Wednesday, 14 May 2025
World

'ปารีส' หั่นราคาห้องพักโรงแรม หวังดึงนักท่องเที่ยวช่วงโอลิมปิก 2024 หลังความต้องการฮวบ!! เหตุ 'เงื่อนไขเยอะ-หวั่นความปลอดภัย'

(1 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เปิดฉากกันไปแล้วสำหรับโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเหล่าธุรกิจ-การค้าของประเทศฝรั่งเศสเริ่มตื่นตัว ตัดสินใจดำเนินการเพื่อดึงนักเดินทางด้วยการลดราคาและยกเลิกข้อกำหนดการพักขั้นต่ำ หลังจากมีบางคนเกิดการลังเลเนื่องจากเห็นว่ามีการโก่งราคาค่าห้องพักก่อนจะถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

ด้าน สำนักงานการท่องเที่ยว กรุงปารีส รายงานว่า ราคาค่าห้องพักโรงแรมโดยเฉลี่ยในระหว่างโอลิมปิก ลดลงไปอยู่ที่คืนละ 258 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,000 บาท จากเดิมที่ราคาในช่วงฤดูร้อนอยู่ที่ 342 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,200 บาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 จากค่าห้องพักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 202 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,800 บาทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 

ด้าน บริษัทท่องเที่ยว กล่าวว่า นักท่องเที่ยวอาจจะได้ลดราคาห้องพักอีกระหว่างร้อยละ 10-70 เนื่องจากผู้บริหารโรงแรมเสนอราคาพิเศษให้หลังจากความต้องการห้องพักในช่วงโอลิมปิกต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ เนื่องจากห้องพักมีราคาสูงและมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย บางโรงแรมยกเลิกข้อจำกัดต่าง ๆ รวมถึงวันเดินทางมาถึงและระยะเวลาในการพัก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจได้ในวินาทีสุดท้าย

'ฉลามหนุ่มจีน' คว้าเหรียญทองฟรีสไตล์ 100 เมตรชาย แถม 'ทุบสถิติโลก' กีฬาว่ายน้ำโอลิมปิก 2024

(1 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า 'พาน จ่าน เล่อ' นักว่ายน้ำหนุ่มทีมชาติจีน สร้างสถิติโลกครั้งใหม่ขณะคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายน้ำฟรีสไตล์ ระยะทาง 100 เมตร (ชาย) ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 เมื่อวันพุธ (31 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พานแตะขอบสระภายในเวลา 46.40 วินาที ซึ่งเร็วกว่าไคล์ ชาล์มเมอร์ส ผู้คว้าเหรียญเงิน เพียง 1 วินาทีกว่าเท่านั้น

นอกจากนี้ พาน จ่าน เล่อ วัย 19 ปี ยังกลายเป็นนักว่ายน้ำชายจากเอเชียคนแรกในรอบ 92 ปี ที่คว้าเหรียญทองฟรีสไตล์ 100 ม.ชาย ในกีฬาโอลิมปิกต่อจาก ยาสุจิ มิยาซากิ ตำนานนักว่ายน้ำชาวญี่ปุ่น ที่ทำได้เมื่อปี 1932 ที่ลอส แอนเจลิส เหรียญเงินเป็น ไคล์ ชาลเมอร์ส จากออสเตรเลีย และเหรียญทองแดง ดาวิด โปโปวิชี จากโรมาเนีย

'นักประวัติศาสตร์' ไขความลับ!! 'เลือดชั่ว' ในเพลงชาติฝรั่งเศส จากสู้รบกับต่างชาติ กลายเป็นประหัตประหารคนในชาติเดียวกันเอง

(1 ส.ค. 67) เดวิด บุญทวี นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'เลือดชั่ว' ในเพลงชาติฝรั่งเศส...เลือดใคร? ระบุว่า...

เพลงชาติฝรั่งเศสชื่อ 'ลามาร์กเซแยส' (La Marseillaise) ที่ 'แอกเซลล์ ซังต์ ซีเฮล' (Axelle Saint-Cirel) ร้องบนหลังคากรองด์ปาเลส์ในวันเปิดโอลิมปิกนั้น เป็นการร้องด้วยลีลาโอเปรา ซึ่งปกติเราจะคุ้นหูกับท่วงทำนองแบบเพลงมาร์ช ที่มีลีลาคึกคักปลุกเร้าให้ฮึกเหิมมากกว่า

ท่อนสร้อยของเพลงที่ถือเป็น 'วรรคทอง' มีเนื้อร้องว่า “หยิบอาวุธขึ้นสู้เถิดผองชน จัดตั้งหน่วยรบของท่าน หน้าเดิน หน้าเดิน ให้เลือดชั่วของพวกมันไหลท่วมรอยไถของพวกเรา”  

(ฝรั่งเศส Aux armes, citoyens! Formez vos bataillons! Marchons! Marchons! Qu'un sang impur. Abreuve nos sillons!

อังกฤษ Grab your weapons, citizens! Form your battalions! Let us march! Let us march! May impure blood. Water our furrows!)

