Tuesday, 20 May 2025
World

‘จีน’ สั่ง!! ห้ามใช้ ‘ไอโฟน’ ในหน่วยงานรัฐทั่วประเทศ หวังเร่งเครื่องรณรงค์เลิกใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ มากขึ้น

(16 ธ.ค.66) หน่วยงานและบริษัทของรัฐบาลจีนจำนวนมากทั่วประเทศ ได้ออกคำสั่งให้พนักงานหยุดนำโทรศัพท์ไอโฟนและอุปกรณ์เคลื่อนที่ของบริษัทต่างชาติ ไปใช้ในสถานที่ทำงาน ซึ่งนับเป็นคำสั่งห้ามที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทของรัฐและหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งในอย่างน้อย 8 มณฑล ได้สั่งพนักงานให้เริ่มใช้อุปกรณ์สื่อสารของแบรนด์ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญนับตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายน เมื่อหน่วยงานเล็ก ๆจำนวนหนึ่งในปักกิ่งและเทียนจินได้แจ้งให้พนักงานเก็บอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทต่างประเทศไว้ที่บ้าน

ความพยายามดังกล่าวถือเป็นการเร่งรณรงค์ของจีนเพื่อให้ชาวจีนเลิกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ความนิยมของแบรนด์ในประเทศเพิ่มขึ้น อาทิ หัวเว่ย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจที่จะขยายการห้ามใช้อุปกรณ์สื่อสารของต่างชาติ นอกเหนือไปจากกระทรวงที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด เพื่อให้ครอบคลุมหน่วยงานและบริษัทของรัฐจำนวนมากขึ้น 

'เนทันยาฮู' รับ!! ทหารยิงพลาด ทำตัวประกันอิสราเอลเสียชีวิตไป 3 ราย หลังทหารคิดว่าตัวประกันทั้ง 3 เป็นภัยคุกคาม จึงระดมยิงใส่จนเสียชีวิต

(16 ธ.ค.66) กองทัพอิสราเอลออกมาแถลงยอมรับวานนี้ (15 ธ.ค.) ว่าเกิดการโจมตีที่ผิดพลาด จนทำให้ตัวประกันที่ถูกฮามาสคุมขังอยู่ในกาซาเสียชีวิตไป 3 ราย ซึ่งทางกองทัพกำลังดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อยู่

โฆษกกองทัพยิวระบุว่า ตัวประกันกลุ่มนี้ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มฮามาสในกาซา และขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมย้ำว่าจะมีการสอบสวนเรื่องนี้ ‘อย่างโปร่งใส’

กองทัพอิสราเอลอ้างว่า ระหว่างที่มีการสู้รบอย่างหนักหน่วงกับพวกฮามาส ทหารเกิดความเข้าใจผิด “คิดว่าตัวประกันชาวอิสราเอล 3 คนเป็นภัยคุกคาม จึงได้ระดมยิงใส่พวกเขาจนเสียชีวิต”

ตัวประกันที่เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ได้แก่ โยตัม ฮาอิม (Yotam Haim) ซึ่งถูกลักพาตัวไปจาก Kibbutz Kfar, ซาเมอร์ ทาลาลกา (Samer Talalka) ซึ่งถูกลักพาตัวไปจาก Kibbutz Nir Am และ อาลอน ชามริซ (Alon Shamriz) ซึ่งถูกลักพาตัวไปจาก Kibbutz Kjar Aza โดยพวกนักรบฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค.

นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ได้มีถ้อยแถลงปลอบใจญาติผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า “ผมขอร่วมกับชาวอิสราเอลทั้งหลายก้มศีรษะด้วยความโศกเศร้า และขอไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของลูกชายผู้เป็นที่รักของเราทั้ง 3 คนที่ถูกลักพาตัวไป”

“ผมขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้สูญเสียในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้”

Hostages and Missing Persons Families Forum ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนครอบครัวของผู้ที่ถูกลักพาตัวโดยฮามาสได้ออกมายืนยันรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน และแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการสู้รบอย่างหนักหน่วงกับพวกฮามาสซึ่งมักจะอำพรางตัวด้วยการสวมใส่ชุดพลเรือน และเมื่อวันพุธ (12) ก็ได้ประกาศว่ามีทหารอิสราเอลเสียชีวิตถึง 10 รายในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นความสูญเสียในรอบวันหนักที่สุดสำหรับอิสราเอลนับตั้งแต่สงครามกาซาปะทุขึ้น

