Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

ตั้งเป้า 2 ปี ดันประเทศไทยติด 1 ใน 10 “ดูอิ้ง บิสเนส”

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับทุกส่วนราชการเพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (ดูอิ้ง บิสเนส) โดยได้ตั้งเป้าหมายการทำงานภายในปี 65 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องติด 1 ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่ได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการจัดตั้งธุรกิจตามการจัดอันดับของธนาคารโลกให้ได้ จากปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 21 จากการจัดอันดับประเทศสมาชิกของธนาคารโลก ทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก  

“ได้สั่งการในเรื่องของการเชื่อมโยงระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ ในส่วนที่เป็นเนชั่นแนล ซิงเกิล วินโดว์ ที่ได้วางระบบไว้แล้วของทุกส่วนให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้จริงภายในเดือน กันยายนนี้ เพื่อให้ขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง มีความรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เช่นระบบศุลกากร ที่จะต้องขับเคลื่อน โดยจากการรับทราบข้อมูลก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง จึงได้มีการเร่งรัดงานทุกด้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ด้วย”

สำหรับการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เป็นการปฏิรูปการทำงานในเรื่องของการทำธุรกิจในประเทศไทย แบ่งเป็น 11 ด้าน คือ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการขอใช้ไฟฟ้ายกเลิกการเรียกเก็บหลักประกันการใช้ไฟฟ้าจากผู้ขอใช้ไฟฟ้ารายใหม่ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงโดยเพิ่มช่องทางการเข้าซื้อทรัพย์ของกรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย และด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หรือ KMITL ผนึกต่างชาติ เปิดตัว ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันโปรแกรมเมอร์แห่งแรกของไทย และแห่งที่ 3 ของเอเชีย ใต้แนวคิดเก๋ ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันนโยบาย ‘ส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์’ (Coding) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยนวัตกรรม (Digital Disruption) ที่มุ่งปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานยุคดิจิทัลได้เต็มศักยภาพ สู่การมีทักษะสำคัญอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล คิดเชิงคณิตศาสตร์ และการแก้ไขปัญหาอย่างมีหลักการ 
.
โดย สจล. ถือเป็นต้นสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตของไทย ที่มีหัวคิดทันสมัยและปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ภายใต้ความร่วมมือของ ‘เอกอล 42’ (Ecole42) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับโลก เพื่อพัฒนาคนคุณภาพด้านโปรแกรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล อันสอดรับกับนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 
.
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของการมี ‘ซุปเปอร์โปรแกรมเมอร์’ เนื่องจากอาชีพดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์อาชีพที่เป็นที่ต้องการจากทุกองค์กรทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล 
.
ดังนั้น การจัดตั้ง ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับหัวกะทิ แห่งแรกอาเซียน และที่ 3 ของเอเชีย ถือเป็นสนามปั้นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ ระดับซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) ภายใต้มาตรฐานการสอนเดียวกับสถาบันต้นกำเนิดจากกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ฉีกทุกกฎการเรียนรู้แบบไร้ข้อจำกัด ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’ นับเป็นจุดเปลี่ยนแรกของการศึกษาไทย ที่เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดโลกการทำงานระดับสากล ภายใต้เครือข่ายเอกอล 42 ทั่วโลก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรูปแบบการสอนเดิมเท่านั้น แต่สามารถก้าวสู่โลกการทำงานสายดิจิทัลได้อย่างมืออาชีพ ตอกย้ำการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง (Change Maker) ของ สจล. อย่างแท้จริง
.
