Friday, 5 July 2024
Hard News Team

"วิษณุ" เผย​ กฤษฎีกาปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.ประชามติเสร็จแล้ว

วันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายวิษณุ​ เครืองาม​ รองนายกรัฐมนตรี​ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา​ 2019​ หรือ ศบศ.​ พล.อ. ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหมได้เรียกนายวิษณุ​ เครืองาม​ รองนายกรัฐมนตรีขึ้นไปหารือที่ตึกภักดีบดินทร์​ เกี่ยวกับรัฐมนตรีที่รับตำแหน่งใหม่ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรหลังจากนี้

จากนั้นนายวิษณุให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาปรับปรุงเนื้อหาร่าง​ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติของคณะกรรมการกฤษฎีกา​ ว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับปรุงเนื้อหาร่างเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเวลา 13.30 น เมื่อวันที่ 25 มีนาคมและคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง​ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติจะคุยกันในวันที่​ 1​ เมษายน ดังนั้น​ วันที่​ 1​ หรือ​ 2​ เมษายน​ น่าจะคุยกันเรียบร้อย​ และน่าจะประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้ตามกรอบเวลาที่เขาวางไว้

เมื่อถามถึงกรณีมีการร้องสมาชิกรัฐสภาจำนวน​ 208​ คนที่ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ​ 3 สุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายหรือไม่​ นายวิษณุ​ กล่าวว่า​ ไม่ทราบเขาไปร้องกันแล้ว​ แต่ไม่ต้องกลัวเพื่อนเยอะ ถ้าถามว่าสุ่มเสี่ยงหรือไม่ส่วนตัวมองว่าไม่

รองโฆษก ทบ. เผยสั่งต้นสังกัดสอบ “ร้อยโท” คอมเมนต์หนุน “แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์” ชี้ถ้าทำจริงโทษผิดระเบียบปฏิบัติ-วินัยทหาร ย้ำ! ขรก.ต้องยึด 3 สถาบันหลักของชาติ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีนายทหารยศร้อยโท สังกัดสำนักงานพระธรรมนูญทหารบกเข้าไปแสดงความคิดเห็นคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กสนับสนุนการกระทำของนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ที่ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์นั้นว่า ขณะนี้ทางกรมกำลังพลทหารบกได้สั่งให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง เพื่อรายงานให้กรมกำลังพลฯรับทราบก่อนว่านายทหารคนดังกล่าวได้กระทำแบบนั้นจริงหรือไม่ เพราะการโพสต์ข้อความลงในโซเชียลมีเดียอาจโดนแฮก หรือเป็นความตั้งใจ เนื่องจากในโซเชียลมีเดียมีทั้งของจริงและไม่จริง 

 

ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องรอดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ เมื่อหน่วยต้นสังกัดตรวจสอบเสร็จแล้วจะรายงานผลให้กรมกำลังพลฯ รับทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามขั้นตอนหากพบว่าเจ้าตัวได้กระทำจริง ถือมีความผิดในระเบียบปฏิบัติเรื่องการใช้โซเชียลมีเดีย หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่จะต้องไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง รวมทั้งเป็นการกระทำผิดวินัยทหาร โดยจะมีจากโทษเบาไปหาหนัก เพราะคนที่เป็นข้าราชการต้องมีจิตวิญญาณเป็นข้าราชการที่ดี และหากเป็นทหารต้องยึดสถาบันหลักของชาติ ทั้งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง 

เพื่อไทยปลุก ปชช.ช่วยกันเอา ส.ว.-พรรคร่วม รบ.ออกไป เชื่อทำ “ประยุทธ์” ไร้เสาค้ำยัน อยู่ต่อไม่ได้ 

วันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ Think Lab พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการจัดเสวนา "วิกฤตเศรษฐกิจ หลังรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร ?” โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรค พท.และอดีต รมว.พลังงาน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ และอดีต ส.ส.ร.ปี 40 และนายวิโรจน์ อาลี นักวิชาการอิสระ ร่วมเสวนา 

นายพิชัย กล่าวว่า ประชาชนจำนวนมากรู้สึกผิดหวัง หมดหวังเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในสภา เศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่และทรุดหนักลงไปอีกเรื่อยๆ เมื่อมีการคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย 3 ปัญหา คือ

1.) ประเทศไทยติดกับดักกับผู้นำที่ขาดความรู้ความสามารถ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วตลอด 6 ปีกว่า และยังคงแสดงความล้มเหลวในการบริหารอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ล่าสุดยังมีงบประมาณที่มีการกู้เงินมากกว่าการลงทุน อีกทั้งยังจัดงบประมาณปี 65 น้อยลงกว่างบประมาณปี 64 ถึง 5.66% ทั้งที่ประเทศต้องการการลงทุนเพื่อการพัฒนา เพราะกลัวถูกด่าว่ากู้มากไป นอกจากนี้เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำมากไม่มีทางถึง 4% ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลโม้ไว้ ล่าสุดแบงค์ชาติคาดว่าจะเหลือประมาณ 3% หรือต่ำกว่าซึ่งเชื่อว่าจะต่ำกว่ามาก สภาวะเงินทุนไหลออกจะมีมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอีก 

2.) การหาคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยงานจะทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย บุคลากรที่บริหารเศรษฐกิจปัจจุบัน ขาดความรู้ความสามารถ ขาดความเข้าใจทางเศรษฐกิจ ได้แต่ขายฝันไม่ต่างจากทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ 

3.) ประเทศไทยหมดความน่าเชื่อถือ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ มีการกระทำที่สวนกับประชาคมโลก ทั้งการนัดพบกับตัวแทนของเผด็จการทหารพม่าที่เป็นที่น่ารังเกียจของชาวโลก ที่เข่นฆ่าประชาชนอย่างอุกอาจโดยไม่สนใจการต่อต้านของนานาชาติ ปล่อยให้มีการจัดส่งอาหารให้กับเผด็จการทหารพม่า หากมีการแซงก์ชั่นจากนานาชาติเพื่อทำโทษเผด็จการทหารพม่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจจะโดนไปด้วย 

นอกจากนี้การปราบผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงและมีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ต้องออกแถลงการณ์ประท้วงการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลกแล้ว ทำให้ภาพลักษณ์ไทยไม่ต่างจากพม่าเลย ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงการค้าการลงทุนในอนาคต ซึ่งไทยมีปัญหาอยู่แล้วจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุด นำประเทศไทยให้กลับมาเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกได้อีกครั้ง เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาได้อย่างแท้จริง

นายพงศ์เทพ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมีผลในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ถ้าการเมืองมีปัญหา รัฐบาลไม่เข้มแข็ง ถามว่าเศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร ดังนั้นรัฐธรรมนูญทำให้เกิดผลดีหรือผลกระทบได้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าสืบทอดอำนาจ เสาที่พยุงอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์คือ ส.ว. 250 คนที่ คสช.เลือกมา และองค์กรอิสระที่ทำให้รัฐบาลอยู่หรือไปได้ ซึ่งที่มาก็มาจาก ส.ว.ที่ตัวเองคัดสรรมาเอง ส่วนพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) หากไม่ร่วม พล.อ.ประยุทธ์ก็อยู่ไม่ได้ เพราะในสภาฯ เวลาอภิปราย ต้องมีเสียงครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ถูกโหวตไม่ไว้วางใจ หรือเวลารัฐบาลเสนอกฎหมายการเงิน 

หากพรรคร่วมไม่ช่วยยกมือ กฎหมายก็ผ่านไม่ได้ หากคนรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อแล้วประเทศไปไม่ได้ ต้องทำให้เสาค้ำยันหลุดออกไป ทั้ง ส.ว.และพรรคร่วมรัฐบาล ตนมีวิธีง่าย ๆ ให้เสาค้ำยันหลุดออกไป เช่น เวลาที่กฎหมายหรือพระราชบัญญัติผ่านรัฐสภา ให้ ส.ส.เข้าชื่อกันเสนอว่ากฎหมายหรือ พรบ.นั้น ๆ ตราขึ้นมิชอบ หรือมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะ ส.ว.194 คนมาจากกระบวนการสรรหามิชอบ ตนอยากรู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอย่างไรถึงสถานะ ส.ว. 

