Thursday, 10 July 2025
Hard News Team

'สมศักดิ์' นำทีมแถลงผลจับรถหรูถูกโจรกรรมข้ามชาติ หลังอังกฤษขอความร่วมมือ เผยตามได้แล้ว 26 จาก 35 คัน

เร่งดีเอสไอเร่งสืบจัดการผู้ร่วมขบวนการทุกคน เตือนผู้ครอบครองอีก 9 คันไม่ร่วมมือระวังเจอคดีด้วย 'ไตรยฤทธิ์' รับลูกทำงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ประเทศ พร้อมช่วยผู้เสียหายเต็มที่

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. เวลา 11.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีการแถลงผลการตรวจยึดรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมจากประเทศอังกฤษ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ว่าที่ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมการแถลงข่าว

SEED ปลื้ม 2 ปี สร้างเครือข่ายแตะ 5,000ราย หวังปั้นผู้นำเยาวชนรักบ้านเกิดหมื่นรายในเร็ววัน

สืบเนื่องจากวันที่ 20 ก.ย. 65 ซึ่งเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ทางเพจเฟซบุ๊ก SEED Thailand ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... 

SEED Thailand มีเป้าหมายสร้างเครือข่ายผู้นำเยาวชนรักบ้านเกิด กว่า 10,000 คน โดยเรามุ่งสร้างโอกาสและให้พื้นที่กับเยาวชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย และผลักดันให้เยาวชนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนาท้องถิ่น และทำได้จริง ด้วยจุดเด่นที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันแบบครอบครัว จึงจะทำให้เราเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งจากภายใน และพร้อมที่จะขยายเครือข่ายให้เข็มแข็ง และยิ่งใหญ่ ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้สมกับสโลแกนของ SEED ที่ว่า ‘แตกหน่อพันธุ์ดีไม่มีที่สิ้นสุด’ 

สำหรับเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand นั้นก่อตั้งโดยระหว่างมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคมและวุฒิสภา ปัจจุบันขับเคลื่อนองค์กรโดยเยาวชนโดยมีผู้รับผิดชอบในแต่ละภูมิภาค สำหรับโครงการ SEED Thailand นั้น มีความมุ่งหวังว่าจะสามารถสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนให้มีความเข้าใจ ต่อสถาบันหลักของชาติ อย่างถูกต้อง ซึ่งทางโครงการจะช่วยสนับสนุนในการสร้างพื้นที่ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการพัฒนาองค์ความรู้ในการทําธุรกิจให้กับเยาวชน ตลอดจนการจัดหาเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อต่อยอดโครงการธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งมีเป้าหมายส่งเสริมให้เยาวชนสํานึกรักบ้านเกิด โดยใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันสร้างโอกาสใหม่ๆ แก่ตนเองและเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ 

'อนุทิน' เคลียร์ทุกปม ความขัดแย้ง 'ปชป.' ลั่น!! ไม่คิดโต้กลับ แม้ถูกหักในสภาฯ 

เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 20 กันยายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลังมีการโต้เถียงเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง ว่า เรื่องของกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละพรรค อย่าไปเรียกว่าความขัดแย้งเลย กรณีของ กยศ. พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เห็นว่ามีดอกเบี้ย แต่พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เห็นว่าไม่มีดอกเบี้ย ทีอย่างนี้ไม่เห็นบอกว่าขัดแย้งเลย เพราะฉะนั้นมีความเห็นต่างกันได้ เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค เราต้องเคารพกติกา ส่วนกฎหมายกัญชาเสียงส่วนใหญ่ให้ไปทบทวน เราก็ต้องฟัง ยืนยันไม่มีความขัดแย้งอะไร 

เมื่อถามว่าขณะนี้เคลียร์ใจกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ หลังมีรูปคู่กับนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอนุทิน กล่าวว่าไม่มีอะไรผิดใจกันเลย ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ เมื่อวานยังใส่ชุดเหมือนกันเลย

เมื่อถามว่าได้คุยกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บ้างหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย ซึ่งปกติก็ไม่ได้คุยกับหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว เพราะจะมีวิปรัฐบาล มีอะไรก็คุยผ่านวิปรัฐบาลไป

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ นายอนุทิน เคยพูดว่าต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องเกรงใจกันมีนัยอะไรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีนัยอะไร  

