Monday, 19 May 2025
World

'วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์' ปลุกสติ 'คนอเมริกัน' หาทางรอดที่แท้จริงจากวิกฤต โยนทิ้ง 'ประชาธิปไตย' หายนะที่ซ่อนอยู่ในคราบแห่ง 'ความหวัง-เท่าเทียม'

ไม่นานมานี้ เบอร์นี่ แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์ สังกัดพรรครัฐบาลเดโมแครต ได้กล่าวในสิ่งที่กำลังทำให้ชาวอเมริกันต้องคิดหนักถึงโลกแห่งความจริง ในวันนี้ที่ แนวคิดตะวันออก คือ ทางเลือกบนทางรอด และถึงวันที่ โลกทุนนิยม...กำลังเดินมาถึงจุด...รอวันล่มสลายแล้ว

เบอร์นี กล่าวว่า 'ประชาธิปไตย' ไม่ใช่ทางเลือกของโลกอีกต่อไปแล้ว เราต้องช่วยกัน เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเรา ให้เป็น 'สังคมนิยม' และประเทศในกลุ่มประชาธิปไตย ไม่อาจหนีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และผมเสนอแนวคิดให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'สังคมนิยมกึ่งประชาธิปไตย' 

เหตุผลที่ เบอร์นี กล่าวเช่นนี้ เพราะเขามองว่าสภาพการเมืองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน กำลังมุ่งสู่ 'คณาธิปไตย' และ 'ลัทธิอำนาจนิยม' มากขึ้น

“มีเพียงเศรษฐีกลุ่มเล็ก ๆ ที่ร่ำรวยอย่างมาก และมีอำนาจควบคุมหัวใจเศรษฐกิจ และ อำนาจทางการเมืองของสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้คนอเมริกัน มีเพียง 3 ตระกูลเท่านั้นที่ครองความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันทั้งประเทศ จนเป็นไปในลักษณะ 'รวยกระจุกจนกระจาย'”

เบอร์นี ขยายความอีกว่า ผู้ร่ำรวยที่สุด ในสหรัฐอเมริกา มีเพียง 1% ของประชากร 328 ล้านคน ครอบครองความมั่งคั่ง มากกว่า ประชากร 92% รวมกัน นี่คือ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

อีกทั้ง 49% จากรายได้ของชาวอเมริกันในแต่ละวัน กลายเป็นของคนกลุ่มรวยที่สุด 1% นั้นด้วย นั่นจึงทำให้สังคมในสหรัฐอเมริกา ที่แท้จริง 'ไม่มีความเท่าเทียม' อีกแล้ว แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ภายใต้ชื่อ 'ระบบประชาธิปไตย'

ปัจจุบันนี้ คนอเมริกันเกือบ 40 ล้านคน หรือราว 12.2% เป็น 'คนยากจน' ... ทุกคืน จะมีคนราว 5 แสนคน ต้องนอนข้างถนน เพราะเป็นคนไร้บ้าน

ขณะที่อีกประมาณ 50% ของคนอเมริกัน มีเงินไม่พอใช้ 'ต้องหาเช้ากินค่ำ' มีเงินใช้แบบเดือนชนเดือนเท่านั้น

เบอร์นี กล่าวว่า ระบอบทุนนิยมเสรี เป็นระบอบการปกครองที่ล้มเหลว ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังทลาย และ 'ไม่ยุติธรรม' บรรดามหาเศรษฐี เสพสุขกับตลาดหุ้น คอยเก็บเกี่ยวความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น แต่ชนชั้นกลาง กับ ผู้ใช้แรงงานต้อง 'ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ' ถึงขนาดที่มีการวัดกันว่า รายได้เฉลี่ยของกรรมกรอเมริกันตอนนี้ ยังคงพอๆ กับรายได้เมื่ออดีต 46 ปีก่อนกันเลยทีเดียว

"ผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก ต้องดิ้นรน ทำงานหลายงาน เพื่อความอยู่รอด ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิต การดิ้นรนต่อสู้ มีผลต่ออายุขัยด้วย เพราะเศรษฐีอเมริกันจะมีอายุยืนยาว กว่าคนจน เฉลี่ยถึง 15 ปี" เบอร์นี กล่าวและว่า...

