Monday, 29 April 2024
สถาบันพระมหากษัตริย์

เพจไทยรักษา ยกสถาบันหลักเข้มแข็ง ช่วยไทยเป็นปึกแผ่น ไม่ต้องหนีตายเช่นคนเมียนมา

เพจไทยรักษา โพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มกบฏในเมืองทานตะลางว่า ล่าสุดในเมียนมา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ในเมืองทานตะลาง อาคารบ้านเรือนอย่างน้อย 100 หลังถูกไฟเผาทำลาย

หลังจากกองทัพเมียนมาโจมตีกลุ่มกบฏด้วยกระสุนปืนใหญ่นับร้อยลูก ส่งผลให้เกิดไฟไหม้เผาวอดทั่วเมือง เพราะไม่มีหน่วยดับเพลิงเข้าช่วยเหลือควบคุมเพลิง

ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่จากประชากรกว่า 7,500 คน กลายเป็นผู้ไร้ที่พักอาศัยในทันที และอพยพหนีตายข้ามชายแดนไปยังประเทศอินเดียในช่วงการปะทะดุเดือดต่อเนื่อง ส่งผลให้เมือง "ทานตะลาง" มีสภาพเกือบเป็นเมืองร้าง 

กบฏในเมียนมาได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ ไม่ต่างจากรัฐบาลทหารพม่าที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติเช่นกัน เมียนมากำลังเดินทางเข้าไปใกล้เคียงกับซีเรียเข้าไปทุกที 

#มองเมียนมาแล้วกลับมามองเรา

เหตุการณ์สงครามในเมียนมาในขณะนี้ ทำให้เราต้องมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ที่ยังคงความเป็นปึกแผ่นเอาไว้ ไม่มีสงครามถึงขั้นให้ต่างชาติสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ เพราะอะไร ?

ย้อนคำกล่าวอดีตผู้นำสิงคโปร์ถึงในหลวง ร.9 ไขข้อข้องใจชัด!! กษัตริย์มีไว้ทำไม

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘LVanicha Liz’ ได้โพสต์ข้อความถึงความสำคัญของการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า 
ไขข้อข้องใจ #กษัตริย์มีไว้ทำไม
สิ่งที่ผู้นำสิงคโปร์กล่าวถึงในหลวง ร.9 ตอบประเด็นนี้ได้โดยตรง
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่มผู้ตั้งคำถาม #กษัตริย์มีไว้ทำไม ยกย่องนับถือว่าเจริญแล้ว 

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2552 ประธานาธิบดีเอส อาร์ นาธาน แห่งสิงคโปร์ ได้ส่งสาส์นถวายพระพรฯ และแสดงความยินดีแด่ในหลวง ร.9 เนื่องในโอกาสที่ทรงได้รับการถวายรางวัลจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก มีเนื้อความส่วนหนึ่งดังนี้ : 

ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ได้ถวายพระเกียรติแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยรางวัลผู้นำระดับโลกอันทรงเกียรติสูงสุดที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแสดงความตระหนักในพระราชคุณูปการอันโดดเด่นของพระองค์ในการก่อให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญา ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าประวัติผลงานการประดิษฐ์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอันประกอบไปด้วยสิทธิบัตรกว่า 20 รายการและเครื่องหมายการค้า 19 รายการ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลวัยหนุ่มสาวของไทยให้เดินตามรอยพระบาท ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยและผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลก

รางวัล WIPO เป็นเครื่องแสดงอย่างชัดเจนถึงการน้อมสำนึกต่อการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ตลอดพระชนมายุของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในการส่งเสริม พัฒนา และทำให้เห็นคุณค่าของทรัพย์สินทางปัญญา รางวัลนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ และการมีส่วนอย่างเข้มแข็งของพระองค์ในการสร้างเสริมวัฒนธรรมไทยและสังคมไทย รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอีกด้วย https://www.mfa.gov.sg/Newsroom/Press-Statements-Transcripts-and-Photos/2009/02/MFA-Press-Release-Congratulatory-Letter-from-President-S-R-Nathan-to-His-Majesty-King-Bhumibol-Aduly ภาพที่แนบแสดงเนื้อหาของสาส์นที่ปรากฏบนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ และการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเอส อาร์ นาธาน กับภรรยาเมื่อปี 2548 

