Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

'พระเกจิสายกรรมฐาน' ร่วมพิธีตรึงหมุดมณฑป ครอบครัว 'จิรรัตน์จรัสธร' ร่วมสร้างถวายอดีตพระเกจิชื่อดังแห่งเชียงใหม่ 'หลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ'

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ผู้บริหาร บริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กสเตนเลส ตั้งอยู่ภายในซอย ส.มณีรัตน์ ถนนเทพารักษ์ กม.11 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดย นายขจรศักดิ์ จิรรัตน์จรัสธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด และ กรรมการ กต.ตร.จ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย ครอบครัวจิรรัตน์จรัสธร และ พนักงานบริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด ร่วมกันดำเนินการจัดสร้างมณฑปขนาดใหญ่ เพื่อน้อมถวายสรีระหลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ พระอริยเจ้าแห่งวัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เป็นถาวรวัตถุและสมบัติของพระพุทธศาสนา และเพื่อความเป็นสิริมงคลสืบไป

ซึ่งภายในพิธี ได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระ โดย พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์สายกรรมฐาน จากวัดต่างๆ จำนวนกว่า 30 รูป ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อาทิ พระราชวชิรกิจโสภณ (หลวงปู่บุญจันทร์ สีลคุโณ) เจ้าอาวาสวัดป่ามณีโคตมวงศ์ จ.อุดรธานี ได้เมตตามาเป็นประธานในพิธีสงฆ์ พร้อมด้วย พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพุมุด จ.กาญจนบุรี พระวิมลศีลาจาร เจ้าอาวาส วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร กทม. พระอาจารย์สามเรือน ปุญญสโก เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ และ พระราชวชิรธรรมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เป็นต้น นอกจากนี้ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จากวัดต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวน 31 รูป ได้เมตตาออกเดินรับบิณฑบาตโปรดญาติโยม ภายใน บริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด เพื่อความเป็นสิริมงคล อีกด้วย

โดยในพิธี การจัดสร้างมณฑป ในครั้งนี้ โดยนายขจรศักดิ์ จิรรัตน์จรัสธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด และ กรรมการ กต.ตร.จ.สมุทรปราการ ได้เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างมณฑป พร้อมทั้ง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยมี นายมนต์ชัย จิรรัตน์จรัสธร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด พล.ต.ต.ดร.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ นายสุดใจ จิรยาภากร ประธานที่ปรึกษา กต.ตร.จ.สมุทรปราการ นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ และ คณะกรรมการ กต.ตร.จ.สมุทรปราการ คณะ กต.ตร.สภ.บางพลี ครอบครัวจิรรัตน์จรัสธร และ พนักงานบริษัท ฐาปนินทร์ จำกัด ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติและผู้มีจิตศรัทธาร่วมในพิธีครั้งนี้

‘คาเวียร์’ ไข่ปลาสเตอร์เจียน โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ที่ ‘ดอยดำ’ สามารถสร้างผลผลิตปีละ 10-15 กิโลกรัม

หลังจากมีคนแซะ!! บอกว่า เมนูอาหารรับผู้นำ APEC เซิร์ฟ คาร์เวียหรูจากปลาสเตอร์เจียน...มันไทยตรงไหน?....

หลายท่านที่สงสัย อาจจะไม่รู้ว่า โครงการพระราชดำริ ‘ดอยดำ’ ของไทยได้เพาะเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนสำหรับนำไปผลิตคาร์เวียได้มานานแล้ว...

ทั้งนี้ ต้องเล่าย้อนไปว่า ประเทศไทยได้มีการเพาะเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2548 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริ ให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการหาแนวทางเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนบนพื้นที่สูง ภายในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตามพระราชดำริ ดอยดำ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและชาวเขามีอาชีพเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบนเขาที่หนาวเย็น โดยการเลี้ยงใช้เวลา 8 ปี ถึงเริ่มมีผลผลิต (ไข่ปลา) ส่วนวิธีเลี้ยงมีข้อจำกัดในเรื่องของอุณหภูมิน้ำเท่านั้น เพราะปลาต้องอยู่ในน้ำอุณหภูมิประมาณ 12-24 องศาเซลเซียส คาดว่าอีก 3-4 ปีจะมีพ่อแม่พันธุ์พร้อมให้ลูกรุ่น 1 ได้ ปัจจุบันไข่ปลาคาเวียร์ ดอยดำ จะจำหน่ายผ่านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ มีขนาด 25, 50 และ 100 กรัม (มีจำหน่ายตามฤดูกาลของผลผลิต)

