Wednesday, 25 June 2025
Hard News Team

อนาคตสดใส!!  เกาะรั้ว 'มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43'​ กระแสยานยนต์ไฟฟ้าคึกคัก ขานรับนโยบายรัฐดันไทยสู่ฮับผลิต​ EV​ แห่งอาเซียน

'รมว.สุริยะ'​ พอใจภาพรวมงาน 'มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43'​ เผยรัฐบาลเตรียมมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หลังพบยอดการใช้งานสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

(27 มีนาคม 2565​)​ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสากรรม นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ซึ่งจัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน 2565 โดยมีนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม, ดร.กฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม​ พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายชาญ ตุลยะเสถียร, นายโสภณ ตันประสิทธิกุล, ดร.สฤษฎเกียรติ แจ่มสมบูรณ์, นายชัชวัฏ สุวรรณโณ, นายกฤตณ์พัทธ์ กังสุวรรณ, นายธีระ บัวประดับกุล คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารบริษัทยานยนต์ชั้นนำ เข้าร่วม

งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2022 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ก้าวด้วยกัน ไปด้วยใจ ไปได้ไกล” หรือ “KEEP MOVING FORWARD TOGETHER” โดยบริษัทกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานหลัก โดยมี 27 บริษัทรถยนต์ 8 บริษัทรถจักรยานยนต์ และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านยานยนต์เข้าร่วมจัดแสดงบนพื้นที่กว่า 170,960 ตารางเมตร 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวชื่นชมคณะผู้จัดงานที่เตรียมพร้อมตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างดี และดีใจที่ประชาชนให้ความสนใจการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมยานยนต์​ เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศหลักที่ผลิตรถยนต์ของโลก โดยในประเทศอาเซียน ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งในปีนี้มีการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยประมาณ 1,800,000 คัน ขณะที่การจัดงานในปีนี้ พบว่า มีบริษัทผู้ประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลตั้งเป้าภายใน 5 ปีจากนี้ จะมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไม่น้อยกว่า 360,000 คัน โดยแบ่งเป็นใช้ในประเทศ 260,000 คัน และส่งออก 100,000 คัน 
 

ถึงขั้น ‘สงครามกลางเมือง’ ! ‘อดีตรองอธิการ มธ.’ เตือนหากได้ ‘นากยกหญิงคนที่ 2’  แล้วแก้ กม. พา ‘พ่อกลับบ้าน’ อาจนำบ้านเมืองวุ่นวาย ซ้ำรอยเดิม

(27 มี.ค.65)  รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Harirak Sutabutr” ระบุว่า...

"เมื่อครั้งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในฐานะที่เป็นผู้ร่วมประท้วงรัฐบาลด้วยคนหนึ่ง และไม่เคยเห็นด้วยกับการทำรัฐประหารไม่ว่าครั้งใด แต่ต้องขอบอกตามตรงว่า อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความเหนื่อยล้า และมองไม่เห็นทางออกอื่นว่าเรื่องจะจบลงได้อย่างไร

เมื่อถูกเรียกให้ไปรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ก็ถามท่านนายพลท่านหนึ่งว่า การทำรัฐประหารครั้งนี้ มีการวางแผนมาก่อนนานแค่ไหน ท่านตอบว่า มีการวางแผนจริง แต่เป็นการวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมไว้เป็นทางออกสุดท้าย และท่านยืนยันซึ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจเดินหน้าเพื่อทำรัฐประหารตามแผนก็เมื่อได้รับคำตอบจากคุณ ชัยเกษม นิติศิริ ผู้ที่รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่ารัฐบาลจะไม่ลาออก ในวันที่เชิญทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมเจรจาที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

ก่อนการทำรัฐประหาร ก็มีข่าวลือ และว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นไม่อยากเชื่อ ว่าพลเอก ประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่เมื่อในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็คือ พลเอก ประยุทธ์ ก็ยังหวังว่า เมื่อเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหาร สามารถเลือกคณะรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องมีโควต้าจากกลุ่มการเมือง รายชื่อคณะรัฐมนตรีน่าจะออกมาดูดี แต่แล้วก็พบว่า แม้จะมีรายชื่อรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่ก็เชื่อว่าการเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรี น่าจะมีระบบโควต้าด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็มีระบบต่างตอบแทนเข้ามาเกี่ยวข้องแน่ เนื่องจากมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาเป็นรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก ประหนึ่งว่า หากจบโรงเรียนนายร้อยมาแล้วหรือได้ติดยศนายพลแล้ว จะมีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศได้ทุกเรื่อง

