Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

“บิ๊กตู่” เข้าทำเนียบฯ เช้าประชุมข้าว บ่าย นั่งหัวโต๊ะหารือสถานการณ์เศรษฐกิจในและต่างประเทศรวมถึงแผนการจัดซื้อวัคซีนให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยช่วงเช้านายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference

จากนั้นในช่วงบ่าย  มีรายงานว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) เข้าหารือนายกรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทย

ก่อนที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมหารือเรื่องวัคซีน  ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือแนวทางการจัดหาวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ในประเทศไทยให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในปีนี้ 100 ล้านโดส

สำหรับ การประชุม ศบค. ครั้งล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแผนความก้าวหน้าในการจัดหาวัคซีน โควิด-19   แอสตราเซเนกา สั่งจอง 61 ล้านโดส  ซึ่งผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 14.7 ล้านโดส แผนการส่งมอบเพิ่มเดือนละ 5 ล้านโดสขึ้นไปจนครบ 61 ล้านโดส  โดยมีการรับวัคซีนบริจาคแล้ว 1.46 ล้านโดส , สำหรับวัคซีนซิโนแวค (โคโรนาแวค) สั่งซื้อตามสถานการณ์ระบาด ผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 13.4 ล้านโดส  แผนการส่งมอบเพิ่ม เหลือรับเพิ่ม 5.7 ล้านโดส 

สำหรับในเดือนส.ค.-ก.ย.64 มีการรับวัคซีนบริจาคแล้ว 1 ล้านโดส , ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์ สั่งจอง 20 ล้านโดส และมีแผนได้รับบริจาคอีก 1 ล้านโดส  แผนการส่งมอบกำหนดส่งไตรมาส 4 รับวัคซีนบริจาคแล้ว 1.5 ล้านโดส , ในส่วนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ( J&J ) บริษัทขอเลื่อนลงนามสัญญาเนื่องจากพบปัญหาการผลิต , Sputnik รอขึ้นทะเบียนองค์การอาหารและยา (อย. ) , ชิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้า ผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 5 ล้านโดส  แผนการส่งมอบเพิ่ม 5 ล้านโดส  และโมเดอร์นา องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย มีแผนนำเข้า โดยแผนการส่งมอบ 5 ล้านโดส กำหนดส่งมอบปลายปี 2564 

ส่วนแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทย พ.ศ.2564 โดยชิโนแวค ในเดือนส.ค.จำนวน 4 ล้านโดส  แอสตราเซเนกา 5.8 ล้านโดส และไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส รวม 11.3 ล้านโดส ทั้งนี้ในเดือนส.ค.มีการรับวัคซีนแล้วบางส่วนจากผู้ผลิต ขณะที่ในเดือนก.ย.-ธ.ค. รอรับจากผู้ผลิต  โดยเดือนก.ย.มีแผนการจัดหาซิโนแวค  4 ล้านโดส  แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส  และไฟเซอร์ 1 ล้านโดส รวม 11 ล้านโดส ,เดือนต.ค.แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส  และไฟเซอร์ 6 ล้านโดส รวม 12 ล้านโดส ,เดือนพ.ย. แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส ไฟเซอร์ 6 ล้านโดส รวม 12 ล้านโดส ,เดือนธ.ค.  แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส ไฟเซอร์ 7 ล้านโดส รวม 13 ล้านโดส ทั้งนี้ เพิ่มการใช้ชิโนแวค เนื่องจากมีการปรับสูตรการฉีด เป็นชิโนแวค-  แอสตราเซเนกา โดยจำนวนวัคซีนที่จะนำเข้ามานั้นขึ้นอยู่กับการส่งมอบวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต

อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี่ แบลร์ วิจารณ์การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ช่าง 'ปัญญาอ่อน' ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชี้!! นี่ไม่ใช่การถอนทหาร แต่ชัดเจนว่ามันเป็นการยอมแพ้ หากเป็นเขาจะไม่พบจุดจบเช่นนี้

โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร โพสต์บนเว็บไซต์ส่วนตัวของเขาวิพากษ์วิจารณ์การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ของรัฐบาลโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ว่า เป็นการทอดทิ้งอัฟกานิสถานและชาวอัฟกัน ที่น่าสลดใจ อันตราย และไม่จำเป็นเลย

แบลร์ เป็นผู้นำสหราชอาณาจักรในช่วงที่สหราชอาณาจักรตัดสินใจร่วมกับสหรัฐฯ บุกเข้าไปในอัฟกานิสถานในปี 2001 หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน แต่เขาวิจารณ์ว่า การถอนทหารของสหรัฐฯ กลับทำให้กลุ่มติดอาวุธตอลิบานฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม พร้อมกล่าวว่า สหราชอาณาจักรมีพันธะที่ต้องอยู่ในอัฟกานิสถาน จนว่าประชาชนกลุ่มเสี่ยงจะอพยพออกมาจนหมด เพราะชาวอัฟกันเคยช่วยเหลือและยืดหยัดเคียงข้างเรา พวกเขามีสิทธิขอให้เรายืนหยัดเคียงข้างเขาเช่นกัน

โทนี่ แบลร์ ยังใช้ภาษาที่ค่อนข้างแรง วิจารณ์การถอนทหารอเมริกันว่า การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ชั้นสูงอะไรเลย แต่เป็นเหตุผลทางการเมืองล้วน ๆ มันเป็นสโลแกนการเมืองที่ 'ปัญญาอ่อน' กับการยุติสงครามชั่วนิรันดร์ ทั้งนี้ แบลร์ยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาด กับการนำกำลังร่วมกับสหรัฐฯ บุกเข้าไปในอัฟกานิสถานเมื่อ 20 ปีก่อน

ด้าน อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่องต่อแนวทางบริหารจัดการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน ซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็น 'ความน่าอับอายด้านนโยบายต่างประเทศ' ครั้งใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ

ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ซึ่งแย้มว่าอาจลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกครั้งในศึกเลือกตั้ง 2024 ออกมากล่าวโทษ ไบเดน จากเดโมแครต อย่างต่อเนื่อง ต่อกรณีที่อัฟกานิสถานตกไปอยู่ในเงื้อมมือของตอลิบาน 

"การออกจากอัฟกานิสถานแบบลวก ๆ ของไบเดน คือ การตีแผ่ให้เห็นถึงการไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงของผู้นำประเทศ" ทรัมป์กล่าว ณ ที่ชุมนุมหนึ่งซึ่งอัดแน่นไปด้วยผู้สนับสนุนของเขา ใกล้กับเมืองคัลล์แมน รัฐแอละแบมา

ก่อนหน้านี้ ไบเดน ได้วิพากษ์วิจารณ์และกล่าวโทษกองทัพอัฟกานิสถานว่าไม่คิดต่อสู้ รวมถึงตำหนิรัฐบาลอัฟกันที่เพิ่งถูกโค่นอำนาจ นอกจากนี้แล้ว โจ ไบเดน ยังโยนบาปด้วยว่าเขาต้องมารับมรดกสืบทอดข้อตกลงถอนตัวแย่ ๆ จากทรัมป์

ทาง ทรัมป์ จึงตอบโต้ โดยกล่าวโทษไบเดนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ไบเดนไม่ดำเนินการตามแผนที่รัฐบาลของเขาวางเอาไว้ และคร่ำครวญต่อกรณีที่บุคลากรสหรัฐฯ และอาวุธยุทโธปกรณ์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังระหว่างที่ทหารถอนทัพ

"นี่ไม่ใช่การถอนทหาร แต่ชัดเจนว่ามันเป็นการยอมแพ้" เขากล่าว

ทรัมป์ระบุอีกว่า กลุ่มตอลิบาน ที่เขาเจรจาด้วยให้ความเคารพเขาเป็นอย่างดี พร้อมบ่งชี้ว่าการเข้ายึดครองอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็วจะไม่เกิดขึ้นหากเขายังคงนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี "เราจะออกมาอย่างมีเกียรติ" ทรัมป์กล่าว "เราควรออกมาด้วยความภาคภูมิ แต่เรากลับออกมาในทางตรงกันข้ามกับคำว่ามีเกียรติโดยสิ้นเชิง"

