Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

อธิบดี พก. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. กรุงเทพฯ ประจำปี 2565

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 13.30 น. ณ โรงแรม ซีบรีซ จอมเทียน รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี  "นายจุติ ไกรฤกษ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบหมายให้ "นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร ประจำปี 2565 โดยมี  "นางสาวนภาพร เมฆาผ่องอำไพ" รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวรายงาน โครงการดังกล่าวจัดระหว่างวันที่ 9 - 10 กันยายน 2565 โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเปิดโอกาสให้ อพม. ที่มีประสบการณ์ ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานในระดับพื้นที่ จนเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ในการทำงาน และสามารถนำความรู้และประสบการณ์ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ประกอบด้วย...

การถอดบทเรียน “จุดแข็ง อพม. สานต่อความยั่งยืน” 5 ประเด็น ได้แก่ เทคนิคการระดมทรัพยากรสนับสนุนการทำงาน อพม., เทคนิคการบริหารทีมให้มีความเข้มแข็ง, เทคนิคการทำงานเบิกค่าตอบแทน อพม., เทคนิคการทำงานร่วมกับเครือข่าย และประเด็นสุดท้ายอยากเห็น อพม. เป็นอย่างไรในอนาคต

‘บิ๊กตู่’ สั่งทุกเหล่าทัพ หนุน 'รัฐบาล-กทม.' เต็มที่ ช่วยวิกฤตน้ำท่วม เสริมรถรับส่งประชาชนให้ทั่วถึง

(10 ก.ย.65) พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง สถานการณ์ฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศจากมรสุมพาดผ่าน เกิดมวลน้ำสะสมจำนวนมากไหลลงพื้นที่ต่ำและแม่น้ำสายหลัก ประกอบกับเขตเมืองที่ขยายตัวทับเส้นทางระบายน้ำ และเกิดการอุดตันของระบบระบายน้ำ เป็นเหตุให้พื้นที่ต่ำชุมชนเขตเมือง รวมทั้งพื้นที่ขวางเส้นทางระบายน้ำและพื้นที่ต่ำริมลำน้ำสายหลักได้รับผลกระทบหลายพื้นที่จังหวัด รวมทั้ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการทุกเหล่าทัพ ยังคงความสนับสนุนรัฐบาล โดยกระจายกำลังพล เครื่องมือช่าง ยานพาหนะ ทั้งรถและเรือ อากาศยานไร้คนขับ เครื่องสูบน้ำและเรือดันน้ำ รวมทั้งชุดกู้ภัยและชุดแพทย์เคลื่อนที่ เข้าไปเสริมทำงานร่วมกับ หน่วยงานหลักโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของแต่ละจังหวัดและจิตอาสา ช่วยเหลือประชาชนในหลายพื้นที่ ทั้งพื้นที่วิกฤตที่น้ำป่าไหลหลากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน พื้นที่เขตเมืองและชุมชนที่น้ำท่วมขังสูง เส้นทางที่ถูกตัดขาด บ้านเรือนประชาชนที่ชำรุดเสียหาย 

“ทุกเหล่าทัพ ที่มีหน่วยทหารในพื้นที่ ยังคงกระจายกำลังและเสริมกำลังเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่วิกฤตและพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ทั้งการแจ้งเตือน ช่วยยกของขึ้นที่สูง อพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าพื้นที่ปลอดภัย การแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์และจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่เข้าดูแลประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่ การจัดชุดครัวเคลื่อนที่และจัดทำอาหารกระจายแจกจ่าย การบรรจุกระสอบทรายจัดทำคันกั้นน้ำ การเปิดทางน้ำและเร่งระบายน้ำจากพื้นที่น้ำท่วมขังลงแม่น้ำสายหลัก การลอกสวะที่ขวางอุดตันทางน้ำในพื้นที่ การซ่อมแซมถนนที่ถูกตัดขาด เป็นต้น”

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงปรากฏพระองค์ในฐานะกษัตริย์ของสหราชอาณาจักร พร้อมมีพระราชดำรัสแรกอย่างเป็นทางการต่อพสกนิกร

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์องค์ใหม่ของสหราชอาณาจักร ทรงมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรเป็นครั้งแรกหลังขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระมารดาผู้เสด็จสวรรคต

เอเอฟพีรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน 2565 กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเสด็จมาประทับที่พระราชวังบักกิงแฮมในกรุงลอนดอนเมื่อวันศุกร์ โดยได้พบปะทักทายพสกนิกรที่มาร่วมไว้อาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

หลังจากนั้นในช่วงบ่าย พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงบันทึกเทปพระราชดำรัสแรกอย่างเป็นทางการในฐานะพระประมุของค์ใหม่ของสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพ ที่ห้องวาดรูปสีน้ำเงิน (Blue Drawing Room) ของพระราชวังบักกิงแฮม

พระราชดำรัสซึ่งบันทึกไว้ล่วงหน้า ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ของสหราชอาณาจักร เมื่อเวลา 18:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เที่ยงคืนวันเสาร์ ตามเวลาประเทศไทย) โดยมีใจความสรุปกล่าวว่า...

"วันนี้ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านด้วยความรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง ตลอดชีวิตของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ผู้เป็นมารดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ทรงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างแก่ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนในครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราติดหนี้พระคุณของพระองค์อย่างมหาศาล จากความรัก, ความเสน่หา, การสั่งสอน, ความเข้าใจ และแบบอย่างการดำรงชีวิตของพระองค์"

“ควีนเอลิซาเบธทรงดำเนินชีวิตอย่างดี และยึดมั่นในคำสัญญาเหมือนประหนึ่งชะตาที่ต้องรักษาไว้ พวกเราทุกคนเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของพระองค์ และข้าพเจ้าจะอุทิศชีวิตเช่นเดียวกับพระมารดา เพื่อสานต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับพสกนิกรที่ว่า จักขอรับใช้ไปตลอดชีวิต"

"พวกเราได้รับรู้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้นที่เศร้าโศก แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายในสหราชอาณาจักร, ทุกประเทศที่พระราชินีทรงเป็นพระประมุข, ในเครือจักรภพและทั่วโลก ที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อระยะเวลากว่า 70 ปีที่พระมารดาของข้าพเจ้าดำรงพระองค์ในฐานะราชินีผู้รับใช้มวลชนจากหลากหลายชาติ"

"ความทุ่มเทในฐานะราชินีผู้ไม่เคยหวั่นไหว ผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง และผ่านช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าและความสูญเสีย"

“ในชีวิตการรับใช้ของพระองค์ พวกเราได้เห็นการดำรงอยู่ของจารีตประเพณีควบคู่กับการยอมรับความก้าวหน้าด้วยความแน่วแน่ ซึ่งทำให้พวกเรายิ่งใหญ่ในฐานะประเทศชาติ อีกทั้งความรัก, ความชื่นชม และความเคารพในฐานะแรงบันดาลใจของสาธารณชน สิ่งเหล่านั้นคือจุดเด่นในรัชสมัยของพระองค์"

"ด้วยศรัทธาและค่านิยมที่เป็นดั่งแรงบันดาลใจ ข้าพเจ้าถูกเลี้ยงดูมาเพื่อทะนุถนอมความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และเคารพในประเพณีอันล้ำค่า, เสรีภาพ, ความรับผิดชอบในประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศและระบบรัฐสภา ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด"

"เช่นเดียวกับที่พระราชินีทรงยึดมั่นด้วยความจงรักภักดี บัดนี้ข้าพเจ้าก็สัญญากับตัวเองว่า ข้าพเจ้าจักรักษาหลักการตามรัฐธรรมนูญอันเป็นหัวใจของประเทศชาติไว้ตลอดเวลาที่เหลืออยู่อันพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า"

“และไม่ว่าทุกท่านจะอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร หรือในอาณาจักรและดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าภูมิหลังหรือความเชื่อของทุกท่านจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะพยายามรับใช้ด้วยความภักดี ด้วยความเคารพ และความรัก ดังที่ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนมาตลอดชีวิต"

"นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้า เพื่อเป็นเกียรติแก่คามิลลาผู้เป็นภริยาที่เคียงข้างและรับใช้สาธารณะอย่างซื่อสัตย์มาตั้งแต่การอภิเษกของเราเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าไว้วางใจในความรักของเธอ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ต่อจากนี้ภริยาผู้เป็นที่รักจะต้องรับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงในการช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพาให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณล่วงหน้ากับการอุทิศตนอย่างมั่นคงต่อหน้าที่ของเธอ"

'กรณ์' เผย 4 เหตุการณ์ 'รับเสด็จ-เข้าเฝ้า' ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ยกเป็นความทรงจำอันลํ้าค่าอย่างมากในชีวิต

