Thursday, 10 July 2025
Hard News Team

'บิ๊กป้อม' ติดตามสถานการณ์น้ำ-ศก.ภาคใต้ ยิ้มเขินถูกเรียกนายกฯ รีบออกตัว เป็นแค่รองนายกฯ

วันที่ (19 กันยายน 2565) เมื่อเวลา 8.45 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมพล.อ ชัยชาญ ช้างมลคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 บน.6 ด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ หมายเลข 60206 ไปยังท่าอากาศยาน จ.นราธิวาส ในเวลา 10.10 น 

โดยทันทีที่ถึงสนามบิน ได้มีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และว่าที่ผู้สมัคร ให้ต้อนรับประกอบด้วย อาทิ นายสัมพันธ์ มะยูโซะ ส.ส.นราธิวาส, นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา, ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.สงขลา, นายวันชัย ปริญญาศิริ ส.ส.สงขลา, นายพยม พรหมเพชร ส.ส.สงขลา และเข้าห้องรับรองพูดคุยร่วมกัน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก่อนจะออกเดินทางจากสนามบินด้วยรถโตโยต้า อัลพาร์ด ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน บ 7240 กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ และประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมตรวจติดตามการขับเคลื่อนมติ กพต. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.นราธิวาส

เมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.ประวิตรพร้อมคณะ เดินทางถึงมหาวิทยาลัยนราธิวาส โดยมีพล.ร.ต.สมเกีบรติ ผลประยูร เลขาธิการศอ.บต.ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานสรุปการขับเคลื่อนพัฒนาศักยภาพด่านศุลกากรไทย - มาเลเซียเสริมอัตลักษณ์ทางภาษา ประเพณีและวัฒนธรรม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเยี่ยมชมนิทรรศกรเสริมสร้างศักยภาพมหาวิทยาลัยเพื่อรองรับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกิจกรรมโคบาลชายแดนใต้ภายใต้โครงการเมืองปศุสัตว์ตามกรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมฟังบรรยายภาพรวมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนายสุรสีห์ กิตติมลฑล เลขาธิการสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการรับฟังบรรยายสรุป โครงการสร้างเสริมศักยภาพมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์เพื่อการพัฒนาจังหวัด นราธิวาส พล.อ.ประวิตรได้กล่าว ฝากมหาวิทยาลัยดังกล่าวให้ดูแลเรื่องภาษาไทย ทำอย่างไรให้เด็กในพื้นที่ใช้ภาษาไทยได้ดี เพราะเวลากลับบ้านใช้ภาษามาลายูกัน

จากนั้นพล.อ.ประวิตร ได้พูดคุยกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคผ่านระบบ Video Conference กับเกษตรกรชาวอำเภอรามันและสุไหงปาดี ซึ่งเกษตรกรได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการ พร้อมยังขอเสาไฟฟ้า เพื่อใช้ในการเกษตร 

‘เต้น-ณัฐวุฒิ’ โบ้ย ‘พธม.’ ต้นเหตุเกิดรัฐประหารปี 49 หากวันนั้นหยุดชุมนุมหลังยุบสภา บ้านเมืองคงไปอีกทาง

(19 ก.ย. 65) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นจุดเริ่มต้นมหากาพย์ความขัดแย้งของสังคมไทย มาตลอด 16 ปี การชุมนุมของกลุ่ม พธม. ในช่วงปี 2548 - 2549 แม้จะมีขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์การเมืองได้ ถ้ากลุ่ม พธม. ยุติการชุมนุมไปหลังจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุบสภา บ้านเมืองอาจไปอีกทางหนึ่ง และจะไม่มาสู่หนทางนี้ได้ กระทั่งเมื่อกองทัพและเครือข่ายชนชั้นนำทำรัฐประหาร จึงกลายเป็นการเริ่มนับหนึ่งของมหากาพย์ความขัดแย้ง ก่อวิกฤตความแตกแยกของสังคมไทยยาวนานมาจนถึงวันนี้

