Saturday, 20 April 2024
TheStudyTimes

ปิดเทอมนี้ Around The Green Junior Golf Camp ชวนพ่อแม่เสริมทักษะลูก ด้วยการพาลูกอายุช่วง 8 - 12 ปี ที่สนใจอยากเริ่มเล่นกอล์ฟหรือมีทักษะอยู่แล้ว มาเข้าร่วมกิจกรรม

โดยแคมป์นี้เน้นการสอนและแบ่งปันให้กับน้อง ๆ ที่อยากเรียนรู้ว่าจะเล่นกอล์ฟอย่างไรให้สนุก พร้อมทั้งมีสุขภาพกายและใจดีได้อย่างไร โดยโปรกอล์ฟ 2 ท่าน ที่ทำทั้ง 2 อาชีพคือ นักบินและโปรกอล์ฟ

ชวนเด็ก ๆ มาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยเน้นสร้างพื้นฐานที่ถูกต้องผ่านกิจกรรมสนุก ๆ ไม่ต้องห่วงเพราะมีโปรกอล์ฟอาชีพดูแลอย่างใกล้ชิด

ยังไม่หมด! นอกจากกอล์ฟแล้ว ยังมีโค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายมาเสริมทักษะการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับกีฬากอล์ฟให้กับน้อง ๆ อีกด้วย

กิจกรรมจะจัดขึ้น 2 รอบ โดยสามารถเลือกรอบใดรอบหนึ่งหรือทั้ง 2 รอบก็ได้

✅รอบที่ 1 วันที่ 15 - 19 มี.ค.64

✅รอบที่ 2 วันที่ 26 - 30 เม.ย.64


สนใจเข้าแคมป์ สอบถามรายละเอียดได้ทางไลน์

https://lin.ee/np2EGnj

หรือโทร 081 - 8308100 (โปรเดช)

086 - 9071843 (โปรยู)

อย่ารอช้า! วันศุกร์นี้มีคอร์สออนไลน์เรียนฟรีจาก Chula MOOC เปิดให้ลงทะเบียน กับคอร์ส ‘หลักการพื้นฐานทางกฎหมายทั่วไป’ สอนโดยอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มีใบประกาศมอบให้ด้วย!!

เนื้อหาที่จะได้เรียน

บทที่ 1 : ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและกฎเกณฑ์ความประพฤติ

บทที่ 2 : ความหมายและลักษณะของกฎหมาย

บทที่ 3 : ที่มาของกฎหมาย

บทที่ 4 : ศักดิ์ของกฎหมาย

บทที่ 5 : ขอบเขตการใช้กฎหมาย

บทที่ 6 : การตีความและการอุดช่องว่างของกฎหมาย

บทที่ 7 : ประเภทของกฎหมาย

กำหนดการของคอร์ส

- เริ่มลงทะเบียนวันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 (เวลา 9.00 น.)

- เริ่มเรียนได้วันที่ 6 มีนาคม 2564

- สิ้นสุดการเรียน 30 เมษายน 2564

ข้อควรรู้เกี่ยวกับคอร์สนี้

- สอนโดย รศ.มานิตย์ จุมปา จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- คอร์สนี้สามารถสมัครได้เรียนทุกคน ทั้งนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป (จำกัดจำนวน 5,000 คน)

โปรดอ่าน! คำแนะนำการใช้งานจาก Chula MOOC

- เริ่มเข้าเรียนได้ในวันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564

- สำหรับการเข้าเรียน ให้กดที่ลิงก์รายวิชาด้านล่างและกดที่ปุ่ม "เข้าเรียน"

- ระบบจะเปิดให้เข้าเรียนตอน 6.00 น. เป็นต้นไป แต่ผู้เรียนจะเข้าเรียนเวลาใดก็ได้ โดยจะมีสื่อพร้อมให้เรียนได้เลย

- ลงทะเบียนรายวิชาสำเร็จจะปรากฎคำว่า Enrollment Completed หากไม่มีจะถือว่าลงทะเบียนไม่สำเร็จ โปรดลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง

- อ่านวิธีการใช้งาน Website และ วิธีการลงทะเบียน https://mooc.chula.ac.th/how-to

- สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเป็นครั้งแรก โปรดตรวจสอบชื่อนามสกุลให้ถูกต้อง เนื่องจากข้อมูลจะปรากฎบนใบ Certificate เมื่อเรียนจบ