กลุ่มมือปืนฮามาสได้บุกข้ามแดนมาโจมตีตอนใต้ของอิสราเอล สังหารประชาชนไปราว 1,200 คน และจับคนไปเป็นตัวประกันอีก 240 ชีวิตเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ขณะที่การโจมตีแก้แค้นของอิสราเอลที่ดำเนินมานานกว่า 2 เดือนก็ได้คร่าชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์ไปแล้วเกือบ 19,000 คนตามข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขกาซา และอาจจะยังมีอีกหลายพันศพที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังโดยไม่ใครรับรู้

ฮามาสได้ยอมปลดปล่อยผู้หญิง เด็ก และชาวต่างชาติออกมากว่า 100 คนระหว่างช่วงพักรบ 7 วันเมื่อปลายเดือนพ.ย. โดยแลกเปลี่ยนกับนักโทษหญิงและวัยรุ่นปาเลสไตน์ 240 คนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำอิสราเอล

นักโทษปาเลสไตน์เหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกจับฐานพยายามใช้มีดแทง ขว้างปาก้อนหินใส่ทหารอิสราเอล หรือถูกครหาว่ามีความเชื่อมโยงกับองค์กรที่ไม่เป็นมิตรกับอิสราเอล โดยส่วนใหญ่อยู่ภายใต้คำสั่งคุมขังทางปกครอง(administrative detention) ซึ่งก็หมายถึงการจับไปขังไว้เฉยๆ โดยไม่ไต่สวนความผิด

สถานีโทรทัศน์ช่อง 12 ของอิสราเอลรายงานว่า มีกลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนไปรวมตัวกันที่ด้านนอกฐานทัพอิสราเอลในกรุงเทลอาวีฟ และตะโกนเรียกร้องให้มีการ “ทำข้อตกลงในทันที”

เวลานี้ยังมีตัวประกันถูกคุมขังอยู่ในกาซาอีกกว่า 100 คน ซึ่งบางคนก็ถูกทางการอิสราเอลยืนยันว่าเสียชีวิตแล้ว

‘ทอม ล็อกเยอร์’ กัปตันลูตัน ทาวน์ หมดสติกลางสนาม เร่งนำตัวส่งรพ. สั่งยกเลิกเกมกับบอร์นมัธแล้ว หลังเสมอกัน 1-1 แฟนๆ แห่ให้กำลังใจ

(17 ธ.ค. 66) การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คู่ระหว่าง ‘เอเอฟซี บอร์นมัธ’ กับ ‘สโมสรลูตัน ทาวน์’ ที่สนามวิทาลิตีของบอร์นมัธ ต้องหยุดลงชั่วคราวก่อนที่กรรมการจะสั่งยกเลิก หลังทอม ล็อกเยอร์ กัปตันทีมลูตัน หมดสติในสนาม

โดยหลังเจ้าตัวล้มลงไปนั้น อยู่ในช่วงนาทีที่ 65 ของเกม สกอร์ยังเสมอกัน 1-1 เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเร่งปฐมพยาบาลนักเตะ ส่วนแฟนบอลยังคงอยู่ในสนาม

ล่าสุดมีรายงานว่าล็อกเยอร์มีสติและมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ขณะอยู่ในอุโมงค์ทางเข้าห้องแต่งตัว แต่ผู้ตัดสินตัดสินใจยุติเกมดังกล่าวทันที ท่ามกลางแฟนบอลที่แห่ให้กำลังใจกันทั้งโลก

ทั้งนี้ ทางล็อกเยอร์เองเคยหมดสติในรอบชิงเพลย์ออฟนัดสุดท้าย ชี้ชะตาเลื่อนขึ้นสู่พรีเมียร์ลัก เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเจ้าตัวได้เข้ารับการผ่าตัดหัวใจอีกด้วย

มะกันช็อก!! ยอด ‘คนไร้บ้าน’ ทั่วประเทศ พุ่งสูงกว่าครึ่งล้านคน หลังค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงลิ่ว เซ่นพิษโควิด-รัฐบาลลดความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, วอชิงตัน รายงานว่า รายงานจากกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า จำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จนแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ผลการตรวจนับของกระทรวงฯ พบจำนวนคนไร้บ้านทั่วสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมอยู่ที่ราว 653,000 ราย ซึ่งมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้า 70,650 ราย และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มต้นการตรวจนับในปี 2007

รายงานระบุว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันครองสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของประชากรสหรัฐฯ แต่กลับครองสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมด

ขณะชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกกลายเป็นคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยครองสัดส่วนร้อยละ 28 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมดในช่วงปี 2022-2023 ส่วนการไร้บ้านยกครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2012

ทั้งนี้ ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นและความช่วยเหลือเนื่องด้วยการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ลดลง ถือเป็นปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตคนไร้บ้านในสหรัฐฯ

‘สหรัฐฯ’ ขายอุปกรณ์หนุน ‘ระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี’ ให้ไต้หวัน มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความมั่นคง-รับมือภัยคุกคาม 

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติจำหน่ายอุปกรณ์สนับสนุนระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี (tactical information systems) มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน นับเป็นความช่วยเหลือด้านการป้องกันตนเอง ล่าสุดที่อเมริกามอบให้กับไทเป ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

สหรัฐฯ มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง ซึ่งการขายอาวุธให้ไทเปในลักษณะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของตน

สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (Defense Security Cooperation Agency – DSCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดเพนตากอน ระบุว่า การจำหน่ายเครื่องมือในครั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งศักยภาพด้านการบัญชาการ ควบคุม สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ หรือ C4 ของไต้หวันตามวงรอบอายุการใช้งาน

การสนับสนุนนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของไต้หวัน ‘ในการรับมือภัยคุกคามทั้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยการเสริมความพร้อมด้านการปฏิบัติการ’ และคงไว้ซึ่งศักยภาพ C4 ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลทางยุทธวิธีเป็นไปอย่างปลอดภัย

ด้านกระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลงว่า ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทเปสามารถคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบบัญชาการและการควบคุมร่วม และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ

“ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนที่เกิดขึ้นรอบเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเรา” กระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลง พร้อมกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือ และเชื่อว่าการจำหน่ายยุทธภัณฑ์รอบนี้จะมีผลเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน

ด้านทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุว่า ข้อตกลงขายอาวุธซึ่งถือเป็นครั้งที่ 12 แล้วภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นให้ความสำคัญยิ่งกับการสนับสนุนศักยภาพในการป้องกันตนเองของไต้หวัน

รัฐบาลไทเปยืนยันว่า อนาคตของไต้หวันต้องให้ชาวไต้หวันเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งไต้หวันก็กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีในวันที่ 13 ม.ค. ปีหน้า ในความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายจับตามองว่าน่าจะส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่

‘นักวิจัยจีน’ ผุด ‘เสื้อผ้าพลังงานแสงอาทิตย์’ ประสิทธิภาพสูง ช่วยคุมอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ให้รู้สึกสบาย แม้อากาศผันผวน

เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิจัยของจีนจากมหาวิทยาลัยหนานไคออกแบบระบบเสื้อผ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยืดหยุ่น พึ่งพาพลังงานในตัวเอง และมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยควบคุมให้ร่างกายมนุษย์คงอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่ทำให้รู้สึกสบาย แม้ว่าอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะผันผวน

ระบบเสื้อผ้าที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบยืดหยุ่นนี้ไม่ต้องอาศัยแหล่งพลังงานภายนอก ยกเว้นเพียงแสงแดด และต่างจากเสื้อผ้าควบคุมความร้อนรุ่นก่อนหน้า ตรงที่สามารถสร้างความอบอุ่นและทำความเย็นด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิสองทางตลอดทั้งวัน

การศึกษาระบุว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตลอด 24 ชั่วโมง หลังได้รับพลังงานแสงอาทิตย์เพียง 12 ชั่วโมง

นอกจากนั้น อุปกรณ์ข้างต้นทำงานเพื่อรักษาอุณหภูมิผิวหนังของมนุษย์ให้อยู่ในช่วงที่ทำให้รู้สึกสบาย ระหว่าง 32-36 องศาเซลเซียส แม้อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงที่ระหว่าง 12.5-37.6 องศาเซลเซียส

อุปกรณ์ใหม่นี้สามารถช่วยปรับปรุงความปลอดภัยและความรู้สึกสบายของร่างกายมนุษย์ ท่ามกลางอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่ผันผวน และยังอาจยืดระยะการเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น ในอวกาศ หรือบนดาวเคราะห์ดวงอื่น

อนึ่ง การศึกษาฉบับดังกล่าวเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (15 ธ.ค.) ในวารสารไซแอนซ์ (Science)

‘จีน’ เกิดเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ 6.2 แมกนิจูด ดับแล้ว 111 ราย บ้านเรือนพังยับ น้ำ-ไฟถูกตัดขาด ทีมกู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต

(19 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, จีสือซาน/ซีหนิง รายงานว่า สำนักงานใหญ่บรรเทาภัยพิบัติแผ่นดินไหว ในมณฑลกานซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รายงานเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.2 ตามมาตราแมกนิจูด บริเวณอำเภอกลุ่มชาติพันธุ์ในกานซู่ช่วงเที่ยงคืนของวันจันทร์ (18 ธ.ค.) ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในกานซู่และชิงไห่ ที่เป็นมณฑลใกล้เคียง รวม 111 รายแล้ว

ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวแห่งประเทศจีน เผยว่าเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นตอน 23.59 น. ของวันจันทร์ (18 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีความลึกของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว 10 กิโลเมตร และศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่ตำบลหลิ่วโกว ที่อยู่ห่างจากที่ตั้งของอำเภอปกครองตนเองจีสือซาน กลุ่มชาติพันธุ์เป่าอัน ตงเซียง และซาลา ในแคว้นปกครองตนเองหลินเซี่ย กลุ่มชาติพันธุ์หุยของกานซู่ราว 8 กิโลเมตร

กลุ่มผู้เห็นเหตุการณ์บอกกับสำนักข่าวซินหัวของจีนว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน ถนนหนทาง และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ โดยหลายหมู่บ้านประสบกับไฟฟ้าขัดข้องและการจ่ายน้ำหยุดชะงัก

หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่น ระบุว่า อุณหภูมิต่ำรายวันในจีสือซานอยู่ที่ -10 องศาเซลเซียสในวันอังคาร (19 ธ.ค.) ด้านสำนักดับเพลิงและกู้ภัยของกานซู่ได้ส่งทีมกู้ภัย 580 คน เข้าช่วยเหลือพร้อมรถดับเพลิง 88 คัน สุนัขค้นหาและกู้ภัย 12 ตัว รวมถึงชุดอุปกรณ์มากกว่า 10,000 ชุดไปยังพื้นที่เกิดภัยพิบัติ

ขณะที่หน่วยงานการรถไฟระงับการเดินขบวนรถไฟโดยสารและรถไฟสินค้า ผ่านพื้นที่เกิดแผ่นดินไหว และสั่งการให้ตรวจสอบความปลอดภัยของรางรถไฟ

‘หูชางเซิง’ หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกานซู่ และเหรินเจิ้นเฮ่อ ผู้ว่าการมณฑลกานซู่ ได้เร่งเดินทางลงพื้นที่เกิดภัยพิบัติเพื่อบัญชาการงานกู้ภัยและบรรเทาทุกข์แล้ว

‘เซลีน ดิออน’ เจ้าของเพลงไททานิก อาการทรุด ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ หลังป่วยเป็นโรคหายาก พบ 1 ในล้าน และเข้ารับการรักษามากว่า 1 ปี

(19 ธ.ค.66) อาการล่าสุด ของ ‘เซลีน ดิออน’ นักร้องชื่อดังชาวแคนาดา วัย 55 ปี เจ้าของบทเพลงดังอย่าง My Heart Will Go On จากภาพยนตร์เรื่อง Titanic ที่ป่วยด้วยโรค Stiff Person Syndrome หรือ โรคคนแข็ง ที่เป็นโรคทางระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็งและกระตุก โดยตอนนี้เธอสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก ‘คลอเดต ดิออน’ พี่สาวของเธอ

พี่สาว ‘เซลีน ดิออน’ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวของแคนาดา ว่า ‘สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซลีน ตั้งใจและมีวินัยเรื่องการรักษาอาการป่วยมาโดยตลอด เธอตั้งใจมาก และคุณแม่ของพวกเราก็คอยให้กำลังใจเธอ โดยบอกว่า ลูกจะไม่เป็นไร ลูกจะต้องกลับมาแข็งแรง’

ทั้งนี้ ‘เซลีน ดิออน’ ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรค Stiff Person Syndrome เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ทำให้เธอต้องประกาศยกเลิกการแสดงทัวร์คอนเสิร์ต Courage ทั้งหมด เพราะอาการป่วยส่งผลให้เธอมีอาการชักกระตุก จนไม่สามารถเดินหรือร้องเพลงได้เหมือนเดิม

พี่สาวของ ‘เซลีน ดิออน’ บอกว่าความฝันของเธอคือการได้กลับมาร้องเพลงบนเวทีอีกครั้ง ไม่ว่าจะกลับมาร้องเพลงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเธอบอกเสมอว่า คิดถึงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่บนเวที และเธอทุ่มเท 100% ให้กับการแสดงทุกครั้ง