16 ปีผ่านไป ตัวละครหลักในเหตุการณ์ยังคงอยู่ครบ ทั้งฝ่ายการเมือง กองทัพ และเครือข่ายอำนาจชนชั้น ขณะเดียวกัน 19 กันยา 49 และผลพวงจากเหตุการณ์นั้น ก็ให้กำเนิดตัวละครใหม่ เช่น กลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งขบวนการหนุ่มสาว ที่ออกมาร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน เกิดการเรียนรู้อุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีนักประชาธิปไตยเกิดขึ้นทุกที่ทุกเวลา เครือข่ายชนชั้นนำและกองทัพที่มีอิทธิพลสำคัญในมหากาพย์ความขัดแย้งนี้ ก็ไม่ได้รอดพ้นจากความเสียหายที่ก่อไว้ เพียงยังทรงตัวอยู่บนรอยปริร้าวของตัวเองได้ชั่วคราว แต่วันหนึ่งความเสียหายร้ายแรงจะลุกลามไปถึง

‘ชัยวุฒิ’ หนุนไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าปี 70 เพิ่มมูลค่าแตะ 30% ของ GDP

รมว.ดีอีเอส โชว์วิสัยทัศน์พัฒนาดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ พร้อมเดินหน้าหนุนไทย สู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ ตั้งเป้า เพิ่มมูลค่าแตะ 30% ของ GDP ภายในปี 70

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Huawei Connect 2022 Bangkok หัวข้อ “มุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่เฟื่องฟู” ว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้เกิดการหยุดชะงักในระบบเศรษฐกิจส่งผลกระทบในด้านของคุณภาพชีวิตของคนทั่วโลก ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เทียบเท่าในช่วงสถานการณ์ปกติก่อนเกิดวิกฤตโควิด เป็นสิ่งที่ทุกประเทศกำลังทำรวมถึงประเทศไทยก็พร้อมที่จะส่งเสริมกำลังของไทยเพื่อก้าวสู่อนาคตในฟื้นฟูกับเส้นทางที่มีความมั่นคงมากขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มต่าง ๆ ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไปตามรูปแบบการเติบโต และรูปแบบการเติบโตที่นำโดยนวัตกรรม และตั้งอยู่บนองค์ความรู้ ท่ามกลางการเกิดการแพร่ระบาดเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาสังคมได้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีนับสำคัญ เกิดการรุกตลาดในเทคโนโลยีดิจิทัลในส่วนที่เป็นแอพพลิเคชัน เช่น โมบายเพย์เมนต์ การค้าอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ชยายตัวมากกว่า 120% ถือเป็นบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

ในปี 64 อัตราการเติบโตรายปีของเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ จะสูงแตะ 44% และอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์จะขยายตัวมากถึง 26% รวมถึงอุตสาหกรรม Big Data จะขยายตัวได้ 4% ขณะเดียวกันมีหลายแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย อาทิ

1. การเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสภาพแวดล้อมภายนอกต่าง ๆ ซึ่งการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นหลักประกันว่าจะสามารถฟื้นตัวและพัฒนาต่อไปในด้านของเศรษฐกิจได้

2. แนวคิดหรือนโยบาย 4.0 รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 จะกลับกลายมาเป็นศูนย์กลางของโลกในด้านอุตสาหกรรมและดิจิทัลอัจฉริยะ รวมถึงการใช้นวัตกรรมดิจิทัลต่าง ๆ ที่จะสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วย

3. ไทยได้กำหนดพันธกรณีคือไทยต้องการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเศรษฐกิจรวบรวมอุตสาหกรรมที่ใช้คาร์บอนต่ำ รวมถึงแนวคิด BCG ของไทยก็จำเป็นต้องใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าต่อไป

ด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสภาพแวดล้อมภายนอกต่าง ๆ ประเทศไทยได้มีการทำมาตรการต่างๆ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลผ่านโครงการที่ริเริ่มด้านนโยบาย โดยกระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล หรือดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ ซึ่งจะเป็นเสาหลักในการที่จะบรรลุความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ จะเป็นการกระตุ้นการลงทุนและขับเคลื่อนความเติบโตเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2570 มูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจดิจิทัลจะขยายตัวสูงถึง 30% ของจีดีพีประเทศไทย และความสามารถในการแข่งขันของไทยตามอันดับความสามารถในการแข่งขันของโลก หรือ world digital competitiveness ranking มีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ใน 30 อันดับแรก และที่สำคัญที่สุดประเทศไทยเป็นเว้นทางหลักในการแลกเปลี่ยนข้อมูลในภูมิภาคอาเซียนตอนเหนือ และศักยภาพการทำงานข้ามพรมแดน การวางเคเบิลใต้สมุทร และการจัดตั้งศูนย์ Data center ขนาดใหญ่นั้น จะยังคงมีการพัฒนาต่อไปตลอดทั่วทั้งภูมิภาคของประเทศ

