Tuesday, 8 July 2025
Hard News Team

ในวันที่ ‘อดีตบิ๊กสีกากี’ จ่อผงาด ลือ พปชร.เล็งส่งแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ

วันนี้ (วันที่ 2 กันยายน 2565) เหมือนช่วยกระพือข่าว “ป.ที่4” อีกเสียง หลังจากที่ โทนี วูดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาจ้อผ่านคลับเฮาส์ถึงกระแสข่าวว่ารอบหน้า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ไปต่อเพราะศาลรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจจะเตรียมดัน ป.ที่4 ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐเคยเสนอชื่อเมื่อตอนเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 

หากมองถึงกระแสการดัน “ป.ที่4” ขึ้นมาก็ต้องยอมรับว่ามีมานานพอสมควร ไม่ใช่เพิ่งมามีเมื่อวันสองวัน “คงไม่ใช่ประยุทธ์แน่ อาจเปลี่ยนจากทหารเป็นตำรวจ” ซึ่งหากจับเฉพาะประเด็นที่นายทักษิณได้พูดถึง ป.ที่4 ตรงนี้ว่าอาจเปลี่ยนจาก “ทหารเป็นตำรวจ” แล้วลองมาไล่ชื่อดูว่ามีบิ๊กสีกากีท่านใดพอจะมีความเป็นไปได้ถึงการเป็น ป.ที่4 ? ชื่อหนึ่งที่พอนึกออกก็คงจะไม่พ้นชื่อของ “ป.แป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ตอนนี้แว่วมาว่ากำลังซุ่มทำพื้นที่อยู่ในภาคอีสาน 

ในแง่ประวัติการรับราชการตำรวจของ “ป.แป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ บอกตรง ๆ ว่า “ครบเครื่อง” มีผลงานให้เห็นมาตั้งแต่ รับหน้าที่เป็นผู้เจรจากับนักโทษในเหตุการณ์จลาจลเรือนจำสมุทรสาคร การแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ จนภายหลังมีสถิติการก่อเหตุลดลง ไปจนถึงผลงานด้านสืบสวนสอบสวนที่สามารถปิดคดีสะเทือนขวัญต่าง ๆ ได้ หลายผลงานก็เป็นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์

'เด็กพรรคกล้า' โต้!! กระแส 'กรณ์' ทิ้งพรรคซบสุวัจน์ ชี้!! รีเทิร์นทีมศก. ยุควิกฤติแฮมเบอร์เกอร์อีกครั้ง

สืบเนื่องจากวันที่ 2 ก.ย. 65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ได้แถลงเปิดตัวนายกรณ์ จาติกวนิช หัวหน้าพรรคกล้า เข้ามาร่วมทำงานเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนาเพื่ออาสาทำหน้าที่กอบกู้และแก้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศนั้น ก็เกิดกระแส 'ทิ้งกล้า' ของนายกรณ์แพร่สะพัดตามหน้าสื่อโดยทันที ทั้งที่เรื่องนี้ยังไม่มีการเอ่ยปากจากหัวเรือใหญ่จากทั้ง 2 พรรคแต่อย่างใด

ล่าสุดคนในพรรคกล้าได้ออกมาชี้แจงถึงความจริง อาทิ เทมส์ ไกรทัศน์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคกล้า จังหวัดภูเก็ต โพสต์ข้อความชี้แจงถึงกระแสการรวมพรรคกล้ากับพรรคชาติพัฒนาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งแพร่สะพัดเป็นอย่างมากในเวลานี้ ว่า...