โรค Stiff Person Syndrome เป็นโรคที่หายาก ที่จะเกิดกับคนแค่ 1 ในล้าน ที่เกิดจากภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ผิดปกติในสมองและกระดูกสันหลัง ซึ่งการรักษาแพทย์จะรักษาตามอาการ เช่น ลดอาการเกร็ง และการกระตุกของกล้ามเนื้อ 

‘ฮ่องกง’ เผชิญวิกฤติ ‘นักท่องเที่ยวจีนหด-ยอดจับจ่ายลดฮวบ’ หลังขาชอปกระเป๋าหนักเริ่มเอือม เปลี่ยนจุดหมายไปไหหลำแทน

เจ้าของธุรกิจร้านค้า แบรนด์เนมหรูในฮ่องกง ถึงคราวต้องเปลี่ยนกลยุทธ์หนีตาย หลังพบยอดนักท่องเที่ยวจีนระดับไฮ-เอนด์ ลดฮวบ ยอดจับจ่ายไม่ตรงตามเป้า คาด พิษเศรษฐกิจจีนยังซบเซา อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเอือมฮ่องกง หนีไปเที่ยว ‘เกาะไหหลำ’ แทน

คาดการณ์ผิด ธุรกิจเปลี่ยนทันที สำหรับฮ่องกง ที่เคยขึ้นชื่อเรื่องแหล่งชอปปิงสุดฮิตติดลมบนของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นิยมมาจับจ่ายซื้อสินค้าหรู แบรนด์เนมกันทีละมากๆ ดั่งสำนวนที่ว่า “shop till you drop - ไม่ล้มละลาย ไม่เลิก”

แม้แต่ช่วงก่อน Covid-19 ที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ก็ยังมีฮ่องกงที่ยังคึกคักไปด้วยลูกค้ากระเป๋าหนักจากจีนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติ Covid-19 ที่ทางการฮ่องกงต้องใช้มาตรการ Lockdown ปิดเกาะ คัดกรองชาวต่างชาติ และชาวจีนนานแรมปี จนทำให้ร้านค้าในฮ่องกงจำนวนมากต้องยุติกิจการไป

แต่หลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านพ้นไป ทางการฮ่องกงเคยคาดว่า การท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักได้ดังเดิมภายในเวลา 1 ปี รวมถึงยอดจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว ที่อั้นไว้นานตั้งแต่ช่วงปิด Covid-19 แต่ยอดนักท่องเที่ยวกลับไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มาน้อยลงกว่าที่คาด แถมยอดการจับจ่ายซื้อของต่อคนที่เคยหวือหวา ตอนนี้ลดเหลือเพียง 18-55% จากค่าเฉลี่ยในปี 2018 ก่อนเกิน Covid-19

สัญญาณเตือนแรงมาจากการเริ่มทยอยปิดร้านบางสาขาของร้านค้าแบรนด์หรูในฮ่องกง ทั้ง Valentino, Burberry, Louis Vuitton และล่าสุด Harvey Nichols ห้างหรูสัญชาติอังกฤษก็ประกาศคืนพื้นที่เช่า ปิดกิจการสาขาใหญ่ ในเขต Central ในห้าง Landmark Store ในปลายปี 2023 นี้แล้วเช่นกัน เนื่องจากยอดการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลหยุดยาวของจีนไม่เข้าเป้า การลดสาขาจึงเป็นทางออกที่ดีกว่าในการรักษาระดับผลกำไร จากการขายสินค้าแบรนด์หรูในสถานการณ์ที่ลูกค้ามีจำนวนลดลง

นักวิเคราะห์ด้านการตลาดมองว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง แถมยอดจับจ่ายต่อหัวก็ลดลงตามไปด้วย เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจของจีน ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เหมือนก่อนช่วง Covid-19

แต่บางส่วนมองว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงตั้งแต่เข้าปี 2019 แล้ว จากผลพวงของเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกง ที่ลุกลามจนเกิดกระแส ‘ปลดปล่อยฮ่องกง’ เมื่อมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงออกในเชิงเหยียด ไม่ต้อนรับชาวจีนแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 เสียอีก