เมื่อถามต่อว่าต่อไปจะกลายเป็นว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอกฎหมายอะไรมาพรรคภูมิใจไทยจะไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าไปคิดแบบนั้นว่าจะต้องคนละทีสองที มันไม่ใช่ กฎหมายอะไรก็ตามถ้าไม่เห็นด้วย ก็หมายถึงว่าจะมีผลไม่ดีต่อประชาชนนี่คือหลักของพรรคภูมิใจไทย แต่อะไรที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมสนับสนุน

เมื่อถามว่าหากกฎหมายกัญชาไม่ผ่านวาระ 3 พรรคภูมิใจไทยจะถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะไปถอนอะไรล่ะ จะเลือกตั้งแล้วมิใช่หรือ เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ถ้าวาระ 3 ไม่ผ่านก็เป็นเรื่องของสภาฯ และที่มาบอกว่าอยากจะให้มีกฎหมายมาคุมกัญชาอย่างละเอียดรอบคอบ แสดงว่าที่พูดไปแสดงว่าไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ซึ่งกฎหมายนี้มี กมธ.ที่มาจากทุกพรรคทุกฝ่าย ซึ่งทั้งหมดก็เห็นชอบในช่วงรับหลักการ ตอนเข้าไปมี 45 มาตรา ตอนออกมามี 95 มาตรา ปุถุชนที่ไหนก็ต้องคิดได้ว่ามันต้องละเอียดขึ้น มีความรอบคอบระมัดระวังในการบังคับใช้มากขึ้น แต่ที่นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านบอกว่ารับหลักการ 45 มาตรา มิใช่ 95 แล้วมาบอกว่าพรรคภูมิใจไทยเกเรเป็นเด็กๆ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเด็กมากกว่า ซึ่งมันคนละเรื่องกัน

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่พรรคภูมิใจไทยขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไปเจาะพื้นที่ภาคใต้ นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่สามารถไปห้ามความความคิดคนอื่นได้ แต่เรื่องพวกนี้พรรคภูมิใจไทยไม่คิด คนเข้ามาจังหวัดบุรีรัมย์เยอะแยะไป

“มีคนจะมาดึง ส.ส.อ่างทอง 2 คนพี่น้องจากเราไปด้วยซ้ำ แต่ผมไม่บอกหรอกว่าใคร ซึ่งสองคนพี่น้องก็หัวเราะเป็นโจ๊กเลยบอกว่าโอ้ยไม่ดูตาม้าตาเรือเข้ามาในพื้นที่” นายอนุทิน กล่าว

‘ชัยวุฒิ’ ซัด ก.ล.ต. ปล่อยปละละเลย Forex 3D  ลั่น “หากไม่ทำ จะทำเอง” เล็งขอเพิ่มอำนาจดีอีเอส

‘ชัยวุฒิ’ ยัน ซัดเป็นหน้าที่ ก.ล.ต. ตรวจสอบการจดทะเบียน เปิดบริษัทระดมทุน Forex 3D ลั่น “หากไม่ทำ จะทำเอง” ขอเพิ่มอำนาจดีอีเอส เตรียมเรียกประชุม คกก.อาชญากรรมออนไลน์ปิดเว็บ 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่มีอำนาจในการเข้าไปกำกับดูแล คดี Forex 3D เพราะว่าฟังแล้วรู้สึกเสียใจเพราะต้องมีหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้ หากปล่อยให้บริษัทตั้งขึ้นมาลงทุน แล้วมาระดมทุนจากประชาชนผ่าน เครือข่ายการแชร์ลูกโซ่หรือโซเชียลมีเดียเป็นพันล้าน หมื่นล้าน หลอกลวงให้ประชาชนเสียหาย จะไม่มีคนรับผิดชอบ

ส่วนที่ ก.ล.ต. ระบุว่าคดีนี้เป็นเรื่องการหลอกลวงต้องเป็นคดีอาญานั้น ตนจะนัดประชุมคณะกรรมการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หากพบเป็นช่องโหว่กฎหมาย ให้สามารถเปิดบริษัทแล้วหลอกลวงประชาชนมาลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย หรือเครือข่ายต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตแสดงว่ากฎหมายไทยไม่ทันสมัยต้องมีการปรับปรุง ซึ่งตนอยากปิดเว็บ และช่องทางเหล่านี้ จะต้องเพิ่มอำนาจให้กระทรวงดีอีเอสเข้ามาดู 

ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง ‘สุเทพ’ กับพวกรวม 6 คน คดีฮั้วประมูลก่อสร้างโรงพักทดเเทน 396 หลัง

วันนี้ (20 ก.ย. 65) เวลา 09.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวง นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อม.22/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และ นายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย. 52 - 18 เม.ย. 56 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอ ราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคา ไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบ เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เยือนเวียดนาม แสวงหาความร่วมมือและบูรณาการการปฏิบัติมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติทุกประเภท

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งกำหนดให้คู่ภาคีจะต้องแลกเปลี่ยนความชำนาญในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรม โดยมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยดำเนินการของฝ่ายไทย และกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นหน่วยดำเนินการ ของฝ่ายเวียดนาม ประกอบกับนโยบายรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งทวีความรุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นภัยต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอย่างมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ต.สรร พูลศิริ รอง ผบช.ศ., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท., พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ และ พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เดินทางไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ระหว่างกระทรวง ความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการการปฏิบัติในงานปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายงานปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ งานป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และงานตำรวจชุมชน การส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ

‘เกาะลังกาวี’ เหงา!! นักท่องเที่ยวลดฮวบ หลังชาวมาเลย์แห่เที่ยวไทยวันหยุดยาว

เว็บไซต์ข่าวในมาเลเซีย เผยผลกระทบกระทบการท่องเที่ยวเกาะลังกาวีสุดเงียบเหงานักท่องเที่ยวลดเกือบครึ่ง หลังชาวมาเลเซียแห่เที่ยวไทยช่วงหยุดยาว ด้านชาวเน็ตมาเลย์สะท้อนกลับ ค่าใช้จ่ายเมืองไทยถูกกว่า และน่าสนใจ

วันนี้ (20 ก.ย.) บนโซเชียลฯ แชร์และวิจารณ์บทวิเคราะห์หัวข้อ "Trend cuti ke Thailand jejas pelancongan Langkawi" หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า เทรนด์การท่องเที่ยววันหยุดในประเทศไทย กระทบต่อการท่องเที่ยวเกาะลังกาวี จากเว็บไซต์ข่าวที่ชื่อว่า Utusan Malaysia (อุตูซัน มาเลเซีย) ซึ่งเขียนโดย จามิละห์ อับดุลเลาะห์ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา

ในตอนหนึ่งระบุว่า การที่ชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยอย่างคึกคักอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งในลังกาวี เมื่อมีผู้เข้าพักรีสอร์ตน้อยลง จากการเปิดเผยของนายไซนูดิน กาดีร์ ประธานสมาคมการท่องเที่ยวลังกาวี ระบุว่า ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย ลดลง 48.9% ในช่วงวันชาติและวันมาเลเซียปีนี้

ขณะที่เฟซบุ๊ก Utusan Online ได้มีชาวเน็ตมาเลเซียออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นภาษามาเลย์จำนวนมาก คัดเฉพาะความเห็นที่มีผู้แสดงความรู้สึกมากที่สุด แปลแบบคร่าวๆ ได้ดังนี้

"แม้ว่าเกาะจะปิดก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ลังกาวีไม่ได้เยี่ยมยอดขนาดนั้น ยกเว้นโรตีจาไน (โรตีที่ม้วนเป็นก้อน) ชิ้นละ 6 ริงกิต (ประมาณ 49 บาท)" (761 ความรู้สึก)

"หากคุณพกเงิน 500 ริงกิต (ประมาณ 4 พันบาท) ไปประเทศไทย อยู่ได้ 3-4 วัน แต่ที่นี่ใช้เงินวันหนึ่งมากกว่า 500 ริงกิต" (483 ความรู้สึก)

"ลังกาวีมีสถานที่ท่องเที่ยวและแพกเกจท่องเที่ยววันหยุดมากมาย ไปมา 3-4 ครั้งก็มีปัญหา แต่มีชาวมาเลย์หลายคนที่เบื่อหน่ายกับความเห็นแก่ได้ของพ่อค้าที่นั่น ที่หวังค้ากำไรเกินควร ไม่ได้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระยะยาว สถานการณ์ติดขัดยังเป็นที่แพร่หลายในช่วงฤดูท่องเที่ยว ตอนนี้บางทีก็กังวลใจเพราะมีนักท่องเที่ยวน้อยลง แต่ท่าทีแบบเดียวกันจะปรากฏขึ้นแน่นอนเมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มล้นลังกาวี เลยเล่าให้ฟังเพื่อสะท้อนปัญหา ไม่ได้ร้องเรียน" (416 ความรู้สึก)

