการยึดครองในยุคแห่งการล่าเมืองขึ้นของมหาอำนาจจากยุโรปมาได้ตลอดรอดฝั่ง

ซึ่งถ้าไม่รู้จักสำนึกอะไรใดๆ ในพระปรีชาสามารถความอดทนอดกลั้น และความพากเพียร จนสังคมประเทศชาติรอดพ้นภัยอันตรายระดับนั้นมาได้ ของพระองค์ท่านแล้ว

ก็นึกไม่ออกจริงๆว่าชีวิตนี้จะรู้จักสำนึกบุญคุณอะไรของใครได้อีก

ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
23 ตุลาคม พุทธศักราช 2567

‘ทีทีเอเอ’ เผย ‘ไทยเที่ยวนอก’ โตแผ่ว เหตุ!! เศรษฐกิจเงินฝืด สะเทือนกำลังซื้อ

(23 ต.ค. 67) นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) เล่าว่า แม้ภาพรวมตลาดคนไทย ‘เที่ยวต่างประเทศ’ ในเดือน ต.ค. จะมีจำนวนมากกว่าเดิม เนื่องจากตรงกับช่วงปิดภาคเรียน ผู้ปกครองนิยมพาบุตรหลานไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อพักผ่อนและรับประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าหากมองแนวโน้มช่วง ‘ไฮซีซัน’ นับจากนี้ไปจนถึงต้นปี 2568 อาจจะมีจำนวนไม่มากนัก! เพราะยังมี ‘ปัจจัยกดดัน’ จากภาวะเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย กลุ่มที่ออกเดินทางตอนนี้คือกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายสูง

สมาคมฯ ประเมินว่าตลาดไทยเที่ยวนอกปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5-7% เทียบกับปีที่แล้ว แม้จะมีมาตรการวีซ่าฟรีในหลายประเทศ หนุนการเดินทางระหว่างกันง่ายขึ้น ทำให้การเติบโตเป็นไปตามคาด แต่จากการประชุมร่วมกับการท่องเที่ยวของจีน พบว่ายอดคนไทยไปจีนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้มาก

หากประเมินภาพรวม 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) จะเห็นเทรนด์การเดินทางช่วงต้นปีดีมาก แต่พอเข้ากลางปีตัวเลขกลับไม่ได้ดีขนาดนั้น มีปัจจัยกระทบทั้งภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แม้ ‘เงินบาทแข็งค่า’ จะเอื้อต่อการจับจ่ายในต่างประเทศของคนไทยก็ตาม ก่อนที่สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นในเดือน ต.ค. เนื่องจากนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่จองสินค้าและบริการล่วงหน้าไปแล้ว

จากภาพที่เห็นคนไทยในสนามบินหนาแน่น โดยเฉพาะส่วนขาออกไปเที่ยวต่างประเทศ ตรงนี้มองว่าเป็นเพราะสนามบินหลักๆ ในไทยไม่ได้ใหญ่มากขนาดนั้น พื้นที่มีจำกัด และการบินในเส้นทางเดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้โดยสารที่ไปสนามบินเวลาชนกัน สะท้อนเป็นภาพความหนาแน่นออกมา

สำหรับตลอดปี 2567 คาดว่าจะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศราว 10 ล้านคน ยังไม่สามารถกลับไปเท่าจุดเดิมเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศราว 12-13 ล้านคนได้ การกลับไปถึงจำนวนดังกล่าวยังต้องใช้เวลา เพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนมาเป็นตัวฉุดรั้ง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว เงินเฟ้อ สงครามในตะวันออกกลาง สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นต่อการออกเดินทาง

ส่วนปัจจัยเงินบาทแข็งค่าไม่ได้สนับสนุนการเดินทางมากนัก เพราะค่าใช้จ่ายในการออกไปเที่ยวต่างประเทศก็ปรับขึ้นด้วย ต้นทุนการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหมด ทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่ารถ เฉลี่ยต้นทุนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-15%

“ในญี่ปุ่นที่เงินเยนอ่อนค่าลง แต่ยอดคนไทยก็เพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก เพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวสูงขึ้นกว่าเดิมเฉลี่ย 15-20% ทำให้การเติบโตของตลาดไทยเที่ยวนอกไม่ได้หวือหวา มีปัจจัยรบกวน ทำให้คนเดินทางไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าที่ควร” นายกทีทีเอเอกล่าว

ด้านรายงานข่าวจาก ‘องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น’ (JNTO) ระบุว่า สถิติ ‘นักท่องเที่ยวไทย’ เดินทางเข้า ‘ญี่ปุ่น’ ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2567 มีจำนวนสะสม 752,000 คน เพิ่มขึ้น 19.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าติดลบ 13.4% หรือคิดเป็นการฟื้นตัว 86.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

นักท่องเที่ยวไทยยังคงรั้งอันดับ 6 ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นสูงสุด จากจำนวนสะสมรวม 26,880,200 คนในช่วง 9 เดือนแรก ซึ่งเติบโต 54.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเติบโต 10.1% แซงช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยอันดับ 1 เกาหลีใต้ มีจำนวน 6,468,600 คน ส่วนอันดับ 2 จีน 5,247,500 คน อันดับ 3 ไต้หวัน 4,585,800 คน อันดับ 4 ฮ่องกง 1,972,000 คน และอันดับ 5 สหรัฐ 1,960,100 คน

‘หนูนา ศิลปอาชา’ โพสต์เฟซ!! เป็นห่วง ‘พลายประกายแก้ว’ ชี้!! กฎหมายระบุชัด ช้างลากซุง ต้องมีอายุระหว่าง 25 - 50 ปี

(23 ต.ค. 67) นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา หรือ ‘หนูนา’ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเดินหน้าอนุรักษ์ช้างไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ...

ภารกิจต่อไปที่เราแม่ๆพ่อๆต้องส่งใจช่วยคือ…การพาน้องขุนเดชสู่คชบาลค่ะ…
เข้าใจว่าทาง ผอ. และคุณหมอคงวางแผนกันไว้แล้วถึงขั้นตอนและกำหนดการ…

และสำหรับแม่ๆที่ห่วงใยพลายประกายแก้ว..ช้างอายุ 16 ที่ถูกขาย..จากช้างงานแห่สุรินทร์..ไปเป็นช้างลากซุงที่ควนกาหลง สตูล …
ซึ่งผิดกฎหมาย…

ดิฉันบอกเสมอถึงบทบัญญัติกฎหมายว่าช้างที่จะถูกใช้ลากซุง ต้องอายุระหว่าง 25-50 ปีเท่านั้น..
ดิฉันตามตลอดนะคะ… 3 รอบแล้วที่ปศุสัตว์เข้าไปดูให้…

และเจ้าของให้คำมั่นว่า..ไม่ได้ใช้น้องลากซุงแล้ว.. ถ้าพบว่าใช้จะยินดีรับโทษตามกฎหมาย…
แต่ดิฉันก็ไม่ได้นอนใจ..ซึ่งทางปศุสัตว์จะช่วยดิฉันตามให้ตลอดค่ะ…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top