เมื่อถึงเวลาที่ คสช. ยอมให้มีการเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถชะลอเวลาให้นานกว่านี้ได้แล้ว ทั้งที่การปฏิรูปประเทศที่เป็นชิ้นเป็นอันมีเพียง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็นในการเลือกตั้งเท่านั้น การปฏิรูปประเทศด้านอื่นๆยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด

ก่อนการเลือกตั้งประมาณ 4 เดือน คสช. เห็นท่าทางว่า ในการเลือกตั้งหากปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ มีโอกาสสูงมากที่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารไปจะได้รับเลือกตั้งกลับมาสู่อำนาจได้อีก จึงตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ และเพื่อไม่ให้อำนาจเดิมกลับมาได้อีก จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งให้ได้ รวมทั้งวิธีการเดิมที่พรรคคู่แข่งเคยทำ นั่นคือ การใช้พลังดูดอดีตส.ส.ต่างๆเข้ามาในพรรค คุณสมบัติที่สำคัญคือ มีโอกาสมากที่จะชนะเลือกตั้ง และมีผู้ที่น่าจะชนะการเลือกตั้งอยู่ในมือกี่คน เรื่องความรู้ความสามารถเป็นคุณสมบัติรองลงมา พรรคนี้จึงกลายเป็นที่รวมของนักการเมืองน้ำเน่าไม่น้อยไปกว่าพรรคคู่แข่ง และมาจากที่ต่างๆร้อยพ่อพันแม่ ทำให้เป็นปัญหาที่ทำให้พรรคเกือบแตกอยู่ในขณะนี้

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือกตั้ง มีความรู้สึกว่า ไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพรรคการเมืองพรรคดังกล่าวได้ จึงหันไปมองพรรคที่เกิดขึ้นใหม่ ก็พบว่ามีพรรคเกิดใหม่ มีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ มีนโยบายบางนโยบายที่น่าสนใจ แต่ดูบุคลิกของแกนนำแต่ละคนแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเห็นตัวตนของคนในพรรคนี้มากขึ้น ยิ่งแน่ใจว่า พรรคนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ และยิ่งเห็นผู้ที่มีบทบาทในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งรับไม่ได้ ทุกคนเหมือนมี DNA ชุดเดียวกัน ทุกคนมีอคติต่อสถาบันพระมาหกษัตริย์ มีอคติต่อทหาร และมีความประสงค์จที่จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างน้อยไม่ให้มีบทบาทใดๆเลยในประเทศ อย่างมากคือไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน 

แต่แกนนำพรรคทุกคนกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ผูกขาดความคิดและความเชื่อ ถนัดในการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อโน้มน้าวให้คนเห็นคล้อยตามหรือเพื่อให้ตัวเองดูดี คุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งก็เห็นชัดเจนขึ้น ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติของนักการเมืองน้ำดีรุ่นใหม่ที่พึงมี

เมื่อไปดูพรรคการเมืองอื่นๆที่เกิดใหม่ ก็พบว่า มีจำนวนมากที่เกิดจากการแตกตัวของพรรคเก่า ที่มีเจ้านายคนเดียวกัน แตกตัวเพื่อให้ได้ประโยชน์จากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ พรรคการเมืองเกิดใหม่อื่นๆก็เป็นพรรคเล็กๆที่มองเห็นช่องที่จะได้ ส.ส.จากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ พรรคเล็กขนาดกลางบางพรรค ถึงแม้ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากการแตกตัวของพรรคใหญ่หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเดินตามพรรคใหญ่แบบไม่มีออกนอกแถว จนไม่แน่ใจว่าจะได้รับเงินสนับสนุนจากเจ้านายคนเดียวกันหรือไม่สุดท้ายก็ต้องหันไปเลือกพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกมาตลอด แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกับการกระทำ และแนวความคิดของหลายๆคนในพรรค ทำให้ตั้งใจว่า จะไม่เลือกพรรคนี้อีกแล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกพรรคใด

ต้องยอมรับว่า ในประเทศเรา การซื้อเสียงขายเสียงมีจริง และไม่เคยทำให้หมดไปได้ ว่ากันว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีจำนวนส.ส.ที่มากพอที่จะมีอำนาจต่อรองได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเพื่อใช้ในการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งการซื้อเสียงไม่สามารถจะทำได้ทุกเขตเลือกตั้งในทุกจังหวัด แต่จากข้อมูลในอดีต สามารถบอกได้ว่า แต่ละเขตในแต่ละจังหวัด เขตใดซื้อเสียงได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละเขตต้องใช้เงินเท่าใดจึงจะมีโอกาสสูงที่จะชนะเลือกตั้ง 

นอกจากใช้เงินแล้ว หากมีกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นสนับสนุนด้วย ก็แทบจะแน่ใจได้เลยว่าจะชนะเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะอย่างไรการซื้อเสียงก็จะยังคงมีอยู่ พรรคการเมืองเดิมที่เป็นรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารไป ยังคงมีสภาพเหมือนเดิมทุกประการ กล่าวคือยังคงมีเจ้าของพรรคเหมือนเดิม คนเดิม นักการเมืองในพรรคยังคงต้องฟังคำสั่งเจ้าของพรรคเหมือนเดิม ยังคงต้องบินไปคุกเข่าขอโน่นขอนี่เหมือนเดิม 

เพราะเจ้าของพรรคสามารถชี้นิ้วให้ใครได้ตำแหน่งไหนในพรรคก็ได้ จะเลือกส่งใครลงสมัครส.ส.ก็ได้ จะมองข้ามหัวหน้าพรรคแล้วส่งลูกสาวมาชิงชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ หัวหน้าพรรคนอกจากไม่หือไม่อือแล้ว ยังโค้งคำนับลูกสาวที่อายุคราวลูกได้อย่างไม่ขัดเขิน ดังนั้นเจ้าของพรรคจึงมั่นใจมากว่าจะชนะเลือกตั้ง และได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเดินเข้าคุก

ขอบคุณ ‘ทายาทอสูร’! ‘หมอวรงค์’ ชี้ ‘ทายาทอสูร’ พาพ่อกลับบ้านทำสังคมตื่นตัว ซัด ‘ผู้มีอำนาจ’ หากไม่เร่งแก้ไขบ้านเมืองอาจลุกเป็นไฟ!

วันที่ 27 มี.ค.65 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า...

“#ทายาทอสูร

ถ้าจำกันได้ ประมาณ 3 เดือนเศษ หลังรัฐธรรมนูญที่แก้ไขระบบเลือกตั้ง จากบัตร 1 ใบ มาสู่บัตร 2 ใบมีผลบังคับใช้ พวกเราได้ขึ้นป้ายใหญ่ เตือนความรู้สึกของสังคมว่า "โจรปล้นชาติจะกลับมา ประเทศชาติจะอยู่อย่างไร”

หลังจากนั้นไม่นาน แม้กฎหมายลูกยังแก้ไม่ทันเสร็จ และยังไม่ทันได้อำนาจจากประชาชน เกิดปรากฏการณ์ "ทายาทอสูร" ประกาศจะพาพ่อกลับบ้าน โดยไม่สนใจหลักความถูกต้อง หลักการบังคับใช้กฎหมาย ที่เท่าเทียม ทั้งๆที่ศาลวินิจฉัยจบแล้ว

พวกเราเคยเตือนมาตลอดว่า ระบบการเลือกตั้ง 1 สิทธิ์ แต่ลง 2 เสียง ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย ที่ตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชน เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของนักเลือกตั้ง และนายทุนพรรค เพราะระบบนี้ใช้เครือข่าย และเงินได้อย่างเข้าเป้า แต่คนเหล่านี้จะอ้างว่า นี่คือประชาธิปไตยของพวกเขา

ไม่เคยคิดหนี! ‘โรม’ ซัดกลับ ‘โฆษกศาลยุติธรรม’  ยัน! หมายเรียก ‘คดีป่ารอยต่อ’ ถึงมือแค่ฉบับเดียว

รังสิมันต์ โรม ตอบโฆษกศาลยุติธรรม ยืนยันไม่เคยหนีคดีป่ารอยต่อ แจงชัด 11 มี.ค. มีประชุม ‘คณะทำงาน’ ของ กมธ.พัฒนาการเมืองแน่นอน ย้อนให้กลับไปถามตำรวจ ทำไมหมายเรียกมาถึงแค่ฉบับเดียว แนะนำประสบการณ์ของตนไปช่วยปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ดีขึ้นพื่อเรียกคืนศรัทธาจากประชาชน 

รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อชี้แจงตอบโต้กรณีที่ สรวิศ ลิปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาอธิบายขั้นตอนเกี่ยวกระบวนการออกหมายจับของศาลอาญาตลิ่งชัน ในคดีที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ แจ้งความฐานหมิ่นประมาทตน โดยอ้างว่ามีการออกหมายเรียกหลายครั้ง และกระทำส่อไปในทางบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่มาตามหมายเรียก จึงต้องออกหมายจับนั้น  

รังสิมันต์ กล่าวว่า จากคำชี้แจงของสรวิศ ได้กล่าวว่า มีการออกหมายเรียกที่ไม่ได้ออกในระหว่างสมัยประชุมสภา 3 ฉบับ คือ

1. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 15 ตุลาคม 2564
2. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 26 ตุลาคม 2564
3. ฉบับที่นัดให้ไปพบตำรวจในวันที่ 11 มีนาคม 2565

“ผมขอชี้แจงว่าในบรรดาหมายเรียกทั้งหมดที่นายสรวิศอ้างถึงนั้น มีเพียงหมายเรียกฉบับที่ 3 เท่านั้นที่ผมได้รับเอกสารจริงๆ ส่วนหมายเรียก 2 ฉบับแรกนั้นไม่เคยมาถูกส่งมาถึงมือผมเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผมก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหมายเรียกนั้นไม่เคยมีออกมาแต่แรก หรือได้ออกมาแล้วแต่ส่งมาไม่ถึงที่อยู่ของผม หรือจงใจไม่ส่งมาที่ที่อยู่ของผมกันแน่ ส่วนที่ว่ามีการนัดและขอเลื่อนนัดกันนั้นก็เกิดจากการโทรศัพท์ติดต่อกันปากเปล่ามาที่ทนายความของผมทั้งสิ้น ซึ่งทางผมก็ได้แจ้งเหตุภารกิจของผู้แทนราษฎรในการขอเลื่อนนัดพบไปตามกระบวนการขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้แม้กระทั่งทางศาลอาญาตลิ่งชันก็ยังยอมรับในเหตุขัดข้องที่ผมได้แจ้งไป จึงได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอออกหมายจับผมที่ทางตำรวจยื่นมาในครั้งแรก ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องการยกคำร้องของศาลนั้นคุณสรวิศได้ชี้แจงไว้เอง” รังสิมันต์ ระบุ 

สำหรับประเด็นหมายเรียกครั้งล่าสุดที่ให้ไปพบตำรวจในวันที่ 11 มีนาคม 2565 นายสรวิศกล่าวว่า ตนได้แจ้งเหตุขัดข้องว่ามีการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่เมื่อตรวจสอบในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการฯ แล้วไม่พบว่ามีการประชุมนัดประชุมในวันดังกล่าว 

รังสิมันต์ ชี้แจงว่า การประชุมดังกล่าวคือการประชุมของ ‘คณะทำงาน’ ที่ถูกตั้งด้วยคำสั่งโดยชอบของประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน คณะทำงานที่ว่านี้ไม่ใช่ตัวของคณะกรรมาธิการเอง และไม่ใช่อนุกรรมาธิการ ดังนั้นจึงไม่ได้มีการลงนัดประชุมไว้ในเว็บไซต์ โดยคณะทำงานชุดนี้ทำหน้าที่ในการศึกษาเกี่ยวกับการบิดเบือนกฎหมายของเจ้าพนักงานในตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อทำรายงานส่งคณะกรรมาธิการฯ ชุดใหญ่ต่อไป โดยมีประธานคือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ และตนเป็นรองประธาน มีการประชุมในทุกวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่ตนก็ได้เข้าประชุมด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องขอเลื่อนการนัดพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่ได้แจ้งไป ซึ่งถ้าหากศาลเห็นว่าคณะทำงานดังกล่าวไม่เหมือนกันกับคณะกรรมาธิการ ก็ยังสามารถให้ออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 2 ได้ แต่ศาลก็เลือกอนุมัติให้ออกหมายจับในที่สุด