"ลังกาวีไปหมดแล้ว ฉันไม่อยากไปที่นั่น ฉันอยากสำรวจสถานที่ใหม่ๆ" (282 ความรู้สึก)

"การท่องเที่ยวของเขา (ประเทศไทย) น่าสนใจและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น" (258 ความรู้สึก)

"หาดใหญ่อยู่นอกประเทศ ลังกาวีในประเทศ แม้เที่ยวบินจะเต็ม เรือเฟอร์รีจะแออัด แต่หลายคนก็กระทบต่อค่าอาหาร ค่าเช่ารถก็อีก" (256 ความรู้สึก)

"แพง ประเทศควรให้ความสำคัญต่อประชาชนของตัวเอง ราคาแพงไปต่างประเทศดีกว่า" (219 ความรู้สึก)

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันมาเลเซีย ได้มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางมายัง จ.สงขลาอย่างคึกคัก หลังซบเซาจากสถานการณ์โควิด-19 ยาวนานกว่า 2 ปี โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ย. มีนักท่องเที่ยว 402 คน เดินทางด้วยรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อว่า My Sawadee (เอ็มวาย สวัสดี) ของการรถไฟมาลายา (KTMB) เส้นทางกัวลาลัมเปอร์-ชุมทางหาดใหญ่ เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่หาดใหญ่ 3 วัน 2 คืน ก่อนจะกลับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อก่อนเที่ยงวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา

ศบค. เล็งถกเพิ่มวันพำนักชาวต่างชาติ กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน หลังยอดติดโควิดลด

รัฐบาลเผยยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตจาก ‘โควิด’ อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ตอกย้ำประสิทธิภาพวัคซีนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เผย ‘ศบค.’ ประชุมประเมินสถานการณ์ 23 ก.ย.นี้ เล็งเพิ่มวันพำนักชาวต่างชาติ กระตุ้นท่องเที่ยวไฮซีซัน

20 กันยายน 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดผู้ป่วยใหม่และผู้เสียชีวิตที่ลดลงและทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะในรอบประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาหรือระหว่างวันที่ 12 - 20 ก.ย. 65 ส่วนใหญ่ยอดผู้ป่วยใหม่อยู่ในระดับต่ำกว่า 1,000 รายต่อวัน มีเพียงวันที่ 14 - 15 ก.ย. ที่เกินกว่าระดับดังกล่าว (1,321 ราย และ 1,125 รายตามลำดับ) ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 10-15 คนต่อวัน  

สำหรับผู้ป่วยใหม่ ณ วันที่ 20 ก.ย. 65 อยู่ที่ 774 ราย จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะผ่อนคลายมาตรการทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยเปิดประเทศเต็มรูปแบบมาตั้งแต่เดือนก.ค. เป็นต้นมา แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีนที่เป็นเกราะป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในระยะต่อไปจะยังมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 - 31 มี.ค. 66 ศบค. ได้มีมาตรการขยายระยะเวลาการพำนักชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้ผู้ที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศไทย (ฟรี วีซ่า) เดิมที่เคยพำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 45 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับ Visa on Arrival จากเดิมที่พำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 15 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 30 วัน และในวันที่ 23 ก.ย. 65 นี้ ศบค. ชุดใหญ่จะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ในรวม และพิจารณามาตรการที่เหมาะสมต่อไป

'แรมโบ้' ยก 10 ข้อเลวร้าย หากนายกฯ ชื่อ 'ทักษิณ' ชี้!! การทำรัฐประหารไม่ได้เลวร้าย ดีกว่ามีนายกฯ ขี้โกง

'แรมโบ้' ตอกกลับ 'ทักษิณ' คนไทยส่วนใหญ่ดีใจมากกว่าที่มีการทำรัฐประหาร ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองคงพัง ขออย่ามองการรัฐประหารเลวร้ายเสมอไป ยก 10 ข้อ หากทักษิณเป็นนายกฯ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้าง