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ ทางด้าน มุลลาห์ อับดุล กานี บาราดาร์ ผู้ร่วมก่อตั้งตอลิบานเดินทางเข้ากรุงคาบูลของอัฟกานิสถานแล้ว เพื่อเจรจากับแกนนำกลุ่มต่าง ๆ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลปกครองประเทศ หลังจากยึดการปกครองได้เมื่อสัปดาห์ก่อน และคาดว่า นายบาราดาร์จะพบหารือกับผู้บัญชาการกลุ่มติดอาวุธ อดีตแกนนำและผู้กำหนดนโยบายรัฐบาล นักวิชาการทางศาสนาและอีกหลายกลุ่ม ตอลิบานเตรียมจัดทำรูปแบบใหม่ในการปกครองอัฟกานิสถานในเร็ว ๆ นี้ 

โดยแยกทีมดูแลเรื่องความมั่นคงในประเทศกับทีมดูแลเรื่องการเงิน และจะเชิญผู้เชี่ยวชาญในรัฐบาลชุดก่อนมาร่วมจัดการวิกฤตประเทศ โครงสร้างรัฐบาลใหม่จะไม่ใช่ประชาธิปไตยตามคำนิยามของโลกตะวันตก แต่จะปกป้องสิทธิของทุกคน

ส่วนเรื่องที่ชาวอัฟกันและกลุ่มบรรเทาทุกข์สากลร้องเรียนว่า มีการใช้กำลังแก้แค้นผู้ประท้วงและจับกุมคนในรัฐบาลชุดก่อน คนวิจารณ์ตอลิบานหรือคนที่ทำงานกับกองกำลังนำโดยสหรัฐฯ นั้น เจ้าหน้าที่ตอลิบานเผยว่า ทางกลุ่มได้รับทราบแล้วและจะดำเนินการสอบสวน หากสมาชิกตอลิบานก่อปัญหาด้านกฎหมายและความสงบเรียบร้อย


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/596809

https://mgronline.com/around/detail/9640000082840


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กตู่” ถก คกก.ข้าว “กำชับ” ทุกฝ่าย ดูแลประชาชนให้ดีที่สุดหลังประสบผลกระทบจากโควิด-19 

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยนายกรัฐมนตรึกล่าวในช่วงต้นการประชุมว่า  ทุกคนทราบดีว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัส โควิด-19 ส่งผลกระทบในด้านต่างๆโดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันดูแลประชาชนให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าการประชุมวันเดียวกันนี้ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอมติความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาดในการเดินหน้านโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีที่ 3 โดยใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการประกันรายได้ปีที่ผ่านมาทุกประการ นอกจากนี้มยังได้เสนอมาตรการคู่ขนานที่จะเข้ามาช่วยเสริมเกษตรเกษตรผู้ปลูกข้าว 3 มาตรการประกอบด้วย การสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวชะลอการขาย ในช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดมากเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวราคาตกจนเกินไป โดยเกษตรกรที่ชะลอขายข้าวจะได้รับเงินช่วยเหลือตันละ 1,500 บาท ,การช่วยเหลือดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสหกรณ์หรือสีโรงสีที่เก็บสต๊อกข้าวและไม่ปล่อยออกสู่ตลาด โดยชดเชยดอกเบี้ย 3% และ เร่งรัดส่งเสริมการส่งออกข้าว เพื่อระบายข้าวในประเทศเพราะฤดูการผลิตหน้าจะมีเข้าออกสู่ตลาดมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 5% จึงมีมาตรการช่วยเหลือให้มีการส่งออกข้าวโดยช่วยดอกเบี้ย  3% เป็นเวลา 6 เดือน ในเดือนต.ค.64-มี.ค.65

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” โกหกคนไทยไร้ปัญญาแก้ปัญหาการเกษตร ชี้ เกษตรกรน่าห่วงหลังราคาสินค้าตกต่ำ ขายข้าวเปลือก1โลซื้อมาม่าได้ ห่อเดียว 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 7 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด  ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ ใช้เวลาไปกับการไล่ล่ากลุ่มที่เห็นต่าง กำจัดนักการเมืองฝั่งตรงข้าม  หาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด

พี่น้องเกษตรกรถูกละเลยมากที่สุด รายได้ของพืชผลทางการเกษตรตกต่ำมาโดยตลอดยิ่งทำ ยิ่งจน ยิ่งทำ ยิ่งเจ๊ง ทั้งนี้เนื่องมาจาก ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าไถ ค่าหว่าน ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ยและค่าแรงที่สูงขึ้น  เกษตรกรช้ำใจมาก เพราะ ราคาข้าวเปลือก 1 กิโล แลกมาม่าได้เพียงห่อเดียว เกษตรกรต้องแบกรับภาระอย่างหนักมากภาระหนี้สินที่ เพิ่มขึ้น  รัฐบาลมีอำนาจแต่ไม่เคยทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพขายได้ราคาสูงขึ้น 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ เลือกที่จะโกหกประชาชน และไม่เคยทำตามคำพูดที่เคยประกาศไว้ในช่วงการเลือกตั้งได้เลย  ทั้งนี้เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งรัฐบาล ประกาศยกระดับราคาสินค้าเกษตร ให้สูงขึ้น ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน ยางพารา 65 บาท/กิโล อ้อย 1,000 บาท/ตัน ปาล์มน้ำมัน 5 บาท/กิโล   และมันสำปะหลัง 3 บาท/กิโล สุดท้ายแล้วไม่สามารถทำได้และไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึงนโยบายช่วงการหาเสียงทีผ่านมา

“ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ พลเอกประยุทธ์  ไม่เคยพูดถึงการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรอย่างมีแนวทางที่ชัดเจน  แต่พลเอกประยุทธ์ เก่งในการเผาผลาญงบประมาณของประเทศชาติ  ใช้เงินไม่ถูกที่ ไม่ถูกจุด  เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ท่านนำไปใช้ในโครงการต่างๆ  ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนเลย แต่ งบประมาณต่างๆในภาคการเกษตรใช้เพียงน้อยนิด เท่านั้น ทำไมไม่นำมาดูแลพี่น้องเกษตรกร” นายสงคราม กล่าว

พล.อ.ประวิตร  เรียกประชุม สรุปผล "ถอดบทเรียน:AAR  ป้องกัน หมอกควัน ไฟป่า ฝุ่นละออง"  มอบนโยบาย "ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" สร้างความเชื่อมั่น  หวั่นกระทบสุขภาพ ปชช. ซ้ำเติมโควิด-19  

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม เชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review :AAR) การแก้ไขปัญหา หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง ประจำปี 2565 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบ Video Conference

การประชุมในวันนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายหน่วยงาน จากทุกกระทรวง,สตช. และผวจ.จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีการบูรณาการข้อมูล และข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานป้องกัน และแก้ไขในทุกมิติ จากการดำเนินงานในอดีต ที่ผ่านมา ของพื้นที่ กทม./ปริมณฑล พื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด และพื้นที่เสี่ยงอื่นๆทั่วประเทศ เพื่อควบคุมแหล่งกำเนิด และปริมาณฝุ่นละออง ไม่ให้สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานและส่งผลกระทบ ต่อพี่น้องประชาชน  ทั้งนี้ในปีนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ยึดหลักการทำงานร่วมกัน คือ "ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือการป้องกันสุขภาพ อนามัย ของประชาชนให้มีความปลอดภัยสูงสุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ  โดย พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการเน้นย้ำแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การยกระดับ Single Command ผวจ.ต้องให้สามารถติดตามสถานการณ์ และสั่งการไปยังท้องถิ่นระดับล่าง ได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็ว  ต้องมีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการควบคุมแหล่งกำเนิดการเผา  มีการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวด ต่อยานยนต์ที่มีควันดำ  มีการควบคุมและป้องกันการเผา/บุกรุกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ผลผลิตทางการเกษตร  มีการควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยสารพิษออกสู่บรรยากาศ  มีการพัฒนาระบบคาดการณ์สภาวะอากาศ ที่มีการสะสมฝุ่นละอองล่วงหน้าให้ได้ 3-7 วัน รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขเพื่อการแจ้งเตือน และการรักษาผู้ป่วยจากฝุ่นละออง เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ำว่า การป้องกัน "หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง" นับเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง  การนำบทเรียนจากอดีต มาทบทวน แก้ไขแผนงาน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงแผนให้มีความทันสมัย และจะต้องมีการซักซ้อมแผน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริง ควบคู่มาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วย โดยต้องนำผลสรุป "การถอดบทเรียน" ไปบูรณาการทำงานร่วมกัน และยึดหลักการ"ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" พร้อมขอให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดความตระหนก และสร้างความเชื่อมั่น ต่อไป  

"ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต. สอบพรรคก้าวไกล ปมร่วมกิจกรรมตรวจโควิดกับแพทย์ชนบท พร้อมแจกบัตรสีส้มตรวจ เข้าข่ายหาผลประโยชน์และแทรกแซงงานขรก.

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อกกต.ให้ไต่สวนสอบสวนพรรคก้าวไกล กรณีไปร่วมกิจกรรมกับชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ที่ได้ระดมทีมบุคลากรทางการแพทย์จากต่างจังหวัด มาช่วยตรวจเชิงรุกหาเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชุมชนกรุงเทพมหานคร แต่กลับปรากฏว่ามีการจัดทำบัตรคิวสีส้มที่ปรากฏชื่อพรรค ถือว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของพรรคและแทรกแซงการทำงานของข้าราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นการตรวจหาผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในชุมชนต่างๆ โดยใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน หรือ Antigen Test Kits ที่สามารถรู้ผลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบเชื้อก็จะแยกกักและรักษาตัวที่บ้าน ด้วยการทำ Home Isolation แต่หากสภาพบ้านที่อยู่อาศัยไม่เอื้อให้กักตัวได้ ก็ให้ทำการกักกันในชุมชน หรือ Community Isolation ซึ่งที่ผ่านมาผลการดำเนินการเป็นไปด้วยดี จนสถานการณ์ผู้ติดเชื้อตกค้างตามบ้านและในชุมชนลดลง เป็นที่ชื่นชมของสาธารณชนทั่วไป แต่กลับมีภาพปรากฏในลักษณะที่ประชาชนสงสัย และถูกนำมาแชร์กันมากในโลกออนไลน์ คือ ปรากฏว่ามีบางพรรคการเมืองเข้าไปใช้ชื่อของพรรคว่าทำงานร่วมกับชมรมแพทย์ชนบท หรือเป็นผู้ที่นำแพทย์มาตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับชาวบ้านเอง อาทิ การลงพื้นที่ตรวจโควิดใน "ชุมชนพหลโยธิน 24" ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีภาพบัตรคิวสีส้มที่แจกให้กับชาวบ้านที่มาเข้าคิวรอตรวจ ได้เขียนข้อความด้านบนว่า "หมอชนบทร่วมมือกับพรรคก้าวไกล ดูแลชุมชนพหลโยธิน 24" แนบอยู่กับเอกสารประกอบการตรวจหาเชื้อ ซึ่งแนบติดกับบัตรคิวนั้น เป็นเอกสารที่มีโลโก้ของชมรมแพทย์ชนบทอยู่ด้านบนด้วย 

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่า เป็นการแอบอ้างการทำงานของชมรมแพทย์ชนบท เพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองดังกล่าวหรือไม่ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ที่ลงพื้นที่ทำงานของชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับ สปสช. นั้นเป็นข้าราชการ และอาจถือได้ว่าแพทย์ต่างๆเหล่านั้นใช้เวลาราชการไปทำภารกิจช่วยเหลือพรรคการเมือง ใช่หรือไม่ การกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ใน มาตรา184 และ มาตรา185 หรือไม่ ซึ่งบัญญัติห้ามนักการเมืองหรือพรรคการเมืองก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการในหน้าที่ประจำของหน่วยงานภาครัฐ ประกอบกับ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา28 กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ซึ่งหากเป็นความผิดมีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมืองนั้น ตาม มาตรา92(3)

'ปาเกียว' พ่าย 'ยอร์เดนิส อูกัส' ส่อแขวนนวม แต่รับทรัพย์กว่าแปดร้อยล้านบาท

ศึกมวยชิงแชมป์ “ซูเปอร์ เวิลด์ แชมเปี้ยน” รุ่นเวลเตอร์เวตสมาคมมวยโลก WBA “แพ็กแมน” แมนนี่ ปาเกียว ยอดกำปั้นมวยชาวฟิลิปปินส์ ขึ้นสังเวียนในวัย 42 ปี ดวลกับ ยอร์เดนิส อูกัส กำปั้นชาวคิวบา วัย 35 ปี ที่ สังเวียน ที โมบายล์ อารีน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

โดยหลังเสียงระฆังเริ่มยกแรก ปาเกียว ที่ลงนวมครั้งล่าสุดตั้งแต่ปี 2019 เปิดฉากเดินหน้าเข้าหาทันที แต่ด้วยช่วงชกที่สั้นกว่า ทำให้ดูชกไม่เข้าเป้านัก ขณะที่ อูกาส แม้จะเป็นมวยแทน เพราะต้องขึ้นชกแทน เออร์โรล สเปนซ์ จูเนียร์ แชมป์โลกรุ่นเดียวกันของ WBC และ IBF ที่บาดเจ็บ แต่ช่วงชกที่ยาวกว่า และแผนการชกที่เน้นจังหวะสอง ทำให้สถิติการชกเข้าเป้านั้นดีกว่า แม้จะออกหมัดน้อยกว่าเป็นเท่าตัว

ครบ 12 ยก กรรมการให้คะแนนทั้ง 3 คน ให้คะแนน ยอร์เดนิส อูกัส ชนะ แมนนี่ ปาเกียว แบบเอกฉันท์ 115-113, 116-112, 116-112 ทำให้ อูกัส รักษาแชมป์โลกซูเปอร์ของ WBA รุ่นเวลเตอร์เวตได้ เพิ่มสถิติการชกเป็นชก 31 ชนะ 27 แพ้ 4 ขณะที่ ปาเกียว พ่ายแพ้ สถิติการชกเป็น ชก 72 ชนะ 62 แพ้ 8 

หลังจบไฟต์ ปาเกียว ปฏิเสธตอบคำถามจะแขวนนวมทันทีหรือไม่ “ผมยังไม่รู้ อันดับแรกขอให้ผมได้พักผ่อนสบาย ๆ เสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่า จะมีไฟต์ต่อไปหรือไม่” กำปั้นวัย 42 ปี กล่าว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ไฟต์ดังกล่าวมี แมนนี ปาเกียว ที่แม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แต่ก็รับทรัพย์มหาศาลไปมากถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 830 ล้านบาท ส่วนผู้ชนะอย่าง ยอร์เดนิส อูกัส ได้รับไปในสัดส่วนที่ต่างกันสุดขั้วนั้นคือแค่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 66 ล้านบาทเท่านั้น


ที่มา : https://www.naewna.com/sport/596798


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รีบหน่อย! ออมสินรับมาตรการพักหนี้ 6 เดือนสิ้นสุดเปิดรับใน 30 ส.ค.นี้ 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารได้เปิดให้ลูกค้าสินเชื่อรายย่อย และผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แจ้งความประสงค์ในการพักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 งวด เริ่มตั้งแต่งวดเดือน ก.ค. – ธ.ค. 64 ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีผู้สนใจเข้ามาตรการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีลูกหนี้อีกบางส่วน ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์พักชำระหนี้ตามมาตรการนี้ จึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่ได้แจ้งความประสงค์ขอพักชำระหนี้ โปรดรีบใช้สิทธิ์ ก่อนหมดเขตวันที่ 30 ส.ค. นี้

สำหรับ มาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท และไม่ใช้หลักทรัพย์  ค้ำประกัน สำหรับผู้ได้รับผลกระทบทำให้ต้องเลิกกิจการ ถูกเลิกจ้าง ขาดรายได้ ฯลฯ ฯลฯ (ยกเว้นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ) โดยพักเงินงวดผ่อนชำระให้สูงสุด 6 งวด เริ่มตั้งแต่งวดเดือนก.ค. – ธ.ค. 2564 หลังจากเมื่อสิ้นสุดระยะการพักชำระหนี้ ให้กลับมาจ่ายเงินงวดตามเงื่อนไขเดิม โดยเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้พักไว้ จะถูกนำไปรวมชำระในงวดสุดท้ายของสัญญาเงินกู้หรือข้อตกลงที่ทำกับธนาคาร และช่วงระยะเวลาที่พักชำระหนี้ ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระและไม่ส่งผลต่อข้อมูลเครดิตของลูกค้า รวมถึงไม่มีดอกเบี้ยผิดนัดชำระและค่าปรับใด ๆ

ทั้งนี้สามารถเข้าตรวจสอบสิทธิ์ในแอป MyMo และกดทำรายการได้ทันทีที่ปรากฏเมนูพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ส่วนผู้ที่ยังไม่มีแอป MyMo แต่มีบัตรเดบิต สามารถดาวน์โหลดและเปิดใช้งานแอป MyMo   ด้วยตนเองได้โดยใช้ข้อมูลบัตรเดบิต  ซึ่งจะได้รับความสะดวกในการขอพักชำระหนี้โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ  ที่สาขาธนาคาร สำหรับมาตรการพักชำระหนี้กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ SMEs มีวงเงินกู้ไม่กิน 250 ล้านบาท ติดต่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาธนาคาร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115

ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน 4 กสม.ป้ายแดง พรประไพ 149 ล้าน วสันต์ 52 ล้าน ศยามล 33 ล้าน สุชาติ 14 ล้าน

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ได้แก่ น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ตำแหน่งประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายสุชาติ เศรษฐมาลินี  ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์   ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายวสันต์ ภัยหลักลี้ ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  

น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ตำแหน่งประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 แจ้งสถานภาพโสด ไม่มีหนี้สิน มีบัญชีทรัพย์สินทั้งสิ้น 149,512,590 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 8,942,274 บาท เงินลงทุน 897,615 บาท ที่ดิน 134,576,700 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,050,000 บาท ยานพาหนะ 400,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 170,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,485,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับสตรี อาทิ ต่างหู แหวนและเข็มกลัด สร้อย กำไล เข็มขัด นาฬิกา ชุดเครื่องประดับทอง

นายวสันต์ ภัยหลักลี้ ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส น.ส.รุ่งมณี เมฆโสภณ อยู่กินกันฉันสามีภรรยา (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 52,159,376 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 103,200 บาท เป็น ทรัพย์สินของนายวสันต์ 39,115,293 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 381,743 บาท เงินลงทุน 15,411,774 บาท ที่ดิน 21,047,075 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ในที่ดิน ยานพาหนะ 750,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,524,701 บาท และหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 41,161 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น

เป็นทรัพย์สินของ น.ส.รุ่งมณี 13,044,083 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 1,246,810 บาท เงินลงทุน 3,528,300 บาท ที่ดิน 6,636,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ในที่ดิน ยานพาหนะ 50,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,582,971 บาท ส่วนหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 62,039 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น

น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์   ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 32,950,893 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 8,346,635 บาท 

เป็นทรัพย์สินของ น.ส.ศยามล 28,185,914 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 241,040 บาท เงินลงทุน 332,200 บาท ที่ดิน 7,894,165 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 16,850,000 บาท ยานพาหนะ 369,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 2,499,509 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น ส่วนหนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 8,014,537 บาท

เป็นทรัพย์สินของนายภาคภูมิ 4,758,201 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 776,425 บาท เงินลงทุน 200,000 บาท ที่ดิน 2,117,776 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,200,000 บาท ยานพาหนะ 464,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นส่วนหนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 179,078 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 153,019 บาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 6,777 บาทเป็นเงินฝาก

นายสุชาติ เศรษฐมาลินี  ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส นางอรวรรณ เศรษฐมาลินี และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 13,970,492 บาท เป็นทรัพย์สินของ นายสุชาติ 2,006,964 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 12,501 บาท เงินลงทุน 54,463 บาท ยานพาหนะ 640,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,300,000 บาท เป็นทรัพย์สินของนางอรวรรณ 11,963,527 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 370,431 บาท เงินลงทุน 500,095 บาท ที่ดิน 5,810,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,500,000 บาท ยานพาหนะ 913,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 870,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นและไม่มีหนี้สิน

“องอาจ” จี้ ศบค. ดูแลแรงงานต่างด้าวนอกระบบติดเชื้อโควิด หวั่นกลายเป็น “คลัสเตอร์เคลื่อนที่”ส่งผลกระทบวงกว้าง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน กทม. และปริมณฑลว่า จากการทำงานดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งอดีต ส.ส. อดีต ส.ก. ส.ข. และ ตัวแทนสาขาพรรคจากพื้นที่ต่างๆ พบว่าขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวนอกระบบทำงานรับจ้างต่างๆ พักอาศัยอยู่ตามชุมชนแออัดในห้องเช่าราคาถูก อยู่รวมกันหลายคน เมื่อติดเชื้อโควิดแล้วมักจะรักษากันเองตามยถากรรม เพราะไม่ทราบว่าจะเข้าสู่การรักษาตามระบบต่างๆ ที่ทางการกำหนดขึ้นมาอย่างไร บางรายได้รับการแนะนำจากเพื่อนคนไทยให้เข้าสู่ระบบก็ไม่สามารถเข้าได้เพราะเป็นแรงงานต่างด้าวนอกระบบ ไม่ได้อยู่ในระบบเหมือนแรงงานต่างด้าวที่ทำงานตามโรงงาน หรือทำงานก่อสร้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเมื่อติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ๆ แล้วก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับแรงงานไทยตั้งแต่ตรวจหาเชื้อ ถ้ามีเชื้อก็รักษาไปจนถึงได้ฉีดวัคซีนด้วย แต่แรงงานต่างด้าวนอกระบบไม่ได้รับการดูแลเหมือนแรงงานต่างด้าวในระบบ 
          
นายองอาจ กล่าวต่อว่า แรงงานต่างด้าวนอกระบบที่ติดเชื้อโควิดเหล่านี้ มักใช้ชีวิตทำงานตามปกติ ขณะที่พยายามรักษาตัวเองจนกลายเป็นผู้ติดเชื้อเคลื่อนที่กลายเป็น “คลัสเตอร์เคลื่อนที่” กระจายแพร่เชื้อต่อกันไปเรื่อยๆ และแรงงานต่างด้าวนอกระบบส่วนหนึ่งเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย จึงไม่อยากติดต่อทางการเพื่อเข้าสู่การดูแลรักษาตามระบบ เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษทางกฎหมาย และส่งตัวกลับประเทศดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาคลัสเตอร์เคลื่อนที่ของแรงงานต่างด้าวนอกระบบที่ติดเชื้อโควิดไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดต่อไปเรื่อยๆ คือ ทางการจะต้องดูแล นำแรงงานต่างด้าวเหล่านี้เข้ามาดูแลรักษาตามระบบ Home Isolation (HI) หรือ Community Isolation (CI) และระบบอื่นๆ ตามอาการอย่างทันท่วงทีเหมือนผู้ติดเชื้อชาวไทยที่ได้รับการดูแลตามสมควร ทางการไทยไม่ควรปล่อยให้ผู้ติดเชื้อต่างด้าวรักษากันเองตามยถากรรมเพราะจะทำให้เชื้อแพร่ระบาดมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการแก้ไขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสังคมไทยตามไปด้วย
         
“จึงขอฝากให้ ศบค.พิจารณาให้หน่วยงานของทางราชการทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวตามระบบต่างๆ เหมือนดูแลรักษาคนไทยนอกจากเพื่อช่วยกันระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วยังเป็นการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านให้มีความรู้สึกที่ดีมีความประทับใจขณะที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยอีกด้วย”นายองอาจกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top