มิหนำซ้ำ การเติบโตของการซื้อสินค้าออนไลน์ และสถานที่ท่องเที่ยวคู่แข่งอย่างเกาะไหหลำ ที่รัฐบาลจีนหมายมั่นปั้นให้เป็น ‘เกาะฮาวายแห่งประเทศจีน’ ด้วยนโยบายเกาะปลอดภาษี ที่ให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวสามารถมาชอปปิงสินค้าแบรนด์หรูปลอดภาษีได้ไม่อั้น จนทำให้มีร้านค้ามาเปิดกิจการแล้วมากกว่า 3,000 แบรนด์ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 28.6 ล้านคน ภายในแค่ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่มาแรงของเกาะฮ่องกง

‘โรแซนนา ถัง’ ผู้บริหารของห้าง Cushman & Wakefield ในฮ่องกงมองว่า ตอนนี้กระแสการท่องเที่ยวในฮ่องกงเริ่มเปลี่ยนจากจุดหมายปลายทางของการชอปปิง ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น หากดูจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่นิยมไปเช็กอินตามจุดถ่ายรูป จุดชมวิวสวยๆ ที่สามารถแชร์ลงสื่อโซเชียลได้ จนกลายเป็นคำศัพท์บัญญัติใหม่ว่า ‘Instragramable places’

กิจการ ร้านค้าหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนบรรยากาศร้านใหม่ หรือขยายไปจับธุรกิจร้านน้ำชา คาเฟ่ ร้านนั่งชิล ร้านอาหารที่ขายบรรยากาศ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่มมากกว่า

รัฐบาลฮ่องกงก็เล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปเช่นกัน และพยายามที่จะผลักดันโปรเจกต์ส่งเสริมการท่องเที่ยวฮ่องกงในรูปแบบใหม่ เช่น การจัดงานเทศกาลประจำฤดู งานวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำคัญ โปรโมตการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แบบ ‘Unseen Hong Kong’ ที่ไม่ใช่แค่จุดหมายเรื่องการชอปปิง แต่สามารถมาท่องเที่ยวแบบ Outdoor ปีนเขา ล่องทะเลได้ด้วย

แต่ก็ต้องใช้เวลา และทุนสนับสนุนไม่ใช่น้อยทีเดียว ในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับฮ่องกง เมื่อเกาะสวรรค์แห่งการชอปปิงสินค้าหรูกำลังสิ้นมนต์ขลัง เพราะคู่แข่งในย่านเอเชียที่มาแรงอย่างเกาะไหหลำของจีน การปรับลุคใหม่เพื่อเรียกลูกค้าเก่าจากแผ่นดินใหญ่ให้กลับมาอีกครั้ง นับเป็นโจทย์หินที่ท้าทายอย่างมากจริงๆ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ญี่ปุ่น’ พบ ‘วัยทำงาน’ เกือบ 60% ไม่อยากร่วมฉลองปีใหม่ที่ทำงาน เหตุ ‘ไม่เห็นความจำเป็น-เหนื่อยใช้พลังงานเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคน’

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจทางออนไลน์จาก ชูฟู จ็อบ โซเก็น (Shufu Job Soken) สถาบันวิจัยเอกชนในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น พบว่าเกือบร้อยละ 60 ของผู้ใหญ่วัยทำงานในญี่ปุ่นไม่สนใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่กับเพื่อนร่วมงาน

การสำรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายนสอบถามผู้หญิงและผู้ชายวัยทำงาน อายุ 20-50 ปีขึ้นไป จำนวน 559 คน เกี่ยวกับความเต็มใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำและกินดื่มกับเพื่อนร่วมงานเนื่องในวันปีใหม่ตามธรรมเนียม

ร้อยละ 57.4 เผยว่า ‘ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมเลย’, ‘ไม่เต็มใจจะเข้าร่วม’ หรือ ‘ค่อนข้างไม่เต็มใจจะเข้าร่วม’ โดยคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ร้อยละ 63 ตามด้วยคนอายุ 20 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 55.9) คนอายุ 40 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 55.8) และคนอายุ 50 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 52.1)

สำหรับเหตุผลหลักของการไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ ‘ไม่เห็นความจำเป็น’ (ร้อยละ 48.4) ‘เหนื่อยกับการใช้พลังงานเพื่อมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเข้มข้น’ (ร้อยละ 46.8) ‘อยากให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว’ (ร้อยละ 46.5) และ ‘กังวลเกี่ยวกับการใช้เงิน’ (ร้อยละ 43)

อนึ่ง การสำรวจนี้ยังสอบถามถึงความจำเป็นของการมี ‘วัฒนธรรมงานเลี้ยงปีใหม่’ ในที่ทำงาน ซึ่งร้อยละ 62.1 มองว่า “ไม่มีความจำเป็น”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top