เมื่อ 9 ก.ย.65 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'กรณ์ จาติกวณิช – Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

#QueenElizabeth II กับ ความทรงจำอันล้ำค่าของผม

นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาคมโลกต่อการจากไปของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขอน้อมถวายความอาลัย และเป็นกำลังใจให้เพื่อนชาวสหราชอาณาจักรทุกคนครับ

ผมเองได้มีโอกาสรับเสด็จและเข้าเฝ้าอยู่ 4 ครั้งในแต่ละช่วงบทบาทที่แตกต่างกันไป 

ครั้งแรกตอนผมอายุ 8 ขวบ ผมอยู่โรงเรียนสมถวิล ซอยมหาดเล็กหลวง ตอนนั้นปี 2515 พระองค์ท่านเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พวกเราถือธงชาติไทย-อังกฤษ ยืนรับเสด็จพร้อมเพรียง เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนผ่าน ผมและเพื่อนๆ ต่างชะเง้อมองพระพักตร์ริมหน้าต่างรถพระที่นั่ง ใจจริงตอนนั้นผมชะเง้อมองหาในหลวงของเรา แต่ท่านประทับในรถอยู่คนละฝั่ง (ความรู้สึกของเด็กอย่างผมตอนนั้นคือเสียใจอยู่เหมือนกัน) แต่มุมนั้นทำให้ผมมองเห็นควีนเอลิซาเบธชัดเจนมาก พระองค์ท่านทรงพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายเด็กๆ อย่างเราตลอดเส้นทาง

ต่อมาตอนอายุ 11 ขวบ ผมมาเรียนอังกฤษใหม่ๆ เป็นช่วงพระราชพิธีเฉลิมฉลอง Silver Jubilee ก็ได้ไปรับเสด็จริมถนนอีกครั้ง ตื่นเต้นดังเดิม แต่คนเยอะมากไม่เห็นอะไรเลย

ครั้งที่ 3 ตอนอายุ 18 ในฐานะหัวหน้านักเรียน (Head Boy) ของโรงเรียน Winchester College ในช่วงพิธีฉลองครบรอบ 600 ปีของโรงเรียน ครั้งนั้นโรงเรียนแจ้งว่า ผมจะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ท่าน ตื่นเต้นและดีใจมากกว่าทุกครั้ง

ก่อนเสด็จฯ ประมาณ 1 เดือน สำนักพระราชวังตรวจรายชื่อผู้ร่วมโต๊ะเสวย จากนั้นก็มีสายจากพระราชวังโทรตามหาตัวผมที่โรงเรียน ถามว่า ผมเป็นอะไรกับ Mr.Chatikavanij ที่เคยรับเสด็จเมื่อครั้งเยือนประเทศไทยปี 2515 ซึ่งท่านผู้นั้นคือคุณลุง ‘เกษม จาติกวณิช’ ผู้ก่อตั้งและผู้ว่าการไฟฟ้าฯ คนแรกของไทย ท่านได้รับเสด็จพระองค์ท่าน และพาเยี่ยมชมโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำตามโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่9 ของเรา 

เมื่อถึงวันงานพระองค์ท่านตรัสกับผมว่า 'when I was in Thailand, your uncle very kindly took care of me.' ถือเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวและวงศ์ตระกูลของเราอย่างมากครับ

ครั้งสุดท้าย ตอนนั้นอายุ 45 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ครั้งนั้นประเทศไทยของเราได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม G20 เป็นกรณีพิเศษเพื่อช่วยนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผมและนายกฯ อภิสิทธิ์ได้เข้าเฝ้า ร่วมกับผู้นำประเทศและรัฐมนตรีคลังจากประเทศชั้นนำของโลก ในพระราชวัง Buckingham Palace 

ดีลแห่งปี!! WHA&BYD จุดเริ่มจากความเชื่อมั่นที่ไทยต้องเป็นศูนย์กลาง EV สู่ดีลขายที่ผืนใหญ่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าป้อนโลก

นับเป็นข่าวฮือฮาในช่วงสัปดาห์ เมื่อ WHA ปิดดีลขายที่ดินผืนใหญ่ 600 ไร่ให้ BYD ซึ่งเป็นย่างก้าวสำคัญที่จะดันไทยกลายเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ EV ได้อย่างจริงจัง จากการ BYD จะนำที่ดินผืนนี้มาตั้งเป็นโรงงานผลิตรถ EV รุกอาเซียน-ยุโรป