ด้าน ผศ.ดร.ชัยยันต์ เจตนาเสน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ Executive Director of 42 Bangkok กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘42 บางกอก’ มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Project Based Learning ที่เน้นการเรียนรู้จริงปฏิบัติเป็น และแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ผ่านการฝึกคิดแก้โจทย์จริงจากภาคธุรกิจชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์-เทคโนโลยี แบบเป็นขั้นตอน ซึ่งจะไต่ระดับจากง่ายไปยากใน 21 ระดับ โดยการเรียนในระยะแรก ผู้เรียนจะต้องเรียนการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และเมื่อเลื่อนขั้นแล้ว ผู้เรียนจะสามารถเลือกทำโปรเจกตามความสนใจ ซึ่งในบางระดับต้องไปฝึกงานเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในสนามจริง
.
ทั้งนี้ เมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จในแต่ละระดับ จะมีคะแนนสะสมเพื่อขอเลื่อนขั้นในระดับต่อไปได้ จนกระทั่งจบการศึกษาภายในระยะเวลา 2-4 ปี เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริง โดยจะปูพื้นฐานด้วยภาษา C และ C++ พร้อมเพิ่มพูนทักษะด้วย Python Javascript เพื่อสร้างเว็บไซต์ หรือกระทั่งทำงานออกแบบเว็บไซต์ (Design) ให้มีฟังก์ชันที่รองรับการงานรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
“เพราะการเรียนที่ 42 บางกอก เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีอาจารย์สอน ไม่กำหนดเวลาเรียน ดังนั้น กระบวนการคัดเลือกผู้เรียนจึงมีการทดสอบแบบเข้มข้นใน 3 ด่านสำคัญ คือ ทดสอบออนไลน์ (Online Test) เพื่อวัดว่ามีตรรกะด้านการเขียนโปรแกรม ยืนยันสิทธิ์ (Check In) และ ด่านสุดท้าย ทำค่ายโปรเจก เวิร์คชอป (Piscine) การทำงานร่วมกันเป็นทีมแบบ 24/ 7 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่าการเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี ในคณะสายคอมพิวเตอร์ สำหรับในรอบนี้จะคัดเลือกในแต่ละกลุ่มเพียง 150 คน เพื่อเป็นนักศึกษาตัวจริงที่จะได้เรียนใน 42 บางกอก” ผศ.ดร.ชัยยันต์ กล่าว
.
สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเป็นบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ มีอายุอย่างน้อย 18 ปี ไม่ต้องมีวุฒิการศึกษาหรือเคยเรียนเขียนโปรแกรมมาก่อน ขณะเดียวกัน คนที่กำลังศึกษาด้านอื่นหรือทำงานอยู่ก็สามารถเรียนควบคู่ไปได้ และเมื่อเข้ามาเรียนได้ก็สามารถกำหนดรูปแบบการเรียนด้วยตนเองได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน 42 บางกอก อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนเข้าศึกษาต่อในเทอมแรก ซึ่งมีผู้สมัครจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 1,600 คน ครอบคลุม 81 ประเทศ โดยจะเริ่มเรียนในเดือน กรกฎาคม 2564 
.
ใครสนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ www.42bangkok.com หรือติดต่อ สำนักงานกิจการต่างประเทศ สจล. โทรศัพท์ 02-329-8140 เว็บไซต์ https://oia.kmitl.ac.th, www.kmitl.ac.th หรือ https://m.facebook.com/42Bangkok/
.
ที่มา: https://techsauce.co/news/kmitl-open-42-bangkok-thailand-first-programmer-institute?fbclid=IwAR0Iig2VvOpjYrLGfj5OKuolswfdisBuBGnkcU2apg_CFDDqdC-hLcnfSr0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ใบไม้แลกเงิน เชียงใหม่ผุดไอเดียขายใบไม้โลละ 2 บาท นำร่อง 34 หมู่บ้าน หวังช่วงลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น ทางศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปันหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ได้หาทางจัดการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการชิงเผา การบริหารจัดการเชื้อเพลิง การเฝ้าระวังและจัดเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟป่า แต่ในปีนี้ มีไฮไลท์สำคัญ เพราะนอกเหนือจากการเฝ้าระวังไฟป่าแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินได้จริ

ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้ดำเนินการนำร่องไปแล้วทั้งหมด 34 หมู่บ้าน ในอำเภอต่าง ๆ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใบไม้ที่นำมานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นใบไม้ที่มาจากพื้นที่ป่า แต่เป็นใบไม้ที่ถูกจัดเก็บมาจากพื้นที่การเกษตรก็ได้ เช่น สวนลำไย นาข้าวและอื่น ๆ เมื่อได้ใบไม้มาเป็นจำนวนมากตามที่ต้องการ ก็เข้าสู่กระบวนการอัดให้เป็นก้อน ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นก็นำไปจำหน่ายที่จุดรับซื้อ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บัญชาการฯ หมายเลขโทรศัพท์ 053-112808