นายชัยวุฒิ กล่าวอีกว่า รัฐได้เสริมความแข็งแกร่งเพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกคน และการพัฒนาที่มีความมั่งคั่ง เช่น กระทรวงได้จัดตั้ง Data center และบริการคลาวด์ที่จะสนับสนุนนวัตกรรมและทำให้รัฐสามารถมอบบริการสาธารณะที่มีความเท่สเทียมได้ นอกจากนี้ สามารถดำเนินการเพื่อส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมได้ด้วยเช่นกัน เป็นต้น

ด้วยพื้นฐานระดับสูงที่มีอยู่ในวันนี้และการใช้เทคโนโลยีประมวลผลต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ และทำให้อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ดิจิทัล เช่น ยุคสมัยของเว็บ 3.0 ธุรกรรมต่าง ๆ จะเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มเศรษฐกิจดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนท์อีโคโนมี หรือเศรษฐกิจดิจิทัลคอนเทนท์แบงก์เสมือนจริง ๆ เมตาเวิร์ส เป็นต้น จะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และไทยมีความยินดีที่จะเห็นว่าการดำเนินการเหล่านี้ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย จึงมีเป้าหมายจะบรรลุการให้บริการอินเตอร์เน็ตไฮสปีดที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมด้วยราคาสมเห็นสมผล ขณะเดียวกันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ทหารอากาศถอยยกเลิกโครงการปลูกอ้อยสนามบินเสรีไทย ชาวบ้านในอำเภอ ชุมนุมชูป้ายประท้วงและเรียกร้องให้กองบิน 23 กองทัพอากาศยกเลิกอนุญาตโครงการปลูกอ้อยในสนามบินเสรีไทย

ด้านผู้บังคับการกองบิน 23 ส่งตัวแทนเจรจาหาข้อยุติก่อนยอมถอยยกเลิกโครงการ และรับข้อเสนอแบ่งพื้นที่ให้โรงพยาบาลนาคูอีก 25 ไร่ พร้อมจัดสรรพื้นที่สำหรับก่อสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า ขณะที่แกนนำชาวบ้านยังไม่ปักใจเชื่อ พร้อมเดินหน้าติดตามการยกเลิกโครงการ 

จากกรณีกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์ผู้ไทยอีสานเมืองน้ำดำ ชาวบ้าน และผู้นำชุมชน ชาวบ้านใน ต.นาคู อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ออกมาคัดค้านต้านโครงการของกองบิน 23 อุดรธานี กองทัพอากาศที่จะปลูกอ้อยปลูกอ้อย 100 ไร่ ในสนามบินเสรีไทย เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่าเป็นการลบร่องรอยประวัติศาสตร์ สนามบินเสรีไทย  และเป็นการย่ำยีหัวใจและทำลายแผ่นดินประวัติศาสตร์ 

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 กันยายน 2565 ที่หน้าที่ว่าการอำเภอนาคู จ.กาฬสินธุ์ ชาวบ้านในอ.นาคู และอำเภอใกล้เคียงกว่า 100 คน นำโดยนายบำรุง คะโยธา อดีตแกนนำสมัชชาคนจน นายอดุลศักดิ์ วรสาร ประธานสภา ทต.นาคู ได้นำป้ายข้อความมาชูประท้วง และนำเครื่องเสียงจัดเวทีไฮปาร์ค เรียกร้องให้ทางกองบิน 23 ยกเลิกอนุญาตนายทุนเข้ามาทำการปลูกอ้อยบนพื้นที่สนามบินเสรีไทย โดยแกนนำหลายคนได้เข้ามาสลับสับเปลี่ยนปราศรัย และแสดงความคิดเห็นต่อหนังสืออนุญาต โดยระบุว่าเป็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น บนแผ่นดินประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเข้มข้น ท่ามกลางการดูแลความเรียบร้อยของฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาคู และฝ่ายความมั่นคง นอกเครื่องแบบกว่า 50 นาย

