Wednesday, 15 May 2024
สถาบันพระมหากษัตริย์

‘ณัฐชา’ ตอบชัด!! ปมวินถาม “แก้ ม.112 แล้วได้อะไร” ย้ำ!! ทุกพื้นที่ต้องสามารถพูดถึง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’

(12 เม.ย.66) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางบอน (เฉพาะแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน) และเขตบางขุนเทียน (ยกเว้นแขวงท่าข้าม) เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่มีพี่วินบุกถามถึงทำไมต้องแก้ ม.112 โดยระบุว่า 

“4 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำแค่เรื่องการแก้ ม.112 พร้อมยังเปิดเอกสารให้ดูเลยด้วยซ้ำ ว่าในสภาฯ ได้ทำเรื่องอะไรไปบ้าง แต่พี่วินคนดังกล่าวนั้นไม่เปิดใจรับฟัง กลับบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวเป็นเพียงเรื่องยิบย่อย”

นายณัฐชา ตอบถึงกรณีที่วินถามว่า ทำไมถึงอยากจะแก้แต่ ม.112 ว่า “ เพราะ ม.112 ถูกหยิบยกมาในประเด็นทางการเมือง เพราะฉะนั้นเราอยากจะยกมาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นถ้าเห็นว่าเรื่องใดก็ตามที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อประเทศ ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างสำนักพระราชวังเป็นตัวแทนในการฟ้องร้อง”

นายณัฐชา ได้กล่าวว่า “ทุกวันนี้เป็นบุคคลที่ใช้เรื่องราวเหล่านี้กลั่นแกล้งกันทางการเมือง และยิ่งรุกคืบไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่เกี่ยวกับประมุขของประเทศ หรือพระมหากษัตริย์เลย แต่ก็ยังไปร้องเรียนเรื่อง ม.112” พร้อมเสริมว่า “ซึ่งงบางคนยังไม่ได้ถูกตัดสินคดี แต่ถูกจำคุกไปแล้ว 365 วัน แต่ยังไม่ถูกตัดสินเลยว่าทำผิดหรือเปล่า”

นายณัฐชา ได้ย้ำชัด “เราได้พยายามจะสื่อสานเรื่องเหล่านี้ แต่พี่วินนั้นไม่รับฟัง” ทั้งยังได้ตอบคำถามที่พี่วินถามไว้ว่าประเทศไทยมีกษัตริย์มากว่า 800-900 ปี ยังอยู่ได้ไม่เป็นไร ว่า “ที่ผ่านมาในอดีตนั้นเรามีกษัตริย์มาหลายราชวงศ์ และที่ผ่านก็เคยเกิดเหตุการณ์ก็เคยล้มมาแล้วผ่านกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทหารยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงรางวงศ์ต่างๆ ซึ่งประวัติศาสตร์ที่พี่วินบอกมานั้นผ่านการล้มโดยทหารทั้งนั้น ไม่มีการล้มโดยประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว”

‘หมอวรงค์’ เปรียบ!! เรื่องสถาบันฯ หากไม่ ‘ศรัทธา’ ก็ควรต้อง ‘เคารพ’ อย่าเป็นแบบตะวันตก ‘ไม่ศรัทธา-ไม่เคารพ’ พระพุทธรูป แถมยังหมิ่น!!

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 66 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน บนเวที ‘THE STANDARD DEBATE: เลือกตั้ง 66 ENDGAME เกมที่แพ้ไม่ได้’ ซึ่งจัดโดย THE STANDARD ที่มีตัวแทน 10 พรรคการเมืองร่วมประชันวิสัยทัศน์นั้น

ในช่วงหนึ่งของดีเบต ซึ่งดำเนินมาสู่ ‘Round 3 : The Last Stand ตอบชัด วัดจุดยืน’ กับคำถามที่ว่า...

