Sunday, 27 April 2025
Hard News Team

สรุปมาให้แล้ว! 6 ข้อเด่น ‘โมเดลจีน’ ชนะโควิด

6 ข้อเด่น ‘โมเดลจีน’ ชนะโควิด : ตัดสินใจเร็ว ใช้ยาแรง รวมใจด้วยศรัทธา ใช้ประโยชน์ Data ไร้วิวาทะนักการเมือง สื่อสร้างพลังบวก


ที่มา: รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศจีน

ลุงป้อม "อนุรักษ์ มรดกชาติไว้ให้ลูกหลานไทย" ประชุมคกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์/เมืองเก่า เห็นชอบ "พัฒนาตึกโดม ท่าพระจันทร์-อนุรักษ์เมืองเก่าปัตตานี" อนุมัติยกเว้นภาษี ที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างแหล่งมรดกฯ สร้างแรงจูงใจ

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่ 2/2564  โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ณ  ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ มติ ครม.เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์พัฒนา เมืองเก่าอุทัยธานี, เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา เมื่อ 27 เม.ย. 64 โดยให้ ทส., มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการทำงานร่วมกัน พร้อมสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดเขตพื้นที่เมืองเก่า อย่างทั่วถึง จากนั้นที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบเรื่องสำคัญ ได้แก่โครงการพัฒนา ตึกโดม มธ. ท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมอาคารมีสภาพทรุดเอียง และทรุดโทรม สมควรบูรณะให้กลับมามีความสง่างาม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญของบ้านเมือง 

พร้อมทั้งให้สามารถใช้ประโยชน์สาธารณะ ได้อย่างกว้างขวาง และเห็นชอบแผนแม่บท และผังแม่บทการอนุรักษ์ และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าปัตตานี โดยมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ "เมืองเก่าปัตตานี ศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณคดีและวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม ที่สำคัญของภาคใต้" รวมทั้งได้เห็นชอบ ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับเจ้าของอาคารและที่ดิน ซึ่งเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจ และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับเจ้าของที่ดินและอาคาร ในพื้นที่เขตเมืองเก่า และกรุงรัตนโกสินทร์

พล.อ.ประวิตร ยังได้เน้นย้ำให้ ทส. มท. กทม. กรมศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว และนำไปสู่การปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรม มุ่งให้กรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ได้สืบสานมรดกทางศิลปะ และวัฒนธรรม อันทรงคุณค่า เพื่อให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ และเก็บไว้ให้ลูกหลานไทยสืบไป

กรมราชทัณฑ์ แจงผลตรวจโควิด ‘รุ้ง’ และผู้ต้องขังอื่นที่ร่วมแดนไม่มีใครเจอเชื้อ แต่ยอมรับพบการระบาดอยู่อีกแดน เร่งส่งผู้ป่วยรับการรักษาแล้ว

จากกรณี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “บิดาและมารดาติดเชื้อโควิด-19 จากตนที่ได้รับเชื้อมาจากในเรือนจำ โดยระบุว่า ผู้ต้องขังและนักโทษไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากน้อยเพียงใดในเรือนจำ” 

ล่าสุด รายงานข่าวจากกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงว่า มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จริงในหลายเรือนจำ แต่กรมราชทัณฑ์ยังคงดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีของ น.ส.ปนัสยา กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้

กรมราชทัณฑ์ ได้รับตัว น.ส.ปนัสยา เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 64 โดยควบคุมภายในห้องกักโรคของแดนแรกรับ และได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการ SWAB ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผลไม่พบการติดเชื้อ และทำการตรวจหาเชื้อครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ผลไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน ต่อมา วันที่ 26 เม.ย. ได้อนุญาตให้ น.ส.ปนัสยา ลงจากห้องกักโรค (บนอาคารเรือนนอน) ลงมาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอื่นภายในแดนแรกรับ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 6 พ.ค.

