Monday, 7 July 2025
Hard News Team

บอร์ดกุ้งแจง…นำเข้ากุ้งเพื่อแปรรูปส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศในช่วงผลผลิตในประเทศขาดแคลนเท่านั้น

'เฉลิมชัย' ชี้ราคากุ้งดีต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ อาจมีผันผวนบ้างตามภาวะตลาด แม้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจแต่มีระบบประกันราคากุ้งเป็นมาตรการรองรับ ทำให้ราคาเพิ่ม 11 – 20 บาทต่อ กก.

ยืนยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะเป็นมติร่วมระหว่าง 8 องค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง – ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทยหลังถดถอยมาตลอด

ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวถึงข้อกังวลของ นายปรีชา สุขเกษม เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลจังหวัดสงขลา ในประเด็นการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศของผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพราคากุ้งทะเลภายในประเทศนั้น

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ประธานคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) หรือบอร์ดกุ้งเปิดเผยวันนี้ถึงกรณีดังกล่าวว่า จากปัญหาโรคกุ้งทะเล คุณภาพลูกพันธุ์กุ้ง และอาหารกุ้งในอดีต ทำให้การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องถดถอย ผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปที่ส่งออกกุ้งทะเลเป็นหลักต้องปิดตัวลงจากเดิมที่มีอยู่เกือบ 200 แห่ง ปัจจุบันเหลือเพียง 20 แห่ง ขณะที่จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลก็ลดลง ทำให้ปริมาณการผลิตกุ้งของไทยที่เคยสูงสุดในปี 2552 ประมาณ 567,000 ตัน เหลือเพียงประมาณ 255,000 ตัน ในปี 2564 ซึ่งลดลงร้อยละ 55.03 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมอบนโยบายให้กรมประมงดำเนินการฟื้นฟูผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทยและแต่งตั้งบคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ หรือ บอร์ดกุ้ง (Shrimp Board) ประกอบกับการจัดทำแผนฟื้นฟูผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายให้กุ้งทะเลกลับมามีผลผลิตในระดับ 400,000 ตัน ภายในปี 2566 

ภายใต้การหารือของบอร์ดกุ้งเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้อุตสาหกรรมกุ้งไทยสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้และยังคงมีศักยภาพทางการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งบอร์ดกุ้งมีฉันทามติร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่

1) ผู้แทนเกษตรกร ประกอบด้วย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี สหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำท่าทอง จำกัด ชมรมเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสงขลา เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งภาคกลาง ชมรมผู้ผลิตลูกพันธุ์สัตว์น้ำ และกลุ่มคลัสเตอร์กุ้งกุลาดำไทย

2) ผู้ประกอบการห้องเย็นและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมการค้าปัจจัยการผลิตสัตว์น้ำไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

และ 3) หน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย กรมประมง และกรมการค้าภายในในการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลจากต่างประเทศเฉพาะช่วงเวลาและปริมาณผลผลิตภายในประเทศมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานแปรรูป

ซึ่งมาตรการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลนี้เพื่อการแปรรูปและส่งออกเท่านั้น และกำหนดแผนการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลจากสาธารณรัฐเอกวาดอร์และสาธารณรัฐอินเดีย ปี 2565 ปริมาณรวม 10,501 ตัน จากปริมาณการผลิตกุ้งทะเลของไทยในปี 2565 (มกราคม - กรกฎาคม) 138,732.43 ตัน แลกกับการประกันราคาโดยภาคเอกชนซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นมา และจะยังคงช่วยเหลือเกษตรกรไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งผู้แทนเกษตรกรในบอร์ดกุ้งข้างต้นเห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ราคากุ้งภายในประเทศได้รับการประกันขั้นต่ำโดยภาคเอกชนเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่เป็นภาระของรัฐบาลเหมือนในอดีต ดังที่สมาคมเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งไทยได้เคยให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 กล่าวไว้ว่า “การจัดตั้งบอร์ดกุ้งในครั้งนี้ เป็นการจับมือของเกษตรกรและผู้แปรรูปเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ของอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทย เพื่อแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการผลผลิตกุ้งทะเลตลอดห่วงโซ่การผลิตอย่างแท้จริง ทั้งด้านการผลิตและการตลาด ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลและผู้แปรรูปสามารถประกอบอาชีพในห่วงโซ่ได้อย่างยั่งยืน”

ก.แรงงาน มอบถ้วยพระราชทานฯ เชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการ ที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม

วันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยมประจำปี 2565 (Thailand Labour Management Excellence Award 2022) เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารแรงงานยอดเยี่ยม ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นสถานประกอบกิจการที่มีความมุ่งมั่นในการบริหารแรงงานอย่างเป็นมาตรฐานครบ 3 ด้าน ประกอบด้วย สถานประกอบกิจการที่ขอรับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทย สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน และสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยดีเด่นระดับประเทศ ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานตามหลักสากล ทั้งในเรื่องการมีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี การจัดสวัสดิการที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน การจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า

อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งมาเลเซียไม่รอด เจอคุก 10 ปี ข้อหาติดสินบน หลังสามีโดนฟันในคดี 1MDB

รซมะฮ์ มันโซร์ ภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรี นายิบ ราซัค ถูกศาลมาเลเซีย ตัดสินจำคุก 10 ปี และปรับเงินอีก 970 ล้านริงกิต (7.9 พันล้านบาท) ด้วยข้อหารับสินบน ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากที่นาย นายิบ ราซัค ถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 12 ปีในข้อหาคอร์รัปชั่นในคดี 1MDB

รซมะฮ์ มันโซร์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของมาเลเซีย วัย 70 ปี ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในคดีรับสินบนถึง 3 คดี ในการเอื้อผลประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน Jepak Holdings ชนะการประมูลโครงการพัฒนาพลังงานโซลาร์แนวผสมผสาน ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตพลังงานให้กับโรงเรียนมากกว่าร้อยแห่งทั่วรัฐซาลาวัค ซึ่งเป็นโครงการมีมูลค่าสูงถึง 1.25 พันล้านริงกิต ในช่วงที่ นายิบ ราซัค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

อัยการอ้างว่าพบวงเงินสินบนมูลค่า 187.5 ล้านริงกิต กับหลักฐานการรับเงินสินบนอีก 6.5 ล้านริงกิต จากเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ชนะการประมูลโครงการพลังงานโซลาร์ ซึ่งนาง รซมะฮ์ มันโซร์ ปฏิเสธว่า เป็นความผิดของผู้ช่วยของเธอ และเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้รับโครงการ แต่ศาลไม่เชื่อ และกล่าวว่าข้ออ้างของเธอเลื่อนลอย และไร้หลักฐาน 

ก่อนหน้าที่จะมีคำตัดสินในวันนี้ ทีมกฏหมายของนาง รซมะฮ์ มันโซร์ พยายามที่จะยื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวทีมผู้พิพากษา โดยระบุว่ามีเอกสารคำตัดสินรั่วไหลออกมาทางออนไลน์ ที่ระบุว่าเธอมีความผิด ซึ่งเป็นการชี้มูลความผิดล่วงหน้า ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคดีของเธอ แต่คำร้องถูกปฏิเสธ โดยกล่าวว่าทีมอัยการได้พิสูจน์คดีอย่างใช้วิจารณญาณอันสมเหตุผลแล้ว

‘สุริยะ’ เคาะ 4 แนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย เน้นสอดรับแผนพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน

กอช. เคาะ 4 แนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน เน้นบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในวันนี้ การประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 1/2565 มีการพิจารณา 4 เรื่องสำคัญที่จะขับเคลื่อนภาคการผลิตเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศมีทิศทางที่สอดรับกับแผนพัฒนาประเทศในทุกระดับ รวมทั้งจะเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างรวดเร็วภายใต้การบูรณาการของทุกภาคส่วน 

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้จะเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีเอกภาพภายใต้การบูรณาการของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศอย่างรอบด้าน ครอบคลุม ตลอดห่วงโซ่มูลค่าในทุกมิติ โดยที่ประชุม กอช. ได้มีมติเห็นชอบใน 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้

1. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2570)

สาระสำคัญของเรื่อง เพื่อเสนอที่ประชุมพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2570)  โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอาเซียน และมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองภายในปี 2570 ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 : ยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเดิม และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ มาตรการที่ 2 : กระตุ้นอุปสงค์เพื่อสร้างตลาดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในประเทศ และต่อยอดการสร้างหรือพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และมาตรการที่ 3 : สร้างและพัฒนา Eco System สําหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

โดยที่ประชุมคณะกรรมการ กอช. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2570) และมอบหมายให้ อก. นำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)/ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป

2. (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566-2570)
สาระสำคัญของเรื่อง เพื่อเสนอที่ประชุมพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566- 2570) โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางพืชกัญชงเชิงอุตสาหกรรม  แห่งอาเซียน (Industrial Hemp Hub of ASEAN)  ภายใน 5 ปี ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย 4 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่กัญชง 2) ส่งเสริมการผลิตและแปรรูปเชิงพาณิชย์ 3) ส่งเสริมด้านการตลาด และ 4) สร้างปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการประกอบการ โดยแบ่งการดําเนินการเป็น 3 ระยะ คือ 1. ระยะ 1 ปี : เร่งสร้าง Enabling และความมั่นคงทางวัตถุดิบ 2. ระยะ 3 ปี : ยกระดับการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์กัญชง และ 3. ระยะ 5 ปี : สนับสนุนการผลิตนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก ระยะ 5 ปี

โดยที่ประชุมคณะกรรมการ กอช. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2566-2570) และมอบหมายให้ อก. นํา (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอ สศช./ ครม. เพื่อพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป

3. การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
สาระสำคัญของเรื่อง เพื่อเสนอที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบ เรื่อง การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยประเด็นพิจารณา 2 ประเด็น คือ 1. พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ กรอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ปี พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งเป็นแผนระดับ 3 ด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของประเทศไทย ภายใต้การบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 10 กระทรวง 2. พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ การจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการโรงงาน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ แก้ไขปัญหาการกระทําผิดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน รวมทั้งใช้เป็นเงินช่วยเหลือ อุดหนุนกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการโรงงาน หรือเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการเกิดอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชนและสิ่งแวดล้อม อันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน

โดยที่ประชุมคณะกรรมการ กอช. มีมติเห็นชอบในหลักการกรอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ปี พ.ศ. 2566-2570 และแนวทางการจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย

4. กลไกขับเคลื่อนการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ 
สาระสำคัญของเรื่อง เพื่อให้การขับเคลื่อนการดําเนินงานของ กอช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อก. จึงเสนอที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้ กอช. เพื่อทําหน้าที่กําหนดกรอบและแนวทางการดําเนินงาน จัดทําและเสนอแนะนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ มาตรการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค รวมทั้งประสานและบูรณาการการดําเนินงานในประเด็นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อ กอช. เป็นระยะ ตามความเหมาะสม ประกอบด้วย 3 กลไกสำคัญ ดังนี้

‘ก้าวไกล’ ยื่นสภาขอแก้ กม.แพ่ง ห้ามผู้ปกครองลงโทษทารุณบุตร

ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยภัสริน รามวงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แถลงข่าวยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ต่อสภาผู้แทนราษฎร จากแต่เดิมที่กำหนดให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร เปิดช่องให้เกิดการทำร้ายหรือการเฆี่ยนตี จนเกิดอันตรายต่อเด็ก แก้เป็นการจำกัดสิทธิในการลงโทษ ห้ามทารุณทำร้าย เฆี่ยนตี หรือทำโทษอันด้อยค่าบุตร หวังทำให้เด็กได้รับการปกป้องจากความรุนแรงและได้พัฒนาเต็มศักยภาพ 

“ร่างนี้เป็นความตั้งใจของ ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ยกร่างขึ้นหลังจากเห็นข่าวเด็กหญิงอายุ 2 ปี ถูกบิดาเลี้ยงทำร้ายจนเสียชีวิต เหตุเกิดในจังหวัดพิษณุโลก แต่เนื่องจากนายณัฐวุฒิฯ อยู่ในระหว่างรักษาโรคโควิด ไม่สามารถมาแถลงข่าวด้วยตนเอง จึงได้มอบให้ตนเป็นผู้แถลงแทน และหากเราติดตามข่าว จะเห็นข่าวเด็กถูกบิดามารดาหรือผู้ปกครองทำร้ายด้วยความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง โดยเข้าใจว่าพวกเขามีสิทธิจะลงโทษบุตร ดังที่ปรากฏใน ปพพ.ม.1567 (2) ปัจจุบันที่ว่า “ผู้ปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร” สอดคล้องสุภาษิตในอดีตที่กล่าวว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่หลายครั้งวิธีการลงโทษจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นการทารุณที่ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจ เฆี่ยนตีอย่างไม่ยั้ง หรือทำให้เด็กรู้สึกตนเองด้อยค่า นำไปสู่การบาดเจ็บ เสียชีวิต และที่สำคัญส่งผลต่อการที่เด็กจะไปสร้างความรุนแรงต่อในระยะยาว” ปดิพัทธ์ระบุ

โดยปรากฏว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เองก็ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้ยกร่างแก้ไข ปพพ. มาตรา 1567 (2) ไว้ในทำนองจำกัดสิทธิของผู้ปกครองในการลงโทษบุตร พร้อมทั้งได้ส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมร่วมพิจารณามาตั้งแต่ปี 2559 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด ทางพรรคก้าวไกลจึงได้ยกร่างและรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน เข้าชื่อเสนอขอแก้ไข ปพพ.มาตรา 1567 (2) เปลี่ยนจากข้อความเดิมเป็น “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทำโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า” เพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยหวังว่าสภาฯ จะเร่งการพิจารณาให้ทันในสมัยประชุมหน้า แสดงถึงความตั้งใจในการปกป้องเด็กทุกคนจากความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงในบ้าน

ภัสริน รามวงศ์ ยังได้แถลงเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะเป็นการแก้ กม.เพื่อปกป้องเด็กแล้ว การแก้ กม.นี้ยังสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก และข้อเสนอแนะของนานาประเทศต่อไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review หรือ UPR รอบที่ 2 (พ.ศ.2559 ถึง พ.ศ. 2563) ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าจะเร่งในการปรับแก้ กม.ดังกล่าว แต่ก็เนิ่นช้าเกินกรอบเวลามากว่า 2 ปีแล้ว ไม่เหมือนกับกรณีการปรับแก้ กม.อาญา เรื่องปรับเกณฑ์อายุความรับผิด จาก 10 ปี เป็น 12 ปี ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการไปก่อนหน้านี้ การแก้ กม.เพียงมาตราเดียวไม่ใช่เรื่องยาก แต่สะท้อนว่า รบ.จริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่มากกว่า และหากมีการแก้ ปพพ.ม. 1567 (2) ได้จริง เราเองก็จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้นในด้านสิทธิมนุษยชน”

'เพื่อไทย' แนะ 'กยศ.' ต้องเปลี่ยนเงื่อนไขกู้ยืม เปิดโอกาสให้กลุ่มวิชาชีพ-ดอกเบี้ยต่ำ-งดฟ้องร้อง

ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....หรือ กยศ. โดยสรุปว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นนโยบายที่ดี เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาที่ยากจน ได้มีโอกาสกู้ยืมเงินมาศึกษาเล่าเรียนเพื่อสร้างอนาคต แต่ในกระบวนการกู้ยืมเงินมีปัญหาและอุปสรรค ตั้งแต่การจำกัดให้เฉพาะนักเรียนหรือนักศึกษาในระบบการศึกษาเท่านั้นที่สามารถกู้ยืมได้ แต่ประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกระบบการศึกษากลับไม่มีโอกาสเข้าถึงเงินกองทุนกู้ยืม เงื่อนไขการกู้ยืมเงินที่ยุ่งยาก ต้องมีการพิสูจน์ความยากจน มีอัตราดอกเบี้ยสูง และต้องมีบุคคลค้ำประกันเงินกู้ เพราะสำหรับคนจนซึ่งยากจนอยู่แล้ว ก็ยิ่งหาคนมาช่วยค้ำประกันได้ยากยิ่งกว่า 

เมื่อสำเร็จการศึกษาและถึงกำหนดชำระหนี้เงินกู้ ถ้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดก็จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจนเป็นข่าวแพร่หลายว่าผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ต้องถูกฟ้องยึดบ้านยึดไร่นาเพื่อใช้หนี้ กยศ. 

ส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงร่วมอภิปรายแสดงความเห็น เสนอแนวคิดให้นักศึกษาที่ศึกษาในสถาบันการศึกษาเอกชนนอกระบบก็สามารถกู้ยืมเงินกองทุนได้ อาทิ โรงเรียนฝึกมวยไทยอาชีพ การกู้ยืมเงินกองทุนไม่ควรต้องพิสูจน์เรื่องความยากจน ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน และควรมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงรัฐควรยุติฟ้องคดีหนี้ กยศ.ชั่วคราว เพราะการฟ้องร้องคดี กยศ. เป็นการทำลายอนาคตของนักศึกษาและสร้างภาระความเดือดร้อนแก่ผู้ค้ำประกัน

[+นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ]
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ควรครอบคลุมถึงสถาบันการศึกษาเอกชนทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งในส่วนสถาบันการศึกษานอกระบบนี้ยังรวมถึงการฝึกอบรมวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การนวดแผนโบราณ หรือสถาบันฝึกมวยไทยอาชีพ เพราะวิชาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพให้พี่น้องสร้างรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาจำนวนมากและชอบการนวดแผนไทย ชอบมวยไทย ดังนั้น เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขนิยามแล้ว ก็ควรให้กลุ่มวิชาชีพนอกระบบนี้อยู่ในเกณฑ์กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาดังกล่าวได้

[+จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.]
กยศ. ควรมีการจัดทำข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักเรียนและนักศึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจการเลือกคณะที่จะศึกษาต่อ โดยเฉพาะข้อมูลด้านสถิติการมีงานทำ ประเภทงานที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ประเภทงานที่ขอให้กู้ยืมเงินรวมถึงการคาดการงานที่จำเป็นในตลาดแรงงานอันใกล้ ซึ่งเป็นข้อมูลจำเป็นที่ กยศ. ควรมีอย่างต่อเนื่อง ชี้แจงให้นักเรียนนักศึกษาได้ทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจการเลือกคณะที่เรียนและขอกู้เงินอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษาต้องตกงานภายหลังสำเร็จการศึกษา

[+นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร]
ประเทศไทยยังมีพี่น้องชาติพันธุ์ ที่มีปัญหาไม่ได้รับสัญชาติไทย แต่เขาเกิดบนแผ่นดินไทย เมื่อไม่มีสัญชาติก็ไม่มีโอกาสด้านการศึกษา เมื่อเขาขาดโอกาสจากในโรงเรียนปกติ เราควรเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนในโรงเรียนฝึกอาชีพอื่นๆ เปิดช่องทางให้เขาได้กู้ยืมได้เรียนหรือไม่ เพราะนี่คือการให้โอกาส ถ้าเขาได้ยืมเงิน ได้เรียน ได้ใช้มันสมองในการพัฒนาอาชีพ เลี้ยงชีวิต ก็จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ขออย่าได้กีดขวางเขาเพียงแค่ต้องเรียนในระบบเท่านั้น

[+คมเดช ไชยศิวามงคล  ส.ส.กาฬสินธุ์]
ปกติแล้ว การค้ำประกันจะเกี่ยวเนื่องพัวพันไปถึงการดำเนินคดี การยึดทรัพย์ การขายทอดตลาด ตลอดจนถูกฟ้องล้มละลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ปีที่ผ่านมาปรากฏว่านักเรียนนักศึกษา รวมถึงผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระบาด ต้องเดือดร้อนตกงาน จึงถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ตกเป็นจำเลยทั้งตัวนักเรียนนักศึกษาครอบครัวต้องเดือดร้อน และเดือดร้อนไปถึงผู้ค้ำประกันที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ จึงควรหาหนทางแก้ไขปัญหา ดังนั้น ปัญหาหนี้ กยศ. การฟ้องร้องไม่น่าจะใช่ทางออกของการแก้ปัญหา การกู้ยืมเงิน กยศ. ไม่ควรมีการค้ำประกัน และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ ปัญหาฟ้องร้องเหล่านี้น่าจะลดน้อยลง

ฉากหลัง!! กว่าจะมีวันนี้ของ LISA BLACKPINK ความพยายามที่ชนะใจ 'คนไทย-เกาหลี-ทั่วโลก'

แม้วันนี้ LISA (ลิซ่า) ลลิษา มโนบาล สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK จากประเทศเกาหลีใต้ จะประสบความสำเร็จและกลายเป็นบุคคลระดับโลก แต่ใครจะรู้ว่าฉากหลังก่อนความสำเร็จทั้งหลาย ล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคหนักหนาเกินบรรยาย โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ 'Tong Long Do' ได้โพสต์เรื่องราว #กว่าจะมีวันนี้ของ LISA ไว้อย่างน่าสนใจ ความว่า...

ย้อนหลังไป 12 ปี #LISA เป็นคนไทยคนเดียวจาก 4,000 คนที่ถูก YG เลือกให้ไปเป็น...'เด็กฝึก'...ที่เกาหลีใต้  

#LISA ฝึกอยู่เกือบ 5 ปี กว่าจะได้เดบิวต์ ระหว่าง 5 ปีนั้น ไม่ง่ายเลยที่เด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี ต้องอดทนต่อสู้กับการฝึกซ้อมอย่าง...'หฤโหด' ทุกวัน... มี...'เด็กฝึก'...ผู้ชายบางคนเกือบจะได้เดบิวต์อยู่แล้วยังทนไม่ไหวต้องลาออก...

ยังมีเรื่องภาษาที่ต้องเรียนรู้เพื่อใช้ในการสื่อสาร ปัจจุบัน คนเกาหลียอมรับว่า #LISA พูดได้เหมือนคนเกาหลีแล้ว...

เป็นหญิงไทยคนแรก ที่ได้เดบิวต์ในนาม 'Blackpink' ทางค่าย YG ได้ประกาศออกไป ก็มี...'แอนตี้แฟน' เรียกร้องไม่เอา #LISA อ้างว่า เอาชาวเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาเดบิวต์ได้ไง จะทำให้ Blackpink ไม่ดัง ทำให้วงตกต่ำ 'แอนตี้แฟน' ได้รวบรวมรายชื่อถอดถอนให้เอา #LISA ออกจาก Blackpink 

ถ้ามีข่าวหรือมีโพสต์ของ #LISA ที่ไหนก็จะ dislike พาทัวร์ลงถล่มยับ นอกจากนี้ ถ้าเจอหน้า #LISA ที่ไหน มีเหตุพอที่จะระบายความไม่พอใจของตัวเองได้ก็ด่ากันซึ่ง ๆ หน้าเลย  

เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง Blackpink ไปออกรายการวิทยุ ห้องออกอากาศซึ่งเป็นห้องกระจกด้านนอกอาคาร ให้ FC มาชมการจัดรายการและถ่ายรูปศิลปินได้  #LISA นั่งข้างเจนนี่ มี FC จะถ่ายรูปเจนนี่แต่น้องนั่งบังนิดนึง FC ของเจนนี่ก็ตะโกนว่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพให้ #LISA หลบไปมานั่งบังทำไม #LISA จึงถอยเก้าอี้ไปข้างหลังให้ น้องก้มหน้าคงรู้สึกเสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้  

พูดง่าย ๆ คือ ขณะนั้น #LISA มี 'แอนตี้แฟน' มากกว่า FC  

#LISA เดบิวต์มาพร้อมกับ 'แอนตี้แฟน' มีแรงกดดันที่จ้องเอาผิดน้องตลอดเวลา จากสภาพแวดล้อมของสังคมคนเกาหลีใต้ แม้กระทั่งท่อนร้องที่มากกว่าสมาชิกคนอื่นก็เอามาเป็นประเด็น...

สังคมคนเกาหลีใต้ ไม่ชอบไม่ยอมรับ วัฒนธรรมและหน้าตา ของชาวเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมีความคิดด้านลบกับคนไทยมากที่สุด

ณ เวลานั้น เอเย่นต์มักจะหาเด็กใหม่จากทาง 'ญี่ปุ่น' หรือ 'จีน' ที่มีประชากรมากกว่า เพื่อสร้างยอดขายเม็ดเงินมหาศาล...

ทางค่ายเคยออกมาบอกว่า ที่เลือก #LISA นั้น ไม่ใช่เพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด (แปลแบบชาวบ้านคือ 'ไทย' ไม่ใช่เป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ต้องการตีตลาดในไทย)...

ที่ #LISA เข้ามาเป็นสมาชิกเพราะน้อง #มีพรสวรรค์ #ความสามารถ และ #ความอดทนมากพอที่จะเป็น 'Idol K-Pop' ได้ ...ไม่คิดว่า #LISA จะดังรึป่าว (ซึ่งน้องก็ทำให้เห็นแล้วว่าน้องทำได้)....

‘บิ๊กป้อม’ ลั่น น้ำไม่ท่วมแบบปี 54 แน่นอน โชว์ผลงาน 3 ปี ไม่มีประกาศภัยแล้งเลยสักพื้นที่

'บิ๊กป้อม' รับรองน้ำไม่ท่วมแบบปี 54 แน่นอน ‘โว’ 3 ปีไม่มีประกาศภัยแล้งเลยสักพื้นที่ โชว์ป๋า เตรียมแจก 100 ล้านอีก ฝาก ขรก.ทำให้ดีที่สุดไม่เช่นนั้นคนก็จะด่ารัฐบาล ‘เตือนสติ’ กินเงินเดือนจากภาษีชาวบ้านต้องทุ่มเท อย่าคิดว่าตัวเองเป็นนาย 

วันที่ 1 ก.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เยี่ยมเยียนชาวแปดริ้ว พร้อมกล่าวมอบนโยบายภายหลังรับฟังการรายงานและ ติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคและบริโภค ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวปล่อยมุขทันทีว่า “ขอเปิดแมสก์นะ จะได้เห็นหน้าหน่อย คนพูดจะได้พูดได้ ไม่เช่นนั้นจะหายใจไม่ออก” ทั้งนี้ขอขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับตนและคณะในวันนี้ ได้มาเยี่ยมชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา ยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอบคุณเจ้าหน้าที่ได้นำเสนอเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งได้มีการเตรียมการในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อการเตรียมการเรื่องน้ำดิบที่จะใช้ถึงปี 2580 โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเค็มจะต้องป้องกันในจุดพื้นที่บางปะกง เราไม่สามารถเอาน้ำดิบมาไล่ระบบนิเวศได้ตลอด ขอฝากพวกเราช่วยกันดู รัฐบาลได้ให้งบประมาณเกี่ยวกับเรื่องน้ำมาทุกปี โดย สทนช.ได้รายงานให้ทราบ โดยกรมชลประทานได้มีการเตรียมการต่าง ๆในการให้ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อนในการใช้น้ำ ดังนั้นการประปาต้องเตรียมการสำรองน้ำดิบไว้ผลิตให้ได้ถึงปี 80 เพื่อความต้องการของประชาชน

"ถ้าประชาชนไม่มีน้ำก็จะด่ารัฐบาล ประชาชนมีอย่างเดียวคือต้องด่ารัฐบาล แต่ต้องขอความเห็นใจให้ข้าราชการทุกคนที่พยายามทำงานให้พวกเราได้อยู่ดีกินดีขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และเข้าใจน้ำเค็มที่ทะลักเข้ามาจะมีผล โดยเฉพาะน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งหาแนวทางเพื่อให้เป็นระบบในระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากทุกๆปี และประชาชนเกรงว่าฝนตกปีนี้จะทำให้น้ำท่วมเหมือนปี 2554 ปีนี้ผมรับรองเลยว่าไม่เกิดขึ้นอย่างปี 54 แน่นอน น้ำจะไม่ท่วมอย่างปี 54 แน่นอน ผมอยากจะบอกว่าทั้งกรมชลประทาน สทนช. และทั้งหมดได้ร่วมกันกระจายน้ำ เมื่อฝนตกทางเหนือก็กระจายไม่ให้น้ำท่วมตลอดเวลา เรามีกรรมการ 22 ลุ่มน้ำในการกำกับดูแล มีคณะกรรมการน้ำทุกจังหวัดเพื่อดูว่าน้ำจะมีมาก น้อยลง หรือจะแล้ง ซึ่งทำมา 3 ปีแล้วไม่มีแล้งเลย จะสังเกตได้ว่าหน่วยงานไม่มีประกาศภัยแล้งเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างมากกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว" พล.อ.ประวิตรกล่าว 

'พี่ศรี' จวก 'ชัชชาติ' ลอกคลองเป็นเรื่องเพ้อฝันหรือไม่? หลังเจอเศษอิฐ-ดิน-หิน-ปูนในคลองลาดพร้าวเพียบ!!

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาให้ข่าวว่าได้ประสานกับกองทัพเพื่อขอให้ส่งทหารมาร่วมกับสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพฯ เพื่อกำหนดกันแบ่งพื้นที่ขุดลอกคลองลาดพร้าวและคลองแสนแสบ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา 

โดยกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลว่า คลองลาดพร้าวมีปัญหาเรื่องความตื้นเขิน น้ำไหลช้า จึงจะเริ่มดำเนินการขุดลอกคลองลาดพร้าวเพิ่มขึ้น แต่จากการสำรวจพื้นที่คลองลาดพร้าวพบว่า ยังมีกองดินและเศษอิฐหินปูน ที่เททิ้งมาจากโครงการบ้านมั่นคงที่ก่อสร้างอย่างผิดกฎหมายอย่างมากมาย ทำให้คลองตื้นเขิน และชาวบ้านริมคลองยืนยันว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่กทม. หรือทหาร มาขุดลอกตามข่าวแต่อย่างใด เวลาฝนตกมามากทำให้น้ำเอ่อล้นท่วม ระบายได้ช้ามาก 

กรณีเช่นนี้ ขอถามผู้ว่าฯ กทม. นโยบายหาเสียงที่บอกจะเร่งขุดลอกคูคลองนั้น เพ้อฝันหรือไม่ หรือเป็นเพียงม็อตโต้ของการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น เพราะข้อความจริงที่พบ กับนโยบายมันต่างกัน กทม.อาจจะหลอกคนทั่วไปได้แต่หลอกความจริงไปไม่ได้ 

จับตา!! ความเคลื่อนไหว 'กรณ์-สุวัจน์' หลังเตรียมร่วมแถลง คาดเสริมทัพชูพรรคเศรษฐกิจ

จับตาความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ 'พรรคกล้า & พรรคชาติพัฒนา' 2 หัวเรือใหญ่ เตรียมแถลงร่วมพรุ่งนี้ (2 ก.ย.65) 10.30 น.

(1 ก.ย.65) แสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า เผยว่า ในวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรรคกล้า จะร่วมกันแถลงข่าวทางการเมือง  ณ บ้านเลขที่ 333 ราชวิถี 20 ดุสิต กทม. เวลา 10.30 น.  

สำหรับนายกรณ์ จาติกวณิช และ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เคยร่วมทำงานแก้วิกฤตพลังงาน และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ร่วมกันมาก่อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top