Tuesday, 10 December 2024
WeeklyIssue

ส่องสูตร ‘ผู้ว่าฯ หมูป่า’ ฝ่าทุกวิกฤต เพราะผู้นำเชิงรุก ต้องเล่นเกมบุกในทุกสถานการณ์

ย้อนกลับไปเกือบเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เหตุการณ์เด็ก 12 คน และครูฝึกฟุตบอลทีมหมูป่า 1 คน หรือเรียกกันว่า ‘13 หมูป่า’ นั้น ได้ติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย 

เหตุการณ์นี้สร้างปรากฏการณ์ในแบบที่ทั่วโลกต่างระดมความช่วยเหลือมาที่ประเทศไทย จนสุดท้ายทั้ง 13 คน ได้รับความช่วยเหลือออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ นับเป็นความสำเร็จของยอดฝีมือทั่วโลก ในการแก้ไขภาวะวิกฤตครั้งนั้นจนสำเร็จ 

แต่เบื้องหลังความสำเร็จโดยแท้ อยู่ภายใต้ผู้บัญชาการหลักในสถานการณ์วิกฤตในครั้งนั้น…

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย!!

ใช่แล้ว!! นายณรงศักดิ์ โอสถธนากร หรือ หลายคนคุ้นกับคำว่า ‘ผู้ว่าฯ หมูป่า’ ในช่วงเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สามารถบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตดังกล่าวได้อย่างน่าประทับใจ 

“ความเป็นความตายมันห่างกันแค่เส้นบาง ๆ นิดเดียว ถ้าเราตัดสินใจผิด ก้าวผิด จะทำให้เราหลุดเข้าไปสู่ในเส้นที่เราไม่ได้อยากเข้าไปในนั้น” นายณรงศักดิ์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจครั้งนั้น ไว้ในบทสัมภาษณ์กับสื่อ ๆ หนึ่ง 

จากวันนั้นถึงวันนี้ วันที่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ทำทั่วโลกผวา การช่วยเหลือกันระหว่างประเทศ อาจจะบางตาลง เพราะทุกคนเจอสภาพเดียวกัน นั่นหมายความว่า ทุกคน ทุกประเทศ ต้องหาทางดิ้นรนตามเส้นทางของตนเองให้ได้ 

จุดนี้ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ ที่ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำ’ ของ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์อีกครั้ง ภายใต้การบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดในจังหวัดลำปาง ที่ท่านได้มารั้งตำแหน่งผู้ว่าฯ ของเมืองนี้ โดยมีเสียงสะท้อนจากสังคมดังระงมว่า ‘ลำปางรอดตาย’ เพราะท่านเป็นผู้นำโคตรเก่ง

เหตุเกิดจากการบริหารสถานการณ์วิกฤตในสไตล์แบบผู้นำเชิงรุก บุกเข้าไปจับทุกปัญหา แล้วแก้แบบไม่ให้เกิดการเสียเวลา ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนผ่านเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของคนลำปาง ที่ได้รับการเปิดเผยโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง (สสจ.) นายประเสริฐ กิจสุวรรณรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปางว่า…

“มีผู้ประสงค์จองการฉีดวีคซีน 2.3 แสนคน โดยประชากรในจังหวัดลำปางซึ่งมีประมาณ 7 แสนคนนั้น หากสามารถฉีดวัคซีนได้ครบ 5 แสนคน จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอ ที่จะทำให้คนลำปางถอดหน้ากากกินข้าวด้วยกันได้” นายแพทย์ประเสริฐ กล่าว

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจำนวนคนลำปางที่พร้อมใจกันลงทะเบียนฉีดวัคซีนถึงมากมายเป็นรองเพียงกรุงเทพฯ เท่านั้น 

นั่นก็เพราะคนลำปางให้ความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ผู้นำของเขา!!

แล้วผู้นำของเขามีอะไรให้น่าเชื่อใจ?

การบริหารสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดของผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ เป็นหลักการบริหารงานแบบมืออาชีพ ตั้งแต่การสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ของเรื่องวัคซีน จนประชาชนเกิดความมั่นใจ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามวัน แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มเพาะแบบข้ามคืน

แผนงานของ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ หากกางออกมาแล้วจะพบว่า มีทั้งการตั้งเป้าหมาย เขียนแผน และมีการดำเนินงานไปตามแผนอย่างลงรายละเอียด หลังจากนั้นก็มีการสร้างทีม โดยกระจายทีมออกเป็น 3 ทีม ด้วยเหตุผลรองรับว่า หากมีทีมใดทีมหนึ่งเกิดติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงาน อีก 2 ทีม ก็สามารถทดแทนกันได้

นอกจากนี้ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ยังใช้กลไกระดับท้องถิ่นของระบบสาธารณสุข ซึ่งก็คือ อสม. หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เคาะประตูทุกบ้าน เพื่อไปช่วยเหลือให้ชาวบ้านเข้าถึงการลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้ไว เพราะเข้าใจถึงสภาพความจริงว่าคนเถ้าคนแก่ หรือคนต่างจังหวัดบางส่วน ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี อย่างเช่น การลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ‘หมอพร้อม’ ตามที่สาธารณสุขกลางให้ลงทะเบียนนั้น มีหลายคนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ทำไม่ได้ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ทางจังหวัดลำปางยังได้สร้างแอปพลิเคชัน ‘ลำปางพร้อม’ เพื่อรวบรวมข้อมูลของประชาชนในพื้นที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ‘หมอพร้อม’ ระบบใหญ่อีกต่างหาก เพื่อป้องกันปัญหาคอขวด ข้อมูลไม่ครบ โดยเจ้าหน้าที่ของทางจังหวัดและอสม. จะเก็บรายงานทั้งหมด และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเอง เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ!!

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เหนือยิ่งกว่าระบบการบริหารจัดการเชิงรุก ก็คือ การสื่อสารอย่างจริงใจและมีจิตวิทยาของผู้นำ คือ ไม่ปกปิดข้อเท็จจริง ลุยงานด้วยตัวเอง และใช้วาทะที่ว่า “หากใครไม่ร่วมลงทะเบียนฉีดวัคซีน จะกลายเป็นคนนอกคอกนะ” การสื่อสารเช่นนี้ ก็ถือเป็นจิตวิทยาที่น่าสนใจ สุดท้ายลำปางจึงกลายเป็นจังหวัดที่เปอร์เซ็นต์ผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนต่อประชากรสูงที่สุดในประเทศในช่วงนั้น

สถานการณ์สร้าง ‘วีรบุรุษ’ ฉันใด ในภาวะวิกฤตสงครามก็มักจะสร้าง ‘ผู้นำ’ ที่ยอดเยี่ยมฉันนั้น!!

2 เหตุการณ์วิกฤตใหญ่ระดับโลก กับ 1 ผู้นำที่ชื่อว่า ณรงศักดิ์ โอสถธนากร คงพอจะทำให้เราได้รู้แล้วว่า…

ผู้นำที่ดี ที่ประชาชนเขาอยากได้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง!!

 

คน (พยายาม) ดี เหตุใด​ 'การทำดี'​ ต้องมี 'ความพยายาม'​

การแสดงออกในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่คิดต่าง บางครั้งอาจต้องยอมสูญเสียความเป็นตัวเอง​ด้วยการ เสแสร้งบ้าง​ สร้างภาพบ้าง เพื่อให้สามารถยืนอยู่รอดในสังคม 

เชื่อไหมว่า​ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมโน​ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยยึดมั่นจนกลายเป็นหลักสูตรที่ฝึกหัดกันอย่างแพร่หลาย​ เพื่อให้ได้รับ 'สถานภาพอันดีทางสังคม' มาครอบครอง

เห็นปรากฏการณ์แบบนี้แล้ว​ จึงอดคิดไม่ได้ว่า​ สังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่​ ล้วนเต็มไปด้วย 'หน้ากาก'​ ที่ซ้อนทับ​ 'หน้ากากกันโควิด'​ 

เพียงแต่ที่น่ากลัว​กว่านั้น คือ​ ตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงการสร้างสถานภาพอันดี ผ่าน​ 'ความพยายามในการทำดี​' หรือจะเรียกแรงๆ​ ว่า​ 'ทำดีเอาหน้า'​ ก็ไม่ผิดอันใด



เอ่อ!! นี่เรามาถึงจุดนี้แล้วหรือ​ จุดที่ต้องทำให้สังคมเห็นว่า​ 'ฉันคือคนดี' 

- ตัวตนของเราจริงๆ
- ตัวตนที่ไร้การปรุงแต่ง
- ตัวตนของคนที่อยากทำดีแบบไม่ต้องเสแสร้ง 

สิ่งเหล่านี้​ ยังมีจริงอยู่​หรือไม่? 

แล้วเหตุใดถึงเกิดประเด็นเช่นนี้ในสังคม? 

ว่ากันว่า​ คำนิยามของการทำความดีนั้นมีอยู่มากมาย​ เช่น​ สิ่งที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ ความพอใจ ความสุขใจ ความอิ่มเอมใจที่ส่งต่อให้แก่ผู้อื่น​ สังคม​ ประเทศ​ และโลก​ ในแบบที่ตัวผู้ทำไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อนตนเอง​ และครอบครัว

ฟังดูแล้ว​ ธรรมดา!! 

ใช่!! มันธรรมดามากๆ

และเพราะมันธรรมดามากๆ​ นี่แหละ​ มันจึงไม่สอดรับกับสภาวะใหม่ของสังคมปัจจุบัน​ 'สังคมของคนหิวแสง'​ ที่เริ่มหยิบการทำดีแบบได้รับยอมรับและยกย่องเข้ามาเอี่ยว

อย่างที่บอก!! วันนี้​หลายคนที่ต้องสวม 'หน้ากากมนุษย์' เพื่อเข้าหาสังคมแห่งการยกย่อง​ ชื่อเสียง​ เกียรติยศ​ และผลประโยชน์ให้เชื่อมโยงเข้าตัวเอง​ จำเป็นต้องสร้าง​อัตลักษณ์บางอย่างให้เกิดการจดจำ

นั่นจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยาก​ ที่ตัวแปรอย่าง​ 'การทำความดี'​ จะถูกแปรเจตนาจาก​ 'ทำเพราะมันคือความดี'​ เป็น​ 'ทำเพราะฉันต้องพยายามทำความดี'​ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็เช่น นักแสดง เน็ตไอดอล หรือศิลปินบางคน เมื่อครั้งที่ยังไม่มีชื่อเสียง ก็ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ทำความดีได้แต่ไม่ถึงกับเอิกเกริกยิ่งใหญ่ เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องพยายาม​ อยากทำอะไรที่สุขใจก็ทำกันไป

แต่เมื่อก้าวเข้ามาในวงการ มีชื่อเสียง มีคนมากมายรู้จักและให้ความสนใจ กลายเป็นบุคคลสาธารณะ ก็มีโจทย์ใหญ่พ่วงชีวิตเข้ามา​ นั่นคือ​ 'การพยายามเป็นต้นแบบที่ดีให้กับผู้อื่น'​ 



ทุกอย่างที่ทำถูกจับตามอง เพราะเขากลายเป็นคนที่ต้องอยู่ท่ามกลาง​ 'แสง'​ แม้จะหิวแสงหรือไม่หิวแสงก็ตาม​ 

ฉะนั้น​ หลายๆ​ กิจกรรมของการทำความดี​ จึงไม่ใช่แค่ทำเพราะอยากทำ​ แต่ต้องทำแล้วมีผลประโยชน์​ ทำแล้วต้องมีผู้คนยกย่องสรรเสริญ​ โดยมีกระบวนการคัดกรองความดีที่ทำ​แล้วเวิร์กในสายตาสังคม

ว่ากันไปขนาดนั้น!! ก็ขนาดนั้นเลยนั่นแหละ!! เพราะทำแล้ว​จะ Failed ก็ไม่ได้​ ทำแล้วถูกจับผิดนินทาว่า​ Fake ก็ไม่ได้อีก​ โอ้โห!! ทำไมมันดูยากจัง

แต่นี่แหละ​ คือ​ กฎเหล็กของการทำดีเอาหน้า​ เพราะทุกอย่างก็เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดในการทำงานหรือแม้แต่การอยู่ในสังคมทั้งสิ้น

อันที่จริง​ ที่เล่ามาทั้งหมด​ ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด​ เพราะอย่างน้อย​ ต่อให้พยายามทำดี​ มันก็คือ​ 'ความดี'​ ที่ได้ทำเหมือนกัน​ แต่แค่มันดูน่าเศร้า​ ที่บางครั้งเราต้องเลือกใช้ชีวิต​ ใช้คำพูด​ สายตา​ การแสดงออก​ ที่มาจากการกลั่นกรอง​ เพียงเพื่อคนอื่น​

มันก็เลยลามมาถึงคำถามที่ว่า​ การทำความดีที่เคยมีการนิยามไว้​นั้น เป็น​ 'อะไร'​ ในสังคมมนุษย์กันแน่​ 'เครื่องมือปันความสุข' หรือ​ 'เครื่องมือปั้นความสุข'​

แล้วสรุปเราจะเลือกอยู่กับ​ 'สังคมพยายามดี'​ ที่มีคนยกย่อง​ เชิดชู​ แต่ไม่มีความสุขใจ

หรือเลือกทำดี 'ตามหัวใจ'​ โดยไม่ต้องพยายาม​ แม้ไร้คนเชิดชู

คำถามนี้​ ทุกคนมีคำตอบ​ ผ่านคำถามอีกทอดที่ว่า... 

'หิวแสง'​ หรือเปล่าล่ะ? 

‘Yes man’ ชีวิตเกือบตุ้บ เพราะมุ่ง​ 'เซย์เยส'​

เชื่อว่าหลายๆ​ คนคงได้ยินประโยคติดหูอย่าง ‘ทำดีย่อมได้ดี’ ซึ่งก็อาจจะจริง แต่ไม่จริงทั้งหมด วันนี้เลยอยากจะยกกรณีของหนังเรื่อง ‘Yes Man’ หรือชื่อไทย ‘คนมันรุ่งเพราะมุ่งเซย์เยส’ หนัง Feel Good ที่สะท้อนให้เห็นว่าการทำดี (แบบไม่ลืมหูลืมตา) ก็ไม่ใช่ผลดีเสมอไป

โดยหนังเรื่องนี้ได้เล่าถึง ‘คาร์ล อัลเลน’ นายธนาคาร ที่มีชีวิตสุดหดหู่ เพราะการหย่าร้าง ทำให้เขาเริ่มใช้ชีวิตแบบหันหลังให้สังคม คำพูดติดปากของเขาคือ​ การเซย์ ‘โน’ (ปฏิเสธทุกอย่าง)​

เขาปฏิเสธกับทุกสิ่งที่เหวี่ยงเข้ามาในชีวิต แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้มาเจอกับเพื่อนเก่าที่ชักชวนให้เขาไปเข้าร่วมสัมมนา ที่ทุกคนต่างพูดแต่คำว่า ‘เยส’ (ตอบรับทุกเรื่อง)​ ซึ่งก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่ม​ 'เซย์เยส’ กับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต 

หลังจากนั้นชีวิตเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป​ เพราะชีวิตที่เคยมีแต่ความหดหู่กลับมีเรื่องดีๆ เข้ามา แต่เมื่อไหร่ที่เขาเซย์ ‘โน’ เรื่องแย่ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเขาไปเสียทุกที ทำให้เขายิ่งเชื่อว่าหากเขาเริ่มปฏิเสธเขาก็จะกลับมาสู่ชีวิตหดหู่แบบเดิมอีกครั้ง 

เพียงแต่การเซย์ ‘เยส’ ของเขา​ ก็ใช่ว่าจะเจอเรื่องดีๆ​ ทั้งหมด​ เพราะมันกลับทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆ   ด้วยเช่นกัน​ เมื่อเขาดันตกปากรับคำไปซะทุกเรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่เต็มใจทำ หรือเกินความสามารถที่เขาจะทำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขาต้องมาทำความเข้าใจเสียใหม่กับการ เซย์ ‘เยส’ แบบไม่ลืมหูลืมตาของเขา

จากโลกของหนัง​ อ้อมมาสู่โลกของความเป็นจริง​  อะไรที่หล่อหลอมให้คนหนึ่งคนเกิดพฤติกรรมชอบเยสแบบ​ ‘คาร์ล อัลเลน’

ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่สะท้อนจากเรื่องนี้​ คือ ‘ความขี้เกรงใจ’ จนไม่กล้าปฏิเสธ ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาของจีน 'โจวเหวยลี่'​ เชื่อว่า "ความวุ่นวายส่วนใหญ่ของชีวิตมาจากการที่คุณพูดว่า YES เร็วเกินไป และพูดว่า NO ช้าเกินไป" โดยเธอมองว่าความเกรงใจกลายเป็นส่วนหนึ่งที่มาทำลายชีวิต 

และทางออกที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้​ ก็ง่ายๆ​ แค่หัดรู้จักเซย์ ‘โน’ เสียบ้าง ซึ่งอาจจะต้องเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด กำจัดความเกรงใจออกไป เพื่อให้เรากล้าที่จะปฏิเสธ พร้อมท่องจำไว้ด้วยว่า "ก่อนจะเห็นแก่คนอื่น เราต้องเห็นแก่ตัวเองเสียก่อน" 

"การปฏิเสธไม่ใช่การกระทำที่แย่ แต่เราควรต้องเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า ‘ไม่’ และคำว่า ‘ได้’ ไปพร้อมๆ​ กัน"

หากมองดูจากภาพยนต์เรื่อง Yes Man นี้แล้วก็สะท้อนให้เห็นว่าการเซย์ ‘เยส’ ที่สุดโต่ง​ หรือ​ 'โน'​ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ย่อมสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองได้ทั้งนั้น

ฉะนั้นหนทางที่ดีที่สุด​ คือ ควรอยู่บนความพอดี เราควร เซย์ ‘เยส’ กับเรื่องที่ทำได้ และเซย์ ‘โน’ กับเรื่องที่เกินตัวไปสำหรับเรา เพราะถ้ายังเป็น Yes Man ในชีวิตจริง ก็คงชีวิตหวิดตุ้บ เพราะมุ่งเซย์เยสอย่างแน่นอน


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.brandthink.me/content/moody-digest-say-no
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1229676

ขอเป็น ‘คนดี’ ที่โลกไม่ต้องจำ

ไม่มีงานไหน ‘สำเร็จ’ ได้ด้วยตัวคนเดียว 

ประโยคนี้ไม่เคยผิดเพี้ยน ไม่ว่ายุคเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด 

นั่นก็เพราะทุกความสำเร็จของงาน ล้วนประกอบไปด้วย ‘คนเบื้องหน้า’ และ ‘คนเบื้องหลัง’ ซึ่งส่วนใหญ่เราปฏิเสธได้ยากที่คนเบื้องหน้า มักเป็นผู้ได้หน้าเสมอ เพียงแต่เบื้องหลังความสำเร็จ ก็สำคัญไม่แพ้กัน 

อย่างงานในวงการบันเทิง บรรดาคนเบื้องหลัง ตั้งแต่ผู้กำกับ ผู้จัดการ คนจัดคิว คอสตูม ช่างแต่งหน้า ช่างกล้อง ช่างไฟ ยันแม่บ้านและรปภ. ที่แม้จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป แต่ทุกๆ หน้าที่ขับเคลื่อนบนจุดหมายเดียว คือ ดันหน้าฉากให้ไปได้ไกลที่สุด  

แน่นอนว่าในสังคมที่เรามองภาพมิติเดียว มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่คนทำงานเบื้องหลังจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ยากที่ใครจะต้องรู้!!

