Sunday, 20 April 2025
จเรตำรวจแห่งชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติ ชื่นชม ‘ครู ตชด.’ หัวใจแกร่ง แบก นร.ป่วย ฝ่าทางทุรกันดาร ช่วยชีวิตทันเวลา

ตามที่ปรากฏข่าว ครูศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโกแประได้ช่วยเหลือนักเรียนชั้น ป.2 มีอาการหอบหืด กำเริบ แบกนักเรียนเดินทางด้วยความยากลำบาก ไปลงเรือ และเช่าเหมารถชาวบ้านต่อเพื่อไปส่งโรงพยาบาลแม่สะเรียง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2565 พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือ จตช.ที่ 0001(จตช)/123 ลง 8 มิ.ย.2565 ถึง ผบช.ตชด.เพื่อชมเชย ส.ต.อ.กิจตณศักดิ์ เจริญ ธนหิรัญกิจ ครูศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโกแประ ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณี ช่วยเหลือนักเรียนชั้นประถมปีที่ 2 ซึ่งมีอาการหอบหืดกำเริบ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2565 เวลา 04.30 โดยได้แบกนักเรียนขึ้นหลัง เดินเท้ากว่า 2.5 กม. ก่อนไปว่าจ้างเรือผ่านไปตามแม่น้ำสาละวินใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพื่อไปเช่าเหมารถชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง จนส่งถึงมือแพทย์ รพ.แม่สะเรียง และนำตัวนักเรียนที่ป่วยเข้ารักษาเร่งด่วนในห้อง ICU จนอาการปลอดภัย

‘จเรตำรวจ’ ฟัน ‘ตำรวจท่องเที่ยว’ ตระเวนเก็บส่วย ให้ออกจากราชการไว้ก่อน หลังถูกชุด ฉก.ปกครองบุกจับ

จเรตำรวจแห่งชาติ ฟันตำรวจท่องเที่ยว ใช้รถหลังตระเวนเก็บส่วย หลังชุด ฉก.ปกครองบุกจับ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ทำเสื่อมเสียภาพลักษณ์องค์กร

เมื่อวันที่ (8 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางใหญ่ ได้ร่วมกันจับกุม ด.ต.ภูวเมศร์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.3 และนายมานัส สุขสอง ได้ที่บริเวณลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขต อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี ขณะที่ทั้งสองได้ขับรถยนต์มาตระเวนเก็บส่วยสถานบันเทิงในเขตจังหวัดนนทบุรี โดยใช้รถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยว ว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว สั่งการให้ตนดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพราะว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างชัดเจนจนถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นอย่างมาก โดยในเรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนเลยว่า หากตำรวจคนใดกระทำผิดกฎหมายเสียเองก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว จึงได้สั่งการไปยัง พล.ต.ท.สุคุณ  พรหมายน ผบช.ทท. ให้รีบดำเนินการทางวินัยในทันที โดยให้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยไม่ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้มีคำสั่งให้ ด.ต.ภูวเมศร์ ออกจากราชการไว้ก่อนโดยเร็วที่สุด สำหรับในส่วนของการดำเนินคดีอาญานั้นตนได้กำชับให้ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ลงไปกำกับดูแลการสอบสวนของพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ ให้ดำเนินคดีนี้อย่างรัดกุม รวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้สังคมเห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะไม่ปกป้องตำรวจที่กระทำผิดในลักษณะนี้อย่างแน่นอน

ผบ.ตร.สั่งเข้มขันน็อตด่านตรวจทั่วประเทศ ให้เป็นมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมเตรียมลงดาบหน่วยที่ละเลย ให้ จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบด่านนครบาล ตามที่ถูกกล่าวหา

วันที่ 2 ก.พ. 66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.เปิดเผยถึงประเด็นที่ นายชูวิทย์พูดถึงการตั้งด่านของตำรวจนครบาล มีการเรียกรับสินบนว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป หากพบว่ามีหน่วยไหนทำผิด จะมีการดำเนินการเด็ดขาดทั้งวินัย อาญา และปกครอง”

โฆษก ตร.กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ผบ.ตร.กำชับ การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และด่านตรวจ ของตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศ ต้องมีมาตรฐาน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบที่ ตร.สั่งการไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็น กล้อง Bodycam ของตำรวจ ในการตั้งด่านตรวจทุกครั้ง ตำรวจทุกนายต้องมี กล้อง Bodycam ทุกคนบันทึกภาพ และเสียงเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่มี Bodycam ห้ามไม่ให้มีการตั้งจุดตรวจ ที่สำคัญตำรวจทุกนายต้องสวมใส่เครื่องแบบในการตั้งจุดตรวจทุกครั้ง ต้องไม่มีตำรวจนอกเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ตามจุดตรวจอย่างเด็ดขาด

การตั้งจุดตรวจต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคม เช่น จุดตรวจจราจร ต้องตั้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มีสถิติอุบัติเหตุรองรับชัดเจนว่าทำไมต้องตั้งจุดตรวจตรงนี้ เพราะอะไร สำหรับด่านอาชญากรรม ต้องตั้งเพื่อป้องกันเหตุในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่เกิดเหตุซ้ำซาก ประชาชนร้องเรียนในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งการอนุมัติการตั้งจุดตรวจ เป็นอำนาจของผู้บังคับการขึ้นไปในการอนุมัติ ถ้าหากจุดตรวจไหน ไม่มีมาตรฐาน มีการเรียกรับผลประโยชน์ เบื้องต้นจะมีการลงโทษระดับหัวหน้าสถานีตำรวจที่ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจในการตรวจสอบควบคุมดูแล และผู้บังคับการตามลำดับ หากไม่มีมาตรการควบคุม กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

ผบ.ตร.สั่ง จเรตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบคดีเครือข่าย 'ทุนมินลัต' หากพบช่วยเหลือใคร ดำเนินการเด็ดขาด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อยู่ระหว่างพิจารณา ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู สั่ง ผบช.น.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันนี้ (11 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “จากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย 'ทุนมินลัต' จนปรากฎเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมา ได้สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ 

เนื่องจากเนื้อหาในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น 

ส่วนประเด็นการดำเนินคดีกับ เครือข่าย 'ทุนมินลัต' คดีนี้ เริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. หลังสืบสวนพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนกับการทำผิด ได้ยื่นขอหมายจับและศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาจึงเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เมื่อวันที่  4 ต.ค. 2565 และ บช.ปส. เห็นว่าเป็นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงได้เสนออัยการสูงสุดรับผิดชอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 65 ต่อมาอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ได้มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65 

ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี 'ทุนมินลัต' เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.ได้เรียก ผบช.ปส. และ ผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่างๆที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และวันนี้ได้สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎตามข้อเท็จจริงทุกประการ

จะเห็นได้ว่า ในคดีนี้ พงส.บช.ปส.3 หลังจากที่รับคำกล่าวโทษประมาณ 1 เดือนกว่า ก็ได้เร่งรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนมาตลอด จนพบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด โดยไม่ได้มีการประวิงสำนวนเพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และ มีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางคดีร่วมกันของอัยการ และตำรวจที่ทำคดี ที่ทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ตำรวจไม่ได้ทำคดีฝ่ายเดียว โดยได้มีการหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด 

จเรตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ด่วน อ.แม่สอด จ.ตาก ติดตามกรณีนักแสดงจีนหายตัว กำชับทำคดีให้ชัดหลังพฤติการณ์คล้ายขบวนการค้ามนุษย์

วันนี้ (7 ม.ค.68) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 และ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมคณะ ลงพื้นที่ด่วนไปยัง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีการหายตัวของ นายซิงซิง หรือ หวังซิง นักแสดงสัญชาติจีน จากรายงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เจ้าหน้าที่ได้นำรูปของนักแสดงคนดังกล่าวเข้าตรวจสอบในระบบไบโอเมติกซ์ทำให้ยืนยันได้ว่า นายหวังซิง เดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 03.00 น. เป็นการเดินทางจากสนามบินผู่ตง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้แจ้งรายละเอียดที่พัก  

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการยืนยันว่าพบตัว นายหวังซิง แล้ว ซึ่งได้เดินทางมารับตัวที่ อ.แม่สอด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชายที่ขับรถตู้ไปรับ นายหวังซิง ที่สนามบิน มาสอบปากคำแล้ว เบื้องต้นไม่ปรากฏว่า นายหวังซิง อยู่ในลักษณะถูกบังคับหรือลักพาตัว โดยเมื่อนำตัวไปส่งที่ชายแดน อ.แม่สอด แล้ว ได้มีคนมารับช่วงต่อไปยังจุดหมายทางช่องทางธรรมชาติ ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ และทำให้เรื่องดังกล่าวกระจ่างมากที่สุดเนื่องจากลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับขบวนการค้ามนุษย์