สองประเด็นสำคัญในสาส์นคือ
“ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าประวัติผลงานการประดิษฐ์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท … จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลวัยหนุ่มสาวของไทย ให้เดินตามรอยพระบาท ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยและผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลก” และ
“รางวัลนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ และการมีส่วนอย่างเข้มแข็งของพระองค์ในการสร้างเสริมวัฒนธรรมไทยและสังคมไทย รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย”

ผู้เจริญแล้วย่อมมีสายตาเห็นคุณค่าของสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญ

สองประเด็นข้างต้นระบุถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนที่เกิดจากการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่มีผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีกลุ่มการเมืองใดจะเทียบได้ ทั้งในแง่ระดับการอุทิศตนและในแง่ความรักที่มีต่อประชาชน อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่มีความพิเศษเฉพาะระหว่างกษัตริย์กับชาติและกษัตริย์กับประชาชน 

'บิ๊กตู่' สั่งจับตา 'โรงเรียนสาธิต มธ.' หวั่นบิดเบือนประวัติศาสตร์-สถาบัน 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข้อห่วงใยหลักสูตรของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์และสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูอยู่ นี่คือเรื่องการศึกษา เป็นสิ่งสำคัญการศึกษาจะต้องมีเป้าหมายที่ดี ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ มีความคิดอย่างเป็นระบบ มีมายด์เซตที่ดี สิ่งเหล่านี้ตนกำลังแก้ โดยได้มีการสั่งการ กำหนดนโยบายไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการมาโดยตลอด ทั้งหลักสูตร การศึกษา การสอนของครู การเพิ่มสมรรถนะ ทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องปรับกลไกบางตัวให้ทันสมัยขึ้น และองคาพยพเหล่านั้นต้องทำตามนี้ พัฒนาตนเอง

‘พิธา’ ยัน!! อภิปรายงบสถาบันฯ เป็นหน้าที่ ส.ส. พร้อมปัด ‘ก้าวไกล’ ไม่มีเอี่ยวคดีฉาวคาวโลกีย์

พิธา พบ ก.ก.ต.ตามนัด กรณีอภิปรายงบสถาบันกษัตริย์ ส่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ ยืนยันเจตจำนงก้าวไกล อภิปรายงบฯ ตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ผู้แทนเคียงข้างประชาชน 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายงบส่วนราชการในพระองค์ และทีมกฎหมายพรรคก้าวไกล เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ประเด็นที่มีผู้ยื่นคำร้อง กล่าวหาว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์และการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 92(2) เป็นปฏิปักษ์การปกครองฯ จากกรณี ส.ส. พรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณสถาบันฯ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2565

พิธา กล่าวว่า ในวันนี้ตนมาให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) ว่า การอภิปรายของพรรคก้าวไกล เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองอย่างที่ถูกกล่าวหา

พิธา กล่าวต่อไปว่า ส่วนตัวไม่กังวลในข้อกล่าวหานี้ เนื่องจากส่วนราชการในพระองค์ เป็นหน่วยรับงบประมาณเหมือนหน่วยงานอื่นๆ ตามพระราชบัญญัติวิธีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 4 ซึ่งจัดอยู่ในส่วนราชการที่ถูกเรียกให้มาชี้แจงในการขอรับงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎร เป็นหน้าที่ของส.ส.ที่มีหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณ เพื่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพจากการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน และเป็นการดำรงพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ ที่อยู่เหนือการเมือง ใต้รัฐธรรมนูญ

‘น้องริตา’ หนูน้อย ป.3 สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขายงานศิลปะนำเงินสมทบ ‘สตรีทอาร์ตคิงภูมิพล’

นายชวัส จำปาแสน หรือ ครูอะไหล่ ศิลปินผู้ก่อตั้ง ‘Street Art KingBhumibol’ โพสต์ข้อความผ่านเพจ Street Art King Bhumibol ถึงเรื่องราวสุดประทับใจที่ทำน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ว่า วันนี้มีเด็กน้อยทำผมน้ำตาไหล
 
น้องริตา หนูน้อย ป.3 มีพรสวรรค์ด้านศิลปะดีเยี่ยม

น้องขายงานศิลปะได้ แบ่งเงินส่วนหนึ่ง เดินมาให้ครูอะไหล่วันนี้ 5,000 บาท เพื่อทำโครงการ #สตรีทอาร์ตคิงภูมิพล 