แต่สิ่งที่อยากให้เหล่า ‘คนเบื้องหลัง’ ได้รู้ไว้ข้อ คือ คุณคือของจริง ตัวจริง เก่งจริง โดยไม่ต้องให้ใครมาจำ 

ย้อนกลับไปในช่วงวัยกระเตาะของผู้เขียน ซึ่งสมัยก่อนเป็นเพียงชะนีน้อยนักกิจกรรมตัวยง ได้โอกาสกลับมาร่วมวงกับก๊วนชะนีที่บัดนี้เริ่มโรยราไปตามปี พ.ศ. 

บทสนทนาในวงชะนีชรา ได้หวนให้นึกถึงชีวิตวันวานในรั้วมหาวิทยาลัย ที่แมสเสจส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้นเรื่องผู้ และวนเวียนไปเรื่องลงต่ำใต้คาดสะดือ

แต่มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบมาคุยกันโดยบังเอิญ นั่นคือเรื่อง ‘ความภูมิใจในรั้วมหาวิทยาลัย’

ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตัวอิชั้นเองก็มีประสบการณ์เรื่องนี้มากโข เลยรีบโอ่ให้ฝูงชะนีตัวอื่นฟังอย่างโอ้อวดเลยว่า “จำได้ไหม ฉันเคยเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ให้กับดาวเดือนในสายคณะของเรา แถมเอาชนะการประกวดในมหาวิทยาลัยมาก่อนนะ เฮ้ยๆ” 

เรื่องนี้ถูกเปิดด้วยปมว่า ใจจริงก็มิอยากรับ แต่รัศมีแห่งการเป็นผู้ดัน มันไปกระแทกตาครูบาอาจารย์และใจรุ่นน้องรอบๆ ข้างที่เชื่อมั่นว่าจะทำให้เด็กน้อยหน้าละอ่อนในสังกัด (2 คน) เป็นดาวเดือนของคณะที่พร้อมคว่ำคู่แข่งคณะอื่นๆ ได้ 

เชื่อไหมว่า ตอนแรก อิชั้น ก็คิดว่าการเป็นพี่เลี้ยงคงไม่ได้ยากเกินความสามารถสักเท่าไร แค่สอนน้องให้ ฝึกตอบคำถาม ฝึกพูด ฝึกเดินๆๆ บนเวทีแค่นั้นพอ จบ!!

แต่ไปมาๆ พอได้สัมผัสจริง มันคนละเรื่องกันเลยนิหว่า!!

ก็เพราะคุณน้องๆ ดาวเดือนที่อิชั้นได้เข้าดูแลแบบเริ่มจากศูนย์ >> ย้ำว่าศูนย์เลย!! ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง 

จะสอนเดิน ก็ยาก เพราะน้องดาวสาวสวยใหม่กับเรื่องนี้มาก ไหนจะต้องหัดใส่ส้นสูงเดินเอวแอ่นๆ แบบอแมนด้า ไหนจะต้องสอนแนะนำตัว ซึ่งก็พูดติดๆ ขัดๆ ยังกะเด็กจัดฟัน ส่วนไอ้ฝั่งน้องเดือน หนุ่มน้อยเรือนร่างดี มันดันไม่รักดี ไม่เคยคิดจะสนใจใดๆ นอกจากเอาแต่กดตีป้อมรัวๆๆ จนไม่รู้ว่าในหัวลืมคิดว่าตัวเองต้องมาซ้อมประกวด หรือซ้อมชิงถ้วย ROV กันแน่!!

เป็นแบบนี้...ไอ้เราก็ท้อใจสิเจ้าคะ!! 

เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นซ้ำๆ ซ้ำๆ และ ซ้ำๆ กันยังกะดูหนังเดจวู

แต่เรื่องแบบนี้ มักมีจุดเปลี่ยนเสมอ!!

เพราะมีอยู่วันหนึ่งที่ต้องฝึกน้อง ‘ดาว - เดือน’ ให้เดินและตอบคำถาม เพื่อสร้างความประทับใจแก่ท่านคณะกรรมการ โดยมีเพื่อนๆ มาร่วมเป็นหน้าม้า ซึ่งอิชั้นก็เตรียมคำถามและคำตอบระดับเวที Miss Universe ไว้อย่างเหมาะสมไปประมาณ 50 ข้อ 

ด้านน้องดาวตอบได้ดีบ้าง ไม่ได้บ้าง อันนี้เข้าใจ และก็คงต้องมาปรับจูนกันต่อ 

แต่อิคุณน้องเดือนนี่สิ ยังเหมือนเดิม ไม่สนใจและมัวแต่เล่นเกม แทนที่จะฝึก 

ความโกรธบันดาลสิเจ้าคะ!!

บันดาลขนาดไหนหรอ? ก็ขนาดที่อยู่ดีๆ สองฝั่งแก้มแอบไปด้วยหยดน้ำตาที่พรากลงมาต่อหน้าน้องๆ เพราะเป็นคนด่าใครไม่เป็น!! (รู้สึกอาย แหะๆ) 

แน่นอนว่าช่วงเวลานั้น ตัวอิชั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเยี่ยงไร ครั้นจะกระชากหัวมาตบ ก็ทำไม่เป็น จะด่าหยาบๆ เจ้าคุณแม่ก็สอนมาว่ามิควร 

แต่ต้องบอกตรงๆ ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมากับน้องๆ ดาวเดือนนั้น มันกินเวลาชีวิต และต้องดึงจักระส่วนเกินของร่างกายมาใช้ เรียกว่าทั้งท้อและเหนื่อยแบบสุดแรง  เพราะมันไม่ใช่แค่สิ่งที่ ‘ไม่ได้ดั่งใจตรงหน้า’ แต่ยังมีแรงกดดันจากทางอาจารย์ในคณะฯ อีกว่า “อยากให้รุ่นนี้เป็นดาวเดือนประจำคณะ” 

ความเครียด มันเลยมาจบที่ซีนน้ำตาเช่นนี้แล!!

ว่าแต่ซีนเรียกน้ำตาในตอนนั้น มิได้เสียเปล่า เพราะตอนนั้นน้องๆ ดาวเดือนต่างก็ช็อกเจ้าค่า คงไม่คิดว่าจะมีกรณีศึกษาเช่นนี้ให้เห็นเป็นบุญตา เพราะส่วนตัวอิชั้นเองเป็นคนรับแรงกดดันได้มาก (ยิ่งดันแรงมากเท่าไรก็ยิ่งชอบ)

เมื่อเด็กๆ เห็นเราอยู่ในสภาพดังกล่าว เลยขอโทษและปรับความเข้าใจกับเราใหม่อีกครั้ง เพื่อที่จะสามารถทำงานกันต่อได้ แล้วพวกเขาก็ให้ความร่วมมือและตั้งใจแบบสุดๆ (อันนี้เรื่องจริงนะ)

จุดพลิกจากวันนั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์น่าชื่นใจในเวลาต่อมา นั่นก็คือ ในวันประกวดจริง เจ้าน้องเดือนผู้ไล่ล่าป้อม ได้เป็นที่หนึ่งของคณะฯ ส่วนน้องดาวได้เป็นที่ 2 ของคณะฯ 

ต่อม Proud ทะลักสิเจ้าคะ!! เพราะนี่คือผลงานชิ้นโต ที่ทำให้เด็กทั้ง 2 คนเป็นที่น่าจดจำ และสามารถทำให้คณะอิชั้นได้หน้ากันเต็มๆ

เอาล่ะ!! ที่นี้ก็มาถึงไคลแม็กซ์ 

ที่บอกว่าไคลแม็กซ์ เพราะพอการประกวดเสร็จ ท่านอาจารย์ก็เข้ามาชื่นชมเด็กๆ ทั้ง 2 คนโดยมีนักปั้นแบบเรายืนหัวโด่อยู่ข้างหลัง 

ช็อตถ่ายรูปกัน มีความสุขกันของเหล่าคณาจารย์ กับบรรดาน้องๆ ดาวเดือน โดยมีพื้นหลังเป็นอิชั้น ‘นักปั้น ผู้เดียวดาย’ กลับมิมีเสียงชม (ประปรายก็ยังดี) เล็ดลอดรูปากอาจารย์ผ่าน รูหูกรู แม้แต่น้อย

ต่อมความน้อยเนื้อต่ำใจ ไหลทะลัก จนอยากจะตะโกนออกมาเหมือนกันว่า ชมกูสิ ชมกูสิ โว้ยยยย!!