สำหรับใบไม้ที่นำมาจำหน่ายจะมีมูลค่ากิโลกรัมละ 2 บาท โดยเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 - 24 มีนาคม 2564 ขณะนี้ได้ใบไม้อัดแท่งแล้วจำนวน 16.69 ตัน และมีความต้องการของบริษัทฯ ผู้รับซื้อสูงถึงจำนวน 50 ตัน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ที่หาได้ ซึ่งการรับซื้อใบไม้ดังกล่าว ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงนี้ และยังเป็นการลดเชื้อเพลิงที่จะถูกเผาในพื้นที่ป่า ลดเชื้อเพลิงจากพื้นที่การเกษตร และจากการเผาของชาวบ้านในแหล่งชุมชน ที่จะส่งผลทำให้เกิดมลพิษในอากาศ เมื่อสะสมจำนวนมากก็จะทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานด้วย

ทั้งนี้หากในอำเภออื่น ๆ นอกเหนือจาก 34 หมู่บ้าน ต้องการดำเนินการรับซื้อขายใบไม้ก็สามารถทำได้ โดยสามารถอัดให้เป็นก้อนและนำมาจำหน่ายได้เช่นกัน หรือหากใครไม่มีเครื่องอัดใบไม้ ก็ให้นำใบไม้ใส่ไว้ในกระสอบ ใส่ถุง หรือบรรทุกด้านหลังรถยนต์กระบะ แล้วเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ โดยปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ มีเครื่องอัดใบไม้ให้บริการจำนวน 2 เครื่อง และจะหมุนเวียนไปตามแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการกับพี่น้องประชาชน เมื่อบีบอัดใบไม้และมีการชั่งน้ำหนักที่จุดดังกล่าวแล้ว ก็จะได้รับเงินตามจำนวนใบไม้ที่นำมา

.

ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/local/462015?fbclid=IwAR2DDbOkrwDZev4V4lPkZfGRyYzC33AMRiLfU2EiKmJsr_UfvtZRFZyUveQ


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ศบศ. ไฟเขียวเปิดประเทศเร็วขึ้น นำร่องภูเก็ต จังหวัดแรก ให้เปิดรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 1 เม.ย.นี้ ระบุ ไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดช่วง 7 วันแรก คาดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยราว 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบศ.ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว และมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ

โดยจะเริ่มนำร่องตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ ที่จังหวัดภูเก็ตก่อน โดยไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดไว้ 7 วัน จากนั้นจึงเดินทางออกไปเที่ยวได้ทั่วประเทศ เบื้องต้นประเมินว่า จะทำมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยได้ประมาณ 1 แสนคน

ทั้งนี้ที่ประชุม ศบศ. ได้มอบหมายให้ ททท.ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจน เช่นเดียวกับแผนการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความแน่ใจให้กับประชาชนและบุคลากรในพื้นที่

รวมไปถึงการยกระดับภูเก็ตเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ จากนั้นจึงนำเสนอ ศบค. ชุดใหญ่เห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน ภายใน 1 เดือน จากนั้นจึงเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า "ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจากได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดมานานกว่า 1 ปี ซึ่งการเปิดประเทศได้เร็ว จะทำให้อย่างน้อยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ สทท. จะไปหารือกับสมาชิก เพื่อหาทางขับเคลื่อนการทำงานต่อไป"


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

รัฐบาลอังกฤษ นำโดยนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ได้ออกกฎใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ทั่วเกาะอังกฤษ ให้สถานที่ราชการทุกแห่งในอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ต้องเชิญธงชาติอังกฤษทุกวัน เพื่อปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในความเป็นชาวอังกฤษ

โดยปกติธงชาติอังกฤษจะมีการเชิญสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการเฉพาะช่วงวันสำคัญเท่านั้น อาทิ วันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระราชินีนาถอลิซเบธที่ 2 ซึ่งในแต่ละปีจะมีพิธีเชิญธงประมาณ 20 วัน

แต่หลังจากที่อังกฤษได้ Brexit ออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปโดยสมบูรณ์แล้ว จึงต้องการที่จะปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในชาติอังกฤษให้คืนกลับมา โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอให้เชิญธงชาติอังกฤษเป็นประจำทุกวันนับจากนี้ เพื่อให้ธง Union Jack เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ

ขณะเดียวกันหากบางสถานที่ราชการมีเสาเชิญธง 2 เสา ที่บางโอกาสต้องเชิญธงสัญลักษณ์มากกว่า 1 ผืน ก็ต้องให้ธงอังกฤษอยู่สูงกว่าธงชาติอื่นเสมอด้วย

สำหรับธง Union Jack ของอังกฤษ เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1606 ในสมัยพระเจ้าเจมส์ ที่ 1 ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถของไทย ที่ออกแบบโดยการรวมเอาธงชาติอังกฤษ, สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ ไว้ด้วยกัน และใช้เป็นธงชาติของสหราชอาณาจักรมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนเรื่องระเบียบพิธีการเชิญธงอังกฤษเคยมีการถกเถียงกันในสภาอังกฤษมาก่อนในช่วงปี 2008 โดยนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ แห่งพรรคแรงงาน ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งตัดสินใจกันเองว่าช่วงเวลาไหน วันไหน ที่จะเชิญธงชาติขึ้นที่หน้าสำนักงาน โดยไม่จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับ

แต่พอมาถึงสมัยของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน จากพรรคอนุรักษ์ ผู้เป็นแกนนำในการพาอังกฤษออกจากสมาชิกภาพ EU ได้สำเร็จ ต้องการดึงความรู้สึกรัก และความภาคภูมิใจในชาติผ่านสัญลักษณ์ธงชาติ ที่ควรมีการเชิญขึ้นสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการทุกแห่งเป็นประจำทุกวัน ทั้งอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ที่ยังมีประเด็นการเคลื่อนไหวเพื่อแยกประเทศออกจากสหราชอาณาจักร

แต่ระเบียบข้อบังคับนี้ ยังไม่ครอบคลุมถึงฝั่งไอร์แลนด์เหนือ ที่ยังคงให้สิทธิ์แก่รัฐบาลท้องถิ่นในการตัดสินใจเรื่องระเบียบการใช้ธงชาติเอง

อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทางผู้แทนฝ่ายพรรคชาติสก็อต หรือ SNP ที่แสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องกฏระเบียบการเชิญธงชาตินี้ อย่างเผ็ดร้อนว่า “รัฐบาลพรรคอนุรักษ์น่าจะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนมากกว่าจะมาวุ่นวายเรื่องการเชิญธงชาติ และต่อให้มีธง Union Jack ติดให้เห็นทุกเสาไฟฟ้า ก็ไม่ได้ช่วยให้กระแสการต้องการแยกประเทศของชาวสก็อตแลนด์ลดน้อยลงแต่อย่างใด และชาวเวลส์ก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน”

ถึงกระนั้นฟากรัฐบาลอังกฤษ ก็ยังคงมั่นใจในนโยบายเรื่องธงชาติ เพราะเชื่อว่าชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากโหยหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และธง Union Jack ก็มีประวัติศาสตร์อันยานนาน ผ่านร้อน ผ่านหนาวคู่กับชาวอังกฤษมาหลายยุคสมัย ที่ทำให้ชาวอังกฤษได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศ

ก็คงต้องมาดูว่าชาวอังกฤษส่วนใหญ่จะคิดเช่นเดียวกับรัฐบาลหรือไม่ เมื่อเห็นธงชาติโบกสะบัดไหว บนยอดเสาในทุกๆ วันนับจากนี้

.

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/uk-politics-56514501

https://www.theguardian.com/politics/2021/mar/24/government-buildings-to-fly-union-jack-every-day-under-new-rules

https://www.euronews.com/2021/03/24/union-jack-flag-must-be-flown-on-all-government-buildings-uk-decrees


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ผู้ปกครองแห่แจ้งความเอาผิดผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ภายหลังชักปืนข่มขู่จ่อหัวนักเรียน ขณะที่เจ้าตัวอ้างไม่ใช่ปืนจริงเป็นแค่ปืนยิงนก

ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี รวมตัวกันกว่า 20 คน เดินทางเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ภายหลังมีนักเรียนชั้น ป.4 และ ป.5 รวม 4 คน ระบุว่าถูกผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัว ขณะนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

การเจรจาครั้งนี้มี นายสันทัศน์ รันดาเว นายอำเภอหนองโดน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองโดน เป็นคนกลางเข้าเจรจา ระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนและกลุ่มผู้ปกครอง