"อุดมคติเดิมที่ว่า ระบอบประชาธิปไตย ทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน คนขยันมีโอกาส สร้างตนสร้างฐานะนั้น พิสูจน์ได้ว่า ล่มสลายลงไปแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เยาวชนคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ มากกว่าคนรุ่นก่อน ที่เป็นบิดารมารดาปู่ย่าตายาย...

"การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะบริษัทยักษ์ พวกตลาดหุ้น ชนชั้นปกครองชนชั้นสูง (อีลิท) ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ คนเหล่านี้ รวมหัวกัน ต่อต้านแนวคิดสังคมนิยม ต่อต้านนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พวกเขาเป็นเจ้าของสื่อสารมวลชน เจ้าของในตลาดหุ้น ที่สามารถควบคุมความคิดของคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ให้มองไม่เห็นสาเหตุ ที่มาของปัญหาว่า เกิดจากระบบทุนผูกขาด"

เบอร์นี เปิดเผยด้วยว่า ชนชั้นปกครอง ในทำเนียบขาว ใช้วิธีการเดิม ๆ พยายามเบี่ยงเบนปัญหาสำคัญ  ภายในประเทศไปเป็นเรื่องอื่น ๆ ตลอดมา เช่น พยายามใช้วิธีแบ่งแยกประชาชน ให้มีการเหยียดผิว สร้างความเกลียดชัง ยุยงก่อให้เกิดสงคราม ยุแยงให้เกิดความแตกแยกไปทั่วโลก เพื่อให้อุตสาหกรรมค้าอาวุธเติบโต เพื่อมาค้ำจุนให้เกิดการจ้างงาน จ้างผู้ชำนาญการพิเศษในทุกสาขา เช่น ด้านไอที ที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมมาช่วยผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยุคใหม่

ดังนั้น ประเทศ สหรัฐอเมริกา ไม่ควรสร้างลัทธิการเมืองบนความเกลียดชัง ความคิดในการยุให้เกิดการแบ่งแยก แต่ควรใช้หลักคิด ในระบอบการปกครองที่มีคุณธรรม มีเมตตา ยุติธรรม และ ความรัก นั่นคือ ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ของ สหรัฐอเมริกา เป็น 'สังคมนิยม กึ่งประชาธิปไตย'

"สหรัฐอเมริกา จึงจะรอดจากหายนะ"

เบอร์นี่ แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์

‘จอห์นสัน’ ยอมจ่าย 25,000 ลบ. ให้ศาลสหรัฐฯ กว่า 40 แห่ง หวังจบปัญหาเรื่องส่วนผสมมี ‘สารก่อมะเร็ง’ ในแป้งเด็ก

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 67) ยืดเยื้อยาวนานมา 14 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันแรกที่มีการส่งตรวจผลิตภัณฑ์แป้งเด็ก ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ พร้อมกับข้อกล่าวหาเรื่องสารก่อมะเร็ง โดยที่ผ่านมาบริษัทเผชิญมรสุมถูกฟ้องร้องหลายหมื่นคดีทั่วสหรัฐ แม้จะมีทั้งคดีที่ชนะและแพ้ปะปนกัน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแทบจะประเมินมูลค่าไม่ได้

กระทั่งปี 2565 บริษัทประกาศยุติการจำหน่ายแป้งที่มี ‘แร่ทัลก์’ เป็นส่วนประกอบทุกประเทศทั่วโลก ปรับเปลี่ยนส่วนผสมเป็น ‘แป้งข้าวโพด’ แทน และในวันที่ 24 ม.ค.67 ก็มีรายงานจากสำนักข่าว ‘เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล’ (The Wall Street Journal) ออกมาเพิ่มเติมว่า ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ (Johnson & Johnson) จ่ายเงินตามข้อตกลงเป็นมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 25,000 ล้านบาท เพื่อยุติการสอบสวนในศาลสหรัฐมากกว่า 40 แห่ง

‘โจเซฟ วอล์ค’ (Joseph Wolk) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง หลังจากบริษัทต้องเผชิญกับคดีแป้งเด็กมาหลายปี โดยยอมรับว่า บริษัทพยายามทิ้งเรื่องเหล่านี้ไว้ข้างหลังอย่างสมเหตุสมผลเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ บริษัทมีโจทก์ยื่นฟ้องกว่า 52,000 ราย จากข้อกล่าวหาว่าด้วยส่วนผสมของแป้งฝุ่นที่มีสารก่อมะเร็งอยู่ด้วย

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ระบุว่า หากจะแก้ไขปัญหาเพื่อให้ครอบคลุมเงินเยียวยาโจทก์ผู้ฟ้องร้องทั้งหมด จอห์นสันฯ อาจต้องควักกระเป๋าจ่ายด้วยมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์ โดยเมื่อปี 2565 บริษัทเคยเสนอชดใช้แก่ผู้เสียหายด้วยตัวเลข 8,900 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 317,885 ล้านบาท ผ่านการยื่นล้มละลายเพื่อขอความคุ้มครองจากศาล ซึ่งศาลล้มละลายได้ปฏิเสธแผนดังกล่าว เนื่องจากบริษัทไม่ได้ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้คดียืดเยื้อออกไปอีกจนถึงวันนี้ และแม้ว่าตัวเลข 700 ล้านดอลลาร์ จะนับว่าสูงมากแล้ว แต่สื่อนอกหลายสำนักก็ได้มีการประเมินว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อาจต้องจ่ายมากถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ จนกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจะ ‘ชนะคดี’ เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พบว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีอีกสารพัดอย่าง ก่อนหน้าการจ่ายเงินเพื่อยุติการสอบสวนครั้งนี้ บริษัทจ่ายไปแล้วกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 75,000 ล้านบาท ให้แก่หญิงสาวกว่า 20 ราย ที่กล่าวหาบริษัทว่า แป้งเด็กของจอห์นสันฯ ทำให้พวกเธอเป็น ‘มะเร็งรังไข่’ หลังศาลฎีกาปฏิเสธที่จะฟังคำอุทธรณ์ของบริษัทในปี 2564

‘อย.เกาหลีใต้’ เตือน!! ไม่ควรกิน ‘ไม้จิ้มฟันผลิตจากพืช’ ทุกชนิด ชี้!! อาจแพ้-ท้องเสียได้ หลังเด็ก-เยาวชนทำตามคอนเทนต์ในโซเชียล

องค์การอาหารและยาแห่งเกาหลีใต้ได้ออกเอกสารเตือนเรื่อง ‘การบริโภคไม้จิ้มฟัน’ ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลแดนโสมขาว

โดยเฉพาะไม้จิ้มฟันสีเขียว ที่ทำจากแป้งข้าวโพด นิยมนำมาดัดแปลงทำอาหารบ่อยที่สุด จนหน่วยงานด้านอาหารและยาต้องออกโรงเตือนว่า ไม่ควรรับประทานไม้จิ้มฟัน เพราะถึงแม้ตัวไม้จิ้มฟันจะทำจากแป้ง แต่ก็ไม่ได้ผลิตมาเพื่อใช้บริโภคโดยตรง จุดประสงค์เพื่อเป็นของใช้ภายนอก และใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่นเดียวกับ แก้วน้ำ หรือ หลอดกาแฟ ที่ทำจากกระดาษ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงเรื่องสุขอนามัย หากบริโภคไม้จิ้มฟันเข้าไปในร่างกาย 

ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาเตือนเหล่าบรรดายูทูบเบอร์ ที่เผยแพร่คลิปวิดิโอ แสดงวิธีการดัดแปลงไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มีอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลี ในชื่อบัญชี @hiharu_22 เผยแพร่คลิปนำไม้จิ้มฟันไปทอดจนฟูกรอบ และนำมาราดด้วยชีส และกลายเป็นกระแสไวรัลในทันที เมื่อคลิปมียอดวิวสูงถึง 4.4 ล้านวิว จึงมียูทูบเบอร์คนอื่น ๆ ทำตามด้วยการนำไม้จิ้มฟันมาต้มกินแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นำไปผัดเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย

ปัญหาที่ตามมาคือ มีเด็กนักเรียน และวัยรุ่นเกาหลีจำนวนมาก แห่กินไม้จิ้มฟันตามคลิปที่แชร์ตาม ๆ กันมา ซึ่งเป็นอิทธิพลจากกระแสวัฒนธรรมการโชว์กินอาหารออกสื่อในโซเชียล ที่เรียกกว่า ‘ม็อกบัง’ (먹방) หนึ่งในคอนเทนต์ที่นิยมมาก ๆ ในเกาหลีใต้ จนผู้ปกครองเริ่มเป็นห่วงว่าการกินไม้จิ้มฟันจำนวนมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ 

เช่นเดียวกับองค์การอาหารและยาของเกาหลี ที่ต้องรีบออกมาเตือนว่า ไม่ควรบริโภคไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดโดยเด็ดขาด เนื่องจากไม้จิ้มฟันประเภทนี้ มักทำจากแป้งข้าวโพด หรือ แป้งมันฝรั่ง ผสมกับ สารซอร์บิทอล สารส้ม และสีสังเคราะห์ ที่เป็นสารเคมี ถึงแม้จะไม่ใช่สารที่เป็นอันตราย หากบริโภคเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าบริโภคเป็นปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ท้องร่วง อาเจียน หรือเกิดการอักเสบของอวัยภายในร่างกายได้

ดังนั้น ชาวโซเชียลก็ต้อง ‘พักก่อน’ ไม้จิ้มฟัน มีไว้จิ้มฟันพอ ถ้าหิวจริง ๆ ก็หาอย่างอื่นกินดีกว่า 

ชื่นชม!! ‘ทีมแพทย์จีน’ มุ่งมั่นเดินหน้า ‘ผ่าตัดสมอง’ สำเร็จ แม้ต้องเผชิญเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ในซินเจียงอุยกูร์ก็ตาม

(25 ม.ค. 67) ย้อนชมการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพของทีมแพทย์และพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองอาลาเอ่อร์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังคงปฏิบัติการ ‘ผ่าตัด’ ต่อไปอย่างระมัดระวังแม้เผชิญเหตุแผ่นดินไหว

ซึ่งคลิปวิดีโอเผยภาพทีมแพทย์และพยาบาล นำโดยศัลยแพทย์อันซูฟาง กำลังทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะผู้ป่วยวิกฤตรายหนึ่ง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมา จะเกิดการสั่นไหวจนพวกเขาทั้งหมดรับรู้ได้และนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจ

แม้อุปกรณ์การแพทย์ในห้องผ่าตัดจะสั่นไหวตามแรงแผ่นดินไหว อันซูฟางและทีมงานยังคงสงบและมีสมาธิอย่างมืออาชีพ จนกระทั่งทำการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงนี้เสร็จสิ้น และผู้ป่วยอยู่ในภาวะปลอดภัย

อันซูฟางเล่าว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกฉุกเฉิน หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกิดภาวะสมองเลื่อน ส่วนเหตุแผ่นดินไหวทำให้เตียงสั่น แต่เขายังคงผ่าตัดต่อจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

ทั้งนี้ อำเภออูสือ แคว้นอาเค่อซูของซินเจียง เผชิญเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.1 ตามมาตราแมกนิจูด ตอนราว 02.09 น. ของวันอังคาร (23 มกราคม ) ตามเวลาปักกิ่ง โดยจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ลึกใต้ดินราว 22 กิโลเมตร และห่างจากเมืองอาลาเอ่อร์ราว 240 กิโลเมตร

'สื่อญี่ปุ่น' เผย 'รถเทสลา' เริ่มถูกแบนในหลายสถานที่ของ 'จีน' หวั่น!! ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือจารกรรมข้อมูลในถิ่นมังกร

(26 ม.ค. 67) สื่อเผยป้าย 'รถเทสลาห้ามเข้า' ในหลายสถานที่ของจีน กลายเป็นเหตุชวนกุมขมับสำหรับผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยอดฮิตสัญชาติอเมริกัน ที่มีฐานผลิตใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เพราะดูจะมีสถานที่ห้ามรถ 'เทสลา' เข้า จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดย อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล

สำนักข่าว นิกเกอิ เอเชีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ของ 'เทสลา' (Tesla) ใน ประเทศจีน กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางเข้าสถานที่บางแห่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน เช่น ศูนย์ประชุม, ศูนย์นิทรรศการ, สถานที่ราชการบางแห่ง ฯลฯ เนื่องด้วยเกิดความกังวลด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

แหล่งข่าวกล่าวกับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียว่า สถานที่ต่างๆ ในจีนได้เริ่มห้ามรถของเทสลาเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเริ่มต้นสั่งห้ามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) ซึ่งสถานที่เหล่านี้รวมถึง สถานที่ราชการ หน่วยงานท้องถิ่น ผู้ให้บริการทางหลวง และแม้แต่ศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์จัดนิทรรศการ โดยก่อนหน้านี้ ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดเพียงแค่ฐานทัพหรือสถานที่ทางการทหารเป็นหลัก

หนึ่งในตัวอย่างของข้อจำกัดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ (Grand Halls) บริเวณใจกลางย่านนอร์ทบันด์ของนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม นิทรรศการระดับนานาชาติ และงานเลี้ยงต่างๆ

ผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่า รถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ แม้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเพียงแค่ขับผ่านก็ตาม

"หากคุณจะเข้าร่วมการประชุมที่นั่น ผู้จัดการประชุมจะแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า โดยแจ้งไม่ให้คุณขับรถเทสลา หรือเช่ารถเทสลาเข้าไป เนื่องจากคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสถานที่" ผู้อาศัยในพื้นที่รายหนึ่งกล่าว

ก่อนหน้านี้ เมืองบางแห่งในจีน ซึ่งมักเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬารายการสำคัญๆ ได้เพิ่มมาตรการจำกัดต่อรถเทสลา เช่น กรณีหนึ่งที่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่ารถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้ใช้ถนนบางเส้นระหว่างการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว

รายงานระบุว่า จีนคือตลาดสำคัญของเทสลา แต่เทสลากำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาแบรนด์คู่แข่งสัญชาติจีนเอง โดยล่าสุด บีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เพิ่งสร้างสถิติใหม่ ทำยอดขายทั่วโลกแซงหน้าเทสลาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566

‘ฮ่องกง’ เดินหน้าส่งเสริม ‘เศรษฐกิจงานอีเวนต์ขนาดใหญ่’ หวังดึงดูดใจผู้มาเยือน พร้อมเปลี่ยนชื่อเสียงสู่ความเจริญ

(26 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘จอห์น ลี’ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน แสดงความหวังจะส่งเสริม ‘เศรษฐกิจงานอีเวนต์ขนาดใหญ่’ (mega-event economy) เพื่อดึงดูดผู้คนมาเยือนฮ่องกงเพิ่มขึ้น และแปรเปลี่ยนชื่อเสียงเป็นความเจริญรุ่งเรือง

โดย จอห์น ลี กล่าวระหว่างการถาม-ตอบ ณ การประชุมสภานิติบัญญัติ (LegCo) ของฮ่องกงว่าตั้งแต่มีการกลับมาเดินทางตามปกติอย่างเต็มรูปแบบเมื่อต้นปีก่อน ฮ่องกงได้เป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่หลายงาน ครอบคลุมการประชุมระหว่างประเทศ นิทรรศการศิลปะ การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมเพื่อความบันเทิง

ซึ่งการจัดงานอีเวนต์เหล่านี้เพิ่มความน่าดึงดูดใจและโอกาสทางธุรกิจของฮ่องกง ส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว การโรงแรม อาหาร และการค้าปลีก โดยผู้มาเยือนทุก 1.5 ล้านคน มีส่วนส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจท้องถิ่นราว 0.1 จุด

รัฐบาลฮ่องกงตั้งเป้าหมายขยาย ‘ส่วนแบ่ง’ เพื่อรับรองว่าทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในมิติต่างๆ ดีขึ้น โดยมีการวางแผนฟื้นฟูเขตวานจื่อ (Wan Chai) บูรณะอาคารบางส่วนของรัฐบาลเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ ขยายศูนย์ประชุมและนิทรรศการเอเชียเวิลด์-เอ็กซ์โป ซึ่งทั้งหมดจะเพิ่มความจุสถานที่ของฮ่องกงราวร้อยละ 40

‘นครซีอัน’ จัดบริการ ‘รถไฟฟรี’ ขบวนพิเศษ พา ‘แรงงานต่างถิ่น’ กลับบ้านฉลองตรุษจีน

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ซีอัน เหล่า ‘แรงงานต่างถิ่น’ ในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ออกเดินทางด้วยรถไฟฟรีขบวนพิเศษ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ ซีอัน-เฉิงตู, ซีอัน-เจิ้งโจว และ ซีอัน-หลานโจว เพื่อกลับภูมิลำเนาในวันแรกของมหกรรมการเดินทาง ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2024

การบริการรถไฟฟรีสำหรับผู้ที่กลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เป็นมาตรการพิเศษจากบริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด สาขาซีอัน และสหภาพการค้าแห่งซีอัน ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2019 และเป็นประโยชน์กับแรงงานต่างถิ่นในส่านซีมากกว่า 4,000 คนแล้ว

อนึ่ง มหกรรมการเดินทางเทศกาลตรุษจีน ปี 2024 ระยะ 40 วัน ตรงกับวันที่ 26 ม.ค.-5 มี.ค. นี้

‘สเปน’ เผชิญ ‘ฤดูหนาวอบอุ่น’ ผลพวงจากอากาศแปรปรวน หลังอุณหภูมิพุ่งสูง 30 องศาฯ แดดแรงระอุเหมือนหน้าร้อน!!

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานถึงสถานการณ์สภาพอากาศแปรปรวนใน ประเทศสเปน หลังอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาว อบอุ่นขึ้น จนหลายพื้นที่ระอุเกือบ 30 องศาเซลเซียส และสถานีอุตุนิยมวิทยาราว 400 แห่ง หรือเกือบครึ่งของทั้งประเทศวัดอุณหภูมิได้เกิน 20 องศาเซลเซียส

โฆษกสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติระบุว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นถือเป็นความผิดปกติเพราะเป็นอุณหภูมิช่วงเริ่มต้นฤดูร้อนในเดือน มิ.ย. พร้อมเปิดเผยว่า อุณหภูมิสูงสุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา วัดได้ 29.5 องศาเซลเซียสในแคว้นบาเลนเซีย ทางตะวันออก

ขณะที่แคว้นมูร์เซีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ วัดได้ 28.5 องศาเซลเซียส และใกล้ๆ เมืองมาลากาในแคว้นอันดาลูซิอา ทางตอนใต้ วัดได้ 27.8 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ตอนกลางคืนก็อุ่นกว่าปกติ รวมถึงพื้นที่สกีรีสอร์ทใกล้กรุงมาดริดซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร และปกติจะมีหิมะปกคลุมในช่วงเวลานี้ของปี แต่เมื่อค่ำวันพุธที่ 24 ม.ค. กลับวัดอุณหภูมิได้ 10 องศาเซลเซียส

อากาศร้อนในช่วงฤดูหนาวมีสาเหตุมาจาก แอนติไซโคลน เหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นายเดวิด คอเรลล์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาเลนเซีย กล่าวว่า “ยังไม่มีการศึกษาที่ประเมินแนวโน้มระยะยาวของเหตุการณ์ประเภทนี้ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ผิดปกติประเภทนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ”

ก่อนหน้านี้ สเปนเพิ่งเผชิญหน้ากับอุณหภูมิในเดือน ธ.ค. ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 29.9 องศาเซลเซียสในเมืองมาลากา ความร้อนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางภัยแล้งที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะแคว้นคาตาโลเนีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และแคว้นอันดาลูเซีย ทางตะวันตกเฉียงใต้

ในเมืองบาร์เซโลนา เมืองหลวงของคาตาโลเนีย มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงเมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และเหลือประมาณร้อยละ 17 ของความจุ หากลดลงต่ำกว่าร้อยละ 16 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แคว้นคาตาโลเนียจะเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน

‘RAC’ เตือน!! ‘รถอีวี’ อาจเสี่ยงใช้งานไม่ได้ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เหตุสภาวะเย็นยะเยือกกัดกร่อนประสิทธิภาพรถ-ทำสถานีชาร์จไฟขัดข้อง

(28 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าเสี่ยงใช้งานไม่ได้ในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากอุณหภูมิที่หนาวเหน็บส่งผลกระทบต่อสถานะของแบตเตอรี อ้างถึงคำเตือนจาก ‘RAC’ บริษัทผู้ให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร

ระยะทางการขับขี่ของรถอีวี ที่อาจลดลงราวๆ 20% ในสภาพอากาศหนาวเย็น กำลังก่อความกังวลใหญ่หลวงแก่เจ้าของรถไฟฟ้า เนื่องจากมันอาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องแวะชาร์จไฟบ่อยครั้งขึ้น และก่อความเสี่ยงใช้งานไม่ได้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการเดินทาง

RAC เปิดเผยว่าพวกเขาจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับปัญหาที่พบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ จึงตัดสินใจติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟพิเศษบนรถตู้ของทางบริษัท

จากข้อมูลของ RAC พบว่าในทุกสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์แจ้งให้ไปดูรถยนต์ไฟฟ้า มีอยู่ราวๆ 6% เป็นเพราะรถยนต์เหล่านั้นพลังงานหมด

คริส มิลล์วอร์ด ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของ RAC ถึงขั้นอ้างว่าปัญหาขัดข้องที่เกิดขึ้นกับรถยนต์อีวี ทำให้ช่างของพวกเขาเจองานยากลำบากกว่าเดิม

เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอทีวีนิวส์ว่า “มันมีความต่างกัน เพราะถ้ารถอีวีแบตหมด ทุกๆอย่างจะหยุดทำงานและล้อจะถูกล็อก ดังนั้นมันจึงเป็นงานยากกว่าเดิมที่จะเคลื่อนย้ายออกจากถนน”

เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา สถานีชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าทั้งหลายทั่วเมืองชิคาโก ได้รับการเรียกขานจากพวกชาวบ้านว่าเป็น ‘สุสานของเทสลา’ เนื่องจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บกัดกร่อนประสิทธิภาพการทำงานของรถอีวี ขณะที่สถานีชาร์จไฟทั้งหลายเกิดเหตุขัดข้อง ไม่สามารถจ่ายไฟป้อนแก่รถอีวีได้

สภาพอากาศเย็นสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า ลดระยะทางการวิ่งได้ลงอย่างมากในหลายรุ่น เช่นเดียวกับปัญหาขัดข้องอื่นๆ ทั้งนี้จากการตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม 18 รุ่น จาก Recurrent บริษัทวิเคราะห์รถยนต์อีวี พบว่าสภาพอากาศหนาวสุดขั้วทำให้ระยะการขับขี่ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 70% โดยที่โมเดล S ของเทสลา เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุด

เมื่อปีที่แล้ว ทั้งเซ็นตริกา และรอยัลเมล รายงานพบ ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรีของพวกเขา มีระยะการวิ่งลดลง 40% ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ส่วนผลการศึกษาหนึ่งของทางนิตยสาร WhatCar? พบว่ารถยนต์ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือ นิสสัน อริยะ แต่กระนั้นรถยนต์รุ่นนี้ก็มีศักยภาพลดน้อยกว่าเดิมถึง 16%

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นนี้ มีระยะทางการขับเพียงเหลือเพียง 296 ไมล์ (ราว 476 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศเย็น จากระดับ 322 ไมล์ (ราว 581 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศปกติ ส่วนเทสลา โมเดล วาย ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ศักยภาพในการขับขี่ ลดลง 17.8% จากระดับที่แล่นได้อย่างเป็นทางการ 331 ไมล์ (500 กิโลเมตร)

‘เอ็ดมุนด์ คิง’ ประธานสมาคมยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร ยอมรับระยะการวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบ และประเด็นความน่าเชื่อถือเกิดขึ้นกับรถเกือบทุกคันในสภาพอากาศหนาวเหน็บ อย่างไรก็ตามเขามองว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น เป็นการพูดเกินจริงเลยเถิดจนเกินไป

“ข้อเท็จจริงคือ รถยนต์ทุกคันเย็นขึ้นและรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากภาวะที่เย็นขึ้น ในแง่ของระยะการวิ่ง มันเป็นบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนสภาพอากาศเย็นจัด คาดหมายว่าระยะการวิ่งจะลดลงราว 10% ถึง 20%” เขากล่าว

“ดังนั้น ในแง่ของความเป็นจริง ถ้าหากรถของคุณมีระยะการวิ่งสูงสุด 200 ไมล์ (ราว 320 กิโลเมตร) มันอาจลดลงเหลือ160 ไมล์ (ราว 257 กิโลเมตร) ทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับแบตเตอรีลิเทียมไอออนและปฏิกิริยาทางเคมี ปฏิกิริยาทางเคมีจะช้าลงเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวสุดขั้วและร้อนสุดขั้วจริงๆ อย่างไรก็ตามพวกผู้ขับขี่ส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องแลกกับอะไรในฤดูหนาวเช่นนี้ ระยะในการเดินทางทำได้ไม่ไกลนัก”

‘สาวพลัสไซส์’ ซื้อตั๋วเครื่องบิน 2 ที่ เจอแม่ลูกอ่อนขอนั่ง แต่ไม่ยกให้ กลับโดนด่าไม่มีน้ำใจ ด้านชาวเน็ตเสียงแตก ความจริงใครกันแน่ที่ใจร้าย?!

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 67 เรียกว่ากลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตต่างถกเถียงกัน เมื่อล่าสุดวันที่ 23 มกราคม 2567 เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ ได้เผยเรื่องของ ‘แจลินน์ ชานีย์’ อินฟลูเอนเซอร์วัย 34 ปี จากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์การนั่งเครื่องบินเมื่อไม่นานมานี้ โดยเธอได้จองตั๋วเที่ยวบินในประเทศจำนวน 2 ที่นั่ง สำหรับตนเอง เนื่องจากเธอเป็นสาวพลัสไซส์ หากจองที่นั่งเดียวจะลำบากทั้งตัวเธอเองและผู้โดยสารรอบข้าง เธอจึงจัดการปัญหาด้วยการจองที่นั่งเพิ่ม เพื่อให้ทุกคนได้สบายใจมากขึ้น

โดยที่ผ่านมาการเดินทางของชานีย์ก็ราบรื่นไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งครั้งล่าสุดนี้ มีผู้โดยสารหญิงรายหนึ่งซึ่งมาพร้อมลูกชายวัย 1 ขวบครึ่ง มาบอกให้ชานีย์นั่งเพียงเบาะเดียว เพื่อให้ลูกชายของเธอได้นั่งอีกเบาะหนึ่ง ซึ่งชานีย์ได้ย้ำว่า “เธอบอกให้ฉันทำ ไม่ได้ขอร้อง ฉันจึงบอกเธอว่าไม่ เพราะฉันจ่ายค่าที่นั่งนี้เพื่อที่จะได้พื้นที่เพิ่ม”

ซึ่งหลังจากที่คุณแม่รายนี้โดนปฏิเสธ ก็ไม่พอใจโวยวายเป็นเรื่องใหญ่ จนแอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข้ามา แต่แอร์โฮสเตสรายนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าข้างผู้โดยสารที่เป็นแม่ ขอให้ชานีย์พยายามนั่งเบียดนิดหน่อย เพื่อที่เด็กจะได้นั่งได้ด้วย แต่ชานีย์ก็ยังยืนยันว่าไม่ เพราะเธอต้องการจะใช้สิทธิ์ในที่นั่งที่เธอจ่ายเงินเอง

อย่างไรก็ตาม ทางแอร์โฮสเตสจึงขอให้ทางผู้โดยสารที่เป็นแม่ อุ้มลูกน้อยนั่งตักของเธอต่อไป ซึ่งผู้เป็นแม่จึงต้องจำใจทำเช่นนั้น แต่ตลอดเที่ยวบิน ชานีย์จะถูกมองค้อนและบ่นว่าด้วยคำพูดไม่ดีสารพัด อีกทั้งเด็กคนดังกล่าวก็ไม่อยู่นิ่งด้วย ทำให้เธอรู้สึกแย่มาก จึงตั้งคำถามทางโซเชียลว่า “ฉันผิดเหรอ? ถ้าคุณอ้วนมากจนต้องทำสิ่งนี้ แสดงว่าคุณเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเหรอ?”

หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งกล่าวตำหนิพฤติกรรมของแม่เด็ก รวมไปถึงพนักงานบนเครื่องบิน อาทิ

- “คุณจ่ายเงินซื้อที่นั่งพิเศษ คุณก็มีสิทธิ์โดยชอบ ส่วนแม่ของเด็กไม่วางแผนล่วงหน้าเอง ซื้อเพียงที่นั่งเดียว แล้วอาศัยผลประโยชน์ของเด็กไปรุกรานสิทธิ์ของคนอื่น เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ยังไปต่อว่าคนอื่น แบบนี้ใครใจร้ายกว่ากัน ส่วนพนักงานบนเครื่องบินก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหา ทำไมถึงบอกให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วมา 2 ที่ ไปนั่งเบียดตัวเองในที่เดียว”

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจสาวพลัสไซซ์ เข้าไปแสดงความเห็นตำหนิชานีย์ด้วยเช่นกัน เช่น

- “ถ้าคุณอ้วนมากจนต้องนั่งหลายที่นั่งบนเครื่อง ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัวเกินไป”
- “เด็กจะใช้พื้นที่สักเท่าไรกัน จริงอยู่ที่แม่ควรซื้อที่นั่งให้ลูก แต่คุณจะไม่จำเป็นต้องใจแคบขนาดนั้น เห็นแก่ตัวมากเกินไปจนทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สบายใจ”
- “สายการบินขายตั๋วเกินจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินอยู่ตลอด คุณเอาอะไรมาตัดสินว่า 2 ที่นั่งนั้นเป็นของคุณคนเดียว” เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top