“นพ.วรงค์ มีความคิดอย่างไร เมื่อคนรุ่นใหม่ก็มีสังคมในฝันแบบหนึ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ผู้ใหญ่ก็มีสังคมที่ยึดถืออีกแบบหนึ่ง และสองความคิดนี้กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงในสังคม ภาพฝันของสังคมที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ในแบบของคุณเป็นอย่างไร และการเสนอเพิ่มโทษ ม.112 จะทำให้ภาพฝันนั้นเป็นจริงได้อย่างไร”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี และหัวหน้าพรรคไทยภักดี ก็ได้ตอบว่า “จริงๆ แล้วผมว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน เกี่ยวกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย นี่คือ ‘หัวใจหลัก’ นอกจากเคารพกฎหมายแล้ว ทุกคนต้องเคารพศรัทธาซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น องค์พระพุทธรูปของศาสนาพุทธ ที่ต่างชาติเขาอาจจะไม่ได้มีความเข้าใจ เขาก็นำมาล้อเล่น แต่คนไทยมีความรู้สึกว่าคุณกำลังละเมิดความศรัทธาของเรา ก็เหมือนกันกับความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้อยู่เบื้องสูง ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมากว่า 700 ปี เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น วันนี้เราอยู่ร่วมกันในรูปแบบนี้ ภายใต้มิตินี้ ถ้าน้องๆ ทุกคนบอกว่าเคารพสถาบันฯ ต้องการให้สถาบันฯ มีความเข้มแข็ง ถ้าในเมื่อเรามีความรู้สึกจริงใจต่อสิ่งเหล่านี้ ผมว่าเราสามารถเจรจา พูดคุยกันได้ และมันเคารพซึ่งกันและกันได้”

นพ.วรงค์ กล่าวต่ออีกว่า “แต่ในความเป็นจริง วันนี้เราต้องยอมรับว่า มีน้องๆ กลุ่มหนึ่งกระทำผิดกฎหมาย แม้แต่การไปทำโพล ผมไปอ่านบทความของการทำโพลมา ก็ได้เห็นคำถามชัดเจน ผมขออ่านให้ฟังเลยแล้วกัน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่างเช่นคำถามที่ถามว่า “คุณเห็นด้วยหรือไม่? ที่รัฐบาลอนุญาตให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจได้ตามอัธยาศัย” นี่เป็นการทำโพลที่บิดเบือน เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่ภายใต้กฎหมาย แต่การทำโพลแบบนี้จงใจบิดเบือน เพื่อที่จะทำลายสถาบันฯ

‘แอดมินตาหวาน’ โผล่ฟาด ‘ช่อ’​ เหตุจาบจ้วงสถาบันฯ ลั่น!! ยังน้อยไป ถ้าเทียบกับที่ปั่นหัวเยาวชนให้ทำลายชาติ

(26 เม.ย. 66) หลังเกิดเหตุเผชิญหน้ากันที่รายการดีเบตช่องดัง ของ ‘แอดมินตาหวาน’ ที่บุกมาเจอ ‘ช่อ’​ พรรณิการ์ วานิช ระหว่างทีมงาน ‘รอยตุ๊’​ นพดล พรหมภาสิต กับ ช่อ พรรณิการ์ผู้ช่วยหาเสียงคณะก้าวไกล หนึ่งในคณะทำงานพรรคก้าวหน้า ร้อนฉ่ายิ่งกว่าตัวแทนที่ขึ้นไปดีเบตบนเวที จน ‘ป้าอยุธยา’ ต้องรีบเข้ามาห้ามทัพนั้น เมื่อมีคลิปที่ถูกเผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลมีเดีย แอดมินตาหวานยอมรับ โดยกล่าวว่า “นี่ยังน้อยไป ถ้าเทียบกับที่คนกลุ่มนี้ปั่นหัวเยาวชน ทำลายประเทศชาติ”