แต่ก็ยังไม่ได้รับการชี้แจงจากทางผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด ทำให้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ปกครองของนักเรียน 3 คนที่ถูกกระทำ จึงชักชวนกันไปแจ้งความที่ สภ.หนองโดน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกเหนือจากร้องเรียนเอาผิดทางวินัย

จากการสอบถามนักเรียนที่ถูกกระทำดังกล่าว ต่างก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด หรือมีความขัดแย้งกับผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด และไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัวในครั้งนี้

ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดของโรงเรียนที่เกิดเหตุ คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรีเขต 1 ได้ มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนรายนี้ย้ายออกจากพื้นที่แล้ว โดยให้ไปทำหน้าที่ที่สำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรี มีผลตั้งแต่วันนี้หรือวันที่ 25 มีนาคม เป็นต้นไป จนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น

.

ที่มา: https://www.bugaboo.tv/news/548391?fbclid=IwAR1cGIbI0-SIKz6FISghs3B6SemTNQPS268Mw-XvcF42993bsX5K_D3bzX0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

กลาโหม ย้ำ ตรวจเลือก “ทหารเกณฑ์” เน้นทัศนคติที่ดี ต่อสถาบันชาติ - ศาสนา - พระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุมสภากลาโหม โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งในที่ประชุมได้กำชับเรื่องการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการ 2564 ในเดือนเมษายน ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ กําหนดการตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร ให้เป็นไปด้วย ความเรียบร้อย โดยพิจารณาทั้งในด้านสถานที่ จํานวน ทหารกองเกินที่เข้ารับการตรวจเลือก และห้วงเวลาในการ ดําเนินการที่เหมาะสม รวมทั้งเรื่องทัศนคติของผู้สมัครที่ต่อสถาบันหลักของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

พร้อมให้คํานึงถึงมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กระบวนการตรวจเลือก จะต้องยังคงไว้ ซึ่งความยุติธรรมและโปร่งใส เพื่อคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เข้ามาเป็นทหารกอง
 

กลาโหม ย้ำ ไม่ปิดกั้น ทหารแสดงความเห็นการเมือง วอนใช้ดุลพินิจ และคำนึงหน้าที่ของทหาร

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม  กล่าวถึงกรณีถึงนายทหารยศ "ร้อยโท" สังกัดสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก เข้าไปแสดงความคิดเห็นคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก สนับสนุนการกระทำของ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ที่ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ว่า เราไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดของทหาร แต่การแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียหรือสังคมให้ใช้ดุลพินิจเนื่องจากเป็นข้าราชการ การโพสต์ข้อความอะไรลงไปขอให้ใช้ดุลพินิจ ไม่กระทำการเป็นลบกับองค์กรหรือการเป็นข้าราชการที่ดีที่เราได้พยายามเน้นย้ำและการรับรู้รับทราบข้อมูลของใช้ดุลพินิจ เนื่องจากบางครั้งได้ข้อมูลมาไม่ถูกต้องและนำไปส่งต่อในส่วนของรัฐเองที่มีหน้าที่ในการดูแลป้องกัน ขณะที่ทหารดูแลด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ทหารก็ต้องทำหน้าที่ของทหาร

เสื้อคลุมดาบพิฆาตอสูร ถูกแบน! ใส่ไปโรงเรียนถึงขนาดโดนยึด!? | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

ดราม่าเสื้อคลุมดาบพิฆาตอสูร เมื่อเสื้อคลุมไม่เกี่ยวกับการเรียนแล้วทำไม โรงเรียนถึงต้องยึด?

.

.


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นายกฯ หวั่น สถานการณ์ 'เมียนมา'รุนแรง สั่งเกาะติด-ประเมินสถานการณ์ และเตรียมแผนรองรับ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุมสภากลาโหม โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งเน้นย้ำเรื่องการดูแลพื้นที่ชายแดน โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและ เหล่าทัพ บูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ฝ่ายปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างประสานต่อเพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายควบคู่ไปกับการบำรุงความต่อเนื่องการสนับสนุนการตรวจคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้ามาในประเทศต่างๆทางน้ำทางอากาศและให้ประเมินสถานการณ์ด้านชายแดนไทยเมียนมาอย่างใกล้ชิดและให้ทุกหน่วยเตรียมแผนการรับรองผู้ที่จะได้รับผลกระทบซึ่งอาจจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top