สรุปแล้วในบรรดาหมายจับทั้งหมดที่นายสรวิศอ้างถึง มีเพียงหมายจับฉบับสุดท้ายเท่านั้นถึงตนได้รับแล้วอย่างถูกต้องเพียงฉบับเดียว ซึ่งทางตนก็ได้แจ้งกลับไปแล้วว่าจะขอเลื่อนนัดมาเข้าพบตำรวจเป็นวันที่ 31 มีนาคม 2565 พร้อมเอกสารประกอบยืนยันข้อเท็จจริง เช่นนี้แล้วทางตำรวจมีเหตุอะไรอีกที่จะมาออกหมายจับตนได้ และถึงที่สุดกับคดีหมิ่นประมาทที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี 

"อลงกรณ์" วิเคราะห์นิด้าโพลชี้ "พิธา-แพทองธาร" มาแรง ฝ่ายค้านแซงรัฐบาล พอใจผลสำรวจพรรคประชาธิปัตย์-หัวหน้าพรรคมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ยัน ปชป.จะมุ่งมั่นทำงานโดยเฉพาะงานเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศชาติและประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์แสดงความเห็นวันนี้(27มีนาคม)หลังทราบผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2565โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)ว่า พอใจผลการสำรวจความเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพลที่ปรากฏผลการสำรวจออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคได้คะแนนนิยมและการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในไตรมาสก่อนหน้านี้

โดยนายอลงกรณ์ยืนยันว่าปชป.ยุคอุดมการณ์-ทันสมัยทำได้ไวทำได้จริงจะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานโดยเฉพาะงานเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศชาติและประชาชนในช่วงภาวะวิกฤติจากผลงานการส่งออกสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า8ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมาด้วยอัตราการเติบโตกว่า17%สูงกว่าเป้าหมาย4เท่าตัวรวมทั้งการประกันรายได้เกษตรกรกว่า7ล้านครัวเรือนที่ได้รับเงินโอนตรงเข้าบัญชีเกษตรกรกว่า3แสนล้านบาทในช่วง3ปีที่ผ่านมา

โดยการบริหารขับเคลื่อนของหัวหน้าพรรคนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีเกษตรฯ.ภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน 3 กลไกการทำงาน "พรรค-สภาฯ.-รัฐบาล"

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังวิเคราะห์ผลสำรวจของนิด้าโพล โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของพรรคที่เป็นรัฐบาลปัจจุบัน
2.หัวหน้าพรรคนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้รับคะแนนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นลำดับที่สองรองจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในซีกของแกนนำรัฐบาลผสม
3.พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งพรรคและผู้นำพรรค
4.ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายค้านได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่าผู้นำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล
5. โพลชี้ชัดว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนและผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28.86 และร้อยละ27.62 ตามลำดับ แต่ผมมีข้อสังเกตว่าเปอร์เซ็นต์ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนบ่งชี้ว่าประชาชนเริ่มตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
6. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) มีคะแนนสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และน.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย)ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมีคะแนนรองจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผลสำคัญคือเป็นคนรุ่นใหม่และสังกัดพรรคที่ประชาชนนิยมในซีกพรรคฝ่ายค้าน 

คนละไม้คนละมือ 'หมอยง'​ แนะ!! ฆ่าเชื้อ ATK ด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำ ก่อนทิ้ง พร้อมแยกขยะ​ติดเชื้อตามหลักมาตรฐานด้วย​ 'ถุงแดง'​ 

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yong Poovorawan ว่า...

“โควิด 19  การทำลายเชื้อโรคใน ATK ที่ใช้แล้ว
ยง ภู่วรวรรณ  26 มีนาคม 2565

การตรวจ ATK ขณะนี้มีการใช้อย่างแพร่หลาย มีการตรวจวันละหลายแสนชิ้น ATK ที่ใช้แล้วไม่ว่าจะตรวจพบเชื้อหรือตรวจไม่พบเชื้อ ถือเป็นขยะติดเชื้อ มาตรการในการทิ้งขยะติดเชื้อจะต้องใส่ถุงแดง และมีการทำลายอย่างถูกต้อง 

ตามบ้านทั่วไปจะไม่มีถุงแดง และมาตรการการเก็บขยะ ไม่มีการแยกขยะติดเชื้อ จึงเป็นปัญหาในการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ ถ้าทิ้งในขยะปกติที่ไม่ได้มีการแยกขยะ

ดังนั้นการตรวจน้ำเสีย ที่ทิ้งไปยังโรงบำบัดน้ำเสีย หรือตามแม่น้ำลำคลอง จึงสามารถตรวจพบ RNA ของไวรัสโควิดได้

สิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ หลังการตรวจ APK  คือการทำลายเชื้อในสิ่งที่ตรวจเสียก่อนที่จะนำไปทิ้ง

สารเคมีที่สามารถทำลายเชื้อ covid19 ได้ที่เรารู้จักกันคือแอลกอฮอล์ จะทำลายเชื้อเฉพาะไวรัสที่มีเปลือกหุ้ม ไวรัสที่ไม่มีเปลือกหุ้มไม่สามารถทำลายได้ เช่นไวรัสในกลุ่มมือเท้าปาก ก็พบได้ในบริเวณลำคอเช่นเดียวกัน

ปชป.หนุน บัตรเลือกตั้ง 2ใบ เบอร์เดียวกัน เชื่อพรรคการเมืองหาเสียงง่าย ประชาชนจดจำง่าย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี บัตรเลือกตั้งสองใบควรเป็นเบอร์เดียวกันหรือไม่ว่า จากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้มี ส.ส.เขต 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และได้กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบคือใบหนึ่งให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือก ส.ส.ในระบบเขต และอีกหนึ่งใบให้เลือก ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ

โดยหลักการแล้วการกำหนดให้มีหมายเลขของผู้สมัครควรที่จะต้องมีหมายเลขเดียวกันทั้งในระบบเขตและในระบบบัญชีรายชื่อ โดยเจตนารมณ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในกรณีที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ สามารถจดจำหมายเลขได้ง่าย ไม่สับสน  และจะอำนวยความสะดวกให้กับพรรคการเมืองในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ก็จะจัดการกับกระบวนการเลือกตั้งได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การประชาสัมพันธ์ก็จะสร้างความสัมพันธ์สอดคล้องกันในบรรยากาศของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

“เพื่อไทย” จี้ รัฐบาล เร่งกอบกู้ศรัทธาจากประชาชนในกระบวนการยุติธรรมกลับคืนแนะ “บิ๊กตู่ ” มีอำนาจล้นมือ อย่าดีแต่แต่งตั้งก.ก.ขอให้ชัดเจนในการปฏิรูปตำรวจอย่าให้ ปชช. เสื่อมศรัทธา

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่พรรคเพื่อไทย น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว ระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ว่า ตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียึดอำนาจมาจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่พลเอกประยุทธ์ประกาศคือการปฏิรูปตำรวจ โดยมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ในมาตรา 258 โดยยืนยันว่าจะทำการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 7 ด้าน ทั้งด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย โดยระบุเรื่องการปฏิรูปตำรวจไว้เป็นหนึ่งในหัวข้อหลัก รวมทั้งการปฏิรูปด้านการศึกษา การปฏิรูปเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ 

แต่เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา การปฏิรูปด้านต่างๆไม่มีความคืบหน้า มีการแต่งตั้งคณะกรรมการภายในการปฏิรูปจำนวนมาก ตั้งแต่มีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปตำรวจ ไม่ต่ำกว่า 5 คณะ ได้แก่ ชุดที่ 1 คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในช่วงเดือน ต.ค. 2557  ชุดที่ 2 คณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในปี 2558  ชุดที่ 3 คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) 

ในปี 2560 มีพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ชุดที่ 4 คณะกรรมการแก้ไขร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในเดือน มี.ค. 2561 มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และชุดที่ 5.คณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในเดือน มี.ค. 2562  (นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน) 

แต่ผ่านมา 4 ปี  11 เดือน 20 วัน มีแต่ความล่าช้า ทำให้เกิดความคลางแคลงและข้อสงสัยว่านายกรัฐมนตรีและทำผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากมีการระบุอย่างชัดเจนในมาตรา 260 ว่าการปฏิรูปตำรวจต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่ถึงวันนี้ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงแผ่วลงไป ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์มีความมุ่งมั่นแน่วแน่  แต่กลายเป็นว่าภาพที่เห็นในปัจจุบันคือการไม่เร่งรัดให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว  

“ ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.ตำรวจ พิจารณาได้เพียง 40 บาทตราจาก 140 มาตราและยังไม่ได้มีการพิจารณาต่อในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อระบบและกระบวนการยุติธรรม หลายครั้งจะเห็นว่าประชาชนตั้งคำถามกับตำรวจว่าได้ทำหน้าที่สุดความสามารถแล้วหรือยัง ทำงานได้คุ้มค่ากับภาษีที่จ่ายไปหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดคดีสำคัญหรือมีผู้เกี่ยวข้องที่มีชื่อเสียงตำรวจได้มีส่วน ในการตรวจสอบทั้งเรื่องของพยานหลักฐานพยานบุคคล ก็ยิ่งมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย 