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสตูดิโอ เวิร์คพอยท์ ซึ่งจัดให้มีการดีเบตกัน ระหว่างแฟนคลับของแต่ละพรรคการเมือง โดย ช่อ พรรณิการ์ วานิช มาในนามของแฟนคลับพรรคก้าวไกล นายกิตติคุณ ธรรมกิติราษฎร์ หรือ ‘มัมดิวไดอารี่’ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง มาในนามแฟนคลับพรรคเพื่อไทย และ ‘แอดมินเจน’ วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ หัวหน้าทีมเชียร์ลุง มาในนามแฟนคลับของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

บรรยากาศการบันทึกเทปในรายการเป็นไปได้ด้วยดี แต่บรรยากาศกองเชียร์ ทีมแอดมินเจน ค่อนข้างร้อนระอุดุเดือด โดยเฉพาะช่วงที่อัดเทปรายการเสร็จ รอยตุ๊ นพดล และ ‘ตาหวาน’ หรือ วลัญช์รัช สิทธิสวัสดิ์ แอดมินเพจภาคีประชาชนปกป้องสถาบันฯ ได้ขอเข้าไปเคลียร์กับช่อ พรรณิการ์ วานิช พร้อมถามตรง ๆ เรื่องการจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย เป็นเหตุให้ ‘ป้าอยุธยา’ หรือ กัลยาณี จูปรางค์ แฟนคลับตัวยงรุ่นใหญ่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีก 1 คน พร้อมด้วยแอดมินเจนได้เข้าไปห้ามทัพ ไม่ให้ตาหวาน และรอยตุ๊ จี้คำถามกับช่อ

‘ดร.มัลลิกา’ สอนมวย ‘เจี๊ยบก้าวไกล’ ปมแก้ ม.112 ปัญหาเกิดที่คนบังคับใช้ แล้วไปยุ่งอะไรกับสถาบันฯ

เมื่อไม่นานมานี้ ในรายการ THE STANDARD NOW MINI DEBATE จัดวงดีเบต 4 นักการเมืองหญิง จากทั้ง 4 พรรคการเมือง ผ่าน ‘นโยบายสะท้อนจุดยืนพรรค’ ผู้สมัครร่วมดีเบต ได้แก่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย, นางอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. (เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) พรรคพลังประชารัฐ

โดยหนึ่งในประเด็นดีเบตที่ดุเดือดอยู่ที่มาตรา 112 ซึ่งได้สอบถามต่อ นางอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ต่อจุดยืนในการแก้ไขมาตรา 112 ว่ายังแก้แน่นอนใช่หรือไม่?

นางอมรรัตน์ กล่าวว่า “แก้ไขแน่นอน เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ปิดปาก ต้องแก้ไข เพื่อทำให้ทุกคนสามารถพูดคุยในประเด็นนี้ได้อย่างเสมอภาค”

ภายหลังนางอมรรัตน์ ตอบคำถามเสร็จ ด้าน ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ก็ได้โต้กลับว่า...

“มาตรา 112 เป็นกฎหมายทางด้านความมั่นคง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าเราไม่แตะต้อง ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเรื่องของการทำผิดกฎหมาย เมื่อสักครู่ คุณอมรรัตน์ บอกว่า เราทุกคนควรพูดเรื่องนี้ได้อย่างเสมอภาค หมายความว่า คุณจะพูดเสมอเจ้าเลยหรือ?

ขณะนี้เราทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ นั่งพูดกันได้อย่างเสมอภาค แต่พวกเราทุกคนก็มีกฎหมายหมิ่นประมาทส่วนบุคคลคุ้มครองอยู่ หากดิฉันด่าคุณอมรรัตน์ แล้วผิดกฎหมายหมิ่นประมาท คุณก็สามารถไปแจ้งความดิฉันได้ นี่คือ กฎหมายหมิ่นประมาทที่ดูแล คุ้มครองบุคคลเดินดินทั่วๆ ไป อย่างที่ดิฉันเคยไปหมิ่นประมาทคุณยิ่งลักษณ์ เขาก็ฟ้องดิฉัน 5 ปี และดิฉันก็ชนะคดี แต่ดิฉันต้องเสียเวลาไปตั้ง 5 ปี นี่คือกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป 