(19 ก.ย. 65) - นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตรโพสต์เฟชบุ๊ก 16 ปีรัฐประหารประเทศไทยขาดโอกาสหลายด้าน และบอกว่าบั้นปลายชีวิตหวังกลับไปเลี้ยงหลาน โดยนายเสกสกลระบุว่านายทักษิณไม่ควรออกมาโพสต์เฟซบุ๊กในทำนองที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ และการรัฐประหารทำให้ประเทศเสียโอกาสทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการที่ต้องทำรัฐประหารมีสาเหตุเกิดจากอะไร ไม่ใช่เพราะการบริหารงานผิดพลาด เห็นแต่ผลประโยชน์ของคนในครอบครัวและพวกพ้องจนทำให้คนทั้งประเทศออกมาขับไล่ แถมยังมีคดีติดตัวมากมาย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยและหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่าหากนายทักษิณไม่ถูกรัฐประหาร เป็นนายกฯ อยู่ต่อ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองนี้ 10 ข้อ ดังนี้

1.) ประชาธิปไตย ที่ถูกวางรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จะกลายเผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จะถูกยึดเบ็ดเสร็จโดยมหาเศรษฐี ที่อ้างมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ระบบเผด็จการเสียงข้างมากลากไปจะเกิดขึ้นในยุคทักษิณ จนถูกขนานนามว่าระบอบทักษิณหรือระบอบเผด็จการรัฐสภา

2.) ประเทศชาติบ้านเมืองจะสูญสิ้นความสง่างามในสายตานานาชาติ เพราะเต็มไปด้วยการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

3.) ระบบการศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรมของประเทศชาติบ้านเมือง จะไม่มีวันเติบโต เพราะถูกเลี้ยงไข้คล้ายให้เป็นแมวป่วย เชื่องๆ ที่ไม่มีวันจะรู้เท่าทันผู้นำที่คิดโกงกิน

4.) คนยากจนจะมากยิ่งขึ้นจะทบทวีคูณ เพราะที่ผ่ามมาตระกูลชินวัตรเป็นรัฐบาล 4 ชุด เข้าครองอำนาจรวมเกือบ 10 ปี พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ตรงกันข้ามคนจนกลับเพิ่มมากขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางสังคมยิ่งถ่างกว้างมากกว่าเดิมอีก

นายเสกสกล กล่าวต่อไปว่า 5.) คนไทยจะมองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆ ที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน เพราะประเทศชาติจะเต็มไปด้วยการทจุริตคอร์รัปชันทุกหย่อมหญ้าแรงงานถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ นักศึกษาตกงานว่างงาน เดินเตะฝุ่นเต็มแผ่นดิน

6.) ศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ที่นายทักษิณบอกเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนนั้น จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากประเทศชาติบ้านเมืองยังมีภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชันและปล่อยให้พวกพ้องสมุนในเครือข่ายเข้าไปครอบงำแสวงหาผลประโยชน์เอื้อประโยชน์ ให้พวกตนเองและพวกพ้องจากสนามบินสุวรรณภูมิ

‘ดร.นิว’ ไขความกระจ่าง กรณีพระบรมวงศานุวงศ์ไทย ไม่ได้เข้าร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพ ควีนเอลิซาเบธที่ 2

‘ดร.นิว’ โชว์เอกสารเทียบเชิญจากสหราชอาณาจักร ยืนยันไทยได้รับเชิญร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 พร้อมไขข้อข้องใจ เหตุใดพระบรมวงศานุวงศ์ไทยไม่ได้เข้าร่วมพระราชพิธี

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงข้อถกเถียงของคนบางกลุ่มกรณีสงสัยเหตุใดสหราชอาณาจักร ไม่เชิญพระบรมวงศานุวงศ์ไทยเข้าร่วมในพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 โดยได้นำเอกสารเทียบเชิญมาเผยแพร่ พร้อมระบุว่า 

เชิญหรือไม่เชิญก็เบิกตากว้างๆ ดูเอาเองเลยครับ

มีผู้เกี่ยวข้องท่านหนึ่งที่กรุงลอนดอน รู้สึกทนไม่ได้กับการที่พวกสามนิ้วออกมาปั่นกระแสบิดเบือน ให้ร้ายว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยไม่ได้รับเชิญให้มาร่วมพระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 

จึงได้ส่งข้อความมาหลังไมค์บอกว่าผมเขียนวิเคราะห์ได้ค่อนข้างถูกต้องและมีความใกล้เคียงมาก พร้อมทั้งได้แนบเอกสารตัวจริงหน้านี้มาให้ดูเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์อีกด้วย พวกสามนิ้วจะได้หยุดโกหกบิดเบือนให้ร้ายแบบมั่วๆ เสียที