“พล.ต.อ.ธัชชัยฯ” หารือไทย - จีน ร่วมมือต่อสู้ “การค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ” หลังจีนขอบคุณการช่วยเหลือดารานักแสดงได้สำเร็จ

(12 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้ร่วมประชุมหารือถึงการร่วมมือในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการหลอกลวงนำชาวต่างชาติไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงขอบคุณการช่วยเหลือในกรณีการติดตามนายหวังซิง ดารานักแสดงชาวจีน ที่ถูกหลอกลวงไปยังประเทศเมียนมาและได้รับการช่วยเหลือกลับมาได้สำเร็จ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย ได้แก่ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายจีน ได้แก่ Mr.Wu Zhiwu อัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย , Mrs.Pan Jin ที่ปรึกษาฝ่ายกงสุลและชาวจีนโพ้นทะเล สอท.จีน , Mr.Wen Yonggang ทูตตำรวจประจำ สอท.จีน , Pol.Maj.Zhao Yingning ผู้ช่วยทูตตำรวจ สอท.จีน และ Mr.Li Shaopu เลขานุการตรี ฝ่ายกงสุลและชาวจีนโพ้นทะเล สอท.จีน ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศพดส.ตร. ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ในการประชุมครั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจจีน ว่า จะมุ่งเน้นการติดตามบุคคลที่หายตัวไป หรือถูกหลอกลวงไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย พร้อมกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ รวมถึงเพิ่มมาตรการควบคุมการลักลอบผ่านแดนตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในการควบคุมการลักลอบข้ามแดนตามแนวชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้การหลอกลวงทางออนไลน์ และบังคับให้บุคคลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกระทำความผิดทางอาญา (Forced Criminality)

การหารือครั้งนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ และสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย

ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ เข้าพบจเรตำรวจแห่งชาติ กระชับความร่วมมือป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(23 ม.ค.68) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ให้การต้อนรับผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้แก่ นายนาโอโตะ วาตานาเบะ เลขานุการเอก และผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ , นายโทโมโนริ ซาโต้ เลขานุการโท และกงสุล , นายพิสิฏฐ์ ไม้ประเสริฐ ผู้ช่วยกงสุล และ น.ส.แพรวพฤกษ์ จิตสกุลชัยเดช เลขานุการผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ขอเข้าพบจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือกระชับความร่วมมือในการแก้ไขการหลอกลวงบุคคลให้ไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความเสียหายในวงกว้าง 

จเรตำรวจแห่งชาติร่วมคณะผู้บัญชาการทหารบก ตรวจชายแดนแม่สอด จ.ตาก ประเมินสถานการณ์หลังไทยมีมาตรการตัดไฟ-เน็ต-น้ำมัน โค่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามนโยบายของรัฐบาล

(10 ก.พ.68) เวลา 09.00 น. กองทัพบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสถานการณ์แนวชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก นำโดย พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) , พล.อ.ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก , และคณะ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก. , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รอง ผบก.อก. บช.ส.รรท.ผบก.ปคม.  เพื่อประมินผลการปฏิบัติและผลกระทบต่อแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จากมาตรการการตัดไฟของรัฐบาลในพื้นที่ 5 จุดของชายแดนไทย-เมียนมา

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่รับฟังสถานการณ์และตรวจแนวชายแดนตามจุดตรวจต่างๆ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ร่วมกับทางผู้บัญชาการทหารบก  พบว่า หลังจากรัฐบาลไทยมีมาตรการดังกล่าวทำให้แก๊งดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างมากจากแรงกดดันของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งทางฝ่ายกองกำลังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในเชิงบวกต่อนโยบายการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลไทย ซึ่งน่าเชื่อว่ากลุ่มกองกำลังจะมีการเข้าไปช่วยเหลือคนชาติต่างๆ ที่ทางการของประเทศต่างๆ แจ้งมาส่งผ่านประเทศไทยเพื่อกลับไปสู่ครอบครัวของตนเอง รวมทั้งขับไล่กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปจากพื้นที่ 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นองค์กรอาชญากรรมขัามชาติ ที่มาสร้างความเลวร้ายให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งคนทั่วโลก ขอให้ประชาชนเมียวดีช่วยกันขับไล่คนชั่วเหล่านี้ที่เป็นคนต่างชาติออกจากพื้นที่ให้หมด รวมทั้งประชาชนในอำเภอแม่สอดต้องช่วยกันไม่ให้กลุ่มคนร้ายหนีมาหลบซ่อนตัว พักอาศัยอยู่ตามโรงแรม หรือห้องพักห้องเช่าต่างๆ ไม่ให้กลุ่มคนชั่วที่เป็นชาวต่างชาติมีที่ยืนในผืนแผ่นดินของเรา อีกต่อไป ขอให้ประชาชนทั้งสองฝั่งร่วมแรงร่วมใจกันนำความผาสุกกลับมาสู่บ้านเมืองของเราให้โดยเร็ว โดยทาง ผู้บัญชาการทหารบกจะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในภารกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่

จเรตำรวจแห่งชาติหารือเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , UNODC และ HSI ประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือคัดแยกเหยื่อ

(17 ก.พ. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ครั้งที่ 2 โดยมี พล.ต.ต พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. และคณะ พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ , ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime, UNODC) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations, HSI) ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการประชุมครั้งนี้ เป็นการแจ้งผลการปฏิบัติภายหลังการประชุมร่วมกันในครั้งแรก โดยได้มีการดำเนินการตาม 7 มาตรการเข้มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการซักถามคัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อป้องกันผู้ที่ถูกหลอกลวงข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งพบว่ามาตรการดังกล่าวเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวสัญชาติต่างๆ จำนวน 58 คน ที่เปลี่ยนใจไม่เดินทางไปยัง อ.แม่สอด ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลไทย โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมันเชื้อเพลิง ไปยังฝั่งเมียวดี พบว่าสามารถกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างได้ผล มีการปล่อยตัวคนกลับออกมาจำนวนมาก และสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บางส่วน ซึ่งสถานทูตประเทศต่างๆ ชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับสถานทูตทุกประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และ IP Address เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบจุดที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มแก๊งดังกล่าว ซึ่งต้องประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ว่ายังมีคนที่ถูกหลอกจากพื้นที่เมียวดีอีกหรือไม่ รวมทั้งเพื่อมีข้อมูลเชิงลึกในการคัดแยกเหยื่อ และสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางสถานทูตประเทศต่างๆ ไว้แล้ว เพื่อสะดวกในการทำงานร่วมกันต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน ทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยยินดีช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และยินดีช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกลวงไป ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการกลไกการคัดแยกเหยื่อ และกลไกลการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM โดยการปฏิบัตินี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของสถานทูตประเทศต่างๆ และ UNODC มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีการประชุมหารือร่วมกันในครั้งนี้ และจะได้มีการประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งทุกประเทศขอบคุณทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างยิ่ง และทุกประเทศยินดีให้ความร่วมมือในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพื่อการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการช่วยเหลือเหยื่อ ตลอดจนการส่งตัวกลับประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายงานจเรตำรวจ เน้นย้ำชื่นชมตำรวจทำดี ลงโทษตำรวจนอกรีต ทำผิด ลงโทษ ไม่มีซูเอี๋ย เพื่อสร้างวัฒนธรรม “culture of lawfulness”

(18 ก.พ. 68) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายงานจเรตำรวจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ และ พล.ต.ท.ธนพล ศรีโสภา รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย จตร.(หน.จต.) , จตร. , รอง จตร. และผู้บังคับการในสังกัดสำนักงานจเรตำรวจ ร่วมประชุมรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม ชั้น 4 สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายเข้มงวดในการสร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ตำรวจน้ำดี และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด ตามนโยบายการบริหารราชการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำข้าราชการตำรวจรายใดทำผิด จะต้องลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา ไม่มีซูเอี๋ย เข้าข้าง หรือให้ความช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด ส่วนข้าราชการตำรวจที่ทำดี เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ต้องได้รับคำชมเชยหรือรางวัลอย่างเหมาะสมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาข้าราชการตำรวจในเรื่องของระบบงาน รวมทั้งเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่เรียกว่า culture of lawfulness หรือวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกาและกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top