ดิฉันเป็นแค่คนธรรมดา ดิฉันยังมีกฎหมายนี้ดูแลเลย แล้วเหตุใดสถาบันสำคัญของชาติ จะไม่มีกฎหมายคุ้มครองดูแล มันชัดเจนอยู่แล้วว่า ประเทศไทยเราเป็นสังคมที่มีอารยธรรม มีวิถี และวัฒนธรรม

อย่างที่ประเทศฝรั่งเศส เขาก็มีกฎหมายที่จำเป็นต่อผู้นำของประเทศเขา อเมริกาก็มีกฎหมายคุ้มครองผู้นำเช่นกัน เคยมีคนไปหมิ่นประมาทภรรยาของบารัค โอบามา เขาก็โดนฟ้องเหมือนกัน

ประเด็น สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างช้านาน

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ  ได้กล่าวถึงประเด็น สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างช้านาน โดยระบุว่า

งานแถลงข่าว การลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU)

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล ในงานแถลงข่าว การลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) จัดตั้งรัฐบาล ที่ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66

เพื่อสร้างพื้นฐานในการจัดตั้งรัฐบาล และการทำงานร่วมกันของทุกพรรค ว่า “ภารกิจของรัฐบาลที่ทุกพรรคจะผลักดันนั้น ต้องไม่กระทบต่อรูปแบบของรัฐฯ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ขององค์พระมหากษัตริย์” 
 

‘เกลือ เป็นต่อ’ ระบายความรู้สึก ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ลั่น!! ไม่เชื่อว่าคนที่วิจารณ์สถาบันฯ จะหันมาปกป้องอย่างบริสุทธิ์ใจ

(24 พ.ค. 66) นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือ ‘เกลือ เป็นต่อ’ นักเขียนบท และผู้กำกับละครชื่อดัง ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok ระบายความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ เกี่ยวกับความเคารพรัก ความภักดี และความรู้สึกที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เทิดทูนไว้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด โดยมีใจความว่า…

“เอาคนที่ด่าในหลวง มาแก้กฎหมายปกป้องในหลวงงั้นเหรอ? คุณเชื่อก็ได้คุณมีสิทธิ์จะเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อว่าคนที่โพสต์ Social ด่าในหลวง จะมาเขียนกฎหมายปกป้องในหลวง ก็แล้วแต่ เพราะอย่างไร สุดท้ายประเทศนี้ก็เป็นประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ คุณอย่าหลอกตัวเอง ว่าเขาพยายามจะปกป้อง คุณดูประวัติ ส.ส. บางคนก็ได้ ผมไม่ได้ใส่ร้าย คุณไปดูเอาเอง ว่าสิ่งที่คุณทำเขาเรียกว่าหลับตาข้างเดียวอยู่หรือเปล่า คุณทำไปแล้วคุณโหวตไปแล้วด้วย ผมเป็นคนนึงที่ผมไม่ได้โหวต และผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร”

เกลือ เป็นต่อ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การปกป้องท่านด้วยการลดทอนอำนาจของท่าน จะเรียกว่า ‘เทิดทูน’ ได้อย่างไร ทำอย่างนี้แล้วท่านดีขึ้นอย่างไร ตนไม่ได้เป็นคนที่สุดโต่ง แบบที่ว่าจะวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องแยกให้ชัดเจนก่อน คือ คำว่า ‘วิจารณ์’ หรือ ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ หรือ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต้องบอกตรงนี้เลยว่า หลายคนกำลังเข้าใจผิด เขาคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือการวิจารณ์ แต่เปล่าเลย มันคือการใส่ร้ายป้ายสี และแสดงอาการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนในฐานะพสกนิกรคนหนึ่งที่รักพระองค์ท่าน ตนไม่มีสิทธิ์ไปแจ้งความว่าเขาทำผิดมาตรา 112 เหรอ? แล้วตนทำผิดอะไร ในเมื่อตนเห็นคนทำผิดกฎหมายแล้วแจ้งความบอกตำรวจ เพราะตนเห็นว่าเขาเหล่านั้นทำผิดกฎหมาย หลักฐานก็มี หากไม่มีหลักฐานเขาก็รอดไป แต่ถ้ามีหลักฐานจริง เขาก็ผิด ก็ติดคุก