ทั้งนี้ ทัณฑสถานหญิงกลาง แบ่งการควบคุมเป็น 2 แดน คือ แดนแรกรับ ซึ่งเป็นแดนที่ น.ส.ปนัสยา ถูกควบคุมตัวอยู่มีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 คน ได้ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ภายหลังจาก น.ส.ปนัสยา ปล่อยตัวไป ไม่พบผู้ต้องขังแดนนี้ติดเชื้อ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ต้องขังที่นอนห้องเดียวกันและใช้ชีวิตใกล้ชิดกับ น.ส.ปนัสยา ตั้งแต่พ้นจากห้องกักโรค จำนวน 4 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน

สำหรับอีกแดนหนึ่ง คือ แดนผู้ต้องขังเด็ดขาดที่เกิดการระบาดของโรค ซึ่งมีผู้ต้องขังประมาณ 2,900 คน ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100 เปอร์เซ็นต์ พบผู้ต้องขังติดเชื้ออยู่ในแดนนี้ จำนวน 1,039 คน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และได้ย้ายผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น จึงขอสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่า กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้มีนโยบายหรือสั่งการให้ปิดบังข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้มีหนังสือกำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9640000047088?fbclid=IwAR1ILYC8wAHUbpLACpL7AJp16CVi2Ci_uuGuihdKUWCFoWhv8fGXza4j1xM
 

สมอ. เตรียมเชือดผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ หลังพบโพสต์จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟไม่มี มอก. บนแอปพลิเคชัน ช้อปปิ้งออนไลน์ ‘Shopee’ เร่งตรวจสอบขยายผล หากพบผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายเป็นวงกว้าง ประชาชนจึงหันมาสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางและลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโควิด-19

สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน จึงดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเฝ้าระวังผ่านระบบ National Single Window หรือ NSW  อย่างใกล้ชิด ตลอดจนเปิดรับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐานผ่านทางออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งพบว่ามีข้อร้องเรียนจากการซื้อสินค้าออนไลน์เป็นจำนวนมาก 

ล่าสุด สมอ. ได้รับข้อร้องเรียนผ่านทางเฟซบุ๊ค https://th-th.facebook.com/tisiofficial/ ว่า บนแอปพลิเคชัน Shopee มีการจำหน่ายเครื่องหรี่ไฟ (Dimmer) รุ่น Suntec STD-1600 โดยไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. ซึ่งสินค้าดังกล่าวอยู่ในข่ายสินค้าควบคุมตาม มอก.1955-2551 จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบ พบว่า มีผู้จำหน่าย 6 ราย ที่จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟที่ไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. ได้แก่

1.) อุบลแสงฟ้าอิเล็คโทรนิค จังหวัดอุบลราชธานี

2.) Messi99  จังหวัดเพชรบุรี

3.) Little_boy_889  กรุงเทพฯ  

4.) Beeshop กรุงเทพฯ  

5.) Starcomshop กรุงเทพฯ และ

6.) Bon lighting จังหวัดปทุมธานี  

สมอ. จึงได้แจ้งให้บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชัน Shopee ลบข้อความที่มีการโพสต์จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟของผู้จำหน่ายทั้ง 6 ราย ออกจากแอปพลิเคชันทันที พร้อมทั้งให้จัดส่งภาพถ่ายฉลากสินค้าทุกด้าน และให้แสดงหลักฐานแหล่งที่มาของสินค้าภายใน 15 วัน หากตรวจสอบแล้วพบว่าได้รับอนุญาตตามมาตรฐาน มอก.1955-2551 จาก สมอ. อย่างถูกต้อง จึงจะขายสินค้าบนแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ แต่หากพบว่าเป็นการลักลอบจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต สมอ. จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้จำหน่ายทันที โดยมีความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมไปถึงผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวด้วย หากพบว่านำเข้าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เตรียมเอาผิด Shopee ด้วยฐานโฆษณาจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องหรี่ไฟหรืออุปกรณ์หรี่แสง (Dimmer) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปรับเปลี่ยนความสว่างของหลอดไฟต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและให้แสงสว่างตามความต้องการ เป็นสินค้าในจำนวน 123 รายการ ที่ สมอ. ควบคุม โดยต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำ หรือนำเข้า รวมถึงการจำหน่ายจะต้องจำหน่ายเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องมีความปลอดภัยในการนำไปใช้งาน เพราะหากไม่ได้มาตรฐานอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยเครื่องหรี่ไฟที่ได้มาตรฐานจะมีแรงดันไฟฟ้าที่กำหนด 220-240 โวลต์ และกำลังไฟฟ้าที่กำหนด 5-40 วัตต์ มีการควบคุมการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

เพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ปัจจุบันมีผู้ทำ และนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. แล้วกว่า 50 ราย จึงขอเตือนประชาชนให้เลือกซื้อสินค้าด้วยความรอบคอบ เลือกที่ได้มาตรฐาน โดยการสังเกตเครื่องหมายมาตรฐาน ก่อนซื้อทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายในการนำไปใช้ ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบเห็นการกระทำความผิดหรือต้องการแจ้งเบาะแสสินค้าควบคุมที่ไม่ได้มาตรฐาน สามารถแจ้งได้ที่ https://th-th.facebook.com/tisiofficial/ ตลอด 24 ชม. และตรวจสอบรายชื่อสินค้าควบคุมจำนวน 123 รายการ ได้ที่ https://www.tisi.go.th/website/standardlist/comp_thai/th เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย                      
 

มงลง ‘นางงามเม็กซิโก’!! ANDREA MEZA จาก เม็กซิโก คว้ามงกุฎ Miss Universe ส่วน ‘อแมนด้า’ สาวไทย ไปไกลสุดรอบ 10 คน

หลังจากเวทีการประกวดนางงามระดับโลก มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69 (Miss Universe 2020) รูดม่านเปิดการประชันโฉมของนางงามจากทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาสาวงามที่เหมาะสมกับการครอบครองมงกุฎแห่งจักรวาล ทำเอาแฟนๆทั่วทุกมุมโลกตั้งตารอและลุ้นหนักมาก

โดย รอบการตัดสิน (Final Round) จัดขึ้น ณ เซมิโนล ฮาร์ดร็อค โฮเทลแอนด์คาสิโน ฮอลลีวูด รัฐฟลอริด้า วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2564 (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งตรงกับเช้าวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ตามเวลาประเทศไทย

นางงามทั้ง 73 คนที่เข้าร่วมประกวด ต่างพกความสามารถและความมั่นใจมาโชว์ศักยภาพต่อหน้าคณะกรรมการกันอย่างเต็มที่ และในที่สุด ANDREA MEZA สาวงามจาก เม็กซิโก สามารถคว้าคะแนนจากปลายปากกาของการไปได้มากที่สุด คว้ามงกุฎ Miss Universe 2020 ไปครองได้สำเร็จ 

ผลการตัดสิน 

Miss Universe 2020 ได้แก่ ANDREA MEZA จาก เม็กซิโก 

รองอันดับ 1 ได้แก่ JULIA GAMA จาก บราซิล  

รองอันดับ 2 ได้แก่ JANICK MACETA DEL CASTILLO จาก เปรู

รองอันดับ 3 ได้แก่ ADLINE CASTELINO จาก อินเดีย

รองอันดับ 4 ได้แก่ KIMBERLY JIMENEZ จาก สาธารณรัฐโดมินิกัน


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/ข่าวบันเทิง/147594
 

“ศิริภา” งง คกก.โรคติดต่อ กทม. ปฏิเสธ รพ.เอกชนยื่นมือช่วย ตรวจโควิด-19 แทนที่จะได้ช่วยลดภาระ-เร่งจำกัดการระบาดเชิงรุก แนะการฉีดวัคซีนควรทำควบคู่กับการตรวจหาเชื้อ

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ กระทรวงแรงงาน จะเปิดให้บริการตรวจโควิด-19 แก่ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และประชาชนทั่วไป ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้ว่า 

ส่วนตัวขอเรียกร้องให้มีการขยายระยะเวลาตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดงออกไปอีก เนื่องจากเป็นที่พึ่งสำคัญในการตรวจคัดกรองเวลานี้ ที่มีกลุ่มเสี่ยงใหม่จำนวนมากเกิดขึ้นทุกวันและยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะพื้นที่เขตดินแดงเองก็เป็นเขตที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระการตรวจคัดกรองในพื้นที่อื่น ๆ และใน รพ. เพราะแม้ว่าจะมีการตั้งจุดคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงแต่ต้องยอมรับความจริงว่าจำนวนบุคลากรจากสำนักอนามัย ของ กทม. และ บุคลากรทางการแพทย์ของ รพ.รัฐ ในเขตพื้นที่เสี่ยงนั้นมีไม่เพียงพอ และจากที่พยายามประสานติดต่อขอเข้าตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้กับกลุ่มเสี่ยงก็พบว่าคิวการตรวจคัดกรองตาม รพ. ต้องรอนานถึง 2 วัน  