อารมณ์ในตอนนั้น คาค้างใจมานานนม เพราะนี่คือการ ‘พราก’ ความภูมิใจที่ฉันควรได้ไปจากอก

นี่แหละ ที่อยากจะบอกว่า ความสำเร็จของทุกสิ่งอย่าง มันอาจจะมิได้มา ด้วยใครคนใดเพียงคนหนึ่ง 

>> ว่าแต่บทสรุปของเรื่องนี้ยังไม่จบ ขอตัดฉากกลับมาที่ตัวอิชั้นในปัจจุบันแปบ!!

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใจจริงของมนุษย์ทุกคนย่อมอยากได้รับการชื่นชม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ข้อคิดแบบตรัสรู้จากการได้ทำบางอย่างสำเร็จ แต่ไร้คนชมนั้น มันทำให้อิชั้นบรรลุบางอย่าง จนทำให้แอบอมยิ้มเบาๆ ข้างมุมปากมิได้

อะไรน่ะหรือ?

การได้หวนคิดว่า 2 ดาวเดือนที่เราเคยปลุกปั้น เดินถึงฝั่งฝั่ง มันพิสูจน์ตัวฉัน ว่า “เราก็มีดีเหมือนกันนิหว่า” 

เพราะนี่คือผลงานที่เกิดจากมันสมอง

นี่คือผลงานที่เกิดจากสองมือ

แม้ชื่อเสียงในเบื้องหน้าจะไม่ระบือ แต่คนที่รู้ และอนาคตที่รออยู่ ย่อมรู้ว่า “ฉันก็ไม่ธรรมดา” มันคือ ‘ของดี’ ที่ติดตัวอิชั้น แม้โลกไม่จดจำ ก็อย่าได้แคร์ 

นี่ก็เป็นอีกมุมของการทำงาน ที่แม้ว่าเบื้องหน้าจะสวยงามเพียงใด แต่หากไร้เบื้องหลังที่ดีคอยโอบอุ้มและประคับประคอง ก็ยากที่จะทำให้ ‘เป้าประสงค์’ นั้นๆ ไปถึงฝั่ง 

จงเชื่อมั่นในจุดเรายืน และจงเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ โดยไม่ต้องหวังอะไรที่มันเป็นแค่ ‘นามธรรม’ ให้หลงเพ้อไปชั่วครู่

ก็ความสามารถที่เรามี มันเป็น ‘รูปธรรม’ ติดตัว ที่ใครก็พรากมันไปมิได้ ยังไงเล่า!! 

Have a good day ค่ะ 


ขอบคุณภาพประกอบจากซีรีส์ 2Moons The Series เดือนเกี้ยวเดือน

เป็นคนดีแล้วได้อะไร ? ความบริสุทธิ์ใจ ภัยสังคม จริงหรือ ?

ยกให้อยู่ในหมวดคำถามจักรวาลแตก โดยมีคนในโลกแบกคำตอบที่แตกต่างไว้เพียบ

เป็นคนดีแล้วได้อะไร ?

แต่ก่อนหลายคนจะยึดมั่นกับ​ 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว'​

...แต่บังเอิญ​ ช่วงนี้มักมีประโยคหนึ่งนัวผุดขึ้นมาในหัวกันบ่อยขึ้นว่า 'ความดีไม่ใช่รางวัลตอบแทนการทำดี'​ อ่าว...แล้วยังไงดี !!

เคยคิดไหม? ว่าการให้เงินขอทาน ซื้อกล้วย ซื้ออ้อยให้ช้าง หรือซื้อนกกระจิบกระจอกที่พ่อค้าแม่ค้าจับมาเป็นเซตใส่กรงไว้ เพื่อปล่อยแถวหน้าวัด มีค่าเท่ากับส่งเสริมกระบวนการทำลายสังคมให้เติบโต โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวหรือไม่? 

จริงอยู่ที่ว่าการกระทำเช่นนั้น​ อาจมาจากความเวทนาสงสาร​ และพอได้นำเงินให้แก่ขอทาน รวมถึงซื้อกล้วย ซื้ออ้อยให้ช้างกินนั้นช่วยให้เรารู้สึกสบายใจก็ตาม

แต่ในสังคมวันนี้​ มันมีเรื่องแปลกตรงที่​ 'การให้'​ ที่เอ่อล้นไปด้วย​ 'ใจอันบริสุทธิ์'​ กลับจุดประกายให้เกิดปัญหาในสังคมได้แบบ...มหากาพย์ 

ขอยกตัวอย่าง กรณี "พิมรี่พาย" ยูทูปเบอร์ ชื่อดัง กับเหตุการณ์ดราม่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนมกราคม หลังมีคลิปการเดินทางไปที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่กว่า 300 กม. เพื่อนำสิ่งของไปมอบให้เด็ก ๆ 

ด้วยสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ จึงทำให้พิมรี่พายทุ่มเงินกว่า 5 แสนบาท เพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้า ซื้อโทรทัศน์จอยักษ์มาติดตั้งที่ลานหมู่บ้าน ด้วยการเปิดไฟ และเปิดทีวีให้เด็ก ๆ ดู เผื่อพวกเขาจะได้เห็นว่ามีอาชีพมากมายอยู่ในนี้ และจะได้มีความฝันว่าโตขึ้นไปควรเป็นอะไร 

หลังจากที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป มีคนกดไลก์และแชร์มากมาย จนทำให้เกิดแฮชแท็ก #พิมรี่พาย ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์ประเทศไทย ซึ่งก็มีทั้งกระแสชื่นชมและเห็นต่างในเรื่องนี้

ในแง่ความเห็นด้วยคงไม่ต้องอธิบายความ​ แต่ในแง่ความคิดเห็นต่างอันนี้ต้องมาถอดรหัสกันดู!! 

หนึ่งในความเห็นต่างที่น่าสนใจมาจากนักเขียนหนุ่มเจ้าของนามปากกา “ภินท์ ภารดาม” ซึ่งเปิดอีกมุมมองเกี่ยวกับการทำดีของพิมรี่พายในครั้งนั้นไว้ว่า​ "ชื่นชมแต่ไม่เห็นด้วย" 

เขาเล่าว่า​ "ชื่นชมความเป็นนักปฏิบัติ โลกเรามีนักพูดเยอะมาก แต่ไม่ลงมือทำ การลงมือทำของเธอโดยไม่ต้องรอเหนือรอใต้ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง 

"แต่ความช่วยเหลือเป็นการไปถามเอาจากคุณครู หรือสอบถามในฐานะผู้ให้ และไปนึกเอาเป็นข้อสรุปเองว่าจะต้องให้อะไร และคิดไปว่าเด็กจะต้องมีอาชีพอย่างคนเมือง จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ต้องเอาทีวีมาให้เด็กดู​ เพื่อจะได้รู้ว่าต้องการมีอาชีพอะไร เป็นข้อสรุปที่ได้จากตัวพิมพรี่พายเอง คล้ายกับการคิดแทนเด็กๆ ไม่ใช่ความต้องการของเด็กๆ"

"เราอาจจะเป็นปัจจัยให้กับเขาในการสนับสนุนในสิ่งที่เขาต้องการ แต่การก้าวล่วงไปมองว่าเด็กต้องอ่านหนังสือถึงจะมีความรู้ เป็นความคิดที่เป็นการกระทำการแทน แต่หากมองว่าถ้าเราเข้าไปเรียนรู้กับเด็กดอยและใช้เวลาอยู่บนดอยมากหน่อย ใช้เวลาสังเกตการณ์มากหน่อย อาจจะมองเห็นเองว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ต้องทำ ไม่ปล่อยให้อารมณ์หรือ ความกรุณาแบบอัตโนมัติเข้าทำงาน อย่างน้อยต้องศึกษาเรื่องราวตามภูมิปัญญาชาวเขา จะมองเห็นหนทางที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือได้ยั่งยืนกว่านี้"

หลังมีดราม่า พิมรี่พาย ได้ไลฟ์ชี้แจงดราม่าเรื่องที่ขึ้นไปติดตั้งทีวีและแผงโซลาร์เซลล์ให้เด็กๆ และบอกว่า อาชีพของเธอเป็นอาชีพที่ต้องสร้างภาพให้คนเห็น ซึ่งเธอนั้นเลือกที่จะสร้างภาพแบบคืนดีด้วยการคืนให้สังคม จึงอยากเอาเงินที่เหลือไปตอบแทนสังคม แล้วก็ฝากถึงคนที่เห็นต่างอยากให้มองถึงเจตนาที่แท้จริงของเธอ คือแค่ อยากทำความดี เพราะการทำความดี เป็นไปด้วยเจตนาดี จะทำความดีต่อไป 

อย่างไรก็ตามเราเองก็มองว่าสุดท้าย เมื่อเราทำดีแล้ว ก็เสร็จสิ้นด้วยความดี หากยิ่งไม่หวังผลในความดี ก็คงจะยิ่งดีขึ้นไปอีก...หรือแม้หลายครั้งที่ทำดี แล้วได้รับผลตอบรับแบบบัดซบบ้าง สูญเปล่าบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไร "ความดีก็คือความดี" 

คิดแค่นั้นพอ!! 