ผนึกกำลัง!! ไม่ได้ทิ้ง ไม่มีใครซบใคร

ด้วยอุดมการณ์ตั้งแต่เริ่มและใน DNA ของพวกเรา คือ การเข้ามา #ลงมือทำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง เราให้ความสำคัญ เราตั้งใจทำงานการเมืองเพื่อส่วนรวม ไม่ได้มาเพื่อที่จะรักษาอำนาจหรือผลประโยชน์อะไร

และด้วยกติกาและเหตุผลทางการเมืองหลายปัจจัย พวกเราก็ย่อมต้องมองถึงยุทธศาสตร์เพื่อให้ได้ไปอยู่ในจุดที่โอกาสจะอำนวย ช่วยให้เราได้ทำงานตามปณิธานที่ตั้งไว้ จึงเกิดการจับมือกันของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และ “กรณ์ จาติกวณิช” ในวันนี้

แน่นอน คุณกรณ์ ชื่อชั้นเป็นที่ยอมรับด้านเศรษฐกิจ สะท้อนปัญหาปากท้อง ความเดือดร้อนของประชาชนอยู่บ่อยๆ และ DNA ของการลงมือทำก็ชัดเจน ส่วน คุณสุวัจน์ เอง ก็เป็นนักการเมืองนักปฏิบัติตัวจริงมาเนิ่นนาน ไม่สนความขัดแย้งใดๆ ที่ทำให้เสียโอกาสการทำงาน 

จับมือกันเพื่อผสานพลังมากขึ้น เห็นภาพความชัดเจน “#ลงมือทำด้านเศรษฐกิจ” และ “#ปฏิบัตินิยม” เดินหน้าแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่เป็นหลักชัย มีเป้าหมายเพื่อนำพาความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งสู่พี่น้องทั้งในชนบทและคนเมือง จากเหนือจรดใต้ จากกลุ่มชนชั้นกลางจนถึงพี่น้องที่ยังมีความยากไร้ ไม่เอาแล้ววังวนความขัดแย้งและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ฝังลึก การประท้วงที่ยืดเยื้อ สู่วงจรอุบาทว์ทางการเมือง รังแต่จะทำลายเศรษฐกิจ ทำร้ายครอบครัวและชีวิตชาวไทย

หากท่านเห็น #เศรษฐกิจปากท้อง เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่อยากเห็นรัฐบาลที่มุ่งแต่หาผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้องและละเลยประชาชนโดยสิ้นเชิง เบื่อลัทธิบูชาตัวบุคคลที่พรรคการเมืองต่างเอามาชูต่อสู้สร้างความขัดแย้งเป็นกว่าสิบๆ ปี เบื่อการจาบจ้วงและการไม่รับฟังคนเห็นต่างอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และอยากได้ #การเมืองสร้างสรรค์ ความร่วมมือนี้ จะเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีขึ้นแก่ท่านได้

คุณกรณ์ถามไถ่ผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ความร่วมมือนี้ว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและทำให้เรามีโอกาสทำงานมากขึ้น ส่วนเรื่องขั้นตอนทางกฎหมายมี และ #ไม่นานก็จะเป็นภาพที่ชัดเจน ครับ… ณ ตอนนี้ ไม่มีทิ้งใคร ไม่มีใครซบใคร ผสานพลังเดินหน้าและลงมือทำต่อไป

ขณะที่ด้านนาย พัสณช เหาตะวานิช เลขานุการส่วนตัวของนายกรณ์ จาติกวณิช ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงความมุ่งมั่นในเป้าหมายและ ยืดหยุ่นในเส้นทาง ไว้ว่า...

หากเราย้อนดูข่าวที่ออกจากปากคุณกรณ์ หรือคุณสุวัจน์ มันจะมีแต่คำว่า “เศรษฐกิจ” - “ปากท้อง” - “ค่าครองชีพ” และ “ประชาชน” 

คุณกรณ์ย้ำตอนแถลงว่า ถึงเวลาของมืออาชีพทางเศรษฐกิจ ที่เข้าใจทั้งมิติการเมือง และเศรษฐกิจเข้ามาทำงานบริหารประเทศ เลยทำให้เราต้องย้อนดูผลของงานที่ทั้งสองทีมทำมา ก็จะพบว่า ประจักษ์ในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจและพลังงาน 

การจับมือ หรือการร่วมมือกันทำงานในครั้งนี้ คุณกรณ์พูดไว้ตอนแถลงว่า.. ตัดสินใจง่ายมาก แกบอกว่า.. หลักคิดคือ จับมือแล้วเราสองคนช่วยประชาชนมากขึ้นหรือไม่ จับมือ ประชาชนได้ประโยชน์จากการกระทำครั้งนี้หรือไม่ คำตอบคือ แน่นอน!