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ 'บีวายดี' (BYD) จำนวน 600 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 11 ของ WHA ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

เธอกล่าวอีกด้วยว่า การซื้อขายที่ดินกับ บีวายดี ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ของ WHA เน้นให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการสนับสนุนโครงการอีอีซี และการดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve Industry) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 67 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าจำนวน 150,000 คัน/ปี เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียนและยุโรป

บีวายดี ก่อตั้งในประเทศจีน โดยมีประสบการณ์ด้านการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่มานานกว่า 20 ปี โดยเมื่อเดือน เม.ย.65 บริษัทได้หยุดผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเน้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แทน และเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา บีวายดี แต่งตั้งบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ให้เป็นผู้แทนจำหน่าย BYD แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และตั้งเป้ายอดขายปีแรกกว่า 10,000 คัน

ด้านนายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า การเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ในต่างประเทศที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการขยายบริษัทของเราอย่างแท้จริง พร้อมเสริมว่า หลังจากที่ได้ทำการค้นหาและคัดเลือกอย่างละเอียด ประเทศไทยและนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ได้กลายเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงของบริษัทในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค

“โครงการอีอีซีและนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 มีสิ่งที่เรามองหา ทั้งทำเลที่ตั้งอันโดดเด่น ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณูปโภคและบริการระดับเวิลด์คลาส รวมไปถึงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง นอกจากนั้นแล้ว ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังมีบทบาทสำคัญในการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ในอีอีซีด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนของบีวายดี และเราหวังว่าจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวอันดีร่วมกับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ต่อไปในอนาคต”ผู้บริหาร บีวายดี กล่าว

นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ล่าสุดของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ทางหลวงหมายเลข 36 และ 3375 ในจังหวัดระยอง และห่างจากท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดเพียง 25 กม. ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง 31 กม. และสนามบินอู่ตะเภา 23 กม.

กองทัพเรือ ระดมสรรพกำลังเพิ่มเติม เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จากเหตุน้ำท่วมระยอง อย่างต่อเนื่อง

(9 ก.ย.65) กองทัพเรือ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ฐานทัพเรือสัตหีบ และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้การสนับสนุนเทศบาลตำบลทับมา เทศบาลนครระยอง เทศบาลตำบลแกลงกะเฉด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และเทศบาลตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในการร่วมบรรจุกระสอบทรายกั้นน้ำ และแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงการลำเลียงกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ต่างๆ การแจกจ่ายสิ่งของจำเป็น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 

อีกทั้ง ยังได้จัดรถครัวสนามเพื่อประกอบอาหารจัดเลี้ยง ให้แก่ผู้ประสบภัย และจัดเจ้าหน้าที่พยาบาล ออกให้บริการประชาชน แจกจ่ายยา พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ ในห้วงสถานการณ์น้ำท่วม ตลอดจนจัดเรือท้องแบน เรือพาดท้ายเพลายาว และเรือท้องแข็ง ออกให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามพื้นที่ต่างๆ 

ในการนี้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ยังได้สนับสนุนกำลังพลร่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ประกอบอาหารจัดเลี้ยงผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจัดอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น มื้อละ 5,000 กล่อง 

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง ในวันนี้บางพื้นที่ระดับน้ำได้เริ่มลดลงแล้ว ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 จึงได้จัดกำลังพลเข้าร่วมทำการฟื้นฟู และทำความสะอาดในพื้นที่ดังกล่าว

จับแก๊งลักทรัพย์โรงแรมเกาะสมุย 9 ราย ร่วมกันวางแผน-ลักทรัพย์ร่วมเดือน

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ก.ย.65 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งจาก นางวารี โชคคณาพิทักษ์ ว่า ตนเป็นเจ้าของโรงแรมบลูลากูน เดอะ ทีค วิง ตั้งอยู่ที่ ม.2 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีคนร้ายเข้าไปลักเอาทรัพย์สินภายในโรงแรมดังกล่าวจนได้รับความเสียหายมากกว่า 70 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น 