อ้างอิงข้อมูล
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5704244

กระเป๋าแบน ‘แฟนไกด์’ ใครเจ็บเท่าฉัน ในยุคโควิด

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคส่วนในประเทศและผู้คนหลากอาชีพนั้น 

อาชีพที่เคยสาดแสงของคุณสวามีสุดเฉิดฉายอย่าง ‘มัคคุเทศก์’ หรือ ไกด์นำเที่ยว ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเอาหัวแม่ทีนเกยก่ายหน้าผาก นับรอวันเปิดโลกแห่งการท่องเที่ยวมาราว 2 ปี

ยิ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่อย่าง ชาวจีน ที่หายไปพร้อมกับโควิดด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่านี่ คือ ความโหดร้ายของอุตสาหกรรมนี้ (ท่องเที่ยว) และผู้ซึ่งเป็นสามีที่อยู่ในห่วงโซ่อย่างเลี่ยงได้ยาก 

นั่นก็เพราะตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีนมาไทย ได้สร้างรายได้การท่องเที่ยวทะลุ 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดจากต่างประเทศ 

ต่อมานักท่องเที่ยวชาวจีนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย จน 10 ผ่านไป จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมาจบที่ประเทศไทยแถว ๆ 10.9 ล้านคน สร้างรายได้การท่องเที่ยวกว่า 5.43 แสนล้านบาท คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด (ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)


แค่เห็นภาพนี้ก็คงจะพอนึกภาพออกกันแล้วว่า ภายใต้วิกฤติโควิด-19 ระบาด แล้วนักท่องเที่ยวที่เคยเฟื่องฟูมาบ้านเรา แทบจะเป็นศูนย์ จนตลอด 2 ปีมานี้ ไกด์นำเที่ยว ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและคอยอธิบายความรู้ที่น่าสนใจ รวมถึงข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักท่องเที่ยวต่างแดน แทบจะไม่ได้มีโอกาสขุดทักษะของตนเองออกมาเท่าไร  

อย่างเคยอ่านเจอหนึ่งในผู้ที่เคยทำงานเป็นไกด์สายภาษาจีนอย่าง สายชล ชื่นชู ซึ่งทำอาชีพไกด์มาร่วม 25 ปี ที่มีรายได้ต่อเดือนสูงถึง 5 หมื่นบาท แต่พอมีโควิด รายได้ทั้งหมดเป็นศูนย์ ต้องหันมาขายน้ำผึ้ง ได้เงินวันละ 200 บาท แม้จะไม่พอต่อรายจ่ายในครอบครัวแต่ก็ดีกว่าไม่มีรายได้เข้ามาเลย 

หนึ่งในผู้ประกอบการที่พอรู้จักด้านทัวร์และตัวเองก็ผันเป็นไกด์ด้วย (ไม่ระบุนาม) เคยมีรายได้ร่วม 6 หลักต่อเดือน ในช่วงที่ทัวร์จีนมาลงไทยหนักๆ แต่บัดนี้ รายได้ของเขา คือ รายได้เก่าเมื่อ 10 ปีก่อน ที่นำมาปันจ่ายในแต่ละวัน บนความเจ็บช้ำที่ต้องปล่อยน้องๆ ทีมงานไป เพราะหากแบกไว้ กระเป๋าของเขาจะแบนจนเหมือนกระดาษ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวเป็นจุดหลักในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ มัคคุเทศก์ หรือ ไกด์นำเที่ยว ก็เป็นด่านแรกของการต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยว และเป็นผู้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย 

แต่ปัจจุบันคนสายอาชีพต้องกลายเป็นคนตกงาน ไม่มีความมั่นคงในชีวิต แม้จะมีใครค่อนแคะว่าแต่ก่อนทำไมไม่รู้จักเก็บเงิน แต่เชื่อเหอะ เราไม่ได้ใช้ชีวิตบนการมองอนาคตได้ไกลขนาดนั้นร้อก!!

แต่ที่ปวดร้าว คือ ในระหว่างที่หลากหลายมาตรการ ซึ่งพร้อมอุดหนุนให้นักท่องเที่ยวไทยออกมาเที่ยวในประเทศกันเองมากขึ้นนั้น ก็เหมือนจะไม่ได้มีนัยยะใดช่วยประคองกลุ่มอาชีพไกด์ได้มากเท่าไร เพราะคนไทยเที่ยวได้แบบไม่ต้องมีไกด์ การกระตุ้นในรูปแบบนี้จึงแทบไม่ส่งผลใดๆ ต่อความเป็นอยู่ หรือช่วยพัฒนาอาชีพให้คนกลุ่มนี้ได้เลย


เราคงไม่ต้องพูดถึงว่าคนกลุ่มอาชีพนี้จะเครียดแค่ไหน? และไม่ต้องถามว่าวันนี้กระเป๋าเงินของพวกเขาจะแบนลงเพียงใด?

2 ปีที่ผ่านมา และอาจจะมีอีก 2 ปีที่ผ่านไป ไม่ได้อยากเรียกร้องใคร เพราะพูดไปก็จะได้ยินแค่คำว่า ‘ต้องปรับตัว’ แต่แค่อยากจะบอกว่านาทีนี้ รูรั่วของสังคมมีหลายจุด อย่าลืมเรา ‘เหล่าผู้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศ’ ไปนานนักเลย!!

ปล.จากคนที่คุณแฟนกระเป๋าเริ่มแบน แต่ก็ไม่ทิ้งกันนะ!!!

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.admissionpremium.com/hotel/news/3144
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/899712
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/886749
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/140620
https://www.bbc.com/thai/thailand-51500412


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก ????  https://lin.ee/vfTXud9

ทั้ง ‘รัก’ ทั้ง ‘เกลียด’ Idiot จริงๆ

หลาย ๆ คนอาจจะเคยเป็น ‘ติ่ง’ หรือ เป็นแฟนคลับของอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน ดารา หรือ การ์ตูน งานอดิเรกต่าง ๆ 

อย่างในสมัยก่อน (หรือสมัยนี้ก็ยังออนแอร์อยู่มั้งนะ อันนี้ส่วนตัวก็ไม่แน่ใจ) จะมีรายการชื่อ “แฟนพันธุ์แท้” ที่หลาย ๆ คนอาจจะไปแข่งขันในการเป็นคนที่รู้ลึก รู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในสิ่งที่เราคลั่งมาก ๆ ผู้ชนะจะได้เป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ 

ตอนที่ได้ดูก็รู้สึกได้เลยว่า โอ้โห ! ผู้คนเหล่านี้เขารัก และ เทิดทูนสิ่งที่เขาชอบเป็นอย่างมากเลยนะคะ จนบางทีก็สงสัยว่า แล้วถ้าเกิดเขารักมาก ๆ ก็ต้องมีอีกคนพวกนึงที่เกลียดมาก ๆ ขึ้นมาจะเป็นยังไง ??

อย่างที่หลาย ๆ คนพูดว่า มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้วล่ะค่ะ 
แต่เดี๋ยวนี้ มันแปลกตรง!! ใครที่เคยคนรัก เขาก็สามารถกลับกลายมาเกลียดได้ในเวลาเดียวกันด้วย…

มันมีจริง ๆ หรอ?

มีจริง ๆ ค่ะ ! สมัยนี้ Social Media มันรุนแรงจริง ๆ เพราะด้วยกระแสต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามานั้น หากใครยิ่งดังมาก แฟนคลับเยอะมาก ชีวิตส่วนตัวของเหล่าศิลปินนั้น ๆ ก็แทบไม่เหลือ 

บางครั้งถ้าเหล่าแฟนคลับเขาได้ไปรู้ลึกรู้จริงในเรื่องที่ศิลปินไม่ได้อยากให้รู้ และไม่ได้อยากให้ยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแย่นี่สิ เหล่าแฟนคลับอาจนำมาแฉจนกลายเป็นการทำร้ายศิลปินกันไปเลยทีเดียว 

พอขยายวงกว้างจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง มันก็เลยเกิดเป็นกระแสแบนศิลปินดาราคนนั้นไปเลยก็มี 
อย่างตัวอิชั้นเอง เคยมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า….ศิลปินที่โดนแบนขนาดนี้ หรือโดนทำร้ายจากเหล่า Social Media มากมาย โดยเฉพาะยิ่งเป็นพวกแฟนคลับที่ปากเคยบอกว่ารักนักรักหนา แต่สวนทางกับพฤติกรรมที่เขาทำ (แอบโรคจิต) เพราะยิ่งเห็นศิลปินดาราที่เรารักเจ็บมากเท่าไร พวกหล่อนยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น…. เอ้า ! มันยังไงกันล่ะเนี่ยยย

ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเรื่องมโน โลกใบนี้มันพัฒนาการความโหดร้ายไปถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

เหล่าแฟนคลับทำร้ายตัวศิลปินที่เขารัก มันคงไม่มีหรอก!! 