ไม่มีอะไรสำคัญเท่าผลพิสูจน์จากการ #ลงมือทำ และคุณสุวัจน์เอง แกก็เป็นนักการเมืองสายนี้มานานแล้ว เป็นนักปฏิบัติตัวจริง ไม่สนความขัดแย้งใดๆ ที่ทำให้เสียโอกาสการทำงาน  

สำคัญที่สุดอีกอย่าง ทั้งสองคนทำงานเป็นนักการเมืองของประเทศไทย หลักที่ยึดไว้มั่นที่สุดคือการธำรงไว้ซึ้งสถาบันหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หนักแน่นดังเดิม

นายพัสณช ยังโพสต์ต่ออีกว่า ในช่วงปี 2551-2554 คุณกอร์ปศักดิ์ เป็นรองนายกฯ เศรษฐกิจ / คุณกรณ์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ทีมคุณสุวัจน์ โดยคุณหมอวรรณรัตน์ เป็นรัฐมนตรีพลังงาน 

ถอดรหัส ‘กรณ์-สุวัจน์’ สุญญากาศ ‘ควบรวมพรรค’ กับปัญหาทางกม.ที่สองฝ่ายยังพูดได้ไม่เต็มปาก!

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 ก.ย. 65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เปิดบ้านแถลงข่าว พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำในเป้าหมายและเหตุผลในการ “ทำงานร่วมกัน” ในฐานะมืออาชีพด้านเศรษฐกิจ 

มีการย้ำเรื่องเศรษฐกิจปากท้องอยู่แทบทุกคำพูด แต่แล้วก็ไม่วายนักข่าวสายดราม่าการเมือง ก็เน้นบี้ถามเอาคำตอบที่จะสร้างข่าวดราม่าได้ จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องอ้ำอึ้ง พูดได้ไม่เต็มปาก

เรามาถอดรหัสกันว่า เป็นเพราะเหตุใด!?

เรื่องมีอยู่ว่า กฎหมายของพรรคการเมืองในการจะทำงานร่วมกันไม่เหมือนกับกฎหมายธุรกิจเหมือน TRUE ควบรวมกับ DTAC เพราะ 2 มาตราหลักนี้คือ

มาตรา28 ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

เมื่อสภาพัฒน์ฯ ทำตัวแบบมีธงในการขับเคลื่อนโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นอกจากเอ็นจีโอแล้ว ใครคือไอ้โม่ง ที่อยู่เบื้องหลัง และรักษาการนายกรัฐมนตรีจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่จากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช.) โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 หรือ นิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งเป็นโครงการการสร้างเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่เป็นการลงทุนของเอกชน โดยการสนับสนุนของรัฐบาลที่มี วัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และที่สำคัญ เป็นเกตเวย์ หรือท่าเรือ เพื่อการส่งออกที่เป็นประตูที่ 3 ของประทศสู่โลกภายนอก เพื่อการแข่งขันกับนานาประเทศที่เป็นคู่แข่งของประเทศไทย 

ซึ่งการเริ่มเข้ามาขับเคลื่อนโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ โดยการที่ สสช. ส่ง เจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ เพื่อจัดทำรายงานการศึกษาระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ได้สร้างความดีใจกับคนส่วนใหญ่ของ อ.จะนะ ไม่เฉพาะแต่คนในพื้นที่ 3 ตำบล คือ นาทับ, สะกอม และ ตลิ่งชัน ที่เป็นพื้นที่ตั้งของโครงการ เพราะคนทั้ง อ.จะนะ เชื่อว่า ถ้าโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 หรือนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เกิดขึ้นได้จริง ต้องส่งผลถึงผู้คนใน หลายสาขาอาชีพ ของคนจะนะ และใกล้เคียงด้วย