“ทำไมต้องลดทอนอำนาจของประชาชนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับพระมหากษัตริย์ ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ถ้ามีการแก้ไขกฎหมายเกิดขึ้น แล้วส่งผลทำให้เสื่อมเกียรติของพระองค์ท่าน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ผมไม่เคยเห็นด้วยเลยกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่เคยรู้สึกผิดที่จะพูดอย่างนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง” เกลือ เป็นต่อ กล่าวทิ้งท้าย

‘ไบร์ท ชินวัตร’ แฉ!! ขบวนการ ตปท.จ้องทำลายสถาบันฯ เผย ไม่เห็นด้วย ปมแก้ ม.112 ลั่น!! “ถ้าผมทำ ผมโคตรบาป”

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @3geeb_2475 ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ไบร์ท ชินวัตร’ หรือนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง เล่าเปิดใจก่อนมอบตัวคดี 112 โดยระบุว่า…

“การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันฯ มันก็จะมีความชัดเจนว่า เขาจะมีการล้มล้างอะไรในประเทศไทย แต่สุดท้ายที่ผมอยู่ไป ๆ แล้วเราได้สัมผัสกับกลุ่มต่างประเทศ ที่มีการไลฟ์เข้ามาบ้าง หรือในโซเชียลบ้าง ซึ่งมีการโจมตีสถาบันแล้วมันทําให้เรารู้แล้วว่า อ๋อ… มันมีขบวนการจากต่างประเทศ ในการจ้องจะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยของเรา ดังนั้น ผมจึงเริ่มไม่ค่อยเห็นด้วยแล้ว และยังผิดต่อเจตนารมณ์อีกด้วย แล้วถ้าผมทําลงไป ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมนี่จะโคตรบาปมาก เพราะว่าปู่ย่าตายายของผม ทุกคนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ตั้งแต่ผมเกิดมาและจําความได้ ตาของผมได้แขวนภาพพระเจ้าอยู่หัวไว้บนหัว หรือแค่ผมกลับจากโรงเรียน แล้วเอาเข็มขัดหรือเอากางเกงไปแขวน ผมก็โดนด่าแล้ว”

‘ชัยธวัช’ อ้าง!! นิรโทษกรรมคดี ม.112 นำไปสู่ความปรองดอง พร้อมธำรงรักษาให้พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ

(1 ธ.ค. 66) นายธชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ‘นิรโทษกรรม 112’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ข้อเสนอการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดอง หรือการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อถกเถียงสำคัญสำหรับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในปัจจุบันคือ เราควรนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยหรือไม่

เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราควรนำมาพิจารณาร่วมกันคือ หากเรานิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้ว จะเป็นการไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือจะเป็นการปล่อยให้เกิดการแสดงความคิดเห็น หรือการแสดงออกทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่

สำหรับประเด็นนี้ ผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ ก็ด้วยความรักความศรัทธาหรือความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับหรือการสร้างความกลัว ดังนั้น การบังคับใช้ ม.112 อย่างรุนแรงดังที่เป็นอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยั่งยืน ซ้ำร้ายยังจะส่งผลบ่อนทำลายสายใยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในระยะยาวอีกด้วย

ในสภาพการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ปรารถนาดีหรือจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ควรต้องร่วมกันตั้งหลักในการพิจารณากุศโลบาย ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และพลวัตของสังคมไทย เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ จัดวางพระราชสถานะอย่างประณีตภายใต้รัฐธรรมนูญ ระมัดระวังอย่าให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพระราชอำนาจกับหลักการ ‘ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง’ ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมเชื่อมั่นว่า มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะธำรงรักษาให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะตามรัฐธรรมนูญอย่างมั่นคง สังคมไทยในห้วงยามนี้ต้องการทุกคนมาร่วมกันคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมีสติ มิใช่การอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ม.112 มาคุ้มครองผลประโยชน์หรืออำนาจของตนเอง

กล่าวหา ‘ร.9’ จะตั้งพระองค์เจ้าธานีนิวัต เป็นนายกฯ แทน จอมพล ป. 10 ข้อบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมายล้มล้างสถาบันฯ

การตรวจสอบการใช้หลักฐานอ้างอิงในการเขียนงานวิชาการของ ผศ. ดร. ณัฐพล ใจจริง โดย ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’

ประเด็นที่ 5 เรื่อง การอ้างเอกสารสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยอย่างบิดเบือนเกินจริงว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะตั้งให้พระองค์เจ้าธานี พระยาศรีธรรมาธิเบศ และหลวงสินาดโยธารักษ์เป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ป. ในปี พ.ศ. 2494 รวมถึงการอ้างถึง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลว่า ทรงมีบทบาทในการให้คำแนะนำในหลวงให้มีท่าทีไม่พอใจรัฐบาล

1. ข้อความของณัฐพล 
ณัฐพลได้ระบุข้อความไว้ในหน้า 113 ของหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี (2563) ว่า “พระองค์ [ในหลวง ร.9] ทรงวิจารณ์คณะรัฐประหารและนายกรัฐมนตรี อีกทั้งมีพระราชดำริที่จะจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ภายหลังเสด็จนิวัติพระนครในปลายปี 2494 โดยมีพระราชประสงค์ให้พระองค์เจ้าธานีนิวัต เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ผู้เป็นแกนนำสำคัญของกลุ่มรอยัลลิสต์เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนจอมพล ป.”

ณัฐพล ใจจริง ได้เขียนประโยคดังกล่าวโดยอ้างอิงจากรายงานสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

และณัฐพลยังยืนยันถึง ‘ความน่าเชื่อถือ’ ของข้อมูลนี้ไว้ในเชิงอรรถที่ 70 โดยเอกสารของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศที่เขานำมาอ้าง คือ NARA, RG 59 Central Decimal File 1950-1954 Box 4185, Memorandum of Conversation Nai Sang Pathanotai and N.B. Hannah, “29 November 1951 Coup d’Etat” 

ซึ่งเอกสารนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบันทึกการสนทนาเป็นการส่วนตัว (Memorandum of Conversation) ระหว่าง นายสังข์ พัธโนทัย คนสนิทของ จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี กับ นายเอ็น บี ฮันนาห์ (N. B. Hannah) เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2494 (หลังการปฏิวัติ 2494 เป็นเวลา 1 วัน)

นอกจากนี้แล้ว ณัฐพลได้ขยายความในเชิงอรรถว่า “รายงานการทูตฉบับนี้ระบุว่า สังข์ พัธโนทัย บุคคลใกล้ชิดจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ให้ข่าวกับฮันนาห์ว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหลังการให้คำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ให้มีท่าทีไม่พอใจรัฐบาลคือ ม.จ. นักขัตรมงคล กิติยากร ฮันนาห์ได้บันทึกในรายงานว่า ข้อมูลจากสังข์นี้ได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ของเขาแล้วพบว่ามีความแม่นยำ” 

สังเกตให้ดีและกรุณาจำไว้ กับข้อความที่ว่า “ฮันนาห์ได้บันทึกในรายงานว่า ข้อมูลจากสังข์นี้ได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ของเขาแล้วพบว่ามีความแม่นยำ”

และในวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม. ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) ของณัฐพลก็ได้ปรากฏข้อความเช่นเดียวกันในหน้าที่ 114 เชิงอรรถที่ 101 แต่ข้อความแตกต่างเล็กน้อย โดยระบุว่า…
“รายงานฉบับนี้ รายงานว่า สังข์ พัธโนทัย บุคคลใกล้ชิดจอมพล ป. พิบูลสงครามได้แจ้งกับฮันนาห์ว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหลังในแนะนำให้พระมหากษัตริย์กลับมาต่อต้านรัฐบาล คือ ม.จ. นักขัตรมงคล กิติยากร ฮันนาห์ได้บันทึกในรายงานว่า ข้อมูลจากสังข์นี้ เขาได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ของเขาแล้วพบว่ามีความแม่นยำ” 

ยังจำได้นะครับ ข้อความที่ว่า "ฮันนาห์ได้บันทึกในรายงานว่า ข้อมูลจากสังข์นี้ เขาได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ของเขาแล้วพบว่ามีความแม่นยำ” 

2. ข้อค้นพบ
2.1 จากการตรวจสอบเอกสารชั้นต้นซึ่งเป็นรายงานสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยฉบับดังกล่าวอย่างละเอียด (ฉบับเดียวกับที่ณัฐพลใช้เขียนวิทยานิพนธ์และแต่งหนังสือ) พบว่า มีข้อความที่ระบุว่าในหลวงทรงวิจารณ์รัฐบาล, คณะรัฐประหาร 2490, จอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือ เผ่า ศรียานนท์ จริง รวมไปถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่นำโดยนายกรัฐมนตรีที่ทรงปรารภ (mentioned) ไว้ 3 รายชื่อ ได้แก่ พระองค์เจ้าธานี พระยาศรีธรรมาธิเบศ และหลวงสินาดโยธารักษ์ ก็ได้มีการระบุไว้ในเอกสารนี้ด้วย 

แต่ทว่า ท้ายที่สุด นายเอ็น บี ฮันนาห์ (N. B. Hannah) เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐ (ผู้เขียนรายงานฉบับนี้) ได้มีคำวิจารณ์ในวงเล็บต่อท้ายข้อมูลข้างต้นไว้อย่างชัดเจนว่า…

“รายงานนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าว/แหล่งข้อมูลอื่น หากเป็นจริงดังว่า คงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าคณะรัฐประหารโดยเฉพาะพิบูล (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) คงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก” (This report has not yet been confirmed by any other sources. If there is any truth to this report it is obvious that the coup party and even Phibun would be intensely displeased.) 

นั่นหมายความว่า นายฮันนาห์ (ผู้เขียนรายงานนี้) ก็ยังไม่เชื่อข้อมูลที่สังข์เล่านี้เลย 

แม้เขาจะโปรยในตอนต้นของรายงานนี้ว่า ข้อมูลของสังข์ ‘บางส่วน’ (some respects) มีความถูกต้อง (valid) และได้รับการยืนยัน (confirmed) มาแล้วก็ตาม (ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันคือกรณีสาเหตุของการรัฐประหารตัวเองของรัฐบาลจอมพล ป. ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 (โปรดดูย่อหน้าแรกในหน้าแรกของบันทึกการสนทนาประกอบ) 

แต่ข้อมูลในกรณีที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะมีพระราชประสงค์จะตั้งนายกรัฐมนตรีนี้ นายฮันนาห์ก็สารภาพไว้เองว่า “เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน” (has not yet been confirmed by any other sources) และควรบันทึกด้วยว่าข้อมูลเรื่องในหลวงนี้ สังข์เองอ้างว่าเขารู้มาจากเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจอีกทอดหนึ่งด้วย (Phao reported/stated that…..)

สังเกตให้ดีนะครับว่า “สังข์รู้มาจากเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจอีกทอดหนึ่งด้วย (Phao reported/stated that…..)