ประสบการณ์ของอิชั้นที่เคยเห็นภาพชัดแบบ Full HD มาแล้ว เพราะได้ตามติดโปรไฟล์เชิงดิ่งทั้งทั้งไทยและเทศมาพอควร เลยอยากชวนมาเปิดหูเปิดตากันเบา ๆ

อย่างตัวอย่างแรกที่อิชั้นขอนำเสนอการแบนอย่างแรก อย่าง ‘วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ หรือ ‘ไบร์ท’ หรือที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักในนาม ‘ไบร์ท-วิน’ นักแสดงซีรีส์วาย ที่กำลังเป็นที่โด่งดังมากในช่วงนี้ แต่เชื่อไหมคะว่าหนุ่มไบร์ทเนี่ยเคยโดนกระแสโดนแบนถึงขนาดขั้นติด #boycottbright กันเลยทีเดียว 


ในช่วงตอนนั้นที่มี # นั้นเกิดขึ้น ตัวอิชั้นเองก็ได้เข้าไปด้อม ๆ มอง ๆ เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น หลาย ๆ คนที่ตั้งโพสต์ลง Social Media ออกมาแฉ ออกมาแบน เพราะรับไม่ค่อยได้กับพฤติกรรมของหนุ่มไบร์ท มีทั้งการเตะบอลอัดใส่เพื่อน ทำลายการประกวดวงดนตรีในโรงเรียน เหยียดเพศ มีการฟอลแอคเคาท์ 18+ มีภาพตอนที่หนุ่มไบร์ทสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมไปถึงการลอกดีไซน์งานคนอื่นในสินค้าของตนเอง ซึ่งในตอนนั้นหนุ่มไบร์ทที่กำลังแจ้งเกิดจากซีรีส์โดนหนักมากๆ เลยล่ะค่ะ ทั้งแฟนคลับไทยและแฟนคลับต่างประเทศ ต่างออกมาแฉวีรกรรมแสบ ๆ ไม่หยุดกันเลยทีเดียว ซึ่งมีข้อสังเกตว่า…ถ้าไม่ใช่แฟนคลับก็อาจจะเป็นกลุ่มที่เกลียดหนุ่มไบร์ทมาตั้งแต่เด็กเลยมั้งคะเนี่ย 

แต่สุดท้ายหนุ่มไบร์ทก็พัฒนาตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จนตอนนี้หนุ่มไบร์ทก็กลับมาทำงาน สร้างฐานแฟนคลับได้เยอะขึ้นมากกว่าเดิม เหล่าพวกที่แบนก็คงเลิกอคติและหันมาติดตามผลงานของเจ้าตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ

ตัวอย่างต่อมาอิชั้นขอข้ามประเทศนิดนึงนะคะ หลาย ๆ คนก็คงจะรู้จัก Girl Group ตัวแม่อย่าง Girl’s Generation หรือ SNSD ตัวแม่แห่งวงการ K-pop ที่มีอายุอานามวงมากกว่า 10 ปี แต่กว่าจะประสบความสำเร็จมาได้ขนาดนี้ ใครจะคิดล่ะคะว่าพวกนางจะโดนแฟนคลับวงอื่น ๆ แบน ปิดไฟ เชิดใส่พวกนางมาแล้ว ! 


ย้อนไปไกลกว่าปี 2007 ในปีที่ SNSD ได้ออกมาปรากฏตัว เด็กสาว 9 คนจากค่าย SM entertainment ที่มีศิลปินตัวดังอย่าง Super Junior ที่ครองใจตกแฟนคลับในเกาหลีใต้ได้อย่างมากมาย พอพวกนางปรากฏตัว เดบิวต์เป็นศิลปินเท่านั้นแหละคะ…พวกนางโดนแบนเลย ! ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ค่ายชอบจับ SNSD และ Super Junior ทำงานด้วยกัน ทั้ง 2 วงฝึกด้วยกันมานานก็ย่อมมีความสนิทกัน เป็นธรรมดา ทำให้มีภาพออกตามสื่อต่าง ๆ จากความน่ารักสดใส กลายเป็นความเกลียดขี้หน้า หมั่นไส้ เหล่าแฟนคลับของ Super Junior ก็โกรธสิคะ มายุ่งอะไรกับศิลปิน โอปป้าที่ฉันรักมาตั้งนาน และมีข่าวลือว่าพวกนางศัลยกรรมกันทั้งวง สวยปลอม ๆ 

จนในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือ การแบนจากแฟนคลับทุกวง ! ในสมัยนั้นศิลปินจะมาแสดงโชว์เพลงของตัวเอง ก็มีเหล่าแฟนคลับต่างชูแท่งไฟ สีสันสวยงามของวงตัวเอง เมื่อ SNSD ขึ้นมาแสดง แฟนคลับทุกวงต่างพร้อมใจกันปิดไฟ จนเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า Black Ocean ซึ่งเป็นการแบนที่รุนแรงมาก ไม่มีเสียงเชียร์ ไม่มีเสียง กรี้ดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ทั้งวงรู้สึกเสียใจ แต่สปริตพวกนางก็ยอมแสดงจนจบเพลง… ฮืออออ มันน่าเจ็บปวดใจจริง ๆ นะคะ  


ท้ายที่สุดแล้วพวกนางก็เก็บแรง ให้กำลังใจกันและกัน และฮึดสู้อีกครั้งจนพวกนางได้ปล่อยเพลง “Gee” เพลงที่พลิกโชคชะตา พลิกชีวิตพวกนางให้ดังไปทั่วโลก ผู้คนต่างมาเริ่มสนใจ ฟังเพลง และ ติดตามผลงาน มากยิ่งขึ้นจนในปัจจุบันวงก็ยังเป็นที่โด่งดัง และ ยังเป็นตัวแม่แห่งวงการ Kpop ที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถล้มได้

และนี้เป็นตัวอย่างของการแบนศิลปินและไอดอลทั้งไทยและต่างประเทศที่ในหลาย ๆ ครั้งการแบนก็เกิดจากเหล่าแฟนคลับที่รักและหลงในตัวศิลปินจนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หลาย ๆ ครั้งศิลปินอาจจะรู้สึกเสียใจและต้องเสียความเป็นส่วนตัว หรือ เสียทั้งกำลังใจในการทำงาน เป็นแฟนคลับที่ดีต้องรู้จักแยกแยะ และ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกันนะคะ 

ข้อมูลอ้างอิง
https://women.kapook.com/view227735.html
https://channel-korea.com/snsd-black-ocean/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตีมือแตก!! ดราม่า ‘เทนม’ ชนวนเหตุ ‘แบน’ รายการจีน สะท้อน ‘กฎหมายแดนมังกร’ ที่ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ

หยุด!! พฤติกรรมสิ้นเปลืองอาหาร 

จีนถึงขั้นออกกฎหมายปรามการสิ้นเปลืองอาหารเป็นการเฉพาะ โดยเมื่อหลายปีที่ผ่านมาประเทศจีนได้รณรงค์ให้ทั่วทั้งสังคมหยุดพฤติกรรมอาหารสิ้นเปลือง จนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่ผ่านมาได้ลงมติผ่าน “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” และประกาศให้มีผลบังคับใช้ทันที 

บริบทของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร?
-    การรับประทานอาหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ ต้องไม่เกินมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ 
-    สามารถมอบรางวัลแก่ผู้บริโภคที่ “รับประทานอาหารเกลี้ยงจาน” ได้  
-    สามารถเก็บค่าบริหารจัดการขยะอาหาร กับผู้สั่งอาหารเยอะจนเกิดการเหลือทิ้งได้  
-    ภัตตาคารร้านค้าใด ล่อลวงลูกค้าให้สั่งอาหารเกินความพอดี จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 หยวน หรือเป็นเงินไทยราว 5 หมื่นบาท
-    ผู้ผลิตและเผยแพร่คลิปวีดีโอ “กินทิ้งกินขว้าง” จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 100,000 หยวน หรือราว 5 แสนบาท 

อ่านๆ ดูแล้ว บรรดาคนรุ่นใหม่ อาจจะมองว่ากฎหมายเหล่านี้ ดูไร้สาระ แต่ขอบอกคุณกำลังคิดผิด!! 

พิจารณาได้จากเหตุการณ์สะเทือนวงการไอดอลจีน หลังเกิดคลิป แฟนคลับซื้อนมมาเททิ้งเป็นจำนวนมาก เพื่อเอารหัส QR Code ใต้ฝา ไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันจากรายการไอดอลชื่อดัง อย่าง ‘Youth With You 2021'

ซึ่งผลิตภัณฑ์นม เป็นสปอนเซอร์ของรายการ ที่ได้ไอดอลเกาหลี ลิซ่า Black Pink ที่นอกจากจะเมนเทอร์ในรายการ ‘Youth with you 3’ แล้วก็เป็น 1 ในพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีนอีกด้วย ทำให้ประสบความสำเร็จขายดีเป็นเทน้ำเทท่าหลังสนับสนุนรายการ 

แต่แน่นอนว่า ไม่มีใครที่ซื้อสินค้าไปเพราะอยากจะบริโภค เพียงแต่อยากได้ QR Code ที่แถมกับนมทุกกล่อง เพื่อไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันที่ตนเองเชียร์ และชื่นชอบอยู่เท่านั้น 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของประชาชนส่วนใหญ่ ได้ขัดกับสิ่งที่รัฐบาลจีนพยายามจะส่งเสริม นั่น คือ ‘การกำชับไม่ให้สื่อสนับสนุนการใช้อาหารอย่างสูญเปล่า’ ส่งผลให้รายการต้องยุติการฉายในรอบตัดสิน 

โดยโครงการต่อต้านการทิ้งอาหาร รัฐบาลจีนได้ออกมาให้ความเห็น ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า…

“นี่คือพฤติกรรมการต้องการแสวงหากำไร โดยไม่สนใจว่าจะต้องทิ้งอาหารอย่างสุรุ่ยสุร่าย แล้วยังเป็นการ ลบหลู่เราแรงงาน ที่ลงมือโรงแรงไปจนได้อาหารเหล่านี้มาซึ่งถือว่าขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน” การทำแบบนี้ยังจะสร้างค่านิยมที่ผิด และบิดเบือนให้กับคนรุ่นใหม่

แล้วทำไมจีนถึง ‘จริงจัง’ กับเรื่องนี้มากขนาดนั้น?