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ควบคุมดูแล การสืบสวนคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างมาก รวมทั้งเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ให้เร่งทำการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุดังกล่าวนำมาดำเนินคดีโดยเร็ว 
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เบื้องต้นทราบว่า สถานที่ตั้งของโรงแรมดังกล่าว ได้ถูกเช่าเพื่อนำไปทำเป็นโรงแรมตั้งแต่ปี 2533 ภายใต้สัญญาเช่า 30 ปี ครบกำหนดเมื่อปี 2563 โดยผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ได้รับพื้นที่ดังกล่าวคืนพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (โรงแรมและทรัพย์สินภายในโรงแรมทั้งหมด) เมื่อประมาณปลายปี 2564 ซึ่งทางผู้เสียหายได้มีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยทิ้งร้างหลังจากหมดสัญญาจ้างกับพนักงานรักษาความปลอดภัย ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.65 ผู้เสียหายได้เข้าไปตรวจดูภายในโรงแรมพบว่า มีทรัพย์สินภายในโรงแรมสูญหายไปเป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 23.5 ล้านบาท จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.บ่อผุด ภ.จว.สุราษฎร์ธานี

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้เช่าเดิมที่เพิ่มส่งมอบที่ดินคืนให้แก่ผู้เสียหาย และได้วางแผนกลับมาลักเอาทรัพย์สินภายในโรงแรมดังกล่าว เพื่อนำไปขายต่อ เจ้าหน้าที่สืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 9 ราย ประกอบด้วย 

1. นายโอมชัยศักดิ์ หรือโอม จันทร์แจ่ม อายุ 50 ปี เป็นผู้วางแผน
2. น.ส.ณัชชา หรือแพท โนภูเขียว อายุ 31 ปี เป็นผู้วางแผน
3. น.ส.ขวัญใจ หรือน้อย นิยม อายุ 40 ปี เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
4. นายอภิพัฒน์ หรือโอ๊ต จันทร์แจ่ม อายุ 33 ปี บุตรชายของนายโอมชัยศักดิ์ฯ เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
5. นายกฤษณะ หรือหนุ่ย ขำเมือง อายุ 33 ปี เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
6. Mr.Thuya Soe อายุ 23 ปี สัญชาติเมียนมาร์ เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
7. Mr.Min Phyo Aung อายุ 20 ปี สัญชาติเมียนมาร์ เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
8. Mrs.Phyu อายุ 20 ปี สัญชาติเมียนมาร์ เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์
9. น.ส.ภัคจิรา ประยูรชาญ อายุ 42 ปี เป็นผู้รับซื้อของที่ได้มาจากการลักทรัพย์

โดยจากการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าว สามารถยึดทรัพย์สินของกลางในคดีได้หลายรายการ ได้แก่ รถที่ใช้ในการก่อเหตุจำนวน 2 คัน รถบรรทุก 6 ล้อ จำนวน 1 คัน ชุดถังแก๊สที่ใช้ในการตัดเหล็ก จำนวน 1 ชุด ท่อนเหล็ก วงกบประตู บานหน้าต่างไม้ แผ่นเมทัลชีท ที่ได้จากการลักมาจากที่โรงแรมจำนวนมาก 

มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายประมาณการในครั้งแรกประมาณ 17,548,000 บาท ขณะนี้สามารถติดตามกลับมาได้จำนวน 381 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 659,000 บาท และตรวจพบทรัพย์สินในที่เกิดเหตุที่ยังไม่สูญหายจำนวน 1,001 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,557,500 บาท สรุปความเสียหายเบื้องต้นคิดมูลค่าประมาณ 14,334,500 บาท 
โดยกลุ่มผู้ต้องที่ร่วมกันก่อเหตุนี้จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือรับของโจร” อัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

ครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนา กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ - Cyber Cop Thailand

วันที่ 9 ก.ย. 65 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เป็นประธานพิธี เดินตรวจแถวกองเกียรติยศ บช.สอท. (ในชุดเครื่องแบบสนาม ตามสภาพงานและสนามภูมิประเทศ) ซึ่งแสดงออกถึง แนวคิดของ ผบ.ตร. ในการพัฒนาเครื่องแบบของข้าราชการตำรวจให้มีประสิทธิภาพ คล่องตัว ทันสมัย เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งได้กำหนดให้ ข้าราชการตำรวจ สวมเครื่องแบบชุดสนามฯ เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาจิตและยกย่องเชิดชูเกียรติ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการและวันคล้ายวันสถาปนา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครบรอบปีที่ 2

โดยมี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษณ์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร รอง ผบช. ปรก. บช.สอท. และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ

ก่อนจะขึ้นเวทีอวยพรเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีนายเอกพันธ์ วรรณสุทธิ หรือ เพียว เดอะวอยซ์ ร่วมร้องเพลง The rose ของ Westlife และเพลง Somewhere over the rainbow ของ Branden Sipes 