2.2 ส่วนข้อความที่พาดพึงไปถึง ม.จ. นักขัตรมงคล (พระบิดาของสมเด็จพระพันปีหลวง {หรือ พระบิดาของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง})

นายฮันนาห์ได้เขียนโดยอ้างจากคำพูดของสังข์ พัธโนทัย ว่า…“สังข์กล่าวโทษ ม.จ. นักขัตรมงคล อดีตเอกอัครราชทูตลอนดอน ผู้เป็นพ่อตาและที่ปรึกษาปัจจุบันของในหลวง, ว่าโน้มน้าวให้ในหลวงต่อต้านรัฐบาล” (Sang blames the King’s father-in-law Momchao Nakhat MONGKON, former Ambassador in London and now advisor to the King, for turning him against the Government.) 

ข้อความในส่วนนี้จึงเป็นทัศนคติส่วนบุคคลของสังข์ พัธโนทัย คนสนิทของจอมพล ป. แต่เพียงผู้เดียว ผ่านรอยน้ำหมึกปากกาของนายฮันนาห์ผู้บันทึกการสนทนา 

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในประเด็น ม.จ. นักขัตรมงคล จะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ 

แต่การที่ ณัฐพล ใจจริง นำกรณี 2.1 กับ 2.2 มารวมกันแล้วขยายด้วยข้อความในเชิงอรรถในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านหนังสือ/วิทยานิพนธ์ของเขาเชื่อว่าข้อความเหล่านั้น ‘เป็นความจริง’ เพราะได้รับการยืนยันจากฮันนาห์เอง

ด้วยข้อความที่ณัฐพลเขียนสำทับลงไปเองว่า…“ฮันนาห์ได้บันทึกในรายงานว่า ข้อมูลจากสังข์นี้ได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ของเขาแล้วพบว่ามีความแม่นยำ”  

แต่แท้ที่จริงแล้วข้อมูลในประเด็นทั้ง 2.1 และ 2.2 กลับตรงข้ามที่ฮันนาห์ได้ระบุไว้ในตัวเอกสารเลย ดังที่อธิบายไปข้างต้นแล้ว

ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ฮันนาห์ได้ระบุย้ำเตือนถึงความ ‘บิดเบือนความจริง’ (misrepresentation) หรือ ‘ความเข้าใจคลาดเคลื่อน’ (misinterpretation) ของสังข์ไว้ในบันทึกหน้าสุดท้ายไว้อีกด้วยว่า…

“โดยทั่วไปแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ารายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ ในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ค่อนข้างแม่นยำ แต่ก็ยังปรากฏบางกรณีที่ชัดเจนว่า เป็นการบิดเบือนความจริง หรือ การความเข้าที่ใจคลาดเคลื่อนของสังข์เช่นกันด้วย ซึ่งกรณีที่ผิดพลาดเหล่านั้น ส่วนใหญ่ได้ถูกระบุข้อสังเกตไว้ในบันทึกนั้นแล้ว” (In general I believe that this description of the specific events surrounding the November 29 coup is fairly accurate. There are certain obvious cases of misrepresentation and of misinterpretation by Sang. Most of these have been pointed out in the text of the memorandum itself.)

สรุปข้อผิดพลาดของณัฐพล ใจจริง ในประเด็นนี้มีความหนักหนามาก 

เพราะถือว่าเป็นการนำเอกสารชั้นต้นที่มาขยายความเกินจริงในงานวิชาการ รวมถึงการยืนยันข้อความดังกล่าวในเชิงอรรถด้วยข้อมูลที่แทบจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่หลักฐานให้ไว้แทบทั้งสิ้น 

การอาศัยความน่าเชื่อถือของเอกสารการทูตของสหรัฐมาใช้เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในวงการวิชาการ ซึ่งการกระทำนี้อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลวงรัชกาลที่ 9


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top