Monday, 23 June 2025
Hard News Team

‘พีระพันธุ์’ เผย ก.พลังงาน เร่งผลักดันกฎหมายอีก 2 ฉบับ หวังช่วยควบคุมราคาน้ำมัน – สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

(10 เม.ย. 68) พลังงาน เร่งออกกฎหมาย 2 ฉบับ หวังควบคุมการปรับราคาน้ำมันอิสระ และกำหนดให้ผู้ประกอบการแจ้งต้นทุนที่แท้จริง พร้อมวางแผนสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ด้วยการยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ แต่ให้ผู้ประกอบการส่งน้ำมันมาเก็บสำรองเป็นของรัฐแทน ชี้ปัญหาราคาพลังงานแพง เกิดจากแนวคิดที่ไม่ถูกต้องที่มุ่งเน้นไปยังผลกำไรของธุรกิจเอกชน มากกว่าความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมยืนยันจะแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ในขณะที่ยังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านพลังงานในอนาคต” ให้แก่ผู้อบรมหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 2 ว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการออกกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานไทย ได้แก่ 1. กฎหมายการประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง และ 2.กฎหมายกำกับการประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการแก้ไขเป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจุบันติดปัญหาการห่วงแต่ผู้ประกอบการและไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลด้านราคาพลังงานที่แท้จริงได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาราคาพลังงานจะต้องมุ่งเน้นไปที่ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นหลักไม่ใช่มุ่งเน้นด้านธุรกิจเกินไป

โดยในเรื่องของความมั่นคงด้านพลังงานจะมุ่งเน้นไปที่พลังงาน 3 ชนิด คือ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า  ซึ่งในส่วนของน้ำมันนั้น ปัจจุบันการปรับราคาน้ำมันของผู้ประกอบการจะเป็นอิสระ ไม่มีใครควบคุม ซึ่งเมื่อเทียบกับการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หากจะปรับราคาจะต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ก่อน ขณะที่น้ำมันเป็นสิ่งจำเป็นและกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก จึงควรต้องมีการควบคุมเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องออกกฎหมายการประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันด้วย

พร้อมกันนี้จะออกกฎหมายกำกับการประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งต่อไปการปรับราคาจำหน่ายต้องอยู่ภายใต้การกำกับ ไม่สามารถปรับราคาโดยอ้างการปรับเปลี่ยนราคาน้ำมันตามตลาดโลกได้ เนื่องจากกระบวนการซื้อน้ำมันมาขายเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ 3 เดือนก่อน จะมาอ้างราคาน้ำมันโลกในปัจจุบันไม่ได้

นอกจากนี้เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ประเทศไทยควรมีการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้กำหนดปริมาณสำรองน้ำมันมาตรฐานไว้ 90 วัน ที่ผ่านมาไทยยังดำเนินการไม่ได้เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก  โดยไทยใช้น้ำมันอยู่ 120 ล้านลิตรต่อวัน ถ้าจะต้องสำรอง 90 วันต้องเก็บน้ำมันกว่าหมื่นล้านลิตร

ดังนั้นแนวทางที่กระทรวงพลังงานจะดำเนินการคือ การสำรองน้ำมันโดยไม่ต้องใช้เงิน ด้วยการเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แล้วเปลี่ยนเป็นเรียกเก็บน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันส่งเข้าคลังสำรองของภาครัฐแทน โดยตามกฎหมายกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เช่น จ่าย 10 บาทต่อลิตร หากเปลี่ยนเป็นน้ำมันจะได้ 12 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 1 เดือนจะได้ 360 ล้านลิตร แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการก็ผลักภาระการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ให้ประชาชนแทน ดังนั้นหากใช้วิธีนี้ประชาชนก็ไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ และทำให้ราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกลดลงได้ 10 บาทต่อลิตรทันที

ส่วนในเรื่องของค่าไฟฟ้าที่อ้างว่าแพงเพราะราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นนั้น จากข้อเท็จจริงพบว่าการเฉลี่ยราคาใน Pool gas ทำให้คนไทยทั้งประเทศและโรงงานที่ไม่ใช้ก๊าซฯ ในการผลิตต้องแบกรับราคาเฉลี่ยในส่วนนี้โดยไม่เป็นธรรม ซึ่งกระทรวงพลังงานก็ต้องตรวจสอบด้วย

อย่างไรก็ตามการผลิตไฟฟ้าตามกฎหมายกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริงพบว่า ณ สิ้นปี 2567  กำลังผลิตไฟฟ้าของไทยรวมประมาณ 50,724.1 เมกะวัตต์ แต่ กฟผ. ผลิตจริงเพียง 16,226.02 เมกะวัตต์ คิดเป็น 32.06% ขณะที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ผลิตอยู่ 18,973.50 เมกะวัตต์ คิดเป็น 37.4%  และในจำนวน 18,973.50 เมกะวัตต์ เป็นของบริษัทรายเดียวถึง 16,000 เมกะวัตต์ และที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) กว่า 9,000 เมกะวัตต์ ก็มีปัญหาเรื่องสัญญาการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ให้ราคาสูงและสัญญาการผลิตไฟฟ้าสามารถต่อได้โดยอัตโนมัติทุก 5 ปี ไม่มีสิ้นสุดสัญญา ปัญหาเหล่านี้มีส่วนทำให้ค่าไฟฟ้าแพงและเป็นปัญหาต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไข

ส่วนปัญหาค่าความพร้อมจ่าย (AP ) ไฟฟ้า กรณีที่หน่วยงานรัฐไม่สั่งจ่ายไฟฟ้าก็ต้องจ่ายค่า AP ให้ผู้ผลิตไฟฟ้า แม้กระทั่งสั่งให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าก็ยังต้องจ่ายค่า AP อยู่ดี กลายเป็นภาระของประชาชน โดยกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 50,724 เมกะวัตต์ ในปี 2567 มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) 36,000 เมกะวัตต์ แต่ถ้าเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้าจะพบว่าใช้จริงเพียง 25,100 เมกะวัตต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือ  25,600 เมกะวัตต์ เป็นไฟสำรองที่ต้องจ่าย AP โดยผู้ประกอบการไม่ต้องทำอะไรเลย

สำหรับในเรื่องของการเปลี่ยนผ่านพลังงานนั้น เป็นเรื่องของไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฯ ไปเป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งในอนาคตจะส่งผลให้ต้องเลิกผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฯ ถ่านหิน และน้ำมันทั้งหมด ดังนั้นแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าจะเกิดการพัฒนาขึ้นมาเก็บไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนไว้ จึงต้องเตรียมกฎหมายไว้รองรับ ส่วนการซื้อไฟฟ้าต่างประเทศที่ผ่านมา 6,234 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะพลังน้ำจาก สปป.ลาว พบว่าค่าไฟฟ้า 2.60-2.70 บาทต่อหน่วย รวมค่าสายส่งเป็นกว่า 3 บาทต่อหน่วย ซึ่งแพงกว่าค่าไฟฟ้าจากก๊าซฯ ที่ 2.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงให้มากขึ้น

“ถ้าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับประเทศ ไม่เลิกคิดด้านธุรกิจการค้า และผู้ประกอบการไม่หันมาคิดถึงความมั่นคงด้านพลังงาน การเปลี่ยนผ่านในอนาคตก็ไม่มีประโยชน์เพราะผลกำไรก็จะไปเป็นแบบเดิม และสิ่งต่างๆ นี้ เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญต่อไปในอนาคตถ้าเรานิ่งเฉย ผมปล่อยนิ่งเฉยไม่ได้ ทำได้แค่ไหนไม่ทราบ แต่ผมทำ เพราะผมไม่เคยคิดว่ามันร้ายแรงขนาดนี้ ฉะนั้นเราทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ มีส่วนได้เสียด้านพลังงาน การเปลี่ยนผ่านพลังงานต่อไปอย่าให้มันเหมือนเดิมคือกลายเป็นทาสของผู้ประกอบการ ผมเป็นนักการเมืองมาแล้วก็ไป ช่วงที่ทำงานก็จะทำให้ดี ผมมีโอกาสมาทำงาน ถ้าประชาชนนั่งเฉยเปลี่ยนผ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านต้องคิดว่าวางแผนอย่างไรให้ไทยหลุดพ้นจากการครอบงำธุรกิจการค้าด้านพลังงาน การเปลี่ยนผ่านไม่มีประโยชน์ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาการผูกขาดด้านพลังาน และจะกลายเป็นการทำทั้งหมดเพื่อรองรับภาคธุรกิจการค้าเท่านั้น”  นายพีระพันธุ์ กล่าว

วปอ.บอ รุ่นที่ 2 ร่วมกับโรงเรียนชุมพลทหารเรือ จัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเล ครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล

ที่ บริเวณหาดเกล็ดแก้ว โรงเรียนชุมพลทหารเรือ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ นำนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ) รุ่นที่ 2 จัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเลครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ นำโดย พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งมี นาวาเอก ยุทธนา ชูธงชัย ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ให้การต้อนรับ คณะ พร้อมด้วย หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผู้นำชุมชุนกลุ่มประมงพื้นบ้านในพื้น เข้าร่วมกิจการ

โดยภายในกิจกรรม ทางคณะนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ) รุ่นที่ 2 ได้ร่วมกันปลูกปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ประกอบด้วย ปู 2,222 ตัว และกุ้ง 222,222 ตัว 

พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร กล่าาว สำหรับหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 2  ที่จัดจัดกิจกรรมอนุรักษ์ทะเลครบวงจรฟื้นฟูปะการัง และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมในพื้นที่ภาคตะวันออก     

อีกทั้ง ยังเป็นการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการลดมลพิษทางทะเล การปกป้องพื้นที่อ่าวและชายฝั่ง การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ และที่สำคัญ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ท้องถิ่น ในการปกป้องทะเล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยได้มุ่งเน้นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงให้นักศึกษานำไปบริหารจัดการความมั่นคงในอนาคต ต่อไป

‘นักท่องเที่ยวจีน’ แห่บินไปต่างประเทศช่วงวันหยุดยาวเช็งเม้ง นิยม ‘เที่ยวเองไม่ง้อทัวร์’ ดันยอดเดินทางออกนอกประเทศสูงสุดในรอบ 3 ปี

(10 เม.ย. 68) บรรยากาศการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเทศกาลเช็งเม้งปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ หลังจากที่จีนมีวันหยุดยาว 3 วัน ประกอบกับนโยบายยกเว้นวีซ่าจากหลายประเทศทั่วโลก ตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด และเครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การวางแผนการเดินทางสะดวกมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แพลตฟอร์มท่องเที่ยว Tuniu รายงานว่า ยอดการจองทริปเดินทางต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงหยุดเช็งเม้งปีนี้ อาจสูงที่สุดในรอบ 3 ปี ขณะที่ข้อมูลจากหน่วยงานการท่องเที่ยวระบุว่า มากกว่า 80 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ได้ยกเว้นการขอวีซ่าหรือให้ขอวีซ่าเมื่อเดินทางถึง สำหรับนักท่องเที่ยวจีนในปี 2025

หวัง ลี่หยาง ผู้บริหารจาก Fliggy แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ชื่อดัง เผยว่าแนวโน้ม “เที่ยวเอง-วางแผนเอง” กำลังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนหันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการจองกิจกรรมที่แปลกใหม่ เช่น ดำน้ำ, ล่องเรือ, แช่น้ำพุร้อน และกิจกรรมท่องเที่ยวธรรมชาติในพื้นที่ชนบท

นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้านการท่องเที่ยว ในหลายประเทศยังช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถออกแบบแผนเดินทางเฉพาะตัว พร้อมแนะนำจุดท่องเที่ยวตามความสนใจ และจองตั๋วแบบเรียลไทม์ได้สะดวกขึ้น

อีกทั้ง แพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วออนไลน์ของจีนยังระบุว่า ตั๋วเครื่องบินราคาถูก และขั้นตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็ว เป็นปัจจัยหนุนให้การเดินทางต่างประเทศกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยพบว่าเที่ยวบินตรงจาก ปักกิ่ง ไปยัง ฮานอย, กรุงเทพฯ, และจาก เซี่ยงไฮ้ ไปยัง กรุงโซล, โอซากา มีราคาต่ำกว่า 1,000 หยวน (ราว 4,800 บาท)

เว็บไซต์ข่าว Skift คาดการณ์ว่า ยอดการเดินทางขาออกของจีนจะ พุ่งแตะ 200 ล้านเที่ยวภายในปี 2028 ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก

ไต้ปิน ประธานสถาบันการท่องเที่ยวจีน ให้ความเห็นว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนยุคใหม่ยินดีจ่ายเงินเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพักในโรงแรมระดับพรีเมียม รับประทานอาหารหรู ไปจนถึงการเข้าชมการแสดงวัฒนธรรมที่มีคุณภาพระหว่างการเดินทาง

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชะลอเก็บภาษี 90 วัน ยกเว้นจีน ทำตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดแรงที่สุดในรอบปี

(10 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศคู่ค้าต่างๆ เป็นเวลา 90 วัน โดยมีผลบังคับใช้ในทันที ยกเว้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งยังคงเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 125% ตามมาตรการที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศไปเมื่อไม่นานนี้

“จากการขาดความเคารพที่จีนมีต่อตลาดโลก ผมจึงขอปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% โดยจะมีผลทันที” ทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดีย “ในอนาคตอันใกล้นี้ จีนจะตระหนักว่าการเอาเปรียบสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ นั้นไม่ยั่งยืนหรือเป็นที่ยอมรับได้อีกต่อไป”

การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากภาคธุรกิจและพันธมิตรทางการค้า ที่กังวลว่าการตอบโต้ทางภาษีอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยสหรัฐฯ ระบุว่าการระงับชั่วคราวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดทางให้เกิด “กระบวนการเจรจาอย่างสร้างสรรค์” กับพันธมิตรที่ได้รับผลกระทบ

“เราต้องการโอกาสให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับเราสามารถหารือร่วมกันเพื่อแก้ไขความไม่สมดุล โดยไม่ต้องมีแรงกดดันจากมาตรการภาษีในทันที” ทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว

อย่างไรก็ตาม จีนยังคงถูกแยกออกจากการผ่อนปรนดังกล่าว โดยทำเนียบขาวระบุว่า จีนยังไม่แสดงความตั้งใจในการแก้ไขพฤติกรรมทางการค้าที่สหรัฐฯ มองว่า “ไม่เป็นธรรม” ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จาก 34% เป็น 84% ในการตอบโต้ล่าสุด

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหลังการประกาศดังกล่าวว่า “ยังไม่มีอะไรจบลง แต่เรามีความศรัทธาอย่างล้นหลามจากประเทศอื่นๆ รวมถึงจีนด้วย จีนต้องการทำข้อตกลง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”

นักวิเคราะห์มองว่าการยกเว้นจีนจากมาตรการผ่อนปรนนี้สะท้อนถึงแนวทางแข็งกร้าวที่รัฐบาลทรัมป์ใช้ในการเจรจาการค้ากับปักกิ่ง และอาจส่งผลให้ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจยังคงดำเนินต่อไป

ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งแรงในวันพุธ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศพันธมิตร

ดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ปิดที่ 40,608.45 จุด เพิ่มขึ้นถึง 2,962.86 จุด หรือ +7.87% ถือเป็นการปรับตัวขึ้นรายวันที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายเดือน

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,456.90 จุด เพิ่มขึ้น 474.13 จุด หรือ +9.52% ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ปิดที่ 17,124.97 จุด พุ่งขึ้น 1,857.06 จุด หรือ +12.16% นับเป็นหนึ่งในวันที่ดีที่สุดของ Nasdaq ในรอบปี

นักลงทุนทั่วโลกตอบรับเชิงบวกต่อท่าทีผ่อนปรนของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะการยกเว้นประเทศคู่ค้าสำคัญจากมาตรการภาษีเป็นการชั่วคราว แม้ว่าจีนจะยังคงถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าระดับสูงถึง 125% ก็ตาม

“นี่เป็นสัญญาณว่าเส้นทางของการเผชิญหน้าทางการค้าอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ หากมีพื้นที่ให้เจรจา” นักวิเคราะห์จากบริษัทการเงินแห่งหนึ่งในนิวยอร์กกล่าว

จีนยื่นร้องเรียน WTO กรณีสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 125% ชี้ละเมิดกฎการค้า พร้อมประณามมะกันมีพฤติกรรม ‘กลั่นแกล้ง-รังแก’

(10 เม.ย. 68) รัฐบาลจีนยื่นเรื่องร้องเรียนฉบับใหม่ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) หลังสหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 50% กับสินค้านำเข้าจากจีน โดยถือเป็นการยกระดับมาตรการ 'ภาษีตอบโต้' ที่เคยประกาศใช้มาก่อนหน้านี้