ผมแทบทำตัวไม่ถูก และเป็นสิ่งที่น้องตัดสินใจเอง ผมพูดไม่ออก ริตายิ้มใส่ผม รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ มีเมตตาต่อใจ ผมไม่อยากรับเลย ทำให้ผู้ชายแมน ๆ แบบผมดูไม่เท่เลย แถมยังน้ำตาไหลอีก แต่เธอตั้งใจมาก ๆ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ได้แต่ขอบคุณทั้งน้ำตา 

สิ่งนี้เหมือนปาฏิหาริย์อีกเรื่องที่เกิดขึ้นในโครงการนี้ #สานต่อที่พ่อทำ

‘อัษฎางค์’ ไขคำตอบแห่งกาลเวลา ชี้ไทยเป็นไปไทยได้ เพราะมีบรรพบุรุษ ประเพณี สถาบันพระมหากษัตริย์

ไม่นานมานี้ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า…

ส่งเสริมความเสมอภาค สิทธิ ความเท่าเทียม ด้วยการยกเลิก รากเหง้าของความเป็นไทย ยกเลิกจารีตประเพณีและวัฒนธรรมที่งดงาม ! 

ผมเคยเล่าเรื่องที่เด็กไทยในเมืองไทย ต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทยให้ลูกฟัง

น้องอิง ลูกชายของผมซึ่งเรียนหนังสือในต่างประเทศมาตั้งแต่เล็ก ๆ จนถึงมหาวิทยาลัย พูดกับผมถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

ให้สังเกตดูดี ๆ ว่า
“คนที่ไม่มีอดีต มักเป็นคนที่ไม่มีปัจจุบัน และจะไม่มีอนาคต”

น้องอิง ขยายความเพื่ออธิบายข้อความดังกล่าวว่า...
ความหมายคือ คนที่ปฏิเสธอดีต มักเป็นคนที่ในปัจจุบัน “เป็นคนที่ไม่มีอะไร” ไม่มีแม้กระทั่งอนาคต เขาจึงต้องกลบเกลื่อนความเป็นตนเอง ด้วยการปฏิเสธอดีต เพราะเขาไม่มีอะไรมาตั้งแต่อดีต

ส่วนคนที่ “มีอะไร” มาตั้งแต่อดีต มักจะภูมิใจในตนเอง ว่าเขามี “อะไรมาตั้งแต่อดีต” ซึ่งมันทำให้ “มีปัจจุบันและจะมีอนาคต”

ทรงปิดทองหลังพระ ย้อนอดีต 'ในหลวง ร.9 - สมเด็จพระพันปีหลวง' นำพาไทยพ้นวิกฤติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(13 ส.ค. 65) ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมเกียรติ โอสถสภา ระบุว่า...

ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ นำไทยพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 

เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจึงไม่ค่อยยิ้ม ทรงชี้ไปที่สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า 'That is my Smile'

สงครามโลกครั้งที่สองจบลง

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาลของคนไทย
หนี้สงครามเยอะมาก ต้องจ่ายข้าวให้อังกฤษ 3 ล้านตัน
มีสัญญาห้ามขุดคอคอดกระด้วย
ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก สมัย ร.4 หนึ่งบาทเท่ากับหนึ่งปอนด์เชียวนาครับ หลังสงครามค่าเงินปอนด์หนึ่งปอนด์เท่ากับ 80 บาท ค่าเงินบาทตกไป 20 เท่า คิดเป็นเงินเฟ้อกี่ % หรือ
เอาว่าก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจาก
มีปัญหาว่าข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน

พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก
ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน
สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเชีย ต่ำกว่ามาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2000 บาทต่อคนต่อปี
ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว

>> รัชกาลที่ 9 ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ

สถานการณ์ยุคนั้นคือ

ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้าน
ไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศึกษา โรงพยาบาล
ไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คน
ไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง
ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน
ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี มีมรว คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วย
โชคดีของคนไทย

พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ตรัสได้หลายภาษา อย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบ วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก

ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น

การที่ทรงศึกษาที่สวิสนั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่าสุดยอดแห่งอารยธรรม เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย

ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้านั้น ได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ภูมิใจมาก

ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด ประสบการณ์นะครับ
ทรงมีพระ nobility มาก การเสด็จเยือนจึงได้ความเคารพนับถือจากประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาล ต่างประเทศ
และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนื่งไปอีกที่หนื่ง
ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์

จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุข และหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือนประเทศไทยอีก ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก

ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเชีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเชียก็ต้อนรับยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ

คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย

ยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม
สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี กษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆ จะมาเมืองไทยกันถี่ยิบ สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่า ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ
พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง ใครมากล่าวหาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแบบไม่รู้เรื่อง คนไทยโกรธ เพราะพวกเราถือว่าเป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติ ที่ช่วยกันทำ

>> ประเทศไทยได้อะไร

ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี หายไป
มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยายุคนั้น 3500 ล้านเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก
ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น
การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคนมาจนปัจจุบัน
เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมือง แพร่ไปทั่วโลก
เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก
เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลกครับ

คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ
เราจึงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ
วันนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลกนะครับ

เศษซากคณะราษฏร มายาคติแห่งความก้าวหน้า ที่ใช้สถาบันมา ‘ย่ำยี’ สืบทอด ‘ร่างทรง’ จนประเทศชาติยากจะไปต่อ

จริง ๆ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เอามาเล่าในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนหรือในช่วงใกล้วันรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง ๆ หยิบมาเล่าทวนความสักหน่อยก็น่าจะดี เรื่องของ ‘คณะราษฎร’ ที่มีหลายกลุ่มหัวก้าวหน้ายึดถือเป็นไอดอล และทำทุกอย่างเพื่อจะสานต่อปณิธานของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์และยึดทรัพย์สินของพระองค์มาเป็นของพวกพ้องตัวเองโดยวิธีสร้างเรื่องปลอม ๆ ตลอดเวลา ช่างก้าวหน้าจริง ๆ 

คณะราษฎรเริ่มต้นด้วยกลุ่มนักเรียนหัวนอกรุ่นก่อตั้ง 7 คน ที่กรุงปารีส นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ อันนี้หลาย ๆ ท่านคงทราบแล้ว ผสมกับทหารหัวนอกจากเยอรมันนำโดยเชษฐบุรุษ พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นมันสมองหลักในการจัดการกำลังพล

เขาบอกกันว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เขาว่ามันคือประชาธิปไตย เอาเข้าจริงๆ แล้วมันคือการปกครองแบบคณาธิปไตยที่ใช้การเลือกตั้งแบบปลอม ๆ จัดตั้งขึ้นมา ส่วนอำนาจจริง ๆ อยู่ในกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาใช้

ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ไม่นานสยามก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งเช่นกัน เพราะโลกเปลี่ยนไป ทัศนคติของคนเปลี่ยนไป ซึ่งตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ก็ชี้ชัดว่าสยามใกล้จะมีรัฐธรรมนูญแล้ว โดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพียงแต่พวกที่กลัวจะตกขบวนรถไฟ ชิงกระทำการก่อนเพื่อให้พวกตนได้กุมอำนาจ พอได้อำนาจแล้วทำอะไรต่อมาติดตามกัน 

ถ้าไม่มีคณะราษฎร...ประเทศไทยคงไม่ต้องสูญเสียกษัตริย์ ถึง 2 พระองค์... รัชกาลที่ 7 คงไม่ต้องเสด็จฯ ต่างประเทศและสวรรคตที่นั้น และ รัชกาลที่ 8 คงไม่ต้องสวรรคต เพราะการลอบปลงพระชนม์ ที่เกิดจากการแก่งแย่งชิงดีในทางการเมืองของคณะราษฎรและการที่กลุ่มบุคคลที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกอะไรดี เพราะชื่อมันเยอะเหลือเกิน แต่ที่รู้ ๆ บูชาคณาจารย์ที่เรียกกลุ่มว่ากลุ่มนิติราษฎร พยายามใส่ร้าย ร.9 ในกรณีการลอบปลงพระชนม์นั้นก็เพราะต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และคืนชีพ ‘คณะราษฎร’ จึงดำเนินการเสี้ยมในทุก ๆ ทาง โดยเฉพาะกรณีการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 อย่างข้าง ๆ คู ๆ แล้วเรียกหรู ๆ ใหม่ว่า ‘การปฏิรูป’

กลับมาที่หลัง 24 มิถุนายน 2475  ที่คณะราษฎร ยึดอำนาจ (การปกครอง) จากรัชกาลที่ 7 เสร็จแล้วก็พยายามจะตามมายึดพระราชทรัพย์ เพราะเพิ่งรู้ว่ารัฐไทยขณะนั้นยากจน เพราะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก บีบคั้นพระองค์ท่านจนสละราชสมบัติ ในพ.ศ.2477สละราชสมบัติได้เดี๋ยวเดียว รัฐบาลก็รีบหาทางจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งจะยึดเอา ‘พระคลังข้างที่’ 

โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479’ และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ .. ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์’ และ ‘ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน’ เอาจริง ๆ ก็ก่อนหน้าปฏิวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านแยกไว้แล้วว่าอันไหนทรัพย์ส่วนพระองค์ อันไหนทรัพย์ของแผ่นดิน แต่คณะราษฎรเขาไม่แคร์

หลังจากออก พรบ. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในขณะก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่แล้วพบว่าเงินหายไปหลายรายการ เอาจริง ๆ นะครับ ‘พระคลังข้างที่’ นั่นมันเป็นเงินของพระองค์ พระองค์จะเอาไปใช้ทำอะไรมันก็เรื่องของพระองค์ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นการไปซื้อประกันภัย และเป็นเงินฝากในต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์และขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ (วังศุโขทัย) ศาลไม่อนุมัติ รัฐมนตรี ก็สั่งย้ายอธิบดีศาลแพ่งไปเสีย แล้วให้หลวงกาจสงคราม (นายพลตุ่มแดง) นำหมายศาลไปปิดและยึดทรัพย์ในวังศุโขทัย ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้รัชกาลที่ 7 เป็นฝ่ายแพ้คดี (พิพากษาหลังสวรรคต) รัฐบาลสั่งยึดทรัพย์และขายทอดตลาดวังศุโขทัย แต่ขายไม่ได้ สุดท้าย กระทรวงสาธารณสุขมาเช่าใช้ จน พ.ศ. 2493 แต่สุดท้ายทางการก็ได้ถวายวังศุโขทัยคืนแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเป็นที่ประทับต่อไป

ยังไม่รวมกรณีหลังจากที่นายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการอีกหลายกรณี จนกระทั่งอำนาจเปลี่ยนมือมาสู่คณะราษฎรสายทหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งท่านผู้นี้คือไอดอลของเด็กอ้วน 3 นิ้ว อันมีวีรกรรมที่แจกแจงได้อย่างสนุก อย่างแรกคงต้องพุ่งเป้าไปที่การสร้างสัญลักษณ์ของตนเทียมอย่างเจ้า มีคฑาตราไก่ของตนเอง นำรูปของตนและภรรยาขึ้นเป็นรูปเคารพแทนพระมหากษัตริย์ พยายามสร้างตำแหน่งใหม่อย่าง สมเด็จเจ้าพญาชาย สมเด็จเจ้าพญาหญิง ซึ่งเป็นระบบฐานันดรที่คณะพวกเขาบอกว่าไม่ดี แต่ก็ทำซะเอง !!!! 

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เผยคำพูดจากใจ ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

“ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะกษัตริย์ นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างกรุงเทพมหานคร จนมาถึงรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นลูกหลานท่าน เพราะฉะนั้นสถาบันกษัตริย์จึงมีบุญคุณกับประเทศไทยอย่างมาก และจะเป็นสถาบันที่สำคัญตลอดไป”

ห้ามโหนสถาบัน 'เลขา กกต.' ร่อนหนังสือแจ้งพรรคการเมือง ควบคุมสมาชิกพรรค ห้ามดึงสถาบันมาหาเสียง

(13 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ ได้ลงนามในหนังสือ เรื่อง การควบคุมและกำกับดูแลมีให้สมาชิกพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย แจ้งต่อหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค โดยระบุว่าด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต. และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาแล้วแต่กรณี คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมีให้สมาชิกพรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดซึ่งสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม นายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้พรรคการเมืองปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น 

จึงขอให้พรรคการเมืองแจ้งให้สมาชิกพรรคการเมืองได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต.โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง และเมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือเมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้รับแจ้งจากนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าสมาชิกพรรคการเมืองกระทำการอันอาจมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 วรรคหนึ่ง

หรือวรรคสอง ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีมติหรือสั่งการให้สมาชิกพรรคการเมืองยุติการกระทำนั้นโดยพลัน และกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่จำเป็นเพื่อมิให้สมาชิกพรรคการเมืองผู้ใดกระทำการ อันอาจมีลักษณะดังกล่าวอีก แล้วแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีมติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top