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นเสาค้ำยัน ประชาชนต้องช่วยกันบอกหัวหน้า กรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ทั้งของพรรค ปชป.และ ภท.ว่าอย่าค้ำยัน พลงอ.ประยุทธ์ เพราะประชาชนทนไม่ไหวแล้ว หากช่วยกันพูดเยอะๆ ทั้งสองพรรคก็คงทนค้ำยันไม่ไหว ก็อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ส่วนรัฐธรรมนูญที่เสนอให้แก้ไขนั้น การยกร่างแก้ไขทั้งฉบับทำให้องค์กรอิสระหวั่นไหว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ตงิด ๆ เพราะกลัวว่าอาจไม่ได้อยู่ครบวาระ ส่วนโอกาสจะผลักดันให้มี ส.ส.ร.เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญก็ยากเย็นแสนเข็ญ 

ตอนนี้จึงยังไม่เห็นอนาคต ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งอยู่ ประเทศยิ่งแย่ ประชาชนยิ่งลำบาก ตนไม่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีความสามารถทำอะไรดี ๆ หรือตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมได้ ทำแต่เพื่ออยู่ในอำนาจต่อ หากประชาชนคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปแล้วพวกท่านลำบาก ก็ต้องแสดงออกเพื่อให้เสาหยุดค้ำยัน หากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป ประชาชนต้องบอกให้ชัดว่าพรรคไหนที่ คสช. ตั้งมาอย่าไปเลือก พรรคไหนไปร่วมค้ำยัน คสช.ก็ไม่เลือก ส่วนพรรคไหนที่ตั้งมาเพื่อสนับสนุนการสืบทอดอำนาจก็ไม่เลือก ต่อให้มี 250 ส.ว.อยู่ พล.อ.ประยุทธ์ก็กลับมาไม่ได้

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนมีโอกาสได้พูดคุยกับชาวต่างชาติในงานสถานทูตต่าง ๆ ได้สอบถามเขาว่ามองเราอย่างไร ญี่ปุ่นบอกว่าวันนี้เขามองการลงทุนกับเวียดนาม ทั้งที่บริษัทต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในประเทศเราทำกับญี่ปุ่น ทูตเกาหลีก็พูดเช่นเดียวกันว่ามองการลงทุนในเวียดนามเป็นหลัก วันนี้เวียดนามได้การลงทุนจากเกาหลีใต้มากกว่าไทยถึง 3 เท่า หลังการรัฐประหาร รัฐบาลไม่ได้พยายามหาตลาดใหม่เพื่อให้สินค้าไทยไปสู่ตลาดโลก ไม่มีการพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพ เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ได้ส่งเสริมธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการการใช้โซเชียลมีเดีย 

กฎหมายต่าง ๆ ที่สร้างความกังวลใจต่อผู้ลงทุน หรือผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นว่าจะถูกล้วง การไม่ปรับปรุงหรือพัฒนานี้ตนคิดว่าจะทำให้เราตายจากข้างใน นอกจากนี้รัฐเราไม่มีทักษะ ยุทธศาสตร์ชาติที่มีไม่ได้ช่วยบอกว่าเราจะไปข้างหน้าได้อย่างไร เราต้องกลับมานั่งดูว่าประเทศเราต้องการอะไร แล้วพบว่ากุญแจสำคัญคือรัฐธรรมนูญ เพราะนโยบายต่าง ๆ ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องมาจากกลุ่มคนที่มีความเข้าใจใกล้ชิดกับประชาชน แล้วรับเอาความต้องการของประชาชนไปขับเคลื่อน แต่วันนี้ประเทศเรากลับขับเคลื่อนโดยระบบรัฐราชการ ความต้องการของประชาชนอยู่ตรงไหนไม่มี 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า เราต้องกลับมาดูว่ารัฐยังให้ความสำคัญกับความมั่นคงมากกว่าความมั่งคั่งอยู่หรือไม่ วันนี้ทั่วโลกเน้นความมั่งคั่งกันหมดแล้ว ต้องถามคนไทยว่าคุณต้องการโตด้วยยุทธศาสตร์อะไร ต้องการพัฒนาไหม ตัวที่จะปลดล็อกทุกอย่างได้คือ รัฐธรรมนูญ เรื่องความมั่นคงควรเป็นลำดับท้ายๆ ถ้าแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วจะแย่ไปอีก การจะค้ำยัน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ในอำนาจต่อไปจะทำให้เขาไม่สนใจความต้องการของประชาชน 

พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้าใจเลยว่าประชาชนต้องการอะไร จะแข่งขันกับต่างชาติได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงตอนนี้จะรวดเร็วมหาศาลมาก คนยุคใหม่มีองค์ความรู้เยอะมาก อย่าบล็อกเขาไว้ แต่ต้องปล่อยให้เขาได้คิด ได้เติบโต ประเทศจึงจะไปได้ แต่ถ้าคิดเพียงจะค้ำยันอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ ประเทศจะไปต่อไม่ได้ สิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจคืออยู่นิ่ง ๆ เพราะวันนี้ภาคธุรกิจเขาพร้อมแล้ว แต่เขาติดขัดที่คุณ 

ทางหลวงชนบท สรุปการประชุมการศึกษาความเหมาะสม EIA เชื่อมเกาะลันตา ต.เกาะกลาง - ต.เกาะลันตาน้อย จ.กระบี่ เลือกเป็นแบบสะพานคานขึง เน้นความทนทานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) สรุปผลการประชุมและปัจฉิมนิเทศ โครงการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในขั้นรายละเอียด (EIA) สะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อนําไปประกอบแผนการดําเนินงานก่อสร้างในอนาคตให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากที่สุด

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช.ได้เล็งเห็นความจําเป็นของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างบ้านหัวหิน ตําบลเกาะกลาง กับเกาะลันตาน้อย ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญ สู่ชุมชน อํานวยความสะดวกด้านพาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนบนเกาะลันตา ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงแก้ไขปัญหาความยากลําบากในการเดินทางของประชาชน

เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางไปเกาะลันตาจะต้องผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 สู่บ้านหัวหิน ซึ่งเป็นจุดลงแพขนานยนต์ ท่าเรือบ้านหัวหินไปยัง ท่าเรือบ้านคลองหมาก ซึ่งท่าเรือดังกล่าวเชื่อมระหว่างเกาะกลางไปยังเกาะลันตาน้อย หลังจากนั้นจะมีสะพานสิริลันตาเชื่อมเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่ จึงจะถึงตัวเมือง ย่านชุมชน/การค้า และตรงต่อไปยังหาดต่าง ๆ จนไปสุดถนนที่ท้ายเกาะบริเวณที่ทําการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซึ่งการใช้แพขนานยนต์ แม้จะเป็นระยะทางสั้นเพียง 1.53 กิโลเมตร แต่เนื่องจากแพขนานยนต์บรรทุกรถได้น้อย มีจํานวนจํากัดและให้บริการในช่วงเวลา 06.00 - 22.00 น. เท่านั้น ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้าในช่วงเวลาเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทช.จึงได้จัดประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยได้เชิญกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น โดยแบ่งเป็น การประชุมปฐมนิเทศโครงการ, การประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 (2 กลุ่ม) และการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 (รวมทั้งหมด 3 ครั้ง) เพื่อสรุปแนวทางเลือกที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันคัดเลือกเส้นทางพื้นที่ศึกษาจุดเริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 ไปบรรจบกับจุดสิ้นสุดทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ความยาวสะพานรวมเชิงลาดประมาณ 2,240 เมตร

รูปแบบโครงการ สรุปได้ว่าเป็นแบบสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) ซึ่งเป็นรูปแบบสะพานที่มีความยาวช่วงสะพานมากกว่าสะพานทั่วไปทําให้เกิดความสะดวกสบายในการสัญจรทางน้ำ มีขั้นตอนในการก่อสร้างซึ่งรบกวนระบบนิเวศน้อยที่สุด

ต่อมา ทช.ได้จัดการประชุมหารือมาตรการและประชุมปัจฉิมนิเทศ เพื่อนําเสนอแนวสายทาง รูปแบบโครงการ พร้อมผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม มาตรการป้องกันแก้ไขลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงสรุปผลการศึกษาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยในส่วนของโครงสร้างที่อยู่ในทะเลนั้น จะมีมาตรการป้องกัน การสั่นไหวเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ป้องกันการกัดเซาะ ป้องกันการเกิดสนิม ซึ่งสายเคเบิลสะพานที่เป็นเหล็กได้ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันการเกิดสนิม โดยลักษณะการป้องกันสนิมที่สายเคเบิ้ล ประกอบด้วย