- ผู้เรียนต้องทำคะแนนรวมทั้งหมดให้ได้ร้อยละ 60 ขึ้นไป จึงจะได้รับใบประกาศฯ หรือใบ certificate

ตามไปศึกษาความรู้เรื่องหลักการพื้นฐานทางกฎหมายทั่วไปได้ที่ >> https://mooc.chula.ac.th/courses/46

หากมีข้อสงสัยหรือพบปัญหาเกี่ยวกับการสมัคร สามารถสอบถามหรือแจ้งเรื่องได้ที่เพจ CHULA MOOC


ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/OneMoreCoursebyDekD/photos/a.107506870745169/274776460684875/

คนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยาวนาน จะมีความเหมือนกัน มากกว่าความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ในการพบกันครั้งแรกพวกเขาสังเกตเห็นลักษณะของอีกฝ่ายที่พวกเขาเองก็มี ลักษณะเหล่านี้บ่งบอกว่าทั้งคู่อาจมีความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ในอนาคต

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า เรามองหาคนที่แตกต่างจากเรา เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย เขาคนนั้นจะเป็นสีสันและความแปลกใหม่ในชีวิตที่เราไม่เคยได้พบ เพื่อให้ชีวิตที่ซ้ำซากจำเจของเราไม่น่าเบื่อ เพราะหากเลือกคนที่นิสัยเหมือนกัน ก็คงอยู่กันได้ยาก แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้อาจเป็นความเข้าใจที่ผิด

เราไปอ่านเจอบทความต่างประเทศเรื่องหนึ่งมา ซึ่งเขารวบรวมความเชื่อหรือความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับความรักเอาไว้ มีหลายข้อที่น่าสนใจ แต่วันนี้เราขอหยิบหัวข้อที่คิดว่าหลายคนน่าจะเข้าใจผิดเหมือนกันมาคุย โดยข้อที่ว่า คือ “สิ่งตรงข้ามดึงดูด” แม้คำนี้จะได้รับความนิยมและดูท่าว่าจะเป็นจริง แต่ก็มีการพิสูจน์แล้วว่าผิด

บทความกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยาวนานจะมีความเหมือนกัน มากกว่าความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ในการพบกันครั้งแรกพวกเขาสังเกตเห็นลักษณะของอีกฝ่ายที่พวกเขาเองก็มี ลักษณะเหล่านี้บ่งบอกว่าทั้งคู่อาจมีความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังพบว่าคู่รักที่มีบุคลิกและค่านิยมคล้ายคลึงกันจะทำหน้าที่พ่อแม่ได้ดีกว่าคู่รักที่มีนิสัยต่างกัน

เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกว่า เราอยากหาคนที่มีนิสัยแตกต่างจากตัวเอง เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย เป็นความท้าทายในชีวิต เช่น เราอยากได้คนที่กล้าตัดสินใจ เด็ดขาด เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองโลเล ไม่มั่นใจ เราอยากได้คนที่พูดน้อย ชอบรับฟัง เพราะเราพูดเก่ง เราอยากได้คนที่กินง่าย เพราะเรากินยาก เวลาไปกินข้าวด้วยกัน เขาจะได้ช่วยเรากิน (ฮา) เราว่าหลายคนก็มีความคิดแบบนี้นะ การมองหาและพยายามแก้ไขสิ่งที่เราไม่มี ด้วยการสะท้อนมันจากตัวตนของอีกฝ่าย ชีวิตธรรมดาที่ดำเนินเช่นเดิมมาตลอด อาจจะมีเรื่องแปลกใหม่ที่ทำให้ตื่นเต้นและคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

แต่ข้อมูลจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น กลับสั่นคลอนความเข้าใจของเรา ลองมาตกตะกอนอีกที น่าคิดนะว่า หรือความเหมือนต่างหากที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนระยะยาว เพราะความต่าง คือการที่เราอยากได้คนมาเติมเต็มส่วนที่ขาด ได้ความตื่นเต้น แปลกใหม่ คาดเดายาก แต่เราไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว กลับกันถ้าเรามองหาคนที่นิสัยเหมือนกัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน ทัศนคติตรงกัน คนแบบนี้หรือเปล่าที่จะทำให้เราอยู่กับเขาไปได้อย่างยาวนาน

ลองคิดภาพคนที่ต่างจากเรา เขาสามารถกินได้ทุกอย่าง แต่เราเลือกกิน วันหนึ่งเกิดทะเลาะกันเรื่องร้านอาหารขึ้นมา หรือเราชอบคนพูดน้อย เพราะเราพูดมาก เลยอยากให้เขาฟัง แต่ถ้าเขาอยากอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้อยากฟังเราพูดล่ะ หรือถ้าชอบฟังเพลงคนละแนว นั่งรถไปจะแย่งกันเปิดเพลงไหม ถ้าอีกคนชอบออกไปเที่ยว แต่อีกคนชอบนอนอยู่บ้านล่ะ ถ้าเป็นความต่างแบบนี้ ก็ดูท่าความสัมพันธ์จะไม่ยืนยาวเท่าไหร่ ต้องปรับให้กันอีกมากโข

กลับกัน ถ้าเราเจอคนที่ชอบพูดเหมือนกัน เล่านู่นเล่านี่ที่เจอ ช่างจ้อ บทสนทนาคงไม่กร่อย หรือคนที่ชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน วันหยุดคงพากันจัดทริปไปไหนต่อไหน คนที่กินเก่งเหมือนกัน ก็คงพากันไปตะลุยกิน คนที่เข้าใจในความเงียบของกันและกัน สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น มากกว่าความแตกต่างที่เราเคยเข้าใจ

แต่ในท้ายที่สุดก็คงต้องย้ำเหมือนเดิมว่า มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ไม่ว่าจะเหมือนกันสุดขีด หรือต่างกันสุดขั้ว ถ้าไม่มีความรักเป็นตัวนำก็คงยากที่จะไปกันรอด ส่วนเหตุผลยิบย่อยในความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ทุกคู่ต้องช่วยกันปรับ และประคับประคองกันไป หากคนสองคนรักกัน ย่อมหาวิธีที่จะไม่เสียความรักนั้นไป คงมีเส้นทางและด่านทดสอบอีกมาก ให้ช่วยกันหาทางออก ไม่มีอะไรที่ราบรื่นสมดังใจหวังทุกอย่าง เพราะความรักมันไม่เคยง่าย…


เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://brightside.me/inspiration-relationships/6-myths-about-love-that-people-still-believe-in-444860

คติประจำใจจาก 'Malala Yousafzai' สาวน้อยมหัศจรรย์ชาวปากีสถาน ที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ 2556

“I don’t mind if I have to sit on the floor at school. All I want is education. And I’m afraid of no one.”

“ฉันไม่รังเกียจที่จะนั่งที่พื้นของโรงเรียน สิ่งที่ต้องการสำหรับฉัน คือ การได้เรียนหนังสือ และฉันไม่เกรงกลัวใครที่จะแสดงออกเช่นนี้”

Malala Yousafzai (สาวน้อยมหัศจรรย์ชาวปากีสถาน ที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ 2556)

ยุโรป - อเมริกาแข่งจัดแพ็กเกจจูงใจ ดึงนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ นิวซีแลนด์ยกเว้นมาตรการปิดล็อกชายแดน ตั้งกองทุนช่วยเหลือ อังกฤษให้ทุนเพิ่ม 3 เท่า อยู่ทำงาน 2-3 ปี ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี อเมริกาไม่น้อยหน้าผ่อนเกณฑ์เข้ม

แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย แต่นักศึกษาไทยจำนวนมากยังสนใจไปเรียนต่อในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะที่หน่วยงานทางการศึกษา และสถานทูตหลายชาติในประเทศไทยก็ดำเนินนโยบายเชิงรุก ทั้งประชาสัมพันธ์และจัดแพ็กเกจดึงดูดนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ

นิวซีแลนด์ตั้งกองทุนช่วย

นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล ผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้อนุมัติเป็นกรณีพิเศษภายใต้การยกเว้นหมวดหมู่ชายแดนใหม่ โดยเปิดให้นักศึกษาต่างชาติ 2 กลุ่ม กลับไปเรียนที่นิวซีแลนด์เพิ่มจนสำเร็จการศึกษาได้ กลุ่มแรกอนุมัติเมื่อ 12 ต.ค. 2563 เฉพาะนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโทและเอก 250 คน กลุ่มที่ 2 อนุมัติเมื่อม.ค. 2564 จำนวน 1,000 คน เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนระดับปริญญาตรีและระดับสูงกว่า

นอกจากนั้น รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้จัดตั้งกองทุนความยากลำบากมูลค่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 21,639,300 บาท) เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติกรณีเร่งด่วน และชดเชยรายได้กรณีว่างงานจากงานพาร์ตไทม์ เงินดังกล่าวครอบคลุมนักศึกษาต่างชาติประมาณ 11,000 คน

จุดขายใหม่เรียนจบทำงานต่อ

นิวซีแลนด์ยังชูจุดขายใหม่ ผ่านโครงการ “Global Pathway to New Zealand” ใน 30 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย เพื่อดึงดูดนักเรียน-นักศึกษา ให้เรียนต่อกับ 8 มหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวซีแลนด์ แบ่งการเรียนเป็น 3 ระดับ

1) international foundation year ปรับพื้นฐานก่อนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับการรับประกันการเข้าเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย 1 ใน 8 แห่ง และจบปริญญาตรีในเวลา 3 ปี

2) international year one ให้เรียนปริญญาตรีปีแรกที่ประเทศของตนเอง และรับประกันการเข้าเรียนปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยนิวซีแลนด์ที่เลือก

3) premaster’s programme เตรียมความพร้อมด้วยทักษะทางวิชาการระดับสูง และภาษาอังกฤษขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับหลักสูตรปริญญาโทของนิวซีแลนด์

“ล่าสุดนิวซีแลนด์ทำโครงการ Joint Foundation โดยมหาวิทยาลัยโอทาโกร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดหลักสูตรปรับพื้นฐานด้านธุรกิจสำหรับนักศึกษาไทย เริ่มเรียนปริญญาตรีปี 1 ในไทย เมื่อเปิดพรมแดนนักศึกษาบินไปเรียนที่นิวซีแลนด์ได้ทันที หลังเรียนจบยังอยู่ทำงานต่อได้สูงสุด 3 ปี เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ – 30 เม.ย. 2564 และคาดว่าจะมีนักศึกษาสนใจอย่างน้อย 40 คนสมัครในแต่ละโครงการ”

สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ ต้องกักตัวในสถานที่ที่รัฐบาลจัดให้ โดยชำระค่าธรรมเนียมการกักตัวเอง แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การตรวจ และรักษาโควิด-19 รัฐบาลนิวซีแลนด์บริการฟรี

เรียนอังกฤษฉีดวัคซีนโควิดฟรี

นางสาวอเล็กซานดรา เเมคเคนซี อัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยเปิดเผยว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมความพร้อมรองรับนักเรียน-นักศึกษาต่างชาติหลายมาตรการ อาทิ การเข้าถึงบริการสุขภาพอนามัย โดยให้ผู้เรียนรับบริการด้านสาธารณสุขผ่านระบบการดูแลสุขภาพ (National Health Service-NHS) และบริการตรวจเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ นักเรียน-นักศึกษาต่างชาติที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และลงทะเบียนเข้าระบบการรักษาแบบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP) จะได้รับสิทธิการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิดฟรีเกณฑ์เดียวกับพลเมืองสหราชอาณาจักร รวมถึงโปรแกรมดูแลด้านสุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้งช่วยเหลือกลุ่มนักเรียนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับค่าที่อยู่อาศัย และอุปกรณ์การเข้าถึงการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์

นางสาวอุไรวรรณ สะโมลี หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร บริติช เคานซิล ประเทศไทย เสริมว่า สหราชอาณาจักรได้ออกประกาศใหม่ “The Graduate Route” ให้นักศึกษาต่างชาติที่จบระดับปริญญาตรีและโท อยู่ทำงานต่อได้ 2 ปี และระดับปริญญาเอกได้ 3 ปี ถึงแม้ตอนนี้กำลังเรียนผ่านระบบออนไลน์ในประเทศไทยก็สามารถสมัครