Monday, 7 July 2025
Hard News Team

‘ชัยวุฒิ’ คลายปมแย้งบ้านใหญ่ชลบุรี เชื่อ!! ไม่กระทบ ‘พลังประชารัฐ’

18 ก.พ. 65 ที่รัฐสภา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ว่า การอภิปรายผ่านไปได้ดี เป็นโอกาสดีที่ได้ชี้แจงกับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีตอบคำถามได้ทุกเรื่อง ทั้งปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องที่ฝ่ายค้านร้องเรียนรัฐบาลก็ได้นำไปแก้ไข เพื่อดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งถือว่าช่วยกันทำงาน

ส่วนปัญหาบ้านใหญ่ชลบุรี ระหว่างนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มองว่า เป็นเรื่องปกติทางการเมือง และมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดการแข่งกัน จะได้ช่วยกันพัฒนาจังหวัดให้ดียิ่งขึ้น

‘ผู้ช่วยปลัดแรงงาน’ เปิดสัมมนาขับเคลื่อนการดำเนินงานอาสาสมัครแรงงาน กทม. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 

กระทรวงแรงงาน จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร มุ่งให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการด้านแรงงาน ได้รับการส่งเสริมด้านอาชีพ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีหลักประกันที่มั่นคงในการดำรงชีพ

นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางต้องใจ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ ห้องประชุม Grand Palazzo ชั้น 7 โรงแรมเดอะพาลาสโซ กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานมุ่งหวังให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการด้านแรงงานได้รับการส่งเสริมด้านอาชีพ เพื่อการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และมีหลักประกันที่มั่นคงในการดำรงชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครทุกท่านในการดำเนินการ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์

แต่อย่างไรก็ดีความเข้าใจในภารกิจของกระทรวงแรงงาน เป็นสิ่งสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร เมื่อทุกท่านได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในวันนี้จะสามารถนำไปกำกับดูแล และถ่ายทอดให้อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในพื้นที่ที่รับผิดชอบได้รับทราบ และนำไปปฏิบัติที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้องกับภารกิจของอาสาสมัครแรงงานนำผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ ไปพัฒนาการวางแผนการปฏิบัติงานและบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครแรงงานของกรุงเทพมหานคร ที่มีความเป็นรูปธรรม บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในการทำงาน

อีกทั้ง ผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ จะได้รับทราบโครงสร้าง และการบริหารงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

ผู้โดยสาร ‘มะกัน’ ถูกตะเพิดลงเครื่องบิน เหตุสวมหน้ากากอนามัยเหน็บ 'โจ ไบเดน'

สื่อต่างประเทศรายงานในวันนี้ว่า ผู้โดยสารรายหนึ่งของสายการบินอัลลีไจแอนท์ แอร์ไลน์ส ถูกไล่ลงจากเที่ยวบิน หลังเขาปฏิเสธเปลี่ยนหน้ากากป้องกันโควิด-19 ตามคำร้องขอของพนักงาน จากอันเดิมที่มีข้อความ “Let’s go Brandon" ซึ่งเป็นรหัสเหน็บแนมโจ ไบเดน ที่ฝ่ายตรงข้ามประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้รู้กันเป็นอย่างดี

วิดีโอที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นชายคนหนึ่งซึ่งสวมหน้ากากอนามัย กำลังโต้เถียงกับพนักงานบนเที่ยวบินรายหนึ่ง ซึ่งพูดถึงข้อความที่ผู้โดยสารรายนี้เขียนบนหน้ากากอนามัย

ในวิดีโอไม่เผยให้เห็นข้อความบนหน้ากากอนามัย แต่กัปตันของเที่ยวบินระบุว่ามันเป็นสโลแกน "Let’s go Brandon" รหัสไม่ลับของคำว่า “F–k โจ ไบเดน” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในบรรดาฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดี "วันนี้คุณไม่ได้รับอนุญาตให้มีข้อความ let’s go Brandon บนหน้ากาก หรือไม่คุณจะต้องถอดมันออก"

ภาพในวิดีโอพบเห็นพนักงานหญิงแจ้งผู้โดยสารรายนี้ให้เก็บข้าวของและลงจากเครื่องบิน ระหว่างนั้นเธอได้บอกกับเขาด้วยว่าไม่อนุญาตให้บันทึกภาพของเธอ แม้ความจริงคือคลิปนี้บันทึกภาพโดยคนอื่น