การป้องกันด้วยท่อพลาสติกหุ้มอยู่ภายนอก ป้องกันไอน้ำทะเล และแสง UV, ภายในท่อพลาสติกดังกล่าว มีการอัดน้ำปูน-ทราย หุ้มสายเคเบิ้ลไว้อีกชั้นหนึ่ง ทําให้ไม่มีช่องว่างให้อากาศชื้นที่มีความเค็มของไอทะเลเข้าไปอยู่ภายในท่อพลาสติกได้, การป้องกันสนิมที่ตัวสายเคเบิ้ล โดยมีสารเคลือบป้องกันสนิมโดยตรงตามมาตรฐานสากล ตลอดจนมีระบบตรวจสอบสภาพการเกิดสนิมและใช้ระบบไฟฟ้าสถิตเหนี่ยวการเกิดสนิม ไม่ให้เกิดที่สายเคเบิ้ล แต่ให้มาเกิดที่บ่อดักสนิมด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตแทน การป้องกันสนิมด้วยวิธีนี้เรียกว่า ระบบแคโทดิก เป็นการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแหล่งกําเนิดภายนอกเพื่อยับยั้งการเกิดสนิมของโลหะ

สําหรับขั้นตอนกระบวนการหลังจากการประชุมปัจฉิมนิเทศนั้น ทช.จะส่งรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ไปยัง สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 7 เดือน จากนั้นจะเข้าสู่คณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ ขั้นตอนสุดท้ายจะเข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบและเสนอของบประมาณในปี 2565 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,600 ล้านบาท


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

บิ๊กป้อมปลื้ม! มาตรการแก้ PM2.5 ฝุ่นลดจากปี 63  เห็นชอบ :โครงการทางพิเศษฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี  :โครงการทางหลวงแนวใหม่ จ.ปทุมธานี  มุ่งขยายโครงข่าย  ส่งเสริมการพัฒนาศก. ท้องถิ่น/ประเทศ 

เมื่อ 26 มีนาคม 2564   พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) ครั้งที่ 2/2564  โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. ,คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. ,และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กค. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบผลการดำเนินงาน ตามแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เชิงบูรณาการปีงป.62-63  ซึ่งในปี 63 มีปริมาณซากผลิตภัณฑ์ถึง 428,113 ตัน ทั้งนี้ได้มีหลายหน่วยงานดำเนินการแก้ปัญหาซากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว จำนวน 2 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 11 โครงการ  พร้อมรับทราบความก้าวหน้าการระงับใช้รถ ที่มีมลพิษเกินมาตรฐานตาม พ.ร.บ. การจราจรทางบก พ.ศ. 2522  ซึ่ง สตช. อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎกระทรวง ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับทราบการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม สนับสนุนโครงการจำนวน 69 โครงการเพื่อการบริหารจัดการ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งทำให้จุดความร้อนสูง (HOT SPOT) ในปี64 ลดลงจากปี63 อย่างน่าพอใจ

ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ รายงาน EIA โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ของการทางพิเศษฯ เพื่อเพิ่มโครงข่ายถนนและช่วยส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ ตามเส้นทางพาดผ่าน ด้านตะวันออกของถนนพหลโยธิน และเห็นชอบโครงการทางหลวงแนวใหม่หมายเลข 9 ด้านตะวันตก-จุดตัดทางหลวงหมายเลข 347-จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันออก-ทางหลวงหมายเลข 352 ของกรมทางหลวง  เพื่อลดปัญหาการจราจรคับคั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล  รวมถึง ยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่นละออง  เนื่องจากยังตรวจพบจุดความร้อน เป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือ และ ได้มีการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้ง จากที่ดินจัดสรรให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล และให้เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดมาตรฐานให้ครอบคลุมที่ดินจัดสรร ทุกประเภท ตามกฎหมายว่าด้วย การจัดสรรที่ดิน

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ ทส.และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามโครงการ/แผนงาน ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กรอบรายงาน EIA โดยเร็ว ซึ่งต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับสูงสุด  สำหรับการแก้ปัญหาฝุ่นละออง ขอให้ขับเคลื่อน และยกระดับการดำเนินงาน อย่างต่อเนื่อง ต่อไป  ควบคู่กับการ รณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชน

ป.ป.ส. กางผลงาน 6 เดือน พบเบาะแสยาเสพติดกว่า 7,957 เรื่อง เร่งประสานหน่วยงานภาคีดำเนินการแก้ไข พร้อมย้ำ! ผู้ปกครองดูแลการใช้โซเชียลของบุตรหลาน หวั่นถูกล่อลวงเข้าเครือข่ายค้ายา

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เผยผลการดำเนินงานในการลดความเดือดร้อนของประชาชน ตามนโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่จัดให้ยาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของชาติที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง

 

สำหรับการดำเนินงานในเรื่องการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหายาเสพติดผ่านสายด่วน 1386 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 มีนาคม 2564 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งสิ้น 7,957 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 4,864 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 61.13 จับกุมผู้เสพ จำนวน 810 ราย พาผู้เสพเข้ารับการบำบัด จำนวน 218 ราย จับกุมผู้กระทำความผิด 176 ราย และออกหมายจับ 9 ราย สำหรับยาเสพติดของกลางที่ยึดได้เป็น ยาบ้ารวม 79,280 เม็ด, ไอซ์ 879 กรัม เฮโรอีน 3.4 กรัม, กัญชาสด 15,500 กรัม , กัญชาแห้ง 111กรัม ยาแก้ไอ 740 กรัม คีตามีน 44 กรัม  

 

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการค้ายาเสพติดผ่านสื่อโซเชียลที่พบมากขึ้นในปัจจุบันนั้น สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดชุดติดตามเครือข่ายค้ายาเสพติดในโซเชียลร่วมกับตำรวจ ซึ่งพบกว่า 10,000 เครือข่าย โดยจากการติดตามพบว่ามีพฤติการณ์ล่อลวงเยาวชนเข้ามาเป็นเครือข่ายค้ายา และจัดส่งยาเสพติดผ่านทางพัสดุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้โซเชียลของแก๊งค้ายาจะเป็นกลุ่มผู้ค้ารายย่อยหรือระดับล่าง ในแต่ละปีมีการจับกุมคดียาเสพติดผ่านทางโซเชียล 200,000-300,000 คดี ในจำนวนนี้มากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้เสพ โดย ป.ป.ส. ได้ร่วมกับตำรวจจัดชุดติดตามพร้อมประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สั่งปิดเว็บไซต์ที่กระทำผิด

 

“ฝากเตือนไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครองให้เฝ้าระวังบุตรหลานและเยาวชนที่สามารถเข้าถึงโซเซียลได้ง่าย ทำให้เด็กตกเป็นเหยื่อการค้ายาเสพติดได้ง่ายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกดึงให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่ตั้งใจ และสำหรับพี่น้องประชาชนที่พบพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสยาเสพติดผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1. สายด่วน 1386 โทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. หนังสือร้องเรียนถึงสำนักงาน ป.ป.ส. ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค 3. การแจ้งเบาะแสด้วยตนเองได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค และ 4. การแจ้งผ่านเว็บไซต์ ป.ป.ส. https://1386.oncb.go.th

 

นายวิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงาน ป.ป.ส. และกระทรวงยุติธรรม มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สร้างสังคมปลอดภัยและน่าอยู่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด คือ การรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนโดยตรง โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้เช่นกัน จึงได้มีการลงพื้นที่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพบปะพูดคุย รับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดของหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม 

 

โดยล่าสุดในการลงพื้นที่ ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสร้างการรับรู้ในประเด็นแนวทางการปราบปรามยาเสพติดโดยอาศัยนโยบายการยึดทรัพย์สิน ตัดวงจรเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวัง (JSOC) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและติดตามผู้พ้นโทษในคดีสะเทือนขวัญ ด้วยกลไกทางสังคมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการป้องกันการกลับไปกระทำผิดซ้ำของผู้พ้นโทษ เป็นต้น

ช่วยเกษตรกรข้าวโพด! จุรินทร์ นำเคาะ "รับประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564 ให้เกษตรกร"

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ) ครั้งที่ 2/5264 ที่ประชุมได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 วงเงินงบประมาณ 311,418,600 บาท 