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่โรงพยาบาลเอกชนอาสาพยายามยื่นมือขอเข้ามาช่วยคัดกรองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่กลับถูกกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครปฏิเสธ ทำให้การตรวจคัดกรองโควิด-19 เป็นไปอย่างล่าช้าทั้งที่การตรวจหาเชื้อควรทำอย่างเชิงรุกและเป็นหนทางสำคัญที่จะสามารถจำกัดการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้างได้ 

ดังนั้นจุดตรวจของสนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดงโดยกระทรวงแรงงาน จึงเป็นเสมือนจุดตรวจหลักที่รองรับกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้รับคิวตรวจจาก รพ. และ จุดคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ ที่มีการตรวจน้อยมากต่อวัน เมื่อเทียบกับอัตราผู้ติดเชื้อ 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเข้าใจว่าคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครต้องการมุ่งทรัพยากรไปในการฉีดวัคซีนเป็นหลัก แต่คณะกรรมการต้องทำความเข้าใจว่าทั้งสองอย่างนั้นต้องทำไปควบคู่กัน เพราะการฉีดวัคซีนไม่ได้ทำให้ประชาชนชนกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดโควิดหายจากโควิดได้ ยิ่งไม่ได้รับการตรวจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคหรือไม่ ก็ยิ่งจะแพร่โรคให้กับคนอื่นอีก และหากทรัพยากรที่ทาง กทม. มีไม่เพียงพอก็ควรเปิดทางให้กับเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามาช่วยเหลือในเขตพื้นที่ที่จำเป็นอย่าง ดินแดง ห้วยขวาง บางเขน จตุจักร ลาดพร้าว ที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดของกรุงเทพมหานคร โดยขอให้มองว่าสถานการณ์แบบนี้เป็นสถานการณ์วิกฤตที่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันและให้ความสำคัญกับชีวิตของประชาชนให้มากที่สุด ไม่ใช่เวลามาแบ่งแยกหน้าที่กัน ว่าหาก รพ.เอกชนพร้อมก็ควรสนับสนุน

“บิ๊กตู่” ติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงจำกัดการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่มีรายงานผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงและยังพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการทั้งในการตรวจคัดกรอง การแยกผู้ต้องขังแรกเข้า การแยกผู้ป่วยออกไปรักษาในโรงพยาบาลสนามของราชทัณฑ์ แต่ก็ได้กำชับว่าขอให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามมาตรการควบคุมและรักษาโรค เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปในมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกเรือนจำ 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ ให้มากและเร็วที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการจำกัดวงการแพร่ระบาด รวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำด้วย โดยให้สาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดพื้นที่เสี่ยงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

“เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำหลายแห่งมีผู้ต้องขังอยู่หนาแน่น มีความแออัด ด้วยพื้นที่จำกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในส่วนนี้จึงกำชับให้ทางราชทัณฑ์ประสานงานกับสาธารณสุขในเขตพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนภายนอก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง แม้จะเป็นผู้เคยกระทำผิดจนต้องขัง แต่เมื่อป่วยต้องได้รับการดูแล” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

“แรมโบ้” ขอบคุณ “หญิงหน่อย” ช่วยรณรงค์ให้ ปชช.ฉีดวัคซีน เตือน ไม่ควรใช้จังหวะนี้เหน็บแนมรัฐบาล ชี้ ปชช.ฉลาด ไม่ต้องแสแสร้งหาคะแนน

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ออกมาชวนคนไทยฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แม้ไม่พอใจรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ โดยระบุว่าขอขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่มองว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่มีความจริงใจ แต่อยากจะใช้จังหวะนี้เหน็บแนม โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ด้วย 

นายเสกสกล กล่าวว่า หากคุณหญิงสุดารัตน์มีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาจริง ขออย่าพูดในเรื่องที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เกิดความสับสนในตัวนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เพราะที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก ทั้งดูแลผู้ป่วย รวมถึงการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชน 