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า มาตรการภาษีล่าสุดของสหรัฐฯ นั้น “ละเมิดกฎเกณฑ์ของ WTO อย่างร้ายแรง” และถือเป็น “ความผิดพลาดมหันต์ที่ต่อยอดจากความผิดพลาดเดิม” พร้อมทั้งประณามว่าสหรัฐฯ มีพฤติกรรมที่ 'กลั่นแกล้งและรังแก' โดยดำเนินการอย่างลำพังฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงกติกาสากล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนหลายสิบประเทศเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึงร้อยละ 125 ส่งผลให้สงครามการค้าโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทรัมป์กล่าวว่าภาษีศุลกากรมีความจำเป็นเพื่อยุติการขาดดุลการค้าครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ กับหุ้นส่วนทางการค้าหลายราย โดยจีนเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด

จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84 เปอร์เซ็นต์ จาก 34 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สหภาพยุโรปจะเปิดตัวมาตรการตอบโต้ครั้งแรก โดยส่วนใหญ่จะมีอัตราภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์หน้า

“แม้ว่าจีนจะคัดค้านสงครามการค้า แต่จีนจะปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนอย่างมั่นคง” จีนกล่าวในแถลงการณ์ต่อสมาชิก WTO ระหว่างการประชุมว่าด้วยการค้าสินค้า

บรรดาสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) จำนวน 20 ประเทศ รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ สหภาพยุโรป และแคนาดา ต่างออกแถลงการณ์ร่วมในที่ประชุม WTO ซึ่งจัดขึ้นที่นครเจนีวาในวันพุธ แสดงความวิตกกังวลต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง

สมาชิกองค์การการค้าโลกหลายประเทศแสดงจุดยืนต่อที่ประชุมในเจนีวา โดยมีบางรายระบุว่ามาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งกันและกันของสหรัฐฯ ขัดต่อหลักการพื้นฐานของ WTO และอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก เจ้าหน้าที่การค้าประจำเจนีวาเผยว่า สมาชิกบางประเทศชี้ว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวจะผลักดันต้นทุนให้เพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม บั่นทอนห่วงโซ่อุปทาน และสร้างผลกระทบต่อทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ขององค์การการค้าโลกเปิดเผยต่อสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า คำร้องเรียนล่าสุดของจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งยื่นเมื่อวันพุธ เป็นการดำเนินการแยกต่างหากจากคำขอปรึกษาหารือทวิภาคีที่จีนได้ยื่นไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา

สำหรับการยื่นคำขอปรึกษาหารือถือเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการยุติข้อพิพาทภายใต้กรอบของ WTO โดยเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างเป็นมิตรภายในระยะเวลา 60 วัน หากการเจรจาไม่บรรลุผล จีนสามารถยกระดับข้อพิพาทโดยยื่นคำร้องต่อหน่วยงานระงับข้อพิพาทของ WTO เพื่อให้มีการตั้งคณะผู้พิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ

‘จิตรเทพ เนื่องจำนงค์’ มองกรณี ทรัมป์ระงับขึ้นภาษีคู่ค้าเว้น ‘จีน’ ชี้ เกมนี้ไม่ใช่แค่การค้า แต่วางหมากหวังกุมอำนาจการเจรจาทั่วโลก

(10 เม.ย.68) นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และอดีตที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

ทรัมป์ระงับการขึ้นภาษีศุลกากรเกือบทุกประเทศ แต่เพิ่มภาษีกับจีนเป็น 125%  โดยประกาศระงับการขึ้นภาษีตอบโต้ที่สูงขึ้นกับคู่ค้าหลายสิบรายเป็นเวลา 90 วัน 

เกมนี้ คือ แยกมิตรและศัตรู ให้ทุกคนกางหน้าไผ่ในมืออย่างชัดเจน 

โดยการหยุดภาษีประเทศพันธมิตร 90 วันเพื่อเปิดโต๊ะเจรจา แต่เล่นอัดพี่จีนเต็มสตีมทันที

ตลาดหุ้นสหรัฐตอบรับแรงมาก S&P500 +8% Nasdaq ปู่ SET บ้านเราก็น่าจะบวกแรงด้วยเช่นกัน

นี่ไม่ใช่แค่การค้า แต่นี่คือ เกมส์การวางหมากเพื่อควบคุมอำนาจการเจรจาทั่วโลก และตอนนี้ Deal ใหญ่ ๆ กับหลายประเทศเริ่มเข้ารูปแล้ว

ทรัมป์เป็น Deal Maker วิธีการทำนโยบายของทรัมป์ คือ จะประกาศไปก่อนเพื่อเจรจา จะทุบโต๊ะเพื่อขอราคาหรือข้อเสนอที่ดีมากที่สุด 

มุมมองนักลงทุน : หุ้นจีน ตอนนี้ยังเสี่ยง  หุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ลงมาเยอะ มีโอกาส 

หุ้นไทย พื้นฐานดีหลายๆ ตัวน่าสนใจ แต่อาจจะต้องประเมินสถานการณ์ ค่อยๆ แบ่งทยอยซื้อ
This isn’t chaos — it’s strategy.