สำหรับ พื้นที่ประกันภัย 2.86 ล้านไร่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของรัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า วงเงินคุ้มครอง 1,500 บาทต่อไร่ ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด วงเงินคุ้มครอง จำนวน 750 บาทต่อไร่ 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า โดยกรณีเป็นที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ของ ธ.ก.ส. รัฐบาลจะรับจ่ายค่าเบี้ยประกันให้ 96 บาท/ต่อไร่ ธ.ก.ส. รับชดเชย 64 บาท/ต่อไร่ รวมเป็น 160 บาท/ต่อไร่ กรณีเกษตรกรทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะแบ่งการรับประกันเป็น 3 พื้นที่ คือ พื้นที่เสี่ยงต่ำ 150 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 350 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 550 บาทต่อไร่

นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากที่ได้เอาประกันภัยข้างต้นแล้ว โดยเกษตรกร จะเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยเองตามระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่  คือ พื้นที่เสี่ยงต่ำ 90 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่ วงเงินคุ้มครอง 240 บาท/ต่อไร่ เมื่อประสบภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย และ 120 บาท/ต่อไร่ เมื่อประสบภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด

"ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป โดยมีระยะเวลาขายประกันภัย แบ่งเป็น 2 รอบ คือ รอบที่ 1 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และรอบที่ 2 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 15 มกราคม 2565 " รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

“ครูกัลยา” ห่วงนักเรียนถูกราดซีม่า สั่งเร่งสอบข้อเท็จจริง เตรียมส่งคณะทำงานลงพื้นที่เยี่ยมเด็กพร้อมให้กำลังใจครอบครัว

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อมูลปรากฏเป็นข่าวกรณีที่นักเรียนพี่เลี้ยงชั้น ป.5 และชั้น ม.4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 37 ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เขาพนม จังหวัดกระบี่ ได้ใช้ยาซีม่าราดตามตัวเด็กชายภูผา บุตรชายนางจินตนา มาชะอุ้ม วัย 9 ขวบ ชั้น ป.2 ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยผิวหนังเกิดรอยไหม้ และมารดาของเด็กได้มารับตัวไปรักษาตัวที่ รพ.เขาพนม ในวันที่ 23 มีนาคม 2564 หลังจากเหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ดังกล่าว คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับทราบเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้แสดงความห่วงใยมายังเด็กชายภูผาและครอบครัว และสั่งให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย และรายงานผลการสอบสวนมายังหน่วยงานต้นสังกัดโดยเร็ว พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปยังจังหวัดกระบี่ เพื่อไปเยี่ยมนักเรียนคนดังกล่าวพร้อมให้กำลังใจกับครอบครัวที่ประสบเหตุ

นางดรุณวรรณ กล่าวต่อว่าตนเองได้มีโอกาสพูดคุยกับนายศักดิ์ชัย สุวรรณคต ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 37 เพื่อสอบถามเบื้องต้นถึงเหตุการณ์ดังกล่าวทราบว่าโรงเรียนอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง และจะมีบทลงโทษไปตามกฎระเบียบของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้คุณหญิงกัลยาได้กำชับให้โรงเรียนทุกโรงเรียนเพิ่มมาตรการในการดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความรัดกุมในการตรวจตรา ตรวจสอบ โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นโรงเรียนกินอยู่ประจำที่มีนักเรียนพักค้างในโรงเรียนอยู่ร่วมกันทุกชั้นปี ที่สำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก 

“ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ขอส่งกำลังใจให้น้องภูผาและครอบครัวและขอให้น้องหายป่วยโดยเร็ว และอยากเรียนทุกท่านให้ทราบว่าคุณหญิงกัลยา ในฐานะที่กำกับดูแลโรงเรียนราชประชานุเคราะห์มีความห่วงใยในปัญหาที่เกิดขึ้น และกำชับผู้เกี่ยวข้องให้เร่งสอบสวนข้อเท็จจริง โดยต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมถึงต้องไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีกในสถานศึกษาทุกแห่งภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้หากผลการสอบข้อเท็จจริงพบว่าคุณครู หรือนักเรียนพี่เลี้ยงมีข้อบกพร่องหรือมีความผิดพลาดในการดูแล ก็ให้โรงเรียนใช้มาตรการในการตักเตือนหรือลงโทษตามระเบียบ ข้อบังคับของทางโรงเรียนหรือทางราชการต่อไป ส่วนในกรณีของคดีความหากผู้ปกครองต้องการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็ถือเป็นสิทธิ และสามารถดำเนินการได้ภายใต้กระบวนการทางกฎหมาย” นางดรุณวรรณ กล่าว