และ การขับร้องบทเพลง “เธอผู้ไม่แพ้” โดย ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งได้รับโอกาสจาก ผบ.ตร. ให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ที่ยังคงเล็งเห็นคุณค่า ไม่ทอดทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชา สร้างขวัญกำลังใจ ในความเสียสละและเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณงามความดีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชน ได้แก่ พ.ต.อ.ยงยุทธ เรืองเดช รอง ผบก.กม., พ.ต.ท.สุขสันต์ สุดสง่า รอง ผกก.3 บก.สอท.2, พ.ต.ท.นำพล  ทองภูสวรรค์  รอง ผกก.1 บก.สอท.4

สำหรับงานวันคล้ายวันสถาปนา บช.สอท. ครบรอบปีที่ 2 ได้กำหนดให้มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาลพระภูมิและศาลตายาย ประจำที่ทำการ, ตรวจแถวกองเกียรติยศ และ พิธีสงฆ์ ถวายเครื่องไทยธรรม ภัตตาหาร แด่พระภิกษุสงฆ์ วัดท่าไม้ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.สอท.

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความร่วมมือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เชื่อมต่อ 'แอปแทนใจ' และ 'แอป My GPF' เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ข้าราชการตำรวจ

(9 ก.ย. 65) ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดย ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญ เป็นผู้แทนฯ ลงนาม โดยมี พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คุณบุญเลิศ อันประเสริฐพร รองเลขากลุ่มงานปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่งรองเลขากลุ่มงานสมาชิกสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร และคุณรณชัย วินทวาร ผู้ช่วยเลขาธิการ กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และรักษาในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ กลุ่มงานยุทธศาสตร์องค์กรและการวิจัย เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ได้มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง แอปพลิเคชัน “แทนใจ”  และ แอปพลิชัน “MY GPF”  เพื่อให้ข้าราชการตำรวจผู้ใช้แอปพลิเคชันแทนใจ และเป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถเข้าถึงข้อมูลและสิทธิประโยชน์ของข้าราชการตำรวจ สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้...

'จุรินทร์' ดันไทยศูนย์กลางค้าอัญมณีของโลก ขณะที่ยอดขายแตะ 3 พันล้าน ด้านแบรนด์ PSG เชื่อมั่นช่วยธุรกิจจิวเวลรี่กลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น

วันที่ 9 กันยายน ที่อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์และการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับ ครั้งที่ 67 (Bangkok gems and Jewelry fair :BGJF 67th Edition) เป็นงานแสดงและเป็นเวทีการค้าสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยได้พบเจรจาการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า งานแสดงสินค้า อัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 67 เป็นการจัดงานในรอบ 2 ปี ซึ่งอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เผชิญความท้าทายต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง โดยมอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการส่งออกเชิงรุก มีเป้าหมายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า อัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลก มุ่งเน้นรักษาตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าที่เคยเป็นตลาดสำคัญ 

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29.8 ในปี 2564 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า สามารถนำรายได้เข้าประเทศ 194,950 ล้านบาท และในปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 234,000 ล้านบาท ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ การส่งออกมีมูลค่าสูงถึง 149,842 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.64

"อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เนื่องจากมีผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ที่อยู่ในอุตสาหกรรมถึงกว่าร้อยละ 90 มีการจ้างแรงงานในห่วงโซ่อุปทานถึงกว่า 664,000 คน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญด้านการผลิต ช่างฝีมือที่เปี่ยมด้วยทักษะและฝีมืออันประณีตในการคัดสรร การเจียระไน การขึ้นรูป รวมถึงการออกแบบ จึงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ซื้อจากทั่วโลกเดินทางมาเจรจาการค้ามากกว่า 15,000 ราย คาดว่าจะมียอดการซื้อขายภายในงานสูงถึง 3,000 ล้านบาท"

ด้าน คุณปารณีย์ อำนวยรักษ์สกุล กรรมการ บริษัท ปิยะสยามกรุ๊ป (2001) แบรนด์ PSG Jewelry หนึ่งในผู้ประกอบการกล่าวว่า การจัดการแสดงในครั้งนี้ ทางแบรนด์ PSG เชื่อมั่นว่าการจัดแสดงครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจจิวเวลรี่ กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งนับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการรวมถึงคนในแวดวงอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลกได้มาพบและเจรจาธุรกิจกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top