ไม่ต้องรีบมากครับ  ฝุ่นยังไม่หายตลบ ค่อย ๆ ประเมินตามความเสี่ยงที่รับได้  เพราะไม่รู้พรุ่งนี้พี่ทรัมป์จะงัดกลยุทธ์ไหนมาเล่นอีก  ค่อยประเมินกันไปครับ พี่แกคาดเดายากจริง ๆ 

แต่เชื่อว่า อีกสักพัก คงค่อยๆ ผ่อนคลายสถานการณ์คลี่คลายในทางที่ดีขึ้นครับ
#สวัสดีSET 1000 จุด 

‘ดร.พอล’ อาจารย์ ม.นเรศวร คดี 112 ถูกถอนวีซ่า หลังศาลให้ประกันตัว ด้านทนายเตรียมอุทธรณ์คำสั่ง ตม. ใน 48 ชม.

(10 เม.ย. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ประกัน ‘ดร.พอล แชมเบอร์ส’ นักวิชาการอเมริกัน อาจารย์ ม.นเรศวร แล้ว แต่ยังถูก ตม.ควบคุมตัว เหตุถูกเพิกถอนวีซ่า ทนายเตรียมอุทธรณ์คำสั่ง ตม.ภายใน 48 ชม.

จากกรณีที่ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถูกกองทัพภาคที่ 3 แจ้งความดำเนินคดีฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต่อมา ดร.พอลได้เข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยที่ศาลจังหวัดพิษณุโลกไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน และในวันนี้ (9 เม.ย.) ทนายความของ ดร.พอล ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลเพื่อขอประกันตัวอีกครั้งนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 17.58 น.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ประกันตัว "พอล แชมเบอร์ส" แล้ว แต่ทนายยังต้องติดตามไปขอประกันตัวผู้ต้องหากับทาง ตม.ต่อไป

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 15.15 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า ดร.พอล แชมเบอร์ส ได้ถูกเพิกถอนวีซ่าแล้ว ทนายเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ตม.ภายใน 48 ชม.นี้

ต่อมาเวลา 16.20 น.ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุอีกว่า ศูนย์ทนายฯ ได้รับแจ้งว่า ตร.จะเข้าไปค้นห้องทำงาน ที่ ม.นเรศวร ของ "พอล แชมเบอร์ส" โดยเป็นหมายค้นจากศาลจังหวัดพิษณุโลก

'อนุทิน' แจงลูกเนวินโพล่งความในใจค้านกาสิโน ย้ำ เป็นความเห็นส่วนตัวไม่ใช่มติพรรค แต่ต่อไปต้องแจ้งพรรคก่อน

'อนุทิน' รับ 'ไชยชนก' ผิดคิว ยัน ไม่รับกาสิโน เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติ 'ภูมิใจไทย' พร้อมขออภัยในความไม่สะดวก บอก หลังเวลาราชการ เตรียมแจงนายกฯ ปัด ไม่ได้คุย 'เนวิน' 

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯว่าจะไม่มีวันยกมือโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ว่า ตนได้ฟังการอภิปรายอยู่ ซึ่งตนติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัด ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่าที่นายไชยชนก ได้พูดไปนั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ในฐานะสส.คนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ซึ่งเขาสามารถให้ความคิดเห็นส่วนตัวได้ แต่ในสถานะของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และเป็นเลขาธิการของพรรคภูมิใจนั้น เขาต้องทำตามมติของพรรค ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และเมื่อวันที่ 8 เม.ย. มีการแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ซึ่งมติของพรรคร่วม ทางพรรคภูมิใจไทยพร้อมและยินดีให้การสนับสนุน

เมื่อถามย้ำว่าถือเป็นความในใจของนายไชยชนก ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถือเป็นความในใจ แต่คงต้องมีการจัดระเบียบอีกเล็กน้อย เพราะก่อนที่จะมีการประชุมสภาฯ ต้องมีการประชุมพรรคก่อนทุกครั้ง และในครั้งนี้นายไชยชนก ยังไม่ได้แจ้งและได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมพรรคว่าจะให้ลุกขึ้นชี้แจงในเรื่องเหล่านี้ในฐานะส่วนตัว แต่ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ต้องแจ้งทางพรรคก่อน ดังนั้น ตนจึงขออภัยในความไม่สะดวกด้วย 

เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะเรื่องกาสิโนหรือไม่ นานอนุทิน กล่าวว่า ตนพยายามติดต่อนายกรัฐมนตรีอยู่ เนื่องจากเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ต้องเรียนชี้แจงนายกฯว่าสิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่ในนามพรรคภูมิใจไทย แต่สิ่งที่นายไชยชนก พูดนั้นก็มีความชัดเจน ซึ่งการพูดในวันนี้พูดในนามของนายไชยชนก ลูกของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และที่ระบุว่าเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้พูดในนามของพรรค ซึ่งได้พูดด้วยว่า ไม่ได้ไม่สนับสนุนกาสิโน เพียงแต่บอกว่าไม่สนับสนุนกฎหมายกาสิโนในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นที่สำคัญกว่า และที่บอกว่ายังไม่สามารถสนับสนุนร่างดังกล่าวได้นั้น หรือแม้แต่กฎหมายของพรรคภูมิใจไทย เรื่องบ้านเกิดเมืองนอน และกฎหมายอื่นๆ ของพรรคไหนก็จะไม่พิจารณา ซึ่งถือว่าคือความเป็นสส.ของเขา แต่ขอยืนยันว่า ไม่ใช่มติของพรรคภูมิใจไทย 

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความไม่สบายใจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่หรอกครับ ที่ผมมาพูดตรงนี้ เพื่อให้ทุกคนสบายใจ” เมื่อถามย้ำว่าเบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับนายเนวินแล้วหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุย และยังไม่มีการคุยกับใครด้วย ซึ่งหลังจากหมดเวลาราชการ ตนจะขอติดต่อชี้แจงกับนายกฯ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้ทราบเรื่อง 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า “ผิดคิวนิดหน่อย แต่เขามีสิทธิ์ ในฐานะที่เป็นสส. ซึ่งความเป็นสส. มีเอกสิทธิ์ล้วน ๆ ไม่สามารถห้ามได้ แต่ความเป็นนักการเมืองในอนาคต จะต้องแจ้งให้พรรคทราบก่อน”

“นายกฯ”- ครม. ชื่นมื่นร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทย ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand"

(9 เม.ย. 68) “นายกรัฐมนตรี”- ครม. ชื่นมื่นร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทย "เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์" ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand" ชวนคนไทยทั่วประเทศรดน้ำขอพร เล่นน้ำสงกรานต์ วิถีประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น เสริมจุดแข็ง สร้างเสน่ห์ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางมาเยือน กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

(๘ เมษายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ น.) ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand” ดึงวิถีประเพณีไทย อัตลักษณ์ที่โดดเด่น เสริมจุดแข็ง สร้างเสน่ห์ ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเยือน

ในโอกาสนี้ นางสาวแพทองธาร  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์บ้านฉัน สีสันแบบไทย สุขไกลทั่วโลก Once in a Lifetime : Experience Songkran in Thailand” ณ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนางสาวสุดาวรรณ  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายประสพ  เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม) นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรมให้การต้อนรับ

นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ รับชมการแสดงการเล่นของเด็กไทย จากนั้น นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำเสนอภาพรวมคุณค่าสารัตถะอันดีงามของการจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ได้แก่ กิจกรรมสรงน้ำพระ การสาธิตการรดน้ำ ๔ ภาค และการสาธิตการทำน้ำอบและแป้งพวง