“แม้คุณหญิงสุดารัตน์จะไม่เห็นว่านายกฯ รัฐบาล ทำงานแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่ตนเองมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นการทำงานและยังไว้วางใจให้แก้ไขปัญหาอยู่ ดังนั้นอย่าเหมารวมว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาล และขณะนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปได้มีวัคซีนทยอยเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก หากคุณหญิงสุดารัตน์จริงใจอยากจะช่วยก็ขออย่าพูดอะไรที่กระทบกับคนทำงาน อย่ามาตีกินทางการเมือง และคุณหญิงสุดารัตน์เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในเวลานี้เห็นประเทศเกิดวิกฤตโควิดเช่นนี้ ควรออกมาช่วยเหลือกันมากกว่าจะมาตำหนิ เพราะจะทำให้ประชาชนหมดความศรัทธา เบื่อหน่ายได้ และหากเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคการเมืองที่คุณหญิงก่อตั้งขึ้นมาอาจไม่มีใครได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นผู้แทนประชาชนแม้แต่คนเดียว เพราะประชาชนฉลาดพอที่จะมองออกว่า พรรคไทยสร้างไทย มีความจริงใจต่อประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงเสแสร้งเพื่อหาคะแนนเข้าพรรคตนเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ คงตบตาหลอกประชาชนไม่สำเร็จแน่นอน” นายเสกสกล กล่าว

สภาพัฒน์ฯ ปรับเป้าจีดีพีไทยทั้งปีเหลือ 2%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลง 2.6% หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปีต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี ทำให้ทั้งปี สศช. ได้ปรับประมาณการใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% เหลือเพียง 1.5-2.5% หรือเฉลี่ยที่ 2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลง 6.1% ในปี 2563

ทั้งนี้พบว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง 0.5% เทียบกับการขยายตัว 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว 2.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 32.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 28.2% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) 

ส่วนการลงทุนรวม ขยายตัว 7.3% ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลง 2.5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส 3% เทียบกับการลดลง 3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง 19.6% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 0.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัว 28.4% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปี 2563 ส่วนการลงทุนรัฐวิสาหกิจขยายตัว 9.3%

ด้านการส่งออกสินค้า มีมูลค่า 64,004 ล้านดอลลาร์ กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส 5.3% เทียบกับการลดลง 1.5% ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก 

พรรคกล้า กทม. ขอรัฐออกมาตรการ เยียวยาผู้กักตัว ขาดรายได้ ทำมาหากินไม่ได้

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ หรือโอเล่ เลขานุการกลุ่ม กทม.พรรรกล้า แสดงความเป็นห่วงภาระค่าใช้จ่าย พี่น้องประชาชนที่ต้องกักตัว และรักษาตัวเนื่องจากเชื้อโควิด-19 วอนขอให้รัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องกักตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบต่อการติดเชื้อของ โควิด-19 ในการที่จะต้องขาดรายได้ทำมาหากินซึ่งบางบ้าน บางครอบครัว มีอาชีพค้าขาย แต่ต้องหยุดไป ขาดรายได้ ไม่มีเงิน เพราะมีความใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือ เป็นผู้ติดเชื้อเสียเองในขณะที่กำลังรักษาตัวหรือกักตัวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาระค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าที่ดิน หรือค่าเช่าแผงร้านค้า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ ก็ยังดำเนินต่อ แต่ตนเองไม่มีรายได้ เพราะไม่ได้ออกไปค้าขาย ซึ่งในคลัสเตอร์ ผู้ติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลัสเตอร์ก่อนหน้านี้หรือคลัสเตอร์ใหม่ ๆ มีพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบแบบนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนระดับพื้นฐานของประเทศ ที่หาเช้ากินค่ำ 

นายเอกชัย กล่าวว่า รัฐควรใช้ระบบที่มีอยู่ในขณะที่สำรวจผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่จะต้องกักตัวให้ลงทะเบียนตามพื้นที่คลัสเตอร์นั้น ๆ เพื่อรับการเยียวยาโดยเร่งด่วน เพราะบุคคลเหล่านั้นได้ผ่านการคัดกรองเชิกรุกของทางภาครัฐไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ภาครัฐมีอยู่แล้ว และสามารถทำได้เลย จะเป็นการช่วยเหลือด้านเงินเยียวยาผ่านแอพเป๋าตังค์สำหรับผู้กักตัวหรือผู้ติดเชื้อ หรือจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่ภาครัฐจะพิจารณา เพราะถ้าหากปล่อยช้าหรือเพิกเฉยก็จะทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถกักตัวได้ตามเงื่อนไข เพราะจะต้องออกจากบ้านไปค้าขาย ไปทำมาหากิน เพื่อนำเงินไปชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของตนเองและครอบครัว และหากซ้ำร้ายกว่านั้นเกิดตรวจพบภายหลังว่าติดเชื้อก็จะขยายวงกว้างโดยไม่สามารถควบคุมได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top