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุมอำเภอนาคู นายประเสริฐ บุญเรือง  ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 5 นายนฤนาท เมืองแสน นายอำเภอนาคู พ.ต.อ.สมชาย ภูกองชนะ ผกก.สภ.นาคู นายประสงค์ จันทร์กระจ่าง ป้องกัน จ.กาฬสินธุ์ นายประดิษฐ์ ศรีประไหม ปลัด ทต.นาคู พร้อมด้วยนาวาอากาศเอกจีรพงษ์ ทองโคตร หัวหน้าแผนกกิจการพลเรือน กองบังคับการ กองบิน 23 และเรืออากาศโทโกวิทย์ เจียรวาปี นายทหารแผนกส่งกำลังบำรุง กองบังคับการ กองบิน 23 ซึ่งได้รับมอบหมายจากนาวาอากาศเอกวิศรุต จันทประดิษฐ์ ผู้บังคับการกองบิน 23 เข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบปัญหาที่และหาข้อยุติ ก่อนที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จะลงมารับหนังสือข้อเรียกและทำความเข้าใจกับชาวบ้าน

นายนฤนาท เมืองแสน นายอำเภอนาคู จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังทราบเรื่องชาวบ้านคัดค้าน ไม่ต้องการให้ทางกองบิน 23 อนุญาตให้ใช้พื้นที่สนามบินเสรีไทย 100 ไร่เช่าปลูกอ้อย เบื้องต้นตนได้รายงานสถานการณ์ไปยังนายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ ทราบเรื่องแล้ว จากนั้นประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คือกองบิน 23 เทศบาลตำบลนาคู เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาคู ฝ่ายความมั่นคง เข้ามาพุดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะได้ข้อยุติว่าทางฝ่ายกองบิน 23 จะยกเลิกโครงการปลูกอ้อย 100 ไร่ นอกจากนี้ทางกองบิน 23 ที่ดูแลสนามบินเสรีไทย ยังจะได้ทำตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านอีก 2 ประเด็น คือขอใช้พื้นที่สนามบินเสรีไทย 25 ไร่ สำหรับเป็นพื้นที่ประกอบของโรงพยาบาลนาคู และจัดพื้นที่อีกส่วนหนึ่งสำหรับสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่าในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ จะได้ประสานกับทางกองบิน 23 ขอหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการภายในเวลา 2 วัน

พท.ชี้ รัฐประหาร 49 เป็น 16 ปีที่ประเทศเสื่อมถอย ลั่น รัฐประหาร ไม่ใช่ทางแก้มีแต่ซ้ำเติมปัญหา

‘ลิณธิภรณ์’ ชี้ครบรอบรัฐประหาร 49 คือ 16 ปีแห่งความหลังที่ขมขื่นเสื่อมถอย รัฐประหารต้องสูญพันธุ์ เหตุไม่ใช่คำตอบของประเทศ 

ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ (ดร.หญิง : อรุณี กาสยานนท์) รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ณ วันนี้ ผ่านมา 16 ปี ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกมิติ ทั้งมิติในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมคนไทยได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วว่า รัฐประหารไม่ใช่ข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย เพราะการเกิดขึ้นของรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ รวม 4 ด้าน ได้แก่ 

1. วิกฤตศรัทธาต่อระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมถดถอยตกต่ำ : หลายกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมไทย องค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้น และระบบนิติรัฐนิติธรรม หรือระบบอุปถัมภ์เบ่งบาน อย่างกรณี ส.ต.ท.หญิง ล้วนทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยต่อทั้งระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมไม่มากก็น้อย จนทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อระบบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

2. การทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น : จากการประเมินขององค์กรโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International :TI) ซึ่งได้จัดการประเมินความเชื่อมั่นต่อการทุจริตในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยได้ชี้ให้เห็นว่าการทำรัฐประหารที่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนจากนักการเมืองที่โกงกิน เป็นวาทกรรมเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารเท่านั้น เพราะในปี 2564 อันดับการทุจริตในประเทศไทยอยู่อันดับที่ 104  ตกต่ำสุดในรอบ 20 ปี แต่ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ทักษิณ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 59 เป็นอันดับที่สูงสุดในรอบ 20 ปี ตัวเลขเหล่านี้ คือเครื่องยืนยันว่ารัฐประหารและรัฐบาลที่มีที่มาจากรัฐประหาร ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันได้ ซ้ำร้ายปัญหายิ่งรุนแรงมากขึ้น

3. รัฐบาลกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน : รัฐบาลสืบทอดอำนาจจากผู้นำรัฐประหาร กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับประชาชนมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี จากสถิติในปี 2565 ยอดรวมจำนวนคดีทางการเมืองมีกว่า 1,065 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีกว่า 1,808 คน และเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 280 ราย พวกเขาหมดอนาคต เพียงเพราะความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล  

4. การเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย : รัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ไร้ซึ่งความรู้ ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อต้องเจอกับวิกฤตโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 จึงไม่สามารถบริหารประเทศภายใต้วิกฤตได้ สะท้อนได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ทิ้งดิ่งติดลบหนักสุดถึงกว่า 6% โดยจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มาถึง 8 ปี ทำจีดีพีประเทศคิดเป็นมูลค่าเพิ่มแค่ 2.4 ล้านล้านบาท แตกต่างจากรัฐบาล ดร.ทักษิณ แม้มีโอกาสบริหารประเทศครบวาระ และพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาในสมัยที่ 2 รวมการเป็นรัฐบาลเพียง 5 ปี ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องเจอกับโรคระบาดใหม่ เช่น ไข้หวัดนก แต่จีดีพีไม่เคยติดลบ  ยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศเพียง 3 ปี แม้จะต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ปีแรกของการเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่จีดีพีไม่ติดลบ ซ้ำยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศตลอดอายุของการเป็นรัฐบาล เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาท

จ่อเปิดรถไฟทางไกลอีก 5 เส้นทาง ปีนี้! พร้อมเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม ยกระดับการเดินทาง บริการขนส่ง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลเร่งขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ยกระดับการเดินทางและเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างเป็นระบบ เตรียมเปิดให้บริการอีก 5 เส้นทางภายในปี 2565 นี้

(19 ก.ย. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลเร่งพัฒนาขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศ ตามนโยบายเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับการเดินทางให้สะดวกรวดเร็ว และแก้ปัญหาการจราจรที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ซึ่งโครงข่ายรถไฟทางไกลรองรับการขนส่งจากถนนสู่ระบบราง และจากทางเดี่ยวสู่ทางคู่ ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทาง 985 กิโลเมตร  ประกอบด้วย เส้นทางที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ 1. ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา - ชุมทางคลองสิบเก้า – ชุมทางแก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี 2562 และ 2. ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี 2563

'ไบเดน' ประกาศชัดจะส่งกองทัพปกป้อง 'ไต้หวัน' หาก 'จีน' เปิดฉากรุกรานเกาะแห่งนี้

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ (18 ก.ย.) ประกาศกร้าวกองกำลังสหรัฐฯ จะปกป้องไต้หวัน ในกรณีที่จีนเปิดฉากรุกราน ถ้อยแถลงชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาของผู้นำรายนี้ในประเด็นดังกล่าว

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการ 60 Minutes ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ไบเดนถูกถามว่ากองกำลังสหรัฐฯ จะปกป้องเกาะปกครองตนเองที่จีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนหรือไม่ เขาตอบว่า "ใช่ ถ้าในความเป็นจริง มีการโจมตีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน"

พอถูกถามเพิ่มเติมขอความกระจ่างชัด หมายความว่าสิ่งนี้ต่างจากยูเครน โดยกองกำลังสหรัฐฯ ทั้งชายและหญิงจะปกป้องไต้หวันในกรณีที่ถูกจีนรุกราน ใช่หรือไม่ เขาตอบว่า "ใช่"

คำสัมภาษณ์นี้ถือเป็นหนล่าสุดที่เหมือนว่า ไบเดน จะพูดเกินเลยขอบเขตนโยบายที่สหรัฐฯ ยึดถือมาช้านานเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ขณะเดียวกัน คำพูดนี้ถือเป็นถ้อยแถลงที่ชัดเจนกว่าครั้งก่อน ๆ เกี่ยวกับพันธสัญญาของทหารสหรัฐฯ ในการปกป้องเกาะแห่งนี้

เมื่อสอบถามความคิดเห็นในเรื่องนี้ไปยังทำเนียบขาว ทางโฆษกทำเนียบขาวรายหนึ่งเน้นย้ำว่า นโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง "ก็อย่างที่ท่านประธานาธิบดีเคยพูดในเรื่องนี้มาก่อน ในกรุงโตเกียวเมื่อช่วงกลางปี ท่านอธิบายอย่างชัดเจนในตอนนั้นว่า นโยบายไต้หวันของเราไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นยังคงเป็นความจริง"

บทสัมภาษณ์กับซีบีเอสครั้งนี้เป็นการบันทึกเทปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเวลานี้ประธานาธิบดีไบเดน อยู่ในสหราชอาณาจักร เพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในวันจันทร์ (19 ก.ย.)