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่าภาพรวมการจัดงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของกระทรวงวัฒนธรรมในปีนี้ มุ่งเน้นการจัดงานภายใต้กรอบแนวทาง ๔ มิติ ๑๗ มาตรการรณรงค์ ได้แก่ มิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมกันสืบสานประเพณีสงกรานต์ โดยเน้นเรื่องคุณค่าสาระที่ถูกต้องของวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงาม คำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่นที่มีภูมิหลังของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของชุมชนและของประเทศ รวมถึงการร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยกำหนดจัดงานในพื้นที่ ๑๗ จังหวัด และพื้นที่ส่วนกลางกรุงเทพมหานคร  
ในส่วนของการจัดงาน ๕ เมืองอัตลักษณ์ได้แก่ 
• การจัดงานประเพณี ป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง จังหวัดเชียงใหม่ (๑๒ - ๑๖ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ขบวนแห่รอบคูเมืองเชียงใหม่ นิทรรศการสงกรานต์ล้านนา การแสดงศิลปวัฒนธรรม การทำบุญตักบาตรวันสงกรานต์  
• การจัดงานวิถีชีวิตชาวอีสาน ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น (๘ - ๑๕ เม.ย. ๒๕๖๘)กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์อีสานดั้งเดิม งานสืบสานสงกรานต์วิถีไทยบ้าน รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ เทศกาลดอกคูนเสียงแคน การแสดง แสงสีเสียง การเล่นคลื่นมนุษย์ไร้แอลกอฮอล์
• การจัดงาน ชลบุรี อัตลักษณ์วิถีชีวิต Pattaya Old Town (๑๗ - ๑๙ เม.ย. ๒๕๖๘)กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ รำวงย้อนยุค การละเล่นพื้นบ้าน การสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์โบราณ ประติมากรรมเจดีย์ทรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
• การจัดงาน จังหวัดสมุทรปราการ อัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนมอญ (๑๒ - ๑๓ และ ๒๕ - ๒๗ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่สาธิตการทำธงตะขาบ การละเล่นพื้นบ้าน (สะบ้ารามัญ) ขบวนรถบุปผชาติ วิถีชีวิตชุมชนมอญ
• การจัดงานเทศกาลมหาสงกรานต์ แห่นางดานเมืองนคร หนึ่งเดียวในไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช (๑๑ - ๑๕ เม.ย. ๖๘) กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ สรงน้ำพระบรมธาตุ ประเพณีแห่นางดาน และพิธีโล้ชิงช้า หนึ่งเดียวในไทย พร้อมด้วย ๑๒ เมืองน่าเที่ยว ที่มีความโดดเด่นทางอัตลักษณ์ทั้ง ๔ ภาค ประกอบด้วย
• ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน และจังหวัดนครสวรรค์
• ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดลพบุรี
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดหนองคาย และจังหวัดสุรินทร์
• ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดภูเก็ต และในพื้นที่ส่วนกลาง ๘ จุดหมายกรุงเทพมหานคร ได้แก่
• สามย่านมิตรทาวน์
• ถนนสีลม
• ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ 
• วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร 
• ไอคอนสยาม
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
• สยามสแควร์
• ท้องสนามหลวง
โดยเน้นบรรยากาศดั้งเดิม คำนึงถึงความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และความเหมาะสมตามวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ พร้อมรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนสนับสนุนศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้านในการแสดงทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนงานตามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำทำเนียบนามศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้านทุกสาขา เพื่อให้สะดวกสำหรับการจ้างงานและการประสานงาน

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อว่า รัฐบาล และทุกภาคส่วน ร่วมบูรณาการในการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ โดยจัดงาน "เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์" ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมประเพณีไทย นำเสนอความงดงามของวัฒนธรรมไทยและต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สงกรานต์และร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนี้อย่างยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน และมีความคาดหวังผลในการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ในปีนี้ ให้คนไทยทั่วโลกภาคภูมิใจและร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมยกระดับประเพณีสงกรานต์สู่ World Event เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้จากงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๘ นี้ ได้ถึง ๒๖,๕๐๐ล้านบาท / และจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาร่วมงานถึง ๔๗๖,๐๐๐คน / และนักท่องเที่ยวไทยเพิ่ม ๔,๔๑๘,๕๐๐ คน

สุดท้าย นางสาวสุดาวรรณ ฝากถึงพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวว่าประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่มีความหมายมากกว่าการเล่นน้ำ แต่เป็นเทศกาลแห่งความรัก ความกตัญญู และความอบอุ่นของครอบครัว ซึ่งควรค่าแก่การส่งต่อไปสู่สายตาชาวโลก "สงกรานต์ไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบทอดให้คนรุ่นหลัง เราต้องการให้สงกรานต์เป็นเทศกาลที่ทุกคนต้องมาเยือน อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต" 

กระทรวงวัฒนธรรมขอเชิญชวนทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อมกับสงกรานต์ ๒๕๖๘ ซึ่งจะเป็นเทศกาล�ที่มอบประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่ทั้งคนไทยและชาวโลก ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม: www.culture.go.th หรือ Facebook กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top