“ใครจะรู้ที่มาของข้าวสวยในถ้วย ทุกเมล็ดมาจากความขยันทำนา อันแสนเหนื่อยล้า” บทกวีโบราณหนึ่ง ภายใต้การชี้นำ ของผู้นำจีน สี จิ้นผิง น่าจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

เหตุเกิดจากการสิ้นเปลืองอาหารในจีน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมจีน แม้วันนี้จีนจะกลายเป็นประเทศที่เหลือกินเหลือใช้แค่ไหนก็ตาม โดยเขาไม่ต้องการให้ค่านิยมทิ้งขว้างเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลังที่ไม่เคยประสบความยากลำบากเฉกเช่นผู้คนในอดีตมาก่อน 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนก็พยายามยืนหยัด ส่งเสริมการมัธยัสถ์ อดออม ต่อต้านการสิ้นเปลือง หรือจัดแคมเปญ “ทานเกลี้ยงจาน” เพื่อหยุดยั้งการสิ้นเปลืองอาหาร ซึ่งได้รับผลสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการจัดการงบประมาณของรัฐได้ลดน้อยลง แต่อย่างไร ในบางพื้นที่ก็ยังคงแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่ดี

นั่นก็เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ชอบกินเลี้ยงด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งงานเลี้ยงส่วนใหญ่มักจะ “กินทิ้งกินขว้าง” นั้น ถือเป็น “การบริโภคด้วยเงินหลวง” แม้สถาบันวิจัยจีนเคยประกาศว่า เฉพาะอาหารเหลือทิ้งจากโต๊ะของจีน มีปริมาณมากถึงราว 17-18 ล้านตัน จะพอเลี้ยงผู้คนได้มากถึง 30-50 ล้านคน แต่ปัญหานี้ก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมจีนมาเรื่อย ๆ 

จนกระทั่ง สี จิ้นผิง ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหานี้ว่า ต้องเพิ่มระเบียบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กวดขันการกำกับดูแล ใช้มาตรการที่มีประสิทธิผล สร้างกลไกในระยะยาว รวมทั้งต้องเพิ่มการปลูกฝังแนวคิดการประหยัด นิสัยการมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนแนวคิด “การประหยัดเป็นเกียรติ และการสิ้นเปลืองเป็นเรื่องน่าอับอาย” ให้เกิดขึ้นในทั่วทั้งสังคมจีนอย่างแท้จริง 
.
ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ในจีนในที่สุด…

และการเชือดครั้งใหญ่ บนรายการดังอย่าง ‘Youth With You 2021' ก็น่าจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า

กฎหมายจีน ที่เกิดจากความตั้งใจให้สังคมวิ่งเป็นเส้นตรง ‘ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ’

ข้อมูลอ้างอิง
https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000044594
https://www.jeenthainews.com/china-news/culture/15886_20210510


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พันธมิตรเฉพาะกิจ เกาะกันไว้ 'ได้' มากกว่าที่คิด

ว่าจะเปิดเพลง 'จับมือกันไว้' ของพี่เบิร์ดมาฟังเบาๆ ในช่วงที่ความสามัคคีในเมืองไทยมันผุๆ พังๆ ซะหน่อย แต่พลันกลับเกิดไอเดียอื่นแทรกมาเป็นบทความที่อยากสะท้อนสู่สถานการณ์ในช่วงปัจจุบันอย่างไวว่อง

ในยุคที่ 'ความหวัง' และ 'ความฝัน' เริ่มไม่เดินเคียงไปด้วยกัน เพราะความยากลำบากจากโควิดที่ทำให้โลกพลิกตารปัตร 

>> ฝันไกลไม่ได้เหมือนเคย!! 

>> หวังไว้ไม่เป็นอย่างตั้งใจ!! 

ว่าแล้ว!! ในบางครั้ง หากการเดินคนเดียว มัยเหนื่อยไป ก็ลองมองหาใครสักคนมาพยุงตัวเรา ขณะที่เราก็พร้อมพยุงเขาไปด้วยได้พร้อมกัน

เราควรกลับมาสู่ยุคของความสามัคคีอีกครั้ง!! 
Combinated Mission

เรื่องนี้ขอสะท้อนผ่านกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ในการสร้างการเติบโตและเติมเต็มบางอย่าง ที่เขาเรียกว่า 'x' หรือไป 'จับมือ' กับแบรนด์อื่นๆ

เป้าหมายของการ x ก็เพื่อเอาจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ มาเป็นพลังส่งเสริมซึ่งกันและกัน อย่างก่อนหน้านี้ ดอยตุง ร่วมกับ โอนิสึกะ ก็ทำออกมาได้ดี จนขายเกลี้ยงแผงในช่วงเวลาไม่นาน

ถึงกระนั้น หากพูดถึงกลยุทธ์การจับมือที่โคตรปังปุริเย่ ก็มักจะมีกลุ่มแบรนด์ทึ่ทำให้ต้องนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ อย่าง Louis Vuitton x Supreme ซึ่งเรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จแบบถล่มทลาย

โดยหลายครั้งที่ Louis Vuitton x Supreme เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ออกมา สินค้าชิ้นนั้น ก็จะขายหมดภายในไม่กี่นาที

ถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 ทางบริษัท LVMH เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton ได้เขียนไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทว่า คอลเลกชัน Louis Vuitton x Supreme คือ สุดยอดขุมพลังของบริษัท

การ x กันครั้งนี้ ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการแฟชั่น 
จากที่เดิมที ภาพลักษณ์ของ Louis Vuitton เป็นแบรนด์ Hi-end ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วน Supreme นั้นมีความเป็นวัยรุ่น พอมาจับมือกัน ฝั่ง Louis Vuitton กลายเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงลูกค้าที่ชอบแฟชั่นแนวสตรีตมากขึ้น ส่วนฝั่ง Supreme ก็มีภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมมากขึ้น และสินค้าบางอย่างในคอลเลกชันนี้ก็กลายเป็นของสะสม ที่มีราคาแพง

การจับมือกันครั้งนี้ ยังกลายมาเป็นสูตรสำเร็จของการจับมือกัน ระหว่างแบรนด์ดังอีกมากมาย
อย่างเช่น Nike x OFF-WHITE หรือ adidas x PRADA

อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้พลังแห่งการจับมือกันระหว่างธุรกิจ คือ กรณีของแบรนด์ตัวต่อขวัญใจเด็ก ๆ อย่าง “LEGO”

เราอาจจะคุ้นเคยภาพของ LEGO ว่าเป็นแบรนด์สำหรับเด็กเล็ก แต่รู้หรือไม่ว่า ช่วงหลังๆ มา LEGO เริ่มให้ความสำคัญกับการไปจับมือกับต่างแบรนด์มากขึ้น เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น

อย่างเช่น การไปจับมือกับแบรนด์รถหรูอย่าง Lamborghini ซึ่ง LEGO ได้หยิบเอาจุดเด่นเรื่องความละเอียดอ่อนของการออกแบบตัวต่อ

มาสร้างเป็นโมเดลรถหรู Lamborghini Sián FKP 3 ที่ประกอบขึ้นจากตัวต่อ LEGO ทั้งหมด 3,696 ชิ้น โดยที่โมเดล จะมีอัตราส่วน 1 ต่อ 8 เมื่อเทียบกับขนาดรถของจริง

โมเดล Lamborghini Sián FKP 3 ย่อส่วนนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ถึงขนาดที่ LEGO สามารถตั้งราคาขายได้สูงถึงประมาณ 12,000 บาท เลยทีเดียว

จากสองตัวอย่างที่ว่ามานี้ เราสามารถสรุปข้อดีของการจับมือกันระหว่างธุรกิจออกมาได้ก็คือ

1. ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

อย่างกรณีของ Louis Vuitton x Supreme ก็มีลูกค้าบางค้าบางคนที่เป็นแฟนคลับของ Supreme ออกมาบอกว่า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นแฟนคลับ Louis Vuitton ไปแล้ว หลังจากที่ได้ซื้อคอลเลกชันนี้

ส่วนทางฝั่ง LEGO ที่ไปจับกับแบรนด์รถหรู
ก็จะได้ฐานแฟนคลับคนที่ชื่นชอบรถ หรือคนชอบสะสมโมเดลรถยนต์เพิ่มขึ้นมา

2. เสริมพลังซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง

เมื่อก่อนถ้าแบรนด์ไหนต้องการชื่อเสียงของอีกแบรนด์ บริษัทเจ้าของแบรนด์นั้น ก็อาจต้องทุ่มทุนซื้อกิจการของแบรนด์ที่ต้องการ เข้ามาเป็นของตัวเอง

แต่หากทั้งสองแบรนด์ใช้วิธีจับมือกันทำแคมเปญ หรือทำสินค้าบางชิ้นร่วมกัน ก็จะช่วยลดต้นทุนที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องทุ่มเงินเพื่อ Take over กิจการ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้ไม่ต้องเสียกิจการ หรือเสียแบรนด์ให้อีกฝ่ายไป

3. การจับมือกัน ทำให้แต่ละฝ่ายได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไปด้วยกัน

อย่างเช่น LEGO ที่ไปจับมือกับ Lamborghini
ก็จะได้เรียนรู้รายละเอียดของชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งอาจรวมไปถึงกระบวนการผลิต ส่วน Lamborghini ก็น่าจะได้เรียนรู้ความละเอียดอ่อนในการออกแบบชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆ จากทางฝั่ง LEGO

ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ในแต่ละองค์กร และอาจนำองค์ความรู้ใหม่มาต่อยอดนวัตกรรมได้ในอนาคต