สหรัฐฯ ยึดถือนโยบายหนึ่งมาช้านาน ด้วยการทำให้เป็นเรื่องคลุมเครือว่าพวกเขาจะตอบโต้ทางทหารต่อกรณีมีเหตุโจมตีไต้หวันหรือไม่

‘ทักษิณ’ โพสต์รำลึก 16 ปี ถูกรัฐประหาร โอด ถูกลอบกัดโดยชายชาติทหาร

‘ทักษิณ ชินวัตร’ โพสต์ข้อความย้อน 16 ปี ถูกยึดอำนาจ ย้ำ ถูกลอบกัดโดยชายชาติทหาร ซัดทหารเหมือนหัวหน้ายามที่ใช้เฝ้าทรัพย์สิน หาเงินไม่เป็น ทำประเทศเสียโอกาสหลายด้าน

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้องความเฟซบุ๊ก ในโอกาสครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า 

ครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหาร

19 กันยายน 2549 ขณะที่ผมเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาผมถูกการรัฐประหารลับหลัง (ถูกลอบกัดโดยชายชาติทหาร) ผมเสียดายสิ่งดี ๆ ที่ควรจะเกิดแต่วันนี้กลายเป็นความเลวร้าย

1. ผมเสียดายความเป็นประชาธิปไตยของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแต่วันนี้เรากลับต้องมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเผด็จการ

2. ผมเสียดายความสง่างามและความไว้เนื้อเชื่อใจของประเทศไทยบนเวทีโลก

3. ผมเสียดายโอกาสประเทศในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น การศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรม

4. ผมเสียดายโอกาสในการแก้ปัญหาความยากจนซึ่งคนไทยควรจะหายจนไปแล้ว

5. ผมเสียดายโอกาสของคนไทยที่ทุกวันนี้มองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวัน ๆ ทั้ง ๆ ที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน

6. ผมเสียดายความเป็นศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ทั้ง ๆ ที่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

อินเดีย-รัสเซีย ใกล้บรรลุข้อตกลงชำระเงิน เตรียมเริ่มค้าขายด้วยสกุลเงินรูปีเร็ว ๆ นี้

อินเดียจะเริ่มค้าขายกับรัสเซียด้วยสกุลเงินรูปีเร็ว ๆ นี้ จากการเปิดเผยของประธานสหพันธ์องค์กรการส่งออกของอินเดีย (FIEO) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

ความคืบหน้านี้มีขึ้นตามหลังธนาคาร State Bank of India (SBI) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ เห็นพ้องลดความซับซ้อนของกลไกชำระเงินแบบใหม่

"State Bank of India ออกโรงเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การค้าด้วยสกุลเงินรูปีกับรัสเซีย และมีธนาคารอื่น ๆ บางแห่งก็แสดงความสนใจเช่นกัน" A.Shaktivel ประธานสหพันธ์องค์กรการส่งออกของอินเดียบอกกับพวกผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่า อินเดียมี "กลไกชำระเงินด้วยรูปีที่ดีอยู่ก่อนแล้วในอิหร่าน ดังนั้นสิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้น (กับรัสเซีย)

ในเดือนกรกฎาคม ธนาคารกลางอินเดีย เผยแพร่หนังสือเวียน เรียกร้องบรรดาสถาบันการเงินทั้งหลายในประเทศให้เตรียมการต่าง ๆ เพิ่มเติมสำหรับการทำธุรกรรมนำเข้าและส่งออกด้วยสกุลเงินรูปี ความเคลื่อนไหวที่ออกแบบมาเพื่อลดการพึ่งพิงของรูปีต่อดอลลาร์ และถูกมองในฐานะแรงจูงใจส่งเสริมการค้ากับรัสเซียด้วยเช่นกัน

การส่งออกของอินเดียไปยังรัสเซียลดต่ำลงถึง 1 ใน 3 ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรอันครอบคลุมที่ตะวันตกกำหนดเล่นงานมอสโก ลงโทษกรณีรุกรานยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top