ขู่ไม่ต่อสัญญา! ‘ประกันสังคม’ เอาจริง! อาจทวนต่อสัญญา ‘โรงพยาบาล’ ปัดดูแลผู้ประกันตนติดโควิค-19

น.ส.ลัดดา แซ่ลี้ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ชี้แจงกรณีผู้ประกันตนร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน จากสาเหตุติดเชื้อโควิด-19 โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิประกันสังคมไม่ให้การรักษา เนื่องจากคิวเต็ม และเสียค่าตรวจ RT PCR ต้องซื้อยากินเองตามที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 

ในกรณีดังกล่าว นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มีความห่วงใยสั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งตรวจสอบและให้การช่วยเหลือโดยด่วน ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมได้ประสานโรงพยาบาลตามสิทธิดังกล่าว เพื่อส่งตัวผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาใน Hospitel และจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ ตามสิทธิ์ประกันสังคม พร้อมให้โรงพยาบาลออกใบรับรองแพทย์เพื่อรับรองการหยุดงานเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้กำชับให้โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ให้ความร่วมมือดูแลรักษาผู้ประกันตน ที่ตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 ในทันที และมีความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้ประกันตนตั้งแต่เข้ารับการรักษา จนสิ้นสุดการรักษาอย่างเต็มศักยภาพ 
 

แทนกันไม่ได้! ‘กาตาร์’ เตือน ‘ยุโรป’ เตรียมเจ็บหนัก ชี้ การชดเชยก๊าซธรรมชาติรัสเซียเป็นสิ่ง ‘เป็นไปไม่ได้'

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เรียกร้องกาตาร์ ยกระดับกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติ เพื่อชดเชยอุปทานที่ขาดหายไปของรัสเซีย จากมาตรการคว่ำบาตรที่จะกำหนดเล่นงานภาคพลังงานมอสโก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนความพยายามนี้จะไม่ได้รับการตอบสนอง โดยโดฮาเน้นย้ำจุดยืนไม่เลือกข้างและชี้ว่าการชดเชยก๊าซธรรมชาติรัสเซียในตลาดยุโรปนั้น "คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้"

เซเลนสกี ส่งเสียงเรียกร้องดังกล่าว ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ทางไกลต่อที่ประชุมหนึ่ง ซึ่งมีบรรดาผู้นำโลกหลายสิบคนเข้าร่วม ณ เวทีสัมมนาประจำปี โดฮาฟอรัม ในกาตาร์

จามาล เอลชายาล ผู้สื่อข่าวของอัลจาซีราห์รายงานว่า การกล่าวปราศรัยของเซเลนสกีไม่ได้ถูกแจ้งล่วงหน้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการประชุม ซึ่งเป็นไปได้ว่า นั่นก็เพราะผู้จัดงานต้องการให้ฝ่ายรัสเซียเข้าร่วมด้วย

"ประธานาธิบดีเซเลนสกี ใช้โอกาสนี้ปราศรัยกับพวกผู้นำโลกหลายสิบคนที่เข้าร่วมในเวทีสัมมนา เพื่อกดดันพวกเขามากขึ้นให้ใช้มาตรการหนักหน่วงขึ้น เพื่อหยุดการรุกรานยูเครนของรัสเซีย" ผู้สื่อข่าวอัลจาซีราห์ระบุ

ผู้นำยูเครนร้องขอประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุม ใช้มาตรการต่างๆ โดดเดี่ยวมอสโกมากขึ้น คว่ำบาตรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย และเรียกร้องบรรดาประเทศที่ร่ำรวยก๊าซธรรมชาติอย่างกาตาร์ เข้าแทรกแซง เพิ่มกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติ เพื่อเติมเต็มอุปทานที่ขาดหายไปของรัสเซีย

เอลชายาล มองว่า "แม้กระทั่งหากกาตาร์ต้องการทำเช่นนี้ เนื่องจากมันจะให้ผลตอบแทนที่งดงาม แต่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเติมเต็ม 30% ในความต้องการทางพลังงานของยุโรป ที่ปัจจุบันจัดหาให้โดยรัสเซีย"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top