จะเห็นได้ว่า การเปิดใจหันมาทำอะไรร่วมกันระหว่างแบรนด์หรือระหว่างธุรกิจนั้น ให้อะไรใหม่ๆ กับองค์กรมากกว่าที่ใครหลายคนคิด

อย่างในบ้านเรา อาจจะไม่ต้องคิดไกลถึงธุรกิจแนวนั้น เอาแค่ธุรกิจไหนกำลังเหงาหงอย บางทีการเดินไปคุยกันแบบเปิดอก และถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันหน่อย คุณอาจจะแชร์บางอย่างแก่กันได้

ร้านข้าวของหมู่บ้านนี้ อาจจะไป Combinated กับคนคุ้นเคยที่มาส่งน้ำให้ เปลี่ยนจากแค่ส่งน้ำ ไปส่งข้าวเพิ่ม คิดส่วนแบ่งค่าส่งไป โดยที่ร้านข้าวก็ไม่เหงาจากยอดคนหาย

ทำโปรโมชั่นแรงๆ กันก็ยังได้ กินข้าวร้านนี้ ได้ตัดผมฟรีร้านนั้น หรือซื้อทองร้านนั้น นำคูปองพิเศษไปแลกกาแฟฝั่งตรงข้ามฟรี 1 แก้วไรงี้

ความร่วมมือเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องการ 'การอยู่รอด'

หากผู้นำและคนในองค์กรมีแนวคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำให้องค์กรพยายามปรับตัว และมองหาโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดว่าต้องทำอะไรแบบเดิมๆ

...ไม่ว่าจะความหวังเอย 
...ไม่ว่าจะความฝันเอย
...เอื้อมถึงได้ทั้งนั้น

แค่... "จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" 

พี่เบิร์ดไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้!! 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.blockdit.com/posts/6059cdb9fa1a983ce66f1565
https://www.qualitylogoproducts.com/blog/12-best-brand-collaborations/
https://www.businessinsider.com/lego-releasing-lamborghini-sian-set-2020-5


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จากน้ำแร่ สู่แฟชั่นสายเฟรช กลยุทธ์ Collaboration สุดปัง ที่ทำให้ ‘เพอร์ร่า’ ยืนหนึ่ง

ถ้าพูดกันตรงๆ สินค้ากลุ่ม ‘น้ำแร่’ แทบจะหาความต่างด้านภาพลักษณ์ได้ยากมากๆ 

ยิ่งถ้าเอาเรื่องจุดขายอย่างคุณภาพมาเล่นด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า เหนื่อย!! เพราะในแง่ของคุณประโยชน์ของน้ำ หาความต่างลำบาก นอกจากความสดชื่น

นั่นจึงทำให้ตลาดน้ำแร่ที่เข็นกันอยู่ในท้องตลาด กลับมาสู่การเล่นสงคราม ‘ราคา’ 

อย่างไรก็ตาม แบรนด์น้ำแร่อย่าง ‘เพอร์ร่า’ ก็เป็นกรณีอีกศึกษาที่น่าสนใจ ในการนำความต่างบางอย่างมาทำให้เกิดความฉีก โดยไม่ต้องสนใจแต่เรื่องสงครามราคาอย่างเดียว

>> ความต่างที่ว่าคืออะไร?

ความต่างที่ว่า คือ การทำการตลาดแบบ Collaboration หรือ Collab ด้วยการผสมผสานเรื่องของแฟชั่นเข้ามามิกซ์กับน้ำแร่ ให้กลายเป็นสินค้ากึ่งไลฟ์สไตล์ จนทลายกำแพงความไม่คุ้นเคยของผู้บริโภคได้อย่างถูกจริต

>> แล้วอะไรที่ทำให้เพอร์ร่าเติบโตไวในกระแสธารของธุรกิจที่หาลูกเล่นดิ้นยาก แถมตลาดก็ไม่ได้หวือหวา ออกจะซบเซาด้วยซ้ำ?

หากย้อนไปราวๆ 10 ปีก่อน ตอนที่ ‘สิงห์ คอร์เปอเรชั่น’ ส่ง ‘น้ำแร่เพอร์ร่า’ เข้าสู่ตลาด ต้องเจอกับโจทย์ที่หินไม่น้อย เพราะตลาดน้ำแร่ในขณะนั้นก็มีผู้เล่นเดิมครองอยู่

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มวางขายและทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 เพอร์ร่า ค่อยๆ เติบโต และกลายเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตมากที่สุดในตลาด โดยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 ราว 23.3% ห่างจากอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่ง 26.5%

หลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.ค. 62-มิ.ย. 63 เพอรร่า สามารถสร้างยอดขายการเติบโตได้ถึง 12% สวนกระแสกับสภาพตลาดน้ำแร่ที่มีอยู่ในภาวะติดลบ 13.3% ในขณะที่แบรนด์น้ำแร่ ในตลาดอยู่ในภาวะติดลบตามตลาด 

ผลักดันให้ น้ำแร่เพอร์ร่า ก้าวขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำตลาดน้ำแร่’ ในประเทศไทยสำเร็จ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 25.7% หรือมียอดขายในเชิงปริมาณ 70 – 95 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่าราว 1,450 ล้านบาท 

ว่ากันว่า ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญที่นำให้ เพอร์ร่า มาไกลถึงทุกวันนี้ ล้วนเกิดจากการที่เลือกสื่อสารกับผู้บริโภคในมุมที่ ‘แตกต่าง’ อินไซต์โดนใจ จนดันโตก้าวกระโดด ด้วยการปรับโฉมตัวเองเป็น ‘แบรนด์น้ำแร่สายแฟชั่น’ 

อย่างที่บอกไปว่าในตลาดน้ำแร่ ทุกคนแคร์เรื่องราคา แต่ก็ต้องพยายามแคร์คุณค่าด้าน Functional Benefits ด้วยการพูดถึงคุณสมบัติสินค้าอย่างต่อเนื่อง

แต่ในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ น้ำแร่เพอร์ร่า กลับนำไอเดีย ‘Emotional Benefits’ มาสื่อสารควบคู่ ไปกับการชูคุณสมบัติน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่มีแร่ธาตุสำคัญในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ตอบโจทย์คนสายรักสุขภาพ

>> กลยุทธ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากเพอร์ร่า พบคำตอบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อน้ำแร่ เพียงเพื่อดับกระหาย หรือให้ความสดชื่นเท่านั้น แต่พวกเขาจะซื้อเพราะสนใจภาพลักษณ์ และเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่ภาพลักษณ์แตกต่าง จนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตนเอง <<

เรื่องนี้สอดคล้องกับผลวิจัยของเพอร์ร่า โดยปรากฎผลว่ากลุ่มเป้าหมายของน้ำแร่เพอร์ร่า 70% เป็นผู้หญิง และผู้ชายมีเพียง 30% ทางแบรนด์จึงมองว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความสนใจเรื่องการแต่งตัว และชอบความสวยงามดูดี

จากอินไซด์ดังกล่าว กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่ภาพลักษณ์ใหม่!!

น้ำแร่เพอร์ร่า ได้เริ่มค่อย ๆ ปรับและนำเสนอผ่านเรื่องราวความสนใจใกล้ตัวผู้หญิง เช่น ‘แฟชั่น’ มามัดใจลูกค้า โดยตลอด 3 ปีมานี้ Collaboration Marketing ดูจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรันธุรกิจ ผ่านการเปิดตัวขวดรุ่น Limited Collection 

โดยเพอร์ร่าจับมือกันกับดีไซเนอร์ไทยชั้นนำระดับประเทศ ที่มาร่วมกันสร้างสีสันออกแบบลวดลายบนขวดแตกต่างกันไปในทุกปี ไม่ว่าจะเป็น Disaya, Issue, Asava, Vatanika, Poem, SIRIVANNAVARI BANGKOK, Jennifer Bouron ศิลปินระดับโลกชาวฝรั่งเศส... 

หรือแม้แต่ จี๊ป – ภาสินี คงเดชะกุล ศิลปินชื่อดังผู้เคย Collaborate ออกคอลเล็กชั่นพิเศษกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Rimowa จนทำยอดขายได้รวดเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 3 เดือนทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์วันนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งจีรังสำหรับอนาคต เพียงแต่ในวันนี้ตลาดน้ำแร่มีแบรนด์เพอร์ร่ายืนหนึ่งบนโพเดี้ยมนี้ เพราะเดินเกมมาถูกทาง เข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคของตนเอง และรู้ว่าจะต้องบรรเลงท่วงทำนองของสินค้าบทไหนให้เข้ากับบริบท 

กรณีศึกษาของเพอร์ร่านี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า ในยุค Digital Disruption ที่ทุกอย่างสามารถ ‘ปัง’ หรือ ‘พัง’ ได้ในชั่วข้ามคืน ใครพลวัตกว่า ก็คว้าโอกาสได้ก่อน และพลวัตที่เหมาะสมของเพอร์ร่า คือ Collaboration Marketing ที่มาได้ถูกจังหวะกับพฤติกรรมคนเหลือเกิน

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.marketingoops.com/news/biz-news/sirivannavari-bangkok-purra/
https://marketeeronline.co/archives/179054
https://www.brandage.com/article/20068/Purra
https://mgronline.com/business/detail/9630000077479
https://www.brandbuffet.in.th/2017/08/purra-mineral-water-thai-designer/
https://www.gqthailand.com/gq-hype/article/gq-hype-vol-75


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top