ด้านนางสาวสมพร กันธิยะวงศ์ นักวิชาการประมงปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับ mgronline.com (ผู้จัดการออนไลน์) ว่า ปลาสเตอร์เจียนที่เลี้ยงในโครงการฯ จะออกไข่ประมาณเดือนกันยายนถึงเมษายนของทุกปี แต่ผลผลิตไข่ปลาสเตอร์เจียนหรือที่รู้จักกันว่า ไข่ปลาคาเวียร์ ยังมีจำกัดเพียง 10-15 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น โดยราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 50,000 บาท ซึ่งเป็นราคาถูกกว่าไข่ปลาคาเวียร์นำเข้าในระดับคุณภาพเดียวกันเล็กน้อย 

ว่าแต่...เพราะเหตุใดคาเวียร์จึงมีราคาแพง ราคาของคาเวียร์ (Caviar) แตกต่างกันไปตามชนิดของปลาสเตอร์เจียนในแต่ละแหล่งที่จับหรือเพาะเลี้ยง ส่วนมากจะบรรจุประมาณ 30-250 กรัม สาเหตุที่ทำให้ราคาคาเวียร์มีราคาแพงก็เนื่องมาจากหายากและต้องรอเวลายาวนานกว่าจะได้ผลผลิต คาเวียร์แท้ๆ ต้องมาจากปลาสเตอร์เจียนเท่านั้น แต่มีหลายชนิด เช่น Beluga, Osetra หรือ Sevruga

‘อุ๊งอิ๊ง’ เทียบฟอร์ม APEC 19 ปีก่อนยุคไทยรักไทย ไม่ใช่แค่เชิญใครมาหรือจัดงานได้ยิ่งใหญ่แค่ไหน

(16 พ.ย. 65) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ เฟซบุ๊ก เรื่อง APEC ระบุว่า...

เมื่อ 19 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยรักไทย ใช้ APEC เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศไทยที่กำลังฟื้นฟูหลังวิกฤตต้มยำกุ้งและโรคระบาดซาร์ส

เวที APEC ครั้งนั้น คือโอกาสสำคัญที่จะใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด รัฐบาลตอนนั้นมีความตั้งใจจะสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก APEC หรือ 21 เขตเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างและความหลากหลายสูง 

เพราะถ้าประเทศไทยเราทำข้อตกลงต่าง ๆ ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเกิดการจ้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้ เกษตรกรมีรายได้ ผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้า มีเงินตราไหลเข้าประเทศ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง จึงคาดหวังค่ะว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากการประชุม APEC ครั้งนี้ เหมือนครั้งเมื่อ 19 ปีที่แล้วที่รัฐบาลยึดถือและมีหัวใจคือประชาชนเป็นสำคัญ 

ดิฉันเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพและมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คน หลาย ๆ ประเทศ ให้ความสนใจในระดับเวทีโลก 19 ปีที่แล้ว เรายังทำได้ เป็นทั้งหนึ่งในผู้นำสำคัญของอาเซียนและยังถูกพูดถึงว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ในปีนี้ ก็ต้องทำได้เช่นกัน

ทารกหญิงจากฟิลิปปินส์ ประชากรโลกคนที่ 8 พันล้าน ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 เวลา 01.29 น.

(16 พ.ย. 65) องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 เป็นวันที่ประชากรโลกมีครบ 8,000 ล้านคน โดยมีทารกน้อยเพศหญิง ชื่อว่า Vinice Mabansag เกิดที่โรงพยาบาล Dr. Jose Fabella Memorial ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อคืนวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เวลา 01.29 น. เธอได้รับเลือกให้เป็นบุคคลที่ 8,000 ล้านของโลกอย่างเป็นทางการ

การเพิ่มขึ้นของประชาการโลก จาก 7,000 ล้านคน เป็น 8,000 ล้านคน ใช้เวลาทั้งสิ้น 11 ปี (ค.ศ.2011 หรือ พ.ศ.2554 ถึง ค.ศ.2022 หรือ พ.ศ. 2565) นอกจากนี้ องค์กรสหประชาชาติยังได้คาดการณ์ไว้ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านคนในอีก 58 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี ค.ศ.2088

ทั้งนี้ ตามรายงานใหม่ของสหประชาชาติผู้คนทั่วโลกมีอายุยืนยาวขึ้นและมีลูกน้อยลง โดยอายุขัยของคนโดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 77.2 ปี ในปี 2050 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 72.98 ปี ในปี 2019 ส่วนอัตราการเกิดทั่วโลกก็ชะลอลง

ททท.เปิดตัวเลขนักท่องเที่ยวทะลุ 7.3 ล้านคน คาดสิ้นปีเป้า 10 ล้าน ไม่พลาดแน่นอน

(16 พ.ย. 65) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 26 ตุลาคม 65 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้ว 7,349,843 ล้านคน และตั้งเป้าไว้ทั้งหมดในปีนี้ราว 10 ล้านคน โดยจำแนกจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายเดือนได้ดังนี้...

• มกราคม 133,903 คน

• กุมภาพันธ์ 152,954 คน

• มีนาคม 210,836 คน 

• เมษายน 293,350 คน 

• พฤษภาคม 521,410 คน

'กรณ์' ถอดรหัสความสำเร็จเจ้าภาพ G20 ซูฮก ‘โจโกวี’ สุดยอดผู้นำ พาอินโดฯโดดเด่นบนเวทีโลก

‘กรณ์’ ชื่นชม โจกีวี สุดยอดผู้นำ พาอินโดนีเซีย รุ่งเรือง ยกเป็นต้นแบบบริหารประเทศ ด้าน ‘เทมส์ ไกรทัศน์’ เสนอใช้ เวทีเอเปคเปิดฤดูท่องเที่ยว วอนอย่าทำเสียบรรยากาศ  

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 โดยหยิบยกประเด็นที่ชาวโลกกำลังให้ความสนใจต่อประเทศอินโดนีเซีย และตัวประธานาธิบดี นายโจโก วิโดโด หรือ โจโกวี ที่ชาวโลกชื่นชมมากที่สุด เนื่องจากสัปดาห์นี้อินโดนีเซีย จะเป็นเจ้าภาพประชุม G20 ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของ 20 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการประชุมประจำปี บางครั้งสำคัญ บางครั้งไม่สำคัญ แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่สำคัญมาก เหมือนกับเมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ถือเป็นการประชุมครั้งสำคัญมาก เป็นช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งในครั้งนั้นประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุม โดยมีประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ และได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น และตนในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการคลัง เข้าร่วมแสดงความเห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจของโลก ควรจะได้รับการแก้ไขร่วมกันอย่างไร 

“ปีนี้ โจโกวี ได้เชิญผู้นำระดับโลก ที่ทุกคนจับตา ทั้งวลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ,นายวอลอดือมือร์ แซแลสกึย ประธานาธิบดียูเครน ,นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ข้าร่วมประชุมด้วย จึงเป็นการประชุมที่สำคัญ เพราะสถานการณ์โลก มันตึงเครียดมาก ชาวโลกก็จับตาว่า ทั้งหมดมาเจอกันแล้วจะออกมายังไง แต่ก็ลดดรามาไปได้ระดับหนึ่ง เมื่อปูติน กับ แซแลนสกึย ไม่มา แต่ใช้ระบบออนไลน์แทน ส่วนถ้าไบเดนประชุมกับ สีเจิ้นผิง ปฏิสัมพันธ์ออกมาดี ก็จะเป็นข่าวดี สำหรับทุก ๆ ประเทศทั่วโลก” อดีต รมว.คลัง กล่าว 

นายกรณ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ทำให้ประเทศอินโดนีเซียน่าสนใจ นอกจากจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม G20 แล้ว ประชากรของอินโดนีเซีย ยังมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจประเทศหนึ่งด้วย ดูจาก จีดีพีโตขึ้น กว่า  5% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อ ก็ 5% กว่า ๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับหลายประเทศโลกอยู่ที่ 8-10% ส่งออกโตเมื่อเทียบกับปีที่แล้วประมาณ 30% ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนโยบายเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนของประธานาธิบดีโจโกวี 

อดีต รมว. คลัง กล่าวด้วยว่า ประธานาธิบดี โจโกวี อดีตเคยเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะมาเป็นผู้ว่าเมืองจากาตาร์ แล้วก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ตอนนี้เป็นสมัยที่สองซึ่งเป็นสมัยสุดท้ายของเขา ตลอดการบริหารงานสองสมัย ท่านมีผลงานมากมาย ทั้งตัดถนนมอเตอร์เวย์เพิ่มขึ้นให้กับอินโดนีเซียถึง 2,000 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่ทำไปได้แค่ประมาณ 700 กว่ากิโลเมตร และยังมีสนามบินใหม่อีก 16 แห่ง ท่าเรืออีก 18 แห่ง เขื่อนกั้นน้ำอีก 20-30 แห่ง ทั้งหมดเป็นสาเหตุทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเติบโต และไม่ใช่แค่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเท่านั้น อินโดนีเซีย ยังเป็นแหล่งสตาร์ทอัพที่อยู่ในสเกล ยูนิเคอร์นมากกว่า 10 ราย ซึ่งในนั้นก็คือ gojek แพลตฟอร์มที่คนไทยรู้จักดี ซึ่งผู้ก่อตั้งคือนายนาเดีย มาคาริม ได้รับการตั้งแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีศึกษาธิการและเทคโนโลยี ในวัยเพียง 38 ปีเท่านั้น การเลือกใช้คนเก่ง เป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ รมว.คลังของอินโดนีเซีย นางศรี มุลยานี อินดราวาตี ก็เป็น รมว.คลัง ที่ทั้งโลกให้การยอมรับ และเคยได้รับรางวัลระดับโลกมาแล้ว และโดยส่วนตัวตนถือศักดิ์เหมือนกับพี่สาว เพราะสมัยที่ตนอยู่ในตำแหน่งรมว.คลัง ท่านก็อยู่ในตำแหน่ง รมว.คลัง เช่นกัน ได้มีโอกาสต่อสายพูดคุย และขอคำปรึกษาจากท่านหลาย ๆ เรื่อง ตลอดมา นี่คือการเมืองของอินโดนีเซีย ซึ่งนอกเหนือจากการใช้คนที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการเมืองสมานฉันท์ สามารถเอาอดีตคู่แข่งที่เป็นผู้นำกองทัพ มาเป็น รมต.กลาโหมในรัฐบาลของตัวเองได้ และยังเป็นการเมืองที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากเกือบทุกบทสัมภาษณ์ ของโจโกวี จะพูดถึงความกังวลที่มีต่อพี่น้องประชาชน ทางด้านเศรฐกิจ และปากท้อง เพราะฉะนั้น เราสามารถเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้านของเราได้มาก ทั้งในเรื่องของ การเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต ว่าเราจะต้องบริหารจัดการอย่างไร เพื่อความสุขและการอยู่ดีกินดีของคนไทยเรากันเอง  

ตร.ป่าไม้ล่อซื้อลูกเสือโคร่งเบงกอล ผิดกฎหมายข้ามชาติ 4ตัว 2ล้านบาท ใน จ.มุกดาหาร

เมื่อวันที่ (15 พ.ย. 65) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบ งานศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ศปทส.ตร.) ต่อมา พล.ต.อ.ต่อศักด์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปทส.ตร. จึงสั่งการให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. จัดชุดสืบสวนปราบปรามจับกุม เครือข่ายการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ชณัชชนม์ เก่งกสิกิจ ผกก.3 บก.ปทส. สืบสวนเฝ้าระวัง การค้าสัตว์ป่าข้ามชาติในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมอบหมายให้ พ.ต.ท.ประทึบ ชูศรี รอง ผกก.ปทส. 3 เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ปทส. สืบสวน โดยได้ร่วมกับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี)นำโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สบอ.9 (อุบลราชธานี ) และหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 2 สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.1 (ดงบังอี่) 

พ.ต.อ.ชณัชชนม์ เก่งกสิกิจ ผกก.3 บก.ปทส. เปิดเผยว่า จากการสืบสวนและทำการล่อซื้อโดยทราบว่า นายถนัด วงศ์สาร ผู้ต้องหา ได้มีการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านจึงได้ให้สายลับวางแผนล่อซื้อสัตว์ป่า จากนายถนัดฯ ซึ่งนายถนัดฯ ได้เสนอขายลูกเสือโคร่ง พันธุ์เสือโคร่ง เบงกอล จากประเทศ สปป.ลาว ในราคา ตัวละ 500,00 บาท จำนวน 4 ตัว เพศเมีย 2 ตัว เพศผู้ 2 ตัว รวมเป็นเงิน 2,000,000 ซึ่งมีการติดต่อล่อซื้อหลายครั้ง แต่มีการเลื่อนการส่งลูกเสือโครงมาโดยตลอด จนวันที่ (14 พ.ย. 2565 ) เจ้าหน้าที่ได้ทำการล่อซื้อสัตว์ป่า (ลูกเสือโคร่ง) จากนายถนัดฯ อีกครั้ง โดยนายถนัดฯ ลดราคาให้เหลือ 1,500,000 บาท โดยแจ้งว่า นำเข้ามาจาก สปป. ลาว และมีการนัดหมายส่งลูกเสือให้กับสายลับที่ปั๊มน้ำมัน ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหาร ขณะนำเสือมามอบให้กับสายลับ ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เวลาประมาณ 03.00 น. คณะเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัว พร้อมกับนำตัวไปตรวจค้นบริเวณโรงแรมที่ตั้งอยู้กลางเมืองมุกดาหารบริเวณหลังสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหารเพื่อหาหลักฐาน

นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทราบลูเทคซิตี้ สร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นในสังคมไทย มอบห้องเรียนให้โรงเรียนบ้านบางหัก สนับสนุนการศึกษาเด็กไทยให้เรียนอย่างมีความสุข

เมื่อวันที่ (15 พ.ย. 65) ที่ผ่านมา นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา กรรมการบริหาร นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทราบลูเทคซิตี้ มอบห้องเรียนให้กับโรงเรียนบ้านบางหัก(ประชาวิทยาคาร) อำเภอบางปะกง โดยมีพระครูสุนทรกิตติธำรง เจ้าอาวาสชลธีบุญญาวาส พร้อมด้วยนายอนัน ไม้งาม ประธานคณะกรรมการขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านบางหัก (ประชาวิทยาคาร) นางเอมอร ทองอินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางหัก และกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนชุมชนและผู้ปกครองให้การต้อนรับ และร่วมในพิธีสืบเนื่องจากโรงเรียนบ้านบางหัก เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียน จำนวน 58 คน เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 แบ่งเป็น 8 ชั้นเรียน แต่โรงเรียนมีอาคารเรียนเพียง 1 หลัง จำนวน 6 ห้องเรียน ทำให้ห้องเรียนไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน  ซึ่งตามโครงสร้างแล้วต้องมี 8 ห้องเรียน ที่ผ่านมาในระดับชั้นอนุบาลต้องเรียนควบชั้นในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการตามช่วงวัย

สมาคมนิสิตเก่า ม.เกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ม.เกษตรศาสตร์จัดกิจกรรมโครงการเดิน - วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN)รวมพลังเพื่อโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 
จัดกิจกรรมรวมพลังแสดงความรักและสามัคคี ภายใต้โครงการเดิน–วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN)  กำหนดวันดีเดย์ วันที่ 15 มกราคม 2566 เวลา 6.30 น. โดยเชิญชวน นิสิตเก่า นิสิตปัจจุบัน บุคลากร และประชาชน ร่วมกิจกรรมพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รวมพลังครอบครัวเกษตรศาสตร์และประชาชน นำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สนับสนุนการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ และ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล ชั้น 1 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแถลงข่าว เดิน –วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN)   โดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นิสิตเก่า KU 33 อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการโครงการเดิน–วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN) ให้เกียรติเป็นประธานการแถลงข่าว ร่วมด้วย ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ นิสิตเก่า KU 46 อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการโครงการเดิน-วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN) และนางโสภาวรรณ มงคลธรรมากุล​ นิสิตเก่า KU 36 นายกสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการเดิน-วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN) ร่วมแถลงข่าว ทั้งนี้ นายสิทธิพล ภู่สมบุญ นิสิตเก่า KU 39 อุปนายกสมาคมนิสิตเก่า ฯ ประธานคณะกรรมการดำเนินการโครงการ เดิน-วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN) พร้อมด้วย กรรมการบริหารสมาคมนิสิตเก่า ฯ คณะกรรมการโครงการ ฯ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ นิสิตเก่า มก. ดร.ตระการ (ต้น) พันธุมเลิศรุจี เข้าร่วมงานแถลงข่าว

สำหรับกิจกรรม KU RUN วิ่งลั่นทุ่ง นั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2562 และ ได้ว่างเว้นการจัดงานมาเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 เมื่อสถานการณ์โควิด คลี่คลาย จึงได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

โดยในปีนี้ กิจกรรม KU RUN วิ่งลั่นทุ่ง จัดขึ้นในชื่อโครงการเดิน - วิ่ง 80 ปี มก. (80th KU RUN) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 80 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเพื่อจัดหารายได้ส่วนหนึ่งสนับสนุนการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์และก่อสร้างโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกทั้งเป็นการรวมพลังแสดงความรักความสามัคคีร่วมกันของเครือข่ายนิสิตเก่า นิสิตปัจจุบัน บุคลากรและครอบครัวของชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเพื่อให้ประชาชนและสังคมได้เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย การมีสุขภาพพลานามัยที่ดี อีกด้วย ​รูปแบบกิจกรรม KU RUN เดิน - วิ่ง 80 ปี มก. จะไม่มีการแข่งขัน แพ้ หรือ ชนะ เน้นการมีส่วนร่วม การแสดงออกถึงความรักความสามัคคี การแสดงพลังของชาวเกษตรศาสตร์ และประชาชน กำหนดจัดกิจกรรม ในวันที่ 15 มกราคม 2566 เวลา 6.30 น. พร้อมกันในทุกสนามของวิทยาเขตมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และสนามในแต่ละจังหวัดเครือข่ายนิสิตเก่าทั่วประเทศ สำหรับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จัดที่ สนามอินทรีจันทรสถิตย์ ระยะทาง 4.80 กิโลเมตร จุดเด่นของโครงการนอกจากการแสดงพลังความรักและความสามัคคี และส่งเสริมการออกกำลังกายแล้ว ยังมีกิจกรรมการแชร์ภาพถ่าย ณ จุดเช็คอิน และ Backdrop ตามจุดต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อเป็นการรำลึกความหลังในธีม 80 ปี มก. รวมถึงมีระบบถ่ายทอดสดสำหรับนักวิ่ง Virtual run เพื่อให้บุคลากร นิสิตเก่า นิสิตปัจจุบัน ได้มีส่วนร่วมในการเดิน–วิ่ง ไปพร้อมๆ กับนักวิ่ง

LANTA ซูเปอร์คอมฯพันธุ์ไทย สุดเจ๋ง! ติดอันดับ 70 ของโลก - อับดับ 1 อาเซียน

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA ของไทยติดอันดับ 70 ของโลก อันดับ 1 ในอาเซียน พร้อมเผยขณะนี้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีระดับโลก พร้อมทั้งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ซินโครตอน ดาราศาสตร์ โทคาแมค

(15 พ.ย. 65) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศข่าวดีว่า ผลการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดของโลก ซึ่งเพิ่งประกาศผลในวันนี้ พบว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA) ของกระทรวง อว. โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการประเมินว่าเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน” โดยเป็นอันดับที่ 20 ของทวีปเอเชีย และอันดับที่ 70 ของโลก มีประสิทธิภาพในการคำนวณที่สูงถึง 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยมีระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก ซึ่งเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโนโลยีที่ต้องอาศัยการคำนวณขั้นสูงของประเทศไทยให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกแล้ว

รมว.อว. กล่าวต่อว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนการปฏิรูปอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งมีการพัฒนาจัดระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในรูปแบบใหม่ ส่วนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ได้สนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนักวิจัยในระดับมาตรฐานโลก โดยในปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยมีความพร้อมอย่างมาก เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ อยู่ในระดับโลก เรามีเครื่องซินโครตรอน กล้องดูดาวขนาดใหญ่ หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์วิทยุ และเครื่องโทคาแมค ซึ่งแต่ละสถานีวิจัยนั้นเป็นอันดับหนึ่งหรือเครื่องเดียวในอาเซียน และล่าสุดซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของไทยก็ได้รับการจัดเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียนแล้ว”

ด้านศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา หรือ LANTA เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย เป็นการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวง อว. ผ่านเครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ไทย (Thai SC) ซึ่งจัดตั้งที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. สำหรับการใช้งานของทุกหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนนักวิจัยจากทั้งภาคการศึกษา มหาวิทยาลัย หน่วยงานจากภาครัฐ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชนและอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีการคำนวณของไทยให้อยู่ในระดับนานาชาติ

ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตานี้สามารถใช้งานได้กับหัวข้อวิจัยที่สำคัญได้หลากหลาย ลดระยะเวลาการวิจัยที่ต้องคำนวณอย่างมากได้หลายร้อยเท่า เช่น การวิจัยการแพทย์แม่นยำ การวิจัยพัฒนายาชนิดใหม่ การออกแบบชุดตรวจวินิจฉัย การจำลองสภาพภูมิอากาศตามเวลาจริงโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม การคำนวณออกแบบวัสดุใหม่ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง การศึกษาการทำงานของชีวโมเลกุล และความหลากหลายทางระบบนิเวศวิทยาของไทย และในด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) อย่างรวดเร็ว โดยนำไปใช้ประโยชน์การบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจร การบริหารการสาธารณสุข หรือประมวลข้อมูลการกระจายรายได้ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top