ในความเป็นจริงนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาแห่งสหราชอาณาจักร หรือ Foreign, Commonwealth & Development Office (FCDO) ได้ส่งเอกสารเทียบเชิญไปยังสถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

โดยจะมีการแบ่งกลุ่มประเทศตามระดับความสัมพันธ์และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นในอดีตหรือยังอยู่ภายใต้เครือจักรภพในปัจจุบัน ก็อาจเจาะจงให้ระดับประมุขหรือผู้นำสูงสุดมาเองเท่านั้น 

สำหรับประเทศไทย ปรากฏว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกับ บาห์เรน, ภูฏาน, กัมพูชา, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, คูเวต, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก, โมนาโก, โมรอคโค, นอร์เวย์, โอมาน, กาตาร์, ซาอุดิอาระเบีย, สวีเดน, ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการส่งเทียบเชิญของสหราชอาณาจักรมายังประเทศในกลุ่มนี้รวมถึงประเทศไทย มีลักษณะเป็นทางเลือก โดยทางประมุขแห่งรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์จะเสด็จฯ มาเอง หรือส่งเอกอัครราชทูตมาร่วมแทนก็ได้ 

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขของการเทียบเชิญในข้างต้น นับได้ว่าประเทศไทยก็ได้ปฏิบัติตามกรอบของการเทียบเชิญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ไม่ได้เป็นปัญหากับทางสหราชอาณาจักรแต่อย่างใด มีแต่พวกสามนิ้วเท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อน 

ปัญหาจึงอยู่ที่พวกสามนิ้วเองต่างหาก ที่คอยจ้องหาแต่เรื่องโกหกบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสาระอะไรที่มากไปกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไปวันๆ เท่านั้นเอง

โดยก่อนหน้านี้ ดร.ศุภนัฐ ได้วิเคราะห์ว่า ทำไมสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้เสด็จฯ ไปเยือนสหราชอาณาจักร เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ?

ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ประมุขหรือผู้นำสูงสุดของประเทศส่วนใหญ่ที่เดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักร เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 จะเป็นประเทศจำนวนมากที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นในอดีต หรือยังอยู่ภายใต้เครือจักรภพในปัจจุบัน [1]

สำหรับการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ในยุโรปเกือบทั้งหมดได้เสด็จฯ ไปเยือนสหราชอาณาจักร เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 เป็นเพราะล้วนแต่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันมาแต่เก่าก่อน เมื่อสืบสายไล่เรียงก็จะพบว่าทรงเป็นพระญาติของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 ทั้งสิ้น [2]

ส่วนการเชิญแขกอื่นๆ จากประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีงามทั่วไป ก็จะเป็นการเชิญตามมารยาทโดยผ่านสถานเอกอัครราชทูต ไม่ได้มีหนังสือเชิญโดยตรงมายังประมุขประเทศต่างๆ แต่อย่างใด ดังนั้นประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะส่งเอกอัครราชทูตไปเข้าร่วมโดยมารยาทตามปกติ สำหรับประเทศไทยเองก็จัดได้ว่าอยู่ในประเทศกลุ่มนี้ (ภูฏานกับญี่ปุ่นก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าประมุขจะไปเองหรือจะส่งเอกอัครราชทูตไปร่วมแทน)

แถมในสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังมีสถานการณ์ทางการเมืองโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นต้น ส่งผลให้สหราชอาณาจักรไม่อนุญาตให้บางประเทศเดินทางเข้ามาถวายความเคารพพระบรมศพในการนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์ใหม่ ในการที่สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 [3]

อีกทั้งพระบรมวงศานุวงศ์องค์สำคัญอย่างสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้เสด็จฯ เยือนสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อทรงลงพระนามาภิไธยถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 [4] 

แม้แต่องค์พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันอย่างสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ก็ถือปฏิบัติในทำนองเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อีกทั้งส่งตัวแทนของรัฐเข้าร่วมแทนพระองค์ [5]

สำหรับประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์อันดีอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักรในกาลก่อน อีกทั้งมีจุดยืนในการรักษาความเป็นกลางทางการเมืองโลกมาโดยตลอด การแสดงออกของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในระดับนี้จึงจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป และเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top