น่าสนใจว่า 'เลือดชั่ว' ที่ผู้แต่งเพลงนี้ต้องการให้ 'ไหลท่วม' คือเลือดของใคร?

เพลงลามาร์กเซแยส ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี 1792 โดยนายทหารชื่อ โกลด-โจแซฟ รูเช เดอ ลีส์ล (Claude Joseph Rouget de Lisle) ในชื่อเพลงที่แท้จริงว่า 'เพลงรบแด่กองทัพแห่งไรน์' (Chant de guerre pour l’armée du Rhin) 

ด้วยจุดประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อปลุกใจทหารฝรั่งเศสที่กำลังเดินทัพไปรบกับกองทัพแห่งจักรวรรดิปรัสเซียและออสเตรีย

ด้วยเนื้อร้องและท่วงทำนองที่ติดหูง่ายและเร้าใจ ทำให้ในเวลาต่อมา ทหารอาสาสมัครจากเมืองมาร์กเซย์นำเพลงนี้ไปร้องในกรุงปารีสในช่วงเวลาของการปฏิวัติ จนได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ชาวปารีสเรียกเพลงด้วยชื่อใหม่แบบง่าย ๆ ว่า 'บทเพลงของชาวมาร์กเซย์' (La Marseillaise)

เนื้อร้องท่อนสร้อยที่ยกมาข้างต้น กลายเป็นวรรคทองทีเด็ดที่ฝ่ายปฏิวัติใช้ในการปลุกเร้าฝูงชนให้เกิดอารมณ์รุนแรง อยากทำลายล้างเข่นฆ่าคนเห็นต่างหรือฝ่ายต่อต้าน 

และมันก็ได้ผล…

หลังความวุ่นวาย การจลาจล และการนองเลือดตลอดช่วง 4 ปีผ่อนคลายลง (โดยเฉพาะหลังจากกลุ่มแกนนำการปฏิวัติถูกตัดหัวด้วยกิโยติน ด้วยคำสั่งจากฝ่ายปฏิวัติด้วยกันเอง) เพลงลามาร์กเซแยส ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อปี 1795

แต่ชะตากรรมของเพลงนี้ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะเมื่อถึงยุคสมัยของจักรพรรดินโปเลียน เพลงนี้ก็ถูกปลดจากการเป็นเพลงชาติและห้ามร้องหรือบรรเลงเด็ดขาด กระทั่งถึงปี 1879 ในสมัยสาธารณรัฐ จึงได้กลับมาเป็นเพลงชาติอีกครั้ง

กลับมาที่ 'เลือดชั่ว'

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ประพันธ์เพลงนี้ ตั้งใจให้หมายถึงเลือดของทหารปรัสเซียและออสเตรีย (ที่ทำสงครามกับฝรั่งเศส) แต่ฝ่ายปฏิวัตินำเพลงนี้มาปลุกระดมฝูงชนให้เข้าเข่นฆ่าฝ่ายต่อต้าน จน ‘เลือดชั่วของพวกมันไหลท่วมรอยไถของพวกเรา’

จากสู้รบกับกองทัพต่างชาติ กลายเป็นประหัตประหารคนในชาติเดียวกันเอง

'เลือดชั่ว' ก็คือเลือดของชาวฝรั่งเศสที่ถูกชาวฝรั่งเศสด้วยกันเองเข่นฆ่า และที่ไหลท่วมรอยไถของกรุงปารีสนั้น ก็มีเพียงน้อยนิดที่เป็นเลือดของชนชั้นสูง เพราะเกือบทั้งหมดเป็นเลือดของชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นชนชั้นเดียวกับฝูงชนฝ่ายปฏิวัติ เป็นเลือดของประชาชนที่เห็นต่าง!!

ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ ชะตากรรมของ โกลด-โจแซฟ รูเช เดอ ลีส์ล ผู้ประพันธ์เพลงนี้ ที่ต่อมาถูกจำคุกด้วยข้อหา 'ทรยศต่อชาติ' เพราะเขาได้ออกมาประท้วงต่อต้านการกักขังและเข่นฆ่าสมาชิกราชวงศ์ 

โชคดีที่โกลด-โจแซฟ รอดชีวิตจากการถูกตัดหัวมาได้อย่างหวุดหวิด เลือดของตนจึงไม่ต้องกลายเป็น 'เลือดชั่ว' ที่ไหลท่วมรอยไถเสียเอง 

เมื่อพ้นโทษแล้ว ก็ออกจากคุกมาใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น ต้องยังชีพด้วยเศษขนมปัง ขณะที่หูก็ยังได้ยินเสียงฝูงชนขับร้องเพลงของตนไปตามท้องถนน 

ในที่สุดก็เสียชีวิตลงอย่างคนอนาถา 

แต่กว่าทางการฝรั่งเศสจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือ ผู้ประพันธ์เพลงชาติ แล้วย้ายศพมาไว้ที่ 'สุสานวีรบุรุษ' อย่างแองวาลิดส์ กลางกรุงปารีส (ที่เดียวกับที่ฝังศพของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1) ก็ต้องรอจนถึงปี 1915 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือ 79 ปีหลังการเสียชีวิต

***เกร็ด : ปี 2014 หรือสิบปีที่แล้วนี่เอง นักแสดงชื่อดังชาวฝรั่งเศส ลองแบร์ต วิลซง (Lambert Wilson) เคยให้สัมภาษณ์ว่าเนื้อเพลงลามาร์กเซแยสนั้น ‘โหดเหี้ยม บ้าเลือด ล้าหลัง เหยียดชาติ และกลัวคนต่างชาติ’ (Les paroles sont épouvantables, sanguinaires, d’un autre temps, racistes et xenophobes) 

และตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนฝรั่งเศสถึงยังร้องเพลงท่อน ‘ให้เลือดชั่วของพวกมันไหลท่วมรอยไถของพวกเรา’ กันอยู่ได้ โดยไม่ละอายใจ

(คนต่างชาติในที่นี้ ก็คือกองทัพปรัสเซียและออสเตรียที่ทำสงครามกับฝรั่งเศส)

‘นายกฯ มาเลย์’ ควันออกหู!! ‘เฟซบุ๊ก’ ลบโพสต์ไว้อาลัยผู้นำฮามาส ประณาม ‘Meta’ เลิกเป็นเครื่องมือให้ ‘ไซออนิสต์อิสราเอล’ เสียที

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.67) นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ออกมาประณาม เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างดุเดือดว่าทำตัว ‘ขี้ขลาดตาขาว’ หลังถูกเฟซบุ๊กลบโพสต์ที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอีล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส

มาเลเซียซึ่งมีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามถือเป็นชาติที่แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขันเรื่อยมา และนายกฯ อันวาร์ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับเจ้าหน้าที่ฮามาสคนหนึ่ง เพื่อแสดงความโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของฮานิเยห์ ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกเฟซบุ๊กลบออกไป

เหตุลอบสังหารอุกอาจครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ ฮานิเยห์ เดินทางไปยังกรุงเตหะรานของอิหร่าน เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี มาซูด เปเซสเคียน ผู้นำอิหร่านคนใหม่

หลายฝ่ายมองว่า นี่คือการเติมเชื้อไฟให้กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงอยู่แล้ว และอาจทำให้การสู้รบในกาซาลุกลามขยายวงกว้างจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

อันวาร์ ซึ่งมีโอกาสได้พบ ฮานิเยห์ ที่กาตาร์เมื่อเดือน พ.ค. ระบุว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของฮามาส แม้มาเลเซียจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนฮามาสในด้านการทหารก็ตาม

“ขอให้นี่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเมตา : หยุดแสดงอาการขี้ขลาดตาขาวแบบนี้เสียที และเลิกทำตัวเป็นเครื่องมือให้กับระบอบไซออนิสต์อิสราเอล!” อันวาร์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ เมตา ยังไม่ออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนในวันที่ 1 ส.ค.67 ขณะที่กระทรวงสื่อสารของมาเลเซียระบุว่า จะมีการเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลมาเลเซียเคยประท้วงเมตามาแล้วหลายครั้งเรื่องการปิดกั้นคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงข่าวที่ อันวาร์ ไปพบกับ ฮานิเยห์ ครั้งสุดท้าย ซึ่งต่อมาทางเมตาก็ได้ยอมปลดบล็อกโพสต์ดังกล่าวให้

โดย เมตา ออกมาอธิบายในตอนนั้นว่า ‘ไม่ได้มีเจตนา’ ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊ก และก็ไม่เคยใช้มาตรการจำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ด้วย

อย่างไรก็ตาม เมตา ถือว่าฮามาสซึ่งเป็นขบวนการอิสลามิสต์ที่ปกครองฉนวนกาซาคือหนึ่งใน ‘องค์กรอันตราย’ (dangerous organization) และห้ามการเผยแพร่เนื้อหายกย่องเชิดชูคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้เมตายังใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติร่วมกับทรัพยากรบุคคลในการลบโพสต์หรือติดป้ายคำเตือนภาพกราฟิกต่าง ๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎของแพลตฟอร์มด้วย

รัฐบาลมาเลเซียประกาศจุดยืนสนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐควบคู่ (two-state solution) เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

‘แองเจล่า คารินี’ นักชกสาวอิตาลี เปิดใจหลังพ่ายกำปั้นคู่แข่งที่มีเพศสภาพไม่เหมือนกัน ในศึกโอลิมปิก 2024

ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นหญิงของกีฬาโอลิมปิก ที่ปารีส เป็นเจ้าภาพ การชกระหว่าง ‘ไอมาน คาลิฟ’ กับ ‘แองเจล่า คารินี’ นักมวยหญิงชาวอิตาลี จบลงในเวลาเพียง 46 วินาที หลังจาก คารินี ตัดสินใจขอยอมแพ้ หลังจากถูกหมัดของ คาลิฟ 

ทั้งนี้ คารินี พยายามกลั้นน้ำตาหลังจบการแข่งขัน และต่อมาได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า "มันอาจเป็นการแข่งขันครึ่งหนึ่งในชีวิต แต่ฉันจำเป็นต้องรักษาชีวิตตัวเองเช่นกันในช่วงเวลาดังกล่าว"

‘เจเค.โรว์ลิง-อีลอน’ วิจารณ์!! กีฬามวยสมัครเล่นหญิงใน ‘โอลิมปิกปารีส’ หลังยืนหยัดปล่อยคู่แข่งที่มี ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ สูงกว่าปกติชกหญิงแท้

(2 ส.ค.67) เจเค.โรว์ลิง นักเขียนชื่อดัง และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลา เป็นหนึ่งในบรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ออกมาประณามโอลิมปิก ต่อกรณีที่อนุญาตให้ ‘ไอมาน คาลิฟ’ จากแอลจีเรีย เข้าแข่งขันในกีฬามวยสมัครเล่นหญิงในปารีเกมส์ 2024 แม้เธอถูกตัดสิทธิจากศึกชิงแชมป์โลกของผู้หญิงเมื่อปีที่แล้ว หลังไม่ผ่านการตรวจเพศ สืบเนื่องจากมีระดับเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าปกติ

ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นหญิงของกีฬาโอลิมปิก ที่ปารีสเป็นเจ้าภาพ การชกระหว่าง ไอมาน คาลิฟ กับแองเจล่า คารินี นักมวยหญิงชาวอิตาลี จบลงในเวลาเพียง 46 วินาที หลังจาก คารินี ตัดสินใจขอยอมแพ้ หลังจากถูกหมัดของ คาลิฟ 

ทั้งนี้ คารินี พยายามกลั้นน้ำตาหลังจบการแข่งขัน และต่อมาได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า "มันอาจเป็นการแข่งขันครึ่งหนึ่งในชีวิต แต่ฉันจำเป็นต้องรักษาชีวิตตัวเองเช่นกันในช่วงเวลาดังกล่าว"

"ฉันให้เกียรติกับประเทศของฉันด้วยความซื่อสัตย์เสมอ ไฟต์นี้ฉันไม่ประสบความสำเร็จเพราะฉันไม่สามารถสู้ต่อไปได้ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเจอหมัดหนักขนาดนี้มาก่อน" เธอกล่าว

คารินี บอกต่อว่า "ฉันตัดสินใจยุติการชกเพราะหลังจากโดนชกไปสองหมัด จากประสบการณ์หลายปีบนสังเวียน และตลอดชีวิตการชกมวย ฉันรู้สึกเจ็บมาก ๆ ที่จมูก ฉันบอกว่า ‘พอแล้ว’ เพราะ...ฉันไม่สามารถที่จะเอาชนะไฟต์นี้ได้ ดังนั้นฉันคิดว่าบางทีมันคงจะดีกว่าถ้ายุติการชกไปซะ"

"ฉันขึ้นสังเวียนเพื่อที่จะต่อสู้ ฉันไม่เคยยอมแพ้ ฉันไม่กลัว ไม่หวั่นการขึ้นเวที หรือการที่ต้องรับหมัด แต่การโดนต่อยครั้งนี้มันเจ็บมาก ๆ และฉันพูดกับตัวเองว่าพอเหอะ ฉันออกจากการแข่งขันแต่ก็ยังคงความภาคภูมิใจ" คารินี กล่าว

ด้าน เจเค.โรว์ลิง เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ พร้อมกับแชร์ภาพที่ คารินี กำลังน้ำตาริน และคาลิฟ พยายามปลอบโยนเธอ ในการชกที่จบลงอย่างรวดเร็ว "นักมวยหญิงคนหนึ่ง เธอถูกพรากทุกสิ่งที่เธอได้ฝึกฝนทุ่มเทมา เพียงเพราะคุณยอมให้นักมวยชายขึ้นสังเวียนสู้กับเธอ"

"จะมีภาพไหนที่สรุปได้ถึงการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศของเราได้ดีกว่านี้อีกหรือไม่ รอยยิ้มเยาะเย้ยของผู้ชาย ที่ได้รับการคุ้มครองจากสถาบันกีฬาที่เกลียดชังผู้หญิง และเพลิดเพลินกับความทุกข์ทรมานของผู้หญิงที่เขาเพิ่งต่อยเธอเข้าที่ศีรษะ และความทะเยอทะยานในชีวิตของเธอ เพิ่งถูกเขาทำลายไป"

ขณะที่ทางด้าน อีลอน มัสก์ ก็ได้ร่วมแชร์โพสต์ของ ไรลีย์ ไกเนส นักกีฬาว่ายน้ำ ที่อ้างว่า "ผู้ชายไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งในกีฬาของผู้หญิง" พร้อมกับเขียนตอบกลับข้อความกล่าวว่า "แน่นอนที่สุด"

โอลิมปิกยืนหยัดต่อการตัดสินใจอนุญาตให้ คาลิฟ ที่มีเพศสภาพหญิงตั้งแต่เกิด แต่มีระดับเทสโทสเตอโรนหรือฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าปกติ เข้าแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นประเภทหญิงในปารีสเกมส์

"พาสปอร์ตของทั้งสองคนระบุว่าทั้งคู่เป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นถือว่าทั้งสองคนเป็นผู้หญิง ทั้งสองคนมีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันเพราะไม่ได้มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่โอลิมปิกระบุไว้ นี่คือสิ่งที่พวกเธอเป็น และเราสนับสนุนให้พวกเธอได้แข่งเต็มที่ มันจะเป็นไม่ให้เกียรติที่เราจะมาเถียงกันถึงรายละเอียดของนักกีฬาแต่ละคน นักกีฬาผ่านทัวร์นาเมนต์ที่โอลิมปิกจัดมาหลายรายการ พวกเธอไม่ได้เพิ่งมาแข่ง" โฆษกระบุ

คารินี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ไม่ขอวิจารณ์การเข้าร่วมแข่งขันของ คาลิฟ โดยบอกว่า "ฉันปรารถนาเห็นเธอเดินหน้าไปจนสุดทาง (คว้าเหรียญทอง) เพื่อเธอจะได้มีความสุข ฉันไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินใคร ๆ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตัดสินคนอื่น"

‘เงือกสาวแคนาดา’ วัย 17 ปี คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2024 ลั่น!! ขอมอบเหรียญนี้ให้คุณแม่ ที่ต้องพ่ายแพ้ไปเมื่อ 40 ปีก่อน

(2 ส.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘MGR SPORT’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

‘ซัมเมอร์ แมคอินทอช’ นักว่ายน้ำสาวดาวรุ่งวัย 17 ปี ชาวแคนาดา คว้าเหรียญทองประเภทผีเสื้อ 200 เมตร หญิง พร้อมทำลายสถิติโอลิมปิกเกมส์ ด้วยเวลา 2:03.03 นาที

ทั้งนี้ เมื่อได้รับเหรียญทองเธอได้มองไปครอบครัวที่อยู่บนอัฒจันทร์ ก่อนที่เธอจะให้สัมภาษณ์กับสื่อในภายหลังว่า "เหรียญทองนี้หนูขอมอบให้คุณแม่"

สำหรับ ซัมเมอร์ แมคอินทอช เป็นลูกสาวของ ‘จิลล์ ฮอร์สตีด’ อดีตนักกีฬาว่ายน้ำ ที่เคยลงทำการแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ 1984 ในท่าผีเสื้อ 200 เมตร หญิง ซึ่งคุณแม่ของเธอในเวลานั้นจบอันดับ 9

แม้ 40 ปีที่แล้ว คุณแม่ จิลล์ ฮอร์สตีด จะไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับบ้านไปได้ แต่ ซัมเมอร์ แมคอินทอช ผู้เป็นลูกสาว เอาเหรียญนี้มาให้คุณแม่ได้ภาคภูมิใจ

สำหรับการแข่งขันในประเภท ผีเสื้อ 200 เมตร หญิง ซัมเมอร์ แมคอินทอช คว้าเหรียญทองไปครอง ส่วนเหรียญเงินเป็นของ เรแกน สมิธ จากสหรัฐอเมริกา และเหรียญทองแดง ได้แก่ จาง ยู่เฟย แชมป์เก่า จากจีน

'นักวิทย์' ค้นพบ!! ใต้พื้นผิวดาวพุธ ลึก 500 เมตร อาจมี 'ชั้นเพชร' หนากว่า 15-18 กิโลเมตรซ่อนอยู่

(2 ส.ค.67) ‘ดาวพุธ’ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ลำดับแรกในระบบสุริยะ มีขนาดเล็กที่สุด และมีความหนาแน่นมากเป็นอันดับ 2 รองจากโลก โดยมีแกนโลหะขนาดใหญ่ครอบคลุมรัศมีของดาวพุธถึง 85% แต่ในขณะเดียวกัน มันยังเป็นดาวเคราะห์หินในระบบสุริยะที่มีการสำรวจน้อยที่สุดอีกด้วย

แต่ตามผลการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications นักวิทยาศาสตร์พบว่า ที่ใต้พื้นผิวของดาวพุธซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแกรไฟต์ ลึกลงไปอาจมี ‘ชั้นเพชร’ ซ่อนอยู่

เพชรเหล่านี้อาจก่อตัวขึ้นไม่นานหลังจากที่ดาวพุธก่อกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4.5 พันล้านปีก่อนจากกลุ่มฝุ่นและก๊าซที่หมุนวนในสภาพแวดล้อมที่มีแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง

ทีมนักวิจัยได้ข้อสรุปดังกล่าว จากการทดลองสร้างสภาพแวดล้อมดังกล่าวขึ้นใหม่ในการทดลองด้วยเครื่องจักรที่เรียกว่า ‘เครื่องอัดแบบทั่ง’ (Anvil Press) ซึ่งปกติจะใช้ศึกษาว่าวัสดุต่าง ๆ มีพฤติกรรมอย่างไรภายใต้แรงกดดันสูง แต่ยังใช้ในการผลิตเพชรสังเคราะห์ด้วย

ด้าน เบอร์นาร์ด ชาร์ลิเยร์ หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยลีแยฌในเบลเยียม หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “มันเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้เราสามารถนำตัวอย่างขนาดเล็กมาทดสอบภายใต้ความกดดันและอุณหภูมิสูงเช่นเดียวกับที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเนื้อโลก (Mantle) ของดาวพุธ”

ทีมวิจัยได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ของธาตุต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงซิลิกอน ไททาเนียม แมกนีเซียม และอะลูมิเนียม เข้าไปในแคปซูลแกรไฟต์ เพื่อเลียนแบบองค์ประกอบตามทฤษฎีภายในดาวพุธ

จากนั้นนักวิจัยได้นำแคปซูลไปทดสอบภายใต้ความกดดันที่สูงกว่าความดันที่พบบนพื้นผิวโลกเกือบ 70,000 เท่า และอุณหภูมิสูงถึง 2,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นการจำลองสภาพที่น่าจะพบใกล้แกนดาวพุธเมื่อหลายพันล้านปีก่อน

หลังจากตัวอย่างละลาย นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและแร่ธาตุภายใต้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน และสังเกตเห็นว่า ‘แกรไฟต์ได้เปลี่ยนเป็นผลึกเพชร’

นักวิจัยกล่าวว่า กลไกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวดาวพุธได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และโครงสร้างภายในของดาวเคราะห์นอกระบบที่มีลักษณะคล้ายกันอีกด้วย

ทั้งนี้ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ดาวพุธเป็นหนึ่งในดาวที่มีการสำรวจน้อยมาก ภารกิจสำรวจดาวพุธครั้งสุดท้ายคือยาน MESSENGER ขององค์การนาซา (NASA) ซึ่งโคจรรอบดาวพุธระหว่างเดือน มี.ค. 2011 ถึงเดือน เม.ย. 2015

ภารกิจดังกล่าวรวบรวมข้อมูลเชิงธรณีวิทยา เคมี และสนามแม่เหล็กของดาวพุธ ก่อนที่ยานอวกาศจะเชื้อเพลิงหมดและพุ่งชนพื้นผิวดาวพุธ

หลิน เหยียนเฮ่า นักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยขั้นสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแรงดันสูงในปักกิ่ง หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “เรารู้ว่ามีคาร์บอนจำนวนมากในรูปแบบของแกรไฟต์บนพื้นผิวของดาวพุธ แต่กลับมีการศึกษาน้อยมากเกี่ยวกับส่วนภายในของดาวเคราะห์”

ชาร์ลิเยร์เสริมว่า “เมื่อเทียบกับดวงจันทร์หรือดาวอังคารแล้ว เรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับดาวพุธ เนื่องจากเราไม่มีตัวอย่างจากพื้นผิวของดาวเคราะห์ด้วย” และบอกว่า ดาวพุธแตกต่างจากดาวเคราะห์หินดวงอื่น ๆ เนื่องจากมันอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก จึงมีออกซิเจนในปริมาณต่ำมาก ซึ่งส่งผลต่อเคมีของดาวเคราะห์

หนึ่งในการค้นพบของ MESSENGER คือข้อเท็จจริงที่ว่า ดาวพุธอุดมไปด้วยคาร์บอนและพื้นผิวเป็นสีเทาเนื่องจากมีแกรไฟต์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน อยู่ทั่วไป เพชรเองก็ประกอบด้วยคาร์บอนบริสุทธิ์ ซึ่งก่อตัวขึ้นภายใต้สภาวะความดันและอุณหภูมิที่เฉพาะเจาะจง

นักวิจัยต้องการดูว่า กระบวนการนี้เกิดขึ้นระหว่างการก่อตัวของดาวเคราะห์ได้หรือไม่

เมื่อหลิน, ชาร์ลิเยร์ และเพื่อนร่วมทีมวิจัยเตรียมการทดลองเพื่อเลียนแบบสภาวะภายในของดาวพุธไม่นานหลังจากการก่อตัวของดาว องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือความรู้ที่ว่า มีกำมะถันอยู่ในดาวพุธด้วย ดังเช่นหลักฐานจากการศึกษาครั้งก่อน ๆ

ชาร์ลิเยร์บอกว่า “เราพบว่าสภาพแวดล้อมนั้นแตกต่างจากโลก เพราะมีกำมะถันจำนวนมากบนดาวพุธ ซึ่งทำให้จุดหลอมเหลวของตัวอย่างของเราลดลง”

เขาเสริมว่า “มันหลอมละลายอย่างสมบูรณ์ที่อุณหภูมิต่ำกว่าเมื่อเทียบกับระบบที่ไม่มีกำมะถัน ซึ่งดีต่อเสถียรภาพของเพชร เนื่องจากเพชรชอบแรงดันสูงแต่มีอุณหภูมิต่ำกว่า”

ชาร์ลิเยอร์บอกว่า ความหนาของชั้นเพชรคาดว่าอยู่ระหว่าง 15-18 กิโลเมตร แต่เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น และอาจเปลี่ยนแปลงได้

ไม่สามารถบอกได้ว่าเพชรแต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เพียงใด “เราไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับขนาดของเพชร แต่เพชรทำมาจากคาร์บอนเท่านั้น ดังนั้นเพชรจึงน่าจะมีองค์ประกอบคล้ายกับที่เราทราบบนโลก มันน่าจะมีลักษณะเหมือนเพชรบริสุทธิ์”

ส่วนคำถามว่าเพชรเหล่านี้จะถูกขุดขึ้นมาได้หรือไม่นั้น? ชาร์ลิเยร์บอกชัดเจนว่า “เป็นไปไม่ได้” แม้จะมีเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคตก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเพชรเหล่านี้อยู่ที่ความลึกประมาณ 500 กิโลเมตร

“อย่างไรก็ตาม ลาวาบางส่วนบนพื้นผิวของดาวพุธเกิดจากการหลอมละลายของชั้นเนื้อโลกที่ลึกมาก จึงสมเหตุสมผลที่จะพิจารณาว่า กระบวนการนี้สามารถนำพาเพชรบางส่วนขึ้นมาบนพื้นผิวได้” เขากล่าว

ทั้งนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาจากการจำลองสภาวะของดาวพุธเท่านั้น หากจะทราบข้อมูลที่ถูกต้องกว่านี้ อาจต้องฝากความหวังไว้กับภารกิจ ‘เบปีโคลอมโบ’ (BepiColombo) ซึ่งประกอบด้วยยานอวกาศ 2 ลำที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเดือน ต.ค. 2018 และคาดว่าจะเข้าสู่วงโคจรของดาวพุธในเดือน ธ.ค. 2025

ภารกิจดังกล่าวซึ่งนำโดยองค์การอวกาศยุโรป (ESA) และสำนักงานสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) จะศึกษาดาวเคราะห์ดวงนี้จากวงโคจรและเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภายในและลักษณะเฉพาะของดาวพุธมากขึ้น

ชาร์ลิเยร์บอกว่า “เบปีโคลอมโบอาจสามารถระบุและวัดปริมาณคาร์บอนบนพื้นผิวดาวพุธได้ และอาจยังระบุได้ด้วยว่า มีเพชรอยู่บนพื้นผิวหรือมีแกรไฟต์มากกว่า”

'Intel' จ่อเลิกจ้างพนักงานกว่า 15,000 อัตรา หลังขาดทุนยับ หุ้นร่วง 20% สวนทาง Nvidia

(2 ส.ค.67) เอพี รายงานว่า Intel ผู้ผลิตชิปรายใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของโลก ที่มีฐานอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ออกมาประกาศแผนเลิกจ้างพนักงาน 15% หรือราว 15,000 คน ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลก เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Nvidia และ AMD หลังบริษัทขาดทุนหนักต่อเนื่อง

ด้าน นายแพทริก พี. เกลซิงเกอร์ ประธานกรรมการบริหารของบริษัท Intel Corp กล่าวกับพนักงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า บริษัทวางแผนที่จะลดเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2568

“พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือ ทางบริษัทต้องปรับโครงสร้างต้นทุนของเราให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินงานใหม่ และเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินการของเราโดยพื้นฐาน” เขาเขียนบันทึกที่เผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ และว่า “รายได้ของเราไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดไว้ และเรายังไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์ที่กำลังอยู่ในกระแสอย่าง AI ซึ่งต้นทุนของเราสูงเกินไป สวนทางกับกำไรที่ได้”

การลดตำแหน่งดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากรายได้ในไตรมาสล่าสุด ขาดทุน 1,600 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกำไร 1,500 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

โดย เกลซิงเกอร์ ระบุว่า ในสัปดาห์หน้า อินเทลจะประกาศข้อเสนอเกษียณอายุขั้นสูง สำหรับพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และเสนอโปรแกรมการสมัครใจลาออก

“การตัดสินใจนี้ ท้าทายฉันถึงแก่นแท้และนี่คือสิ่งที่ยากที่สุดที่เคยทำในอาชีพการงาน” เขากล่าว

ทั้งนี้ คาดว่าการเลิกจ้างจำนวนมาก จะแล้วเสร็จในปีนี้

หุ้นของ Intel ร่วงลง 20 เปอร์เซ็นต์ในการซื้อขายต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปรายนี้มีแนวโน้มจะสูญเสียมูลค่ามากกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อตลาดหุ้นเปิดทำการอีกครั้งในวันศุกร์

แม้ว่า Intel จะเคยเป็นผู้นำตลาดชิปที่ใช้ในทุกสิ่งตั้งแต่แล็ปท็อปไปจนถึงศูนย์ข้อมูล แต่ปัจจุบัน Intel กลับต้องดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อตามให้ทัน Nvidia บริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ AMD ผู้ผลิตและผู้พัฒนาซีพียู และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน Intel ประกาศว่า จะยุติการขยายโครงการ โรงงานขนาดใหญ่ในอิสราเอล โดยระบุว่า การตัดสินใจที่จะทำโครงการขนาดใหญ่จะต้องคำนึงถึง ‘เงื่อนไขทางธุรกิจ พลวัตของตลาด และการจัดการทุนอย่างรับผิดชอบ’

'แรงงานนอกระบบ' เสี่ยงเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในไทย บนความสบายใจของคนไทยที่รักสบายจนเคยตัว

อย่างที่เราทราบกันว่าตอนนี้มีแรงงานผิดกฎหมายเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่ม NGO ทั้งหลายก็พยายามผลักดันและกดดันให้ไทยรับแรงงานเหล่านี้เข้าระบบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของไทยเลย  

จากการเรียกร้องของกลุ่ม NGO โดยเฉพาะฝั่งพม่าที่พยายามผลักดันมากเสียจนดูน่าสงสัยไปหมด เมื่อไปตามดูสายสัมพันธ์ของคนเหล่านี้จะพบว่าคนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในไทยทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับนโยบายถึงขั้นพยายามผลักดันนโยบายอะไรบางอย่างในไทยได้ 

เพราะล่าสุดเห็นระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในไทย ระบบใหม่มีภาษาต่างชาติทั้งอังกฤษ, พม่า, ลาว, เวียดนาม และภาษาเขมร โดยเหมือนตั้งใจที่จะให้แรงงานสามารถแจ้งเองได้เลย ซึ่งจะต่างจากในอดีตที่จะให้นายจ้างไทยเป็นคนแจ้งออก

ถามว่าการทำแบบนี้ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ นายจ้างชาวไทย? หรือ แรงงานข้ามชาติ? 

บางที เอย่า ก็สงสัยจุดประสงค์ของกรมแรงงาน ว่าต้องการให้ไทยพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ถูกต้องหรือต้องการแค่ใครก็ได้ที่มาทำแล้วผลักงานให้พ้นตัวไป?

มาอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับรายงานมาว่า สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งมีสาขาที่จังหวัดท่องเที่ยวในประเทศไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย ประกาศรับแคดดี้ชาวพม่าเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-25 ปี โดยต้องมีทักษะพูดภาษาต่างประเทศได้ เช่น จีน, เกาหลี โดยจะได้รับเงินเดือน 12,000 บาท พร้อมสวัสดิการชุดพนักงาน ที่พักและอาหารฟรี

นอกจากนี้ ผู้สมัครจะต้องผ่านการทดสอบทักษะทางภาษาก่อน หากได้งานต้องทำงานไปก่อน 6 เดือน หลังพ้นระยะทดลองงาน 6 เดือนถึงจะทำบัตรชมพูให้ และในช่วงดังกล่าวพนักงานต้องห้ามเดินทางออกนอกสถานที่เด็ดขาด โดยการทำงานนี้มีสัญญาจ้าง 2 ปี ถ้าลาออกก่อนหรือทำงานไม่ครบสัญญาจะถูกปรับเป็นเงิน 300,000 บาท

หากมองว่าเป็นงานถูกกฎหมาย ก็น่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่การรับสมัครงานแบบนี้ไม่ถูกต้องไปตามการจ้างแรงงานต่างด้าว และบริษัทน่าจะรู้ดีว่าการจ้างต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารเป็นความผิด เพราะนายจ้างจะต้องไปขึ้นทะเบียนจ้างคนต่างด้าวก่อน จึงจะสามารถรับคนงานได้ 

ในส่วนของลูกจ้างที่ควรจะคำนึงคือ การที่ต้องไปทำงานในที่ใดที่หนึ่งไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลยไม่ต่างอะไรกับการถูกหลอกไปทำงานในเขตจีนเทา เขาจะทำอะไรกับคุณก็ได้ เพราะคุณอยู่ในอาณาเขตของเขา อีกอย่างหากถูกลวนลามจากนักกอล์ฟจะสามารถหาทางเอาตัวรอดได้หรือไม่ อย่างไรกัน เพราะไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลย แม้ทางรีสอร์ตจะเสนอว่าหากทำครบ 1 ปีแล้วสามารถขอลาได้ 15 วัน และมีรถรับส่งไปยังชายแดนหรือสนามบินก็ตาม

ปัจจุบันนี้แรงงานที่หนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายคงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงกระนั้นขบวนการฟอกขาวที่นำโดยกลุ่มที่มาก่อนถึง แม้บางคนจะได้สัญชาติไทยไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะทำให้คนเหล่านั้นเข้ามาในระบบอย่างไม่ถูกต้อง โดยพยายามเรียกร้องว่า ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์สัญชาติหรือประวัติอาชญากรรม 

ประเด็นคือ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานพวกนี้จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วคือ เรารักสบายจนเคยตัว และใช้เงินแก้ปัญหาจนเคยชิน โดยที่ไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่เราก่อขึ้นจะส่งผลอะไรกลับมาบ้างในประเทศของเรา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  

หากทุกท่านยังไม่เข้าใจ อาจจะต้องลองไปถามคนไทยในแม่สอดดูว่า เขารู้สึกอย่างไรที่พม่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top