ชง ศบศ. เปิดประเทศรับคนฉีดวัคซีนไม่ต้องกักตัว คาดนำร่อง ภูเก็ต-พัทยา-เชียงใหม่

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบศ. วันที่ 26 มีนาคมนี้ กระทรวงกหารท่องเที่ยวจะรายงาน แนวทางการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาจากประเทศต้นทางครบ 2 โดสแล้วสามารถมาเที่ยวไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่จะทำเป็นแซนด์บ็อกซ์ หรือจำกัดพื้นที่เพื่อทำการทดสอบ เบื้องต้นมองว่ามี 3 พื้นที่ที่มีความพร้อม คือ จังหวัดภูเก็ต ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าทดลองทำเรื่องนี้จะต้องมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดให้ได้อย่างน้อย 70% ก่อนจึงจะเริ่มต้นทำได้

“ส่วนตัวมองว่าอยากให้เริ่มได้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้  ที่ผ่านมากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้คุยกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว รวมไปถึงทางจังหวัดทั้ง 3 แล้ว โดยจะเริ่มต้นจังหวัดที่มีความพร้อมก่อน คือ ภูเก็ต จากนั้นจึงทำที่พัทยา โดยขอให้ทางจังหวัดนำเสนอมาว่าต้องการวัคซีนจำนวนเท่าใด ล่าสุดทางภูเก็ต แจ้งมาว่าต้องการ 9.25 แสนโดส และพัทยา 9.5 แสนโดส ส่วนเชียงใหม่ยังไม่ได้แจ้งตัวเลขมา โดยรูปแบบการทำแซนด์บ็อกซ์นั้น จะทำก่อนในจังหวัดที่มีสนามบิน และเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวได้ในพื้นที่ หรือเส้นทางที่กำหนดไว้ หากครบ 7 วันไม่มีการติดเชื้อแน่นอน ก็สามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ”

ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังได้รับหนังสือจาก 8 สมาคมท่องเที่ยว ประกอบด้วย สมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว(แอตต้า) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ สมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย สมาคมสปาไทย และสมาคมธุรกิจสายการบินประเทศไทย ซึ่งได้เสนอแผนการบริหารจัดการวัคซีนและแผนการเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว 1 กรกฎาคม เพื่อต่อลมหายใจให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 1 ปี

"บิ๊กป้อม" ยอมรับ สั่งถอด ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์จากวิป รบ. เป็นมาตรการลงโทษทางการเมือง ย้ำ ภท. พอใจแล้ว ฉุนสื่อฯ ถามให้ตีกัน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบกรณี 6 ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์งดลงคะแนนให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา ว่า เขาได้ลงโทษไปหมดแล้วและได้ขอโทษไปกับพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ไปบ้างแล้ว 

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล โดยถอด ส.ส.บางคนในกลุ่มดาวฤกษ์ ออกไปเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งของพรรคพปชร.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่และให้ออกทุกตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเมือง เป็นเวลา 3 เดือน อีกทั้งดำเนินการลงโทษทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง 

เมื่อถามว่าพรรคภท. ยอมรับกับผลการลงโทษของพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “พรรคภท. โอเค” พร้อมกับหันไปตอบสื่อด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า “สื่อจะถามทำไม ผมไม่เข้าใจเลย จะถามให้ตีกันให้ได้ แปลก  จะให้ตีกับใครล่ะ ให้ผมตีกับภท.หรือ"   จากนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า “จะไม่เกิดรอยร้าว กับภท.แล้ว ” 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แนวทางการลงโทษนี้ จะทำให้ พรรคภท.และพรรคพปชร. เกิดความสมานฉันท์ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า มันเป็นแนวทางของพรรคการเมืองและส.ส. กลุ่มดาวฤกษ์ก็เป็นส.ส.สมัยแรก เขาอาจจะไม่เข้าใจ และการลงโทษก็ถือว่าเป็นกฎของพรรคการเมือง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top