Monday, 1 July 2024
จเรตำรวจแห่งชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติ ชื่นชม ‘ครู ตชด.’ หัวใจแกร่ง แบก นร.ป่วย ฝ่าทางทุรกันดาร ช่วยชีวิตทันเวลา

ตามที่ปรากฏข่าว ครูศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโกแประได้ช่วยเหลือนักเรียนชั้น ป.2 มีอาการหอบหืด กำเริบ แบกนักเรียนเดินทางด้วยความยากลำบาก ไปลงเรือ และเช่าเหมารถชาวบ้านต่อเพื่อไปส่งโรงพยาบาลแม่สะเรียง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2565 พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือ จตช.ที่ 0001(จตช)/123 ลง 8 มิ.ย.2565 ถึง ผบช.ตชด.เพื่อชมเชย ส.ต.อ.กิจตณศักดิ์ เจริญ ธนหิรัญกิจ ครูศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโกแประ ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณี ช่วยเหลือนักเรียนชั้นประถมปีที่ 2 ซึ่งมีอาการหอบหืดกำเริบ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2565 เวลา 04.30 โดยได้แบกนักเรียนขึ้นหลัง เดินเท้ากว่า 2.5 กม. ก่อนไปว่าจ้างเรือผ่านไปตามแม่น้ำสาละวินใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพื่อไปเช่าเหมารถชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง จนส่งถึงมือแพทย์ รพ.แม่สะเรียง และนำตัวนักเรียนที่ป่วยเข้ารักษาเร่งด่วนในห้อง ICU จนอาการปลอดภัย

‘จเรตำรวจ’ ฟัน ‘ตำรวจท่องเที่ยว’ ตระเวนเก็บส่วย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน หลังถูกชุด ฉก.ปกครองบุกจับ

จเรตำรวจแห่งชาติ ฟันตำรวจท่องเที่ยว ใช้รถหลังตระเวนเก็บส่วย หลังชุด ฉก.ปกครองบุกจับ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ทำเสื่อมเสียภาพลักษณ์องค์กร

เมื่อวันที่ (8 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางใหญ่ ได้ร่วมกันจับกุม ด.ต.ภูวเมศร์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.3 และนายมานัส สุขสอง ได้ที่บริเวณลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขต อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี ขณะที่ทั้งสองได้ขับรถยนต์มาตระเวนเก็บส่วยสถานบันเทิงในเขตจังหวัดนนทบุรี โดยใช้รถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยว ว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว สั่งการให้ตนดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพราะว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างชัดเจนจนถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นอย่างมาก โดยในเรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนเลยว่า หากตำรวจคนใดกระทำผิดกฎหมายเสียเองก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว จึงได้สั่งการไปยัง พล.ต.ท.สุคุณ  พรหมายน ผบช.ทท. ให้รีบดำเนินการทางวินัยในทันที โดยให้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยไม่ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้มีคำสั่งให้ ด.ต.ภูวเมศร์ ออกจากราชการไว้ก่อนโดยเร็วที่สุด สำหรับในส่วนของการดำเนินคดีอาญานั้นตนได้กำชับให้ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ลงไปกำกับดูแลการสอบสวนของพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ ให้ดำเนินคดีนี้อย่างรัดกุม รวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้สังคมเห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะไม่ปกป้องตำรวจที่กระทำผิดในลักษณะนี้อย่างแน่นอน

ผบ.ตร.สั่งเข้มขันน็อตด่านตรวจทั่วประเทศ ให้เป็นมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมเตรียมลงดาบหน่วยที่ละเลย ให้ จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบด่านนครบาล ตามที่ถูกกล่าวหา

วันที่ 2 ก.พ. 66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.เปิดเผยถึงประเด็นที่ นายชูวิทย์พูดถึงการตั้งด่านของตำรวจนครบาล มีการเรียกรับสินบนว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป หากพบว่ามีหน่วยไหนทำผิด จะมีการดำเนินการเด็ดขาดทั้งวินัย อาญา และปกครอง”

โฆษก ตร.กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ผบ.ตร.กำชับ การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และด่านตรวจ ของตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศ ต้องมีมาตรฐาน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบที่ ตร.สั่งการไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็น กล้อง Bodycam ของตำรวจ ในการตั้งด่านตรวจทุกครั้ง ตำรวจทุกนายต้องมี กล้อง Bodycam ทุกคนบันทึกภาพ และเสียงเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่มี Bodycam ห้ามไม่ให้มีการตั้งจุดตรวจ ที่สำคัญตำรวจทุกนายต้องสวมใส่เครื่องแบบในการตั้งจุดตรวจทุกครั้ง ต้องไม่มีตำรวจนอกเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ตามจุดตรวจอย่างเด็ดขาด

การตั้งจุดตรวจต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคม เช่น จุดตรวจจราจร ต้องตั้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มีสถิติอุบัติเหตุรองรับชัดเจนว่าทำไมต้องตั้งจุดตรวจตรงนี้ เพราะอะไร สำหรับด่านอาชญากรรม ต้องตั้งเพื่อป้องกันเหตุในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่เกิดเหตุซ้ำซาก ประชาชนร้องเรียนในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งการอนุมัติการตั้งจุดตรวจ เป็นอำนาจของผู้บังคับการขึ้นไปในการอนุมัติ ถ้าหากจุดตรวจไหน ไม่มีมาตรฐาน มีการเรียกรับผลประโยชน์ เบื้องต้นจะมีการลงโทษระดับหัวหน้าสถานีตำรวจที่ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจในการตรวจสอบควบคุมดูแล และผู้บังคับการตามลำดับ หากไม่มีมาตรการควบคุม กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

ผบ.ตร.สั่ง จเรตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบคดีเครือข่าย 'ทุนมินลัต' หากพบช่วยเหลือใคร ดำเนินการเด็ดขาด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อยู่ระหว่างพิจารณา ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู สั่ง ผบช.น.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันนี้ (11 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “จากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย 'ทุนมินลัต' จนปรากฎเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมา ได้สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ 

เนื่องจากเนื้อหาในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น 

ส่วนประเด็นการดำเนินคดีกับ เครือข่าย 'ทุนมินลัต' คดีนี้ เริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. หลังสืบสวนพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนกับการทำผิด ได้ยื่นขอหมายจับและศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาจึงเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เมื่อวันที่  4 ต.ค. 2565 และ บช.ปส. เห็นว่าเป็นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงได้เสนออัยการสูงสุดรับผิดชอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 65 ต่อมาอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ได้มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65 

ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี 'ทุนมินลัต' เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.ได้เรียก ผบช.ปส. และ ผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่างๆที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และวันนี้ได้สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎตามข้อเท็จจริงทุกประการ

จะเห็นได้ว่า ในคดีนี้ พงส.บช.ปส.3 หลังจากที่รับคำกล่าวโทษประมาณ 1 เดือนกว่า ก็ได้เร่งรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนมาตลอด จนพบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด โดยไม่ได้มีการประวิงสำนวนเพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และ มีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางคดีร่วมกันของอัยการ และตำรวจที่ทำคดี ที่ทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ตำรวจไม่ได้ทำคดีฝ่ายเดียว โดยได้มีการหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top