ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘LVanicha Liz’ ได้โพสต์ข้อความถึงความสำคัญของการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า 
ไขข้อข้องใจ #กษัตริย์มีไว้ทำไม
สิ่งที่ผู้นำสิงคโปร์กล่าวถึงในหลวง ร.9 ตอบประเด็นนี้ได้โดยตรง
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่มผู้ตั้งคำถาม #กษัตริย์มีไว้ทำไม ยกย่องนับถือว่าเจริญแล้ว 

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2552 ประธานาธิบดีเอส อาร์ นาธาน แห่งสิงคโปร์ ได้ส่งสาส์นถวายพระพรฯ และแสดงความยินดีแด่ในหลวง ร.9 เนื่องในโอกาสที่ทรงได้รับการถวายรางวัลจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก มีเนื้อความส่วนหนึ่งดังนี้ : 

ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ได้ถวายพระเกียรติแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยรางวัลผู้นำระดับโลกอันทรงเกียรติสูงสุดที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแสดงความตระหนักในพระราชคุณูปการอันโดดเด่นของพระองค์ในการก่อให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญา ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าประวัติผลงานการประดิษฐ์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอันประกอบไปด้วยสิทธิบัตรกว่า 20 รายการและเครื่องหมายการค้า 19 รายการ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลวัยหนุ่มสาวของไทยให้เดินตามรอยพระบาท ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยและผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลก

รางวัล WIPO เป็นเครื่องแสดงอย่างชัดเจนถึงการน้อมสำนึกต่อการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ตลอดพระชนมายุของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในการส่งเสริม พัฒนา และทำให้เห็นคุณค่าของทรัพย์สินทางปัญญา รางวัลนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ และการมีส่วนอย่างเข้มแข็งของพระองค์ในการสร้างเสริมวัฒนธรรมไทยและสังคมไทย รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอีกด้วย https://www.mfa.gov.sg/Newsroom/Press-Statements-Transcripts-and-Photos/2009/02/MFA-Press-Release-Congratulatory-Letter-from-President-S-R-Nathan-to-His-Majesty-King-Bhumibol-Aduly ภาพที่แนบแสดงเนื้อหาของสาส์นที่ปรากฏบนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ และการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเอส อาร์ นาธาน กับภรรยาเมื่อปี 2548 

สองประเด็นสำคัญในสาส์นคือ
“ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าประวัติผลงานการประดิษฐ์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท … จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลวัยหนุ่มสาวของไทย ให้เดินตามรอยพระบาท ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยและผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลก” และ
“รางวัลนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ และการมีส่วนอย่างเข้มแข็งของพระองค์ในการสร้างเสริมวัฒนธรรมไทยและสังคมไทย รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย”

ผู้เจริญแล้วย่อมมีสายตาเห็นคุณค่าของสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญ

สองประเด็นข้างต้นระบุถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนที่เกิดจากการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่มีผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีกลุ่มการเมืองใดจะเทียบได้ ทั้งในแง่ระดับการอุทิศตนและในแง่ความรักที่มีต่อประชาชน อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่มีความพิเศษเฉพาะระหว่างกษัตริย์กับชาติและกษัตริย์กับประชาชน 

โดยสรุปอย่างสั้น ๆ พระมหากษัตริย์ไทยทรงกระทำสิ่งที่ผู้นำประเทศเจริญแล้วอย่างสิงคโปร์เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนไทยดังนี้ :

1.) กษัตริย์ทรงสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลวัยหนุ่มสาว ที่จะทำประโยชน์ต่อประเทศชาติและเพื่อนร่วมโลก
2.) กษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ เสริมสร้างวัฒนธรรม เสริมสร้างสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

จากข้อ 1 มีคำถามคือ ตอนนี้บุคคลวัยหนุ่มสาวที่มีข้อข้องใจเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ มีกี่ % ที่ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติในระดับอันควรค่าแก่การชื่นชมของสังคมโลก ถ้ายังไม่ได้ทำ ก็ไม่ต้องถามว่า #กษัตริย์มีไว้ทำไม แต่ต้องถามตนเองว่าทำไมประเทศนี้ต้องมีคุณ คนที่เกิดมาอาศัยแผ่นดินนี้ไปวัน ๆ โดยไม่ทำประโยชน์ตอบแทน ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับประโยชน์ของผู้อื่น