สายการบินไจแอนท์ แอร์ไลน์ส ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ว่า ชายคนนี้ถูกขอให้ลงจากเครื่องบิน โทษฐานที่เพิกเฉยต่อคำสั่งของลูกเรือ "วิดีโอที่ตัดสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสารรายหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องขอซ้ำๆ ของลูกเรือ ที่ขอให้ปฏิบัติตามนโยบายสวมหน้ากากของรัฐบาลกลาง"

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า "ผู้โดยสารถูกพาตัวลงจากเครื่องบิน และมีการอนุมัติคืนเงินให้เขา การเพิกเฉยต่อคำสั่งจากลูกเรือเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง และเป็นเหตุผลให้ต้องขอให้ลงจากเที่ยวบิน เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวอาจก่อสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย"

บุกจับ ‘เจ้าคุณแจ๊ค’ รองเจ้าคณะนครนายก ปม เอี่ยวทุจริตเงินทอนวัด 123 ล้าน

บช.ก.เปิดปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี” ปราบทุจริตเงินทอนวัด บุกจับ “เจ้าคุณแจ๊ค” เจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทุจริตเงินอุดหนุนวัด 12 แห่งในจังหวัด วงเงิน 123 ล้านบาท

วันนี้ (18 ก.พ.) เมื่อเวลา 06.00 น. พล.ต.ต.จรูญ เกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. บูรณาการกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ บก.ปอท., บก.รฟ., บก. ทล., เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. รวมกว่า 60 นาย เปิดปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี ทุจริตเงินทอนวัด” กระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด ในพื้นที่ จ.นครนายก จ.นนทบุรี และ กรุงเทพมหานคร เพื่อตามจับผู้กระทำผิดทุจริตเงินอุดหนุนวัด ของสำนักงานพระพุทธศาสนา รวมถึงตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด

โดยเป้าหมายสำคัญของการตรวจค้นอยู่ที่ กุฏิเจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก ซึ่งเป็นที่จำวัดของ พระสิทธิวรนายก หรือ เจ้าคุณแจ๊ค เจ้าอาวาสวัด หรืออีกตำแหน่งคือ รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ทั้งนี้ เมื่อพบตัว พระสิทธิวรนายก เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายค้นศาลจังหวัดนครนายก เพื่อขอเข้าทำการตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ ภายในกุฏิ ก่อนจะนิมนต์พระสิทธิวรนายก ไปยัง สภ.เมืองนครนายก เพื่อทำการสอบปากคำ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดอื่นๆ ในพื้นที่ จ.นครนายก ที่เกี่ยวข้องอีก 11 วัด มาทำการสอบปากคำยัง สภ.เมืองนครนายก อีกด้วย

สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้รับการร้องเรียนให้ดำเนินการตรวจสอบงบอุดหนุนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนา ช่วงระหว่างปี 2550-2559 ของ จ.นครนายก หลังพบความผิดปกติหลายอย่างจนเชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น จึงลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริง จนกระทั่งพบว่า นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีทุจริตเงินทอนวัดเคสเก่า ที่อยู่ระหว่างหลบหนี พร้อมพวกเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ได้ร่วมกับ พระสิทธิวรนายก และเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ในพื้นที่ ทุจริตเงินอุดหนุนจากสำนักพุทธฯ ที่อนุมัติให้วัดต่างๆ ในพื้นที่ จ.นครนายก 12 วัด ในวงเงินงบประมาณ 123 ล้านบาท

‘จิราพร’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ยกทรัพยากรชาติ ‘คิงส์เกต’ จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดีเหมืองทองอัครา

“จิราพร” ซัด “บิ๊กตู่” แร่เนื้อเถือแผ่นดินให้ “คิงส์เกต” จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดี พร้อมแฉ 11 รายการไทยขอประนีประนอม หวั่นพื้นที่สำรวจแร่ทับซ้อนที่อุทยานฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันที่สอง โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงคดีเหมืองทองอัคราตอนหนึ่งว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเลื่อนออกคำชี้ขาดไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ถามว่าการเลื่อนแต่ละครั้งใครขอเลื่อน เลื่อนเพราะอะไร ใครได้หรือเสียประโยชน์ เพราะมีข้อสังเกตว่าพอเลื่อนอ่านคำชี้ขาด ไม่นานประเทศไทยจะทยอยคืนสิทธิการทำเหมือง เพิ่มพื้นที่สำรวจแร่ทองคำ และให้สิทธิอื่นๆ เกือบทุกครั้ง และตั้งแต่ประเทศไทยถูกบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด หรือ “คิงส์เกต” ฟ้องร้อง รัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงต่อประชาชนเลยว่าคิงส์เกต ฟ้องร้องไทยประเด็นใดบ้าง และเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ จากการเทียบเคียงกรณีเหมืองทองในประเทศเวเนซุเอลา ที่มีความคล้ายคลึงกันประเมินได้ว่า ถ้าไทยแพ้คดีจะต้องจ่ายขั้นต่ำประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าเป็นตัวเลขที่คาดการณ์ไปเอง หากเป็นเช่นนั้นตนขอถามว่าทำไมไม่กล้าบอกความจริงกับประชาชนว่าคิงส์เกตเรียกว่าค่าเสียหายเท่าไหร่ 

“อย่าอ้างว่าตอบไม่ได้เพราะเป็นความลับที่อนุญาโตตุลาการไม่ให้เปิดเผย เพราะในแถลงการณ์ของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 61 ระบุว่า อนุญาโตตุลาการให้กระบวนการพิจารณาเป็นความลับ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามการทำหน้าที่ตามกฎหมาย การตอบคำถามส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติ เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบไม่ได้ อีกทั้งกระบวนการตอนนี้อนุญาโตตุลาการพร้อมอ่านคำชี้ขาดแล้ว แต่มีการขอเลื่อนไปเรื่อยๆ” น.ส.จิราพร กล่าว 

น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า สรุปแล้วรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กับคิงส์เกต จะขอยกเลิกกระบวนการอนุญาโตตุลาการหรือจะเดินหน้าเจรจากัน หรือเลือกที่จะไม่เจรจา แต่จะสู้คดีกันจนถึงที่สุด หากไทยเลือกสู้คดีจนถึงที่สุดก็มีโอกาสแพ้คดีสูงมาก และต้องจ่ายค่าโง่ในรูปแบบเงิน ทองคำ หรือทรัพยากรประเทศ ซึ่งตรงกับข้อมูลของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 โดยระบุว่าคิงส์เกตมีโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่สำเร็จจากชั้นอนุญาโตตุลาการ หากการเจรจากับไทยไม่สามารถสรุปผลสำเร็จได้ หมายความว่าเขามั่นใจว่าถ้าตัดสินชี้ขาด เขาจะชนะคดีแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบคือพล.อ.ประยุทธ์หรือประเทศ พล.อ.ประยุทธ์จะควักเงินตัวเองจ่ายหรือเอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย

น.ส.จิราพร อภิปรายอีกว่า ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงตรงไปตรงมา ว่าการเปิดทางให้คิงส์เกตนำผงเงิน ผงทองคำ ที่ถูกอายัดไว้ไปขาย การให้สิทธิสำรวจแร่เกือบ 4 แสนไร่ การให้สิทธิประทานบัตร 4 แปลง เป็นส่วนหนึ่งของการประนีประนอมเจรจายอมความหรือไม่ คดียังไม่ถึงที่สุดรัฐบาลก็ให้สิทธิเปิดเหมืองทำต่อ และคาดว่าที่รออนุญาตเกือบ 6 แสนไร่ จะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่คดีพิพาทในเหมืองเดิมพื้นที่ 3 พันกว่าไร่ ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ตอนนี้นอกจากจะได้พื้นที่เดิมคืนยังได้สิทธิใหม่เพิ่มเติม เท่ากับต้องใช้สมบัติชาติเฉียด 1 ล้านไร่ เพื่อสังเวยค่าโง่จากการใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา

“รายการเหล่านั้นเป็นข้อแลกเปลี่ยน ในการเจรจาประนีประนอมยอมความกันหรือไม่ คำตอบอยู่ในแถลงการณ์ของคิงส์เกต ต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 ระบุว่า คิงส์เกตและรัฐบาลไทย ได้ร่วมกันร้องขอคณะอนุญาโตตุลาการ ชะลอคำชี้ขาดไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 64 เพื่อขยายเวลาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติข้อพิพาทร่วมกัน และคิงส์เกตได้เจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อพิจารณาข้อตกลง ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนมีทั้งหมด 11 รายการ ตรงนี้ชัดเจนว่ามีการเจรจาประนีประนอมยอมความกัน” น.ส.จิราพร กล่าว

'ไทยสร้างไทย' โว!! ชาวอีสาน ชู 'สุดารัตน์' เป็นนายกฯ มั่นใจในความสามารถ ไม่มีประวัติโกง

'พงศกร' โว ชาวอีสาน ชู 'สุดารัตน์' เป็นนายกฯ มั่นใจในความสามารถ ไม่มีประวัติโกง พร้อมกู้วิกฤติ ชี้ มีนโยบายปลดปล่อยประชาชน จากรัฐราชการรวมศูนย์

18 ก.พ. 65 - นายพงศกร อรรณนพพร ประธานคณะกรรมการบริหารพื้นที่พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า พรรคไทยสร้างไทยยังคงรับฟังความทุกข์ยากของประชาชนอย่างต่อเนื่อง คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย นำคาราวานสร้างไทย 77 จังหวัด ลงพื้นที่ยโสธรและอุบลราชธานี เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนถึงปัญหาในทุกมิติ ซึ่งพี่น้องประชาชนให้การตอบรับ และพร้อมสนับสนุนพรรคไทยสร้างไทยให้เข้าไปแก้วิกฤติชาติบ้านเมือง ที่สำคัญยังเห็นตรงกันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ให้กับพี่น้องชาวอีสาน และพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพราะเป็นคนเก่ง คิดเป็น ทำได้ และทำงานที่ยากๆ สำเร็จเป็นรูปธรรมมาแล้วหลายโครงการ เช่น เป็นผู้วางแผนแม่บทรถไฟฟ้าในกรุงเทพที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ตั้งแต่ปี 2538 ทำโครงการเครือข่ายทางด่วนใยแมงมุมเชื่อมโยงการเดินทางให้คนกรุงเทพ ตอนเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่อยู่สี่ปีเต็ม รับมอบหมายให้ทำนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค มาปฏิบัติจนสำเส็จ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องการทุจริต

‘สุรเชษฐ์ ก้าวไกล’ ชี้ รัฐอุ้มเจ้าสัวรถไฟฟ้าทำค่าโดยสารแพง ลั่น! ต้องกล้าชนทุนใหญ่คลอดตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วม

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่อาคารรัฐสภา นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายเป็นการทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อกรณีปัญหาค่าเดินทางของประชาชนที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมันและราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ

โดยนายสุรเชษฐ์ ระบุว่าหากไล่ดูสถิติตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 2562 จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มาจนประมาณกลางปี 2563 ก็ขึ้นอีกครั้ง และสูงขึ้นเป็นพิเศษในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า

แม้จะกล่าวได้ว่ามีปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นทุนเนื้อน้ำมันคิดเป็นเพียง 40-60% ของราคาน้ำมันเท่านั้น และยังมีส่วนของภาษีและกองทุนต่างๆ และค่าการตลาด ที่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งรัฐบาลบริหารจัดการราคาได้อย่างล้มเหลว จนราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันขึ้นมาจาก 17 เป็น 33 บาท หรือแพงขึ้นถึง 94%

นายสุรเชษฐ์ ยังอภิปรายต่อไปถึงกรณีของค่าทางด่วน ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน เหตุเพราะมีการคิดราคาโดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง และรัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ โดยการเจรจาระงับข้อพิพาทที่ยังไม่สิ้นสุดคดีความ ภายใต้เงื่อนไขให้เอกชนเก็บเงินต่อไปอีก 15 ปี 8 เดือน ทั้งๆ ที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว โดยล่าสุด เมื่อ 1 ธันวาคม 2564 ค่าทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ยังมีการขึ้นไปอีก 30%

นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบการเดินทางยังมีราคาที่สูงขึ้น จากผลสำรวจพบว่าค่าเดินทางของประชาชนแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในกรณีรถไฟฟ้า เฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 17% ของเงินเดือน 15,000 บาท รถตู้สาธารณะ คิดเป็น 14% เรือคลองแสนแสบคิดเป็น 11% รถเมล์ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่สุดก็ยังมีราคาที่สูง โดยรถเมล์ปรับอากาศคิดเป็น 11% รถเมล์ธรรมดาคิดเป็น 8% และเรือด่วนเจ้าพระยา คิดเป็น 8%

นอกจากนั้น บริการขั้นพื้นฐานอย่างรถเมล์ ยังมีราคาค่าโดยสารที่สูงกว่าคุณภาพการบริการ จากปี 2534 ที่ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 3.5 บาท มาถึงปี 2564 ราคาค่าโดยสาร 8 บาทแล้ว แต่ 30 ปีผ่านไป คนไทยยังต้องใช้บริการรถเมล์แบบเดิมหรือกระทั่งคันเดิม เพราะรัฐบาลมัวแต่หากินกับการสร้างรถไฟฟ้า การขยายสัมปทาน แต่ละเลยรถเมล์

>> อัดรัฐบาลแบ่งเค้กหากินกับรถไฟฟ้า ทำค่าโดยสารพุ่ง-ซ้ำเติมความลำบากประชาชน

นายสุรเชษฐ์ ยังได้ยกตัวอย่างระหว่างการอภิปราย โดยระบุว่าในชีวิตของชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีเงินเดือน 15,000 บาท อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ ข้าราชการสภา หรือผู้ช่วย ส.ส. สมมุติว่ามีบ้านอยู่แถวอ่อนนุชและต้องมาทำงานที่สภา

คนๆ นั้นจะต้องตื่นตั้งแต่ 6:00 น. ออกจากบ้านก่อน 6:45 น. เริ่มต้นด้วยรถสองแถว เพราะรถเมล์น้อยและต้องรอนาน จากบ้านไป BTS อ่อนนุช 9 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS อ่อนนุช ไป BTS หมอชิต อีก 44 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สวนจตุจักร ไป MRT บางโพ อีก 24 บาท เมื่อใกล้ถึงสภาก็รอรถเมล์นานเดี๋ยวมาสาย ก็ต้องยอมจ่ายค่าขึ้นมอเตอร์ไซด์ บางวันเก็บ 20 บาท บางวันเก็บ 40 บาท แล้วแต่ดวงและตำแหน่งที่ลง รวมใช้เวลาเดินทาง 1.5-2 ชั่วโมง ใช้เงินทั้งสิ้น 107 บาท ในการเดินทางขามาอย่างเดียว

ส่วนขากลับ แม้จะเลิกงาน 16:30 น. แต่โดยมากก็จะได้กลับจริงประมาณ 18:00 น. เป็นช่วงที่สามารถเน้นการเดินทางราคาถูกกว่าได้เพราะไม่ต้องรีบแล้ว คนๆ นั้นต้องใช้เวลาเดินทาง 1.5-2.5 ชั่วโมง เริ่มที่รถเมล์สาย 3 จากสภา ไป BTS สะพานควาย 8 บาท ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS สะพานควาย ไป BTS อ่อนนุช 44 บาท ตามด้วยรถสองแถว จาก BTS อ่อนนุชไปส่งแถวบ้าน อีก 9 บาท กว่าจะถึงบ้านก็ประมาณ 20.00 น. แล้ว ขากลับทั้งหมดรวมเป็น 61 บาท

ทั้งหมด รวมขาไปและขากลับ รวมเป็นค่าใช้จ่าย 168 บาท/วัน หรือคิดเป็น 56% ของค่าแรงขั้นต่ำ หรือหากคิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท ก็ยังถือว่าสูงมาก เป็นค่าใช้จ่ายถึง 22.4% ของเงินเดือน

“นี่ขนาดเงินเดือน 15,000 แล้วผู้มีรายได้น้อยหรือไม่มีรายได้ล่ะจะอยู่อย่างไร? ขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ถูกกว่านี้มากก็ขึ้นไม่ได้เพราะอยู่ไกลจากสถานี นอกจากแพง แล้วยังนานอีก ต้องเสียเวลาชีวิต 3-4 ชั่วโมง/วัน นี่ล่ะครับ ชีวิตคนกรุงเทพ เดินทางลำบาก ทั้งแพงและนาน ชีวิตจริงเป็นแบบนี้ ชนชั้นกลางหรือผู้มีรายได้น้อยส่วนมากไม่สามารถซื้อคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าได้ทุกคนนะ” นายสุรเชษฐ์กล่าว

นายสุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสาเหตุที่รถไฟฟ้าราคาแพงเช่นนี้ เป็นเพราะมีค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน เสียค่าแรกเข้า 15 บาท และมีค่าระยะทางอีก 2 บาทกว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากการหากินกับรถไฟฟ้า เจรจาเป็นสายๆ แบ่งผลประโยชน์กันเป็นรายๆ โดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง

ทั้งที่การคิดราคา หากเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ต้องคิดจากจุด ‘ต้นทาง’ ไป ‘ปลายทาง’ ไม่ใช่แค่จากสถานีรถไฟฟ้าหนึ่งไปยังอีกสถานีรถไฟฟ้าหนึ่ง เช่น การขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 8 สถานี ค่าโดยสารควรคิดเหมือนกับการขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 4 สถานี แล้วต่อสายสีน้ำเงินอีก 4 สถานีเท่านั้น 

>> แนะอุดหนุนขนส่งสาธารณะเพิ่ม “อย่างมีเหตุผล” - อัดรัฐเน้นแต่สร้างรถไฟฟ้า ไม่เหลียวแลรถเมล์

นายสุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสำหรับประชาชนหลายคน การมีรถยนต์เป็นของตัวเองจึงเป็นความฝันหนึ่งที่จะทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ด้วยความคิดว่าจะทำให้การเดินทางถึงไว ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน แต่ในชีวิตจริงไม่ง่ายเช่นนั้น

เพราะสำหรับผู้ใช้รถ การขึ้นทางด่วนหรือไม่ล้วนมีความต่างไม่มาก เพราะทั้งแพงกว่าและใช้เวลาไม่ต่างกันมาก และแม้จะด้านเทียบค่าใช้จ่ายกับเวลาแล้วการขับรถคุ้มค่ากว่าการเดินทางสาธารณะก็จริง แต่การมีรถก็ยังเป็นภาระอันหนักอึ้ง เมื่อเทียบกับเงินเดือน 15,000 บาท เพราะต่อให้มีเงินดาวน์เยอะหรือผ่อนได้นาน ค่าผ่อนรถอย่างถูกสุดก็เฉลี่ย 6,256 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 42% ของเงินเดือน

'บุญเกื้อ' ทีมโฆษกพรรคไทยภักดี เสียชีวิตแล้ว!! ลูกชายแจ้งข่าวจากไปอย่างสงบ

จากเพจเฟซบุ๊ก 'บุญเกื้อ ปุสสเทโว' ได้มีการลงข้อความ ระบุว่า... 

แจ้งข่าว (คุณพ่อ) บุญเกื้อ ปุสสเทโว เสียชีวิตแล้วด้วยอาการอันสงบ ที่บ้านพัก เลขที่ 99 ม.9 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

กำหนดการตั้งศพไว้ที่วัดหนองลานราษฎร์บำรุง เป็นเวลา 7 วัน

นายบดีศร ปุสสเทโว บุตรชาย/แจ้งข่าว

ทั้งนี้เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2564 นายบุญเกื้อ เผยว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งในช่องท้อง มีขนาดโตขึ้น การรักษาด้วยวิธีคีโมไม่ได้ผล (ดื้อยา) แพทย์จุฬาฯ ต้องเปลี่ยนวิธีรักษามาเป็นการฉายรังสี (แสง) เมื่อฉายแสงครบ 10 ครั้งแล้วแพทย์ จะรอดูอาการอีก 3 เดือนว่าดีขึ้นหรือไม่

‘ไคลด์ ทอมบอ’ ค้นพบดาวพลูโต ซึ่งเป็นอดีตดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ในระบบสุริยะจักรวาล 

ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 (ตั้งแต่ ค.ศ. 1801 หรือประมาณ พ.ศ. 2344) นักดาราศาสตร์สมัยนั้น เชื่อว่ามีบางสิ่งรบกวนวงโคจรของดาวยูเรนัส ดาวเคราะห์ดวงที่ 7 ในระบบสุริยะ ซึ่งในขณะนั้นเป็นดาวเคราะห์ดวงนอกสุดที่อยู่ในระบบสุริยะ จึงทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นอยู่ไกลถัดจากดาวยูเรนัสไปอีก และจากนั้นในปี ค.ศ. 1846 (พ.ศ. 2389) นักดาราศาสตร์ก็ค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งต่อมากลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 8 ในระบบสุริยะ

อย่างไรก็ดี หลังจากการค้นพบดาวเนปจูนแล้ว ก็ไม่ทำให้คลายปริศนา เนื่องจากวงโคจรของดาวเนปจูนก็ยังมีความผิดปกติที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้เช่นกัน ทำให้เหล่านักดาราศาสตร์เชื่อว่า จะต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ไกลออกไปจากดาวเนปจูนอย่างแน่นอน ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าว นำมาซึ่งการค้นพบดาวพลูโต...และบุคคลสำคัญผู้ค้นพบดาวพลูโตก็คือ ไคลด์ ทอมบอ (Clyde Tombaugh)

ทอมบอ ได้ส่งภาพวาดของดาวอังคาร และดาวพฤหัสบดี ไปให้กับทางหอดูดาวโลเวลล์ ในเมืองแฟลกสแตฟฟ์ รัฐแอริโซนา เพื่อขอคำแนะนำ แต่แล้วเขากลับได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงาน หลังจากนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นนักสังเกตการณ์อยู่ที่นั่น เรื่อยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-1945 (พ.ศ. 2472-2488) โดยขณะที่ ทอมบอ ทำงานอยู่ที่หอดูดาวโลเวลล์นั้น ชื่อของเขาก็ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้ค้นพบ "ดาวพลูโต" เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) โดยการค้นพบครั้งสำคัญนี้ เขาบังเอิญค้นพบมันโดยบังเอิญขณะสำรวจท้องฟ้า ซึ่งต่อมาพลูโตก็กลายเป็น "ดาวเคราะห์" อันดับที่ 9 ของระบบสุริยะ จากนั้น ทอมบอก็ได้รับรางวัลทุนการศึกษา เข้าเรียนด้านดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคนซัส ก่อนจะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482)

สกพอ. ถกผู้แทนทูตฮังการี-รัสเซีย ชักชวนลงทุน อุตฯ เป้าหมาย

สกพอ. เร่งแผนการลงทุนระยะ 2 (ปี 2565 - 2569) เดินหน้าสานความร่วมมือนานาชาติ ถกผู้แทนทูตฮังการี และรัสเซีย จูงใจผู้ประกอบการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซี 

นายเพ็ชร ชินบุตร รองเลขาธิการฯ สำนักงานคณะกรรมการเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สกพอ. ได้มีการขับเคลื่อนแผนการลงทุนระยะ 2 (ระหว่างปี 2565 - 2569) ตั้งเป้าหมายให้เกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท หรือปีละ 5 แสนล้านบาทต่อเนื่อง 5 ปี มุ่งเน้นดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ การแข่งขันของประเทศ โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 สกพอ. ได้มีการผลักดันให้มีการเจรจาทางธุรกิจระหว่างนักลงทุนต่างประเทศทั้งจากภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และนักลงทุนไทย และเร่งนำเสนอแผนการลงทุน ให้คณะผู้แทนทางทูตประเทศกลุ่มเป้าหมายและประเทศที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในอีอีซี ได้รับทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ และชักจูงให้เกิดการลงทุนร่วมกันต่อไป

โดยที่ผ่านมา สกพอ. ได้ให้การต้อนรับและหารือกับนายชานโดร์ ชีโปช เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย นำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการอีอีซี โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและการอำนวยความสะดวกการลงทุนในพื้นที่ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งได้หารือถึงแนวทางการชักจูงการลงทุนจากภาคธุรกิจของฮังการีมายังพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีความสนใจในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย ได้แสดงความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับ สกพอ. ในการชักจูงการลงทุนบริษัทเป้าหมายจากฮังการี และการจับคู่ทางธุรกิจกับภาคเอกชนไทย โดยทางสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยและ สกพอ. จะกำหนดสาขาความร่วมมือที่สนใจร่วมกันและชักจูงการลงทุนจากภาคเอกชนจากฮังการีต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top