แต่...ประชาชนที่ต้องการเห็นการเกิดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เริ่มไม่แน่ใจว่าการลงพื้นที่ของ เจ้าหน้าที่ชุดนี้จากสภาพัฒน์ เพื่อทำเรื่อง SEA จะเป็นการมาเพื่อการขับเคลื่อนให้โครงการนี้เกิดขึ้น เพื่อการพัฒนาภาคใต้ หรือมาเพื่อการทำ SEA เพื่อให้หยุดโครงการดังกล่าวกันแน่ 

ตำรวจแถลงกฎหมายจราจรฉบับใหม่เริ่มใช้ 5 กันยายน 2565 พร้อมมอบรางวัลประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ ในโครงการอาสาตาจราจร รวม 50,000 บาท

วันนี้ (2 ก.ย. 65) เวลา 10.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ โซนซี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ,พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์  รอง ผบช.น., พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษา ฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร ประจำเดือน ก.ค. 65 ให้แก่ เจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุและเหตุการณ์ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายสำคัญ และส่งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมจำนวน 10 คลิป เงินรางวัลรวมจำนวน 50,000 บาท โดยมีบริษัท วิริยะฯ สนับสนุนเงินรางวัล โดยคลิปสำคัญ มีดังนี้

คลิปรางวัลที่ 1 เป็นคลิปอุบัติเหตุบนถนนพหลโยธิน กรณีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับขี่แทรกมาชนกับรถจักรยานยนต์ไรเดอร์ และไปชนรถยนต์อีก 2 คันด้วย ขณะเดียวกันผู้ขับขี่จักรยานยนต์คันที่ขี่แทรกมานั้น ได้จับรถจักรยานยนต์ของไรเดอร์ แต่มือไปโดนคันเร่ง ทำให้รถพุ่งไปชนกับรถยนต์คันอื่นได้รับความเสียหาย ผลทางคดี พนักงานสอบสวน สน.พลหโยธิน ได้แจ้งข้อหาแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันที่กระทำผิด ข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และชดใช้ค่าเสียหายให้กับรถคันอื่นๆ

คลิปรางวัลที่ 2 เป็นคลิปอุบัติเหตุ บริเวณแยกประชานุกูล ถ.รัชดาภิเษก เหตุการณ์รถยนต์ส่วนบุคคลสีขาวขับมาด้วยความเร็ว ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์กลางแยก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ ผลทางคดี พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้เรียกตัวผู้กระทำผิดมาตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ พบว่าไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ แต่มีความผิดฐานขับขี่ด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ      

คลิปรางวัลที่ 3 เป็นคลิปอุบัติเหตุ บริเวณกำแพงเพชร วัดเสมียนนารี รถแท็กซี่ได้สัญญาณไฟเขียวขับผ่านแยกไปตามเส้นทางปกติ แต่มีรถจักรยานยนต์ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง พุ่งชนเข้ากลางลำของรถแท็กซี่ หมวกนิรภัยกระเด็นจากศีรษะ ได้รับบาดเจ็บ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ได้เปรียบเทียบปรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในข้อหา ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ  กล่าวว่า จากการตรวจสอบคลิปอุบัติเหตุ มักจะเกิดจากการขับขี่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งรัดกวดขันวินัยจราจรในข้อหาที่เป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด และฝากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 5 ก.ย.65 อัตราโทษปรับตามกฎหมายจจราจรจะมีอัตราโทษที่สูงขึ้น หากขับฝ่าฝืนกฎจราจรและเกิดอุบัติเหตุ อาจถูกปรับสูงสุดถึง 4,000 บาท

นอกจากนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ยังได้ให้ข้อมูลกฎหมายจราจรทางบกฉบับใหม่ที่จะมีผลวันที่ 5 ก.ย.65 ที่ประชาชนต้องรู้เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎจราจรได้อย่างถูกต้อง มีดังนี้

1) เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ  กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000 – 100,000 บาท และศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ (ม.160 ตรี/1 และ 160 ตรี/3)  

​2) เพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง     2.1 เพิ่มอัตราโทษปรับ เช่น
- ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท  (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
- ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
- ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
- ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
- ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
- ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)

2.2 เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น
​​- อัตราโทษเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000 -10,000 บาท เพิ่มเป็น จำคุกไม่เกิน 1 ปี  ปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงถึงความคืบหน้าเพิ่มเติม กรณีคดีตำรวจสันติบาลหญิงทำร้ายร่างกายทหารหญิงได้รับบาดเจ็บ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเปิดเผยถึงความคืบหน้าเพิ่มเติมกรณีตำรวจสันติบาลหญิงทำร้ายร่างกายทหารหญิงได้รับบาดเจ็บ 

ความคืบหน้าในส่วนของการดำเนินคดีอาญา สภ.เมืองราชบุรี จว.ราชบุรี ในวันนี้ (2ก.ย.65) พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเบิกตัวผู้ต้องหาไปทำการตรวจจิตเวชเพื่อนำผลการตรวจมาประกอบสำนวนคดี และพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วหลายปาก อยู่ระหว่างรอผลตรวจและทำการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย

ในส่วนการดำเนินคดีของ สภ.ชะอำ จว.เพชรบุรี พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาที่เรือนจำราชบุรีเพิ่มเติม และสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติมรวมถึงได้ทำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจเปรียบเทียบทางนิติวิทยาศาสตร์ และทำการสอบปากคำพยานประกอบคดีไปแล้วหลายปาก โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนกฎหมาย

โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับการปฎิบัติของเจ้าที่ตำรวจ ที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยให้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนอย่างตรงไปตรงไปมา ทั้งในส่วนของการดำเนินการทางวินัยและการดำเนินการในทางคดีอาญา ด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งเพื่อป้องกันให้สังคมเกิดความสับสนและเสียรูปคดี จึงขอความร่วมมือติดตามข่าวสารจากทางราชการเท่านั้น

'จิรายุ' โวย รัฐบาลห่วยแตก ปล่อยข้าวของแพง ชี้!! ค่าไฟพุ่งเกิน 5 บาทต่อหน่วยก่อนสิ้นปีแน่นอน

หลังรัฐบาลบิ๊กตู่อยู่มา 8 ปี โอบอุ้มแต่นายทุนพลังงาน ล่าสุดกู้แสนล้านชดเชยต้นทุนค่าไฟให้ EGAT ไปแล้วแสนล้าน แต่กลับไม่เจรจากับเอกชนที่รัฐต้องจ่ายค่าความพร้อมอีกปีแปดหมื่นล้าน แต่ดันจะซื้อไฟเอกชนไทยในลาวอีก 5 แห่ง 3,800 เมกฯ ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจถดถอย ความต้องการไฟโอเวอร์ซัปพลายสุดท้ายกรรมตกไปที่ประชาชนต้องรับเวรค่าน้ำค่าไฟค่าน้ำมันแพงไปแทน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน เปิดเผยว่าคณะกรรมาธิการได้พิจารณากรณีต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและแนวโน้มที่รัฐบาลจะพลักภาระที่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลไปให้กับประชาชน ด้วยการขึ้นค่าไฟเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 5 บาท/หน่วยก่อนสิ้นปีแน่นอน ถือเป็นความห่วยแตกในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กรรมาธิการส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หากรัฐบาลยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กรรมจะตกกับคนไทยทั้งแผ่นดิน

ทั้งนี้ตนขอให้รักษาการนายกรัฐมนตรี เร่งแก้ไขเป็นวาระเร่งด่วนเนื่องจากจะเกิดสึนามิทางพลังงานและค่าครองชีพที่แพงมหาโหดจะโถมเข้าใส่ประชาชนตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยกรรมาธิการมีความเห็นว่า 

1.) ขอให้ยกเลิกการกู้เงินเพื่อมาชดเชยให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งกู้เงินไปแล้ว 110,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะขอกู้เพิ่มอีกเนื่องจากสถานการณ์พลังงานของประเทศและโลกจะเข้าสู่โหมดราคาสูงในช่วงหน้าหนาว

'อองซาน' ถูกจำคุกเพิ่มอีก 3 ปี ข้อหาโกงการเลือกตั้ง ฟากกองทัพพม่าเล็งแบนพรรค NLD จากการเลือกตั้งใหญ่

(2 ก.ย. 62) ศาลพม่าได้อ่านคำพิพากษาตัดสินโทษ นาง อองซาน ซูจีน ที่ปรึกษาแห่งรัฐของพม่าว่ามีความผิดในข้อหาโกงการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2020 ทำให้อองซาน ซูจี ต้องถูกจำคุกเพิ่มอีก 3 ปี หลังจากที่โดนตัดสินโทษในความผิดข้อหาอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาแล้วหลายคดี ตั้งแต่การคอร์รัปชัน การใช้อำนาจในตำแหน่งมิชอบ การปลุกระดม และอื่นๆ ที่ทำให้อองซาน ซูจี มีโทษจำคุกสะสมแล้วกว่า 17 ปี 

และนอกเหนือจากโทษจำคุกแล้ว ยังมีระบุว่าต้องมีการบังคับใช้แรงงงานหนักในช่วงที่ถูกจองจำด้วย ซึ่งไม่ได้ระบุว่าโทษแรงงานมีรายละเอียดอย่างไร รวมถึง นาย วิน มินท์ ผู้นำพม่าของพรรค NLD ที่ชนะการเลือกตั้งปี 2020 ก็ถูกตัดสินรับโทษในข้อหาโกงการเลือกตั้งเช่นเดียวกับ นาง อองซาน ซูจี 

จากการเลือกตั้งใหญ่ของพม่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2020 พรรค NLD ของ อองซาน ซูจี ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กวาดที่นั่งในสภาไปได้ถึง 315 จาก 440 ที่นั่ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียวได้สบายๆ แต่กลับยังตั้งรัฐบาลไม่ได้สักที ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องโกงการเลือกตั้ง และนำไปสู่การรัฐประหารในพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021  

แม้ว่า The Asian Network for Free Elections องค์กรอิสระที่เข้ามาสังเกตการณ์ในคูหาเลือกตั้งในพม่ากว่า 400 แห่ง ในช่วงระหว่างมีการเลือกตั้ง ได้ยืนยันว่าไม่พบการกระทำผิดกฏหมายตามที่ฝ่ายกองทัพพม่ากล่าวอ้าง แต่สุดท้าย นายพล มิน อ่อง หล่าย ก็ประกาศว่าผลการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะอยู่ดี เพราะขาดความยุติธรรม และเสรีภาพ

ดังนั้นข้อหาเรื่องการโกงการเลือกตั้ง จึงเป็นคดีหลักของอองซาน ซูจี มากกว่าคดียิบย่อย ที่โดนพิพากษาไปก่อนหน้านี้ และจะเป็นคดีที่ส่งผลต่อพรรค NLD ที่อาจถูกรัฐบาลทหารใช้เป็นเหตุผลที่จะแบนพรรค NLD ทั้งพรรคออกจากการเลือกตั้งใหญ่ ที่ทางนายพล มิน ออง หล่าย เคยสัญญาว่าจะจัดขึ้นแน่ๆในปี 2023 ที่จะถึงนี้

ศาลกาฬสินธุ์ติวเข้มผู้บังคับใช้กฎหมาย

ศาลกาฬสินธุ์จัดอบรมโครงการส่งเสริมการประสานความร่วมมือด้านการยุติธรรม ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการยุติธรรมทุกภาคส่วน ติวเข้มผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งระบบยุติธรรมที่โรงแรมชาร์ลองบูทรีค อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นางสาวโกมลลดา ไกรสิงห์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนางวัฒนานันท์ ธรรมบุตร ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาล จ.กาฬสินธุ์ นายพูนศักดิ์ นามเพ็ง ส่วนช่วยอำนวยการประจำศาล จ.กาฬสินธุ์ เปิดการอบรมตามโครงการส่งเสริมการประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทุกระบบ โดยมีนายณัชฐปกรณ์ เจริญรัตนวานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาล จ.กาฬสินธุ์ นายอัครรัฐ สูตรสุวรรณ ผู้พิพากษาศาล จ.กาฬสินธุ์ เป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านกฎหมาย

นางสาวโกมลลดา ไกรสิงห์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการประสานความร่วมมือด้านการยุติธรรม ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจัดขึ้นเพื่ออบรม ให้ความรู้เพิ่มเติมในด้านกฎหมาย เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนในกระบวนยุติธรรมภายใน จ.กาฬสินธุ์ทั้งระบบ ทั้งในส่วนประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับยาเสพติดที่ให้โทษ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับกฎหมายที่แก้ไขฉบับใหม่ ซึ่งการประสานความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้ระเบียบงานที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเป็นไปในแนวทางเดียวกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมใน จ.กาฬสินธุ์

ทั้งนี้ ศาลยุติธรรมเป็นสถาบันหลักในการอำนวยความยุติธรรม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2565-2568 เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย  ในการประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมถึงวางแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ภายใต้ยุทธศาสตร์กระบวนการยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทุกภาคส่วนให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้ระบบนิติธรรม เพื่อพัฒนาเครือข่ายในการแก้ไขปัญหา การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลกาฬสินธุ์

'ชวน' ย้ำเตือน อย่าทำให้การเมืองเป็นธุรกิจ แนะ!! ผู้กู้กยศ.ควรคืนเงิน เพื่อรุ่นต่อไป

'ชวน' เปิดงานโครงการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดบ้านเมืองสุจริตไปสู่เยาวชน พร้อมบรรยายพิเศษ 'ประเทศรุ่งเรือง เมื่อบ้านเมืองสุจริต' ย้ำเตือนอย่าทำให้การเมืองเป็นธุรกิจ แนะผู้กู้กยศ.คืนเงิน เพื่อรุ่นต่อไป

(2 ก.ย.65) ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานเปิดงานโครงการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดบ้านเมืองสุจริตไปสู่เยาวชน เพื่อสร้างการเรียนรู้ และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการประพฤติปฏิบัติตนเป็นสุจริตชนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และครูอาจารย์ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ประเทศรุ่งเรือง เมื่อบ้านเมืองสุจริต’ โดยมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย, นิสิต, นักศึกษา และครูอาจารย์ในกทม. ภาคกลาง, ภาคใต้และภาคเหนือ ประมาณ 200 คนเข้าร่วมงาน

ทั้งนี้นายชวน กล่าวบรรยายพิเศษตอนหนึ่งว่า ตนเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องมาถึง 16 สมัย จึงได้เห็นบ้านเมืองด้วยตาตนเองและประจักษ์ว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร หรือการเมืองเป็นเช่นไร มิใช่การรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น โดยเมื่อปี 2512 ตนได้รับการเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งสมัยนั้นเท่าที่ทราบยังไม่มีการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงเลือกตั้ง แต่พบว่ามีผู้ลงสมัครเลือกตั้งบางคน บางจังหวัดแจกอาหารข้าวของให้ประชาชน

ในฐานะที่ตนอยู่บนเส้นทางการเมืองมานานกว่า 50 ปี เคยดำรงตำแหน่งทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ตนจึงเป็นห่วงบ้านเมืองว่านักการเมืองทำการเมืองแบบไม่สุจริต โดยเฉพาะในลักษณะของธุรกิจการเมือง คือการใช้เงินปูทางขึ้นมาสู่อำนาจ ซึ่งถือเป็นการทุจริตอย่างหนึ่ง และการทุจริตในลักษณะเช่นนี้ ย่อมเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับและในแทบทุกภาคส่วน เพราะนักการเมืองย่อมอาศัยกลไกในระบบบราชการและเครือข่ายในภาคส่วนธุรกิจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้ามาถอนทุน ผลเสียหายต่อบ้านเมืองและการพัฒนาประเทศย่อมมีมากมายมหาศาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top