สำหรับข้อ 2 ผู้เขียนขอโฟกัสใน 1 เรื่องจากหลาย ๆ เรื่องที่ผู้นำสิงคโปร์กล่าวถึง คือเรื่อง “กษัตริย์ทรงพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” กษัตริย์นั้นทรงทำหน้าที่เป็นความต่อเนื่องของการปกครองประเทศ ซึ่งกลุ่มการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพื้นฐานบนการเลือกตั้งครั้งละไม่กี่ปีไม่อยู่ในฐานะที่จะกระทำได้ กษัตริย์จึงเป็นผู้ประกันความมั่นคงของชาติอย่างถาวร 

ขณะที่รัฐบาลมีตัวตนอยู่บนความชั่วคราว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เป็นคนจากฝั่งฝ่ายนั้นบ้างฝั่งฝ่ายนี้บ้าง แย่งกันเข้ามาหาผลประโยชน์ รัฐบาลใหม่ได้มีโอกาสเข้ามาบริหารโดยการเสนอนโยบายใหม่อันกระแทกใจผู้คน รัฐบาลเก่าห้ามรัฐบาลใหม่ใช้นโยบายเดียวกับที่ตนเคยใช้ ฯลฯ ทำให้ขาดความต่อเนื่องและสูญเปล่าในการดำเนินนโยบาย สิ้นเปลืองภาษีประชาชน รัฐบาลซื่อสัตย์ต้องตามใช้หนี้ที่ก่อโดยรัฐบาลโคตรโกง ต้องสตาร์ทกันใหม่เหมือนเดิน ๆ หยุด ๆ ถอย ๆ กันตลอดเวลา เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปรากฏเป็นเส้นหยักขึ้นลงในกราฟของตัวชี้วัดของประเทศในแต่ละช่วงเวลา ส่วนผลจากการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์จะดูได้จากภาพรวมระยะยาวของตัวชี้วัด หากเป็นเส้นแนวโน้มขึ้นของตัวชี้วัดเชิงบวก หรือแนวโน้มลงของตัวชี้วัดเชิงลบ ก็ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีและเป็นความสำเร็จอันเนื่องมาจากการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์

ตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวหนึ่งที่ประเทศไทยมีความโดดเด่นมาก ณ เวลานี้ คือการลดความเหลื่อมล้ำ (อ้างอิงภาพ GINI Index ของประเทศไทย) ซึ่งประเทศเรามีเส้นแนวโน้มภาพรวมระยะยาวในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างต่อเนื่องและโดดเด่นในความราบรื่น แตกต่างจากบรรดาประเทศอื่น ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจตะวันตกหรือประเทศเพื่อนบ้าน (อ้างอิงภาพ GINI Index Time-based Comparison) ซึ่งความเหลื่อมล้ำของประเทศเหล่านั้นมีภาพรวมการลดความเหลื่อมล้ำที่ไม่ดีเท่า ยกตัวอย่างเช่น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงขึ้นแล้วเพิ่งลดลง ลดลงแต่ไม่ค่อยราบรื่น ฯลฯ 

กราฟตัวชี้วัดและตัวเลขที่ใช้พิสูจน์ยืนยันในโพสต์นี้เป็นของหน่วยงานสากล (tradingeconomics.com, worldbank.org) เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างมั่นคงแน่นอนและปลอดภัย จึงน่าจะไม่มีกลุ่มจ้องล้มล้างการปกครองผู้ใดสามารถบิดเบือนให้เป็นอย่างอื่นได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ด้วยความโดดเด่นของผลลัพธ์จากการทรงงาน ทำให้หมดข้อสงสัยว่าทำไมกลุ่มจ้องล้มฯ จึงพยายามผลักดันอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ พยายามตัดลดงบประมาณส่วนราชการที่ดำเนินงานตามรอยพระบาท หาทางยกเลิกองคมนตรีซึ่งมีหน้าที่ส่วนหนึ่งจะต้องออกไปดูแลงานที่พระมหากษัตริย์ทรงริเริ่ม ฯลฯ เราสามารถตระหนักรู้ด้วย common sense อยู่แล้วว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมีศักยภาพ ไม่มีผลสัมฤทธิ์จากพระราชกรณียกิจจนถึงระดับเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติและประชาชน กลุ่มจ้องล้มฯ จะต้องพยายามปิดบังการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจไปทำไม

อย่าให้ต่างประเทศต้องเป็นคนบอกประชาชนไทย ว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงยิ่งใหญ่ เปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างไรบ้าง

---

ที่มา : https://www.facebook.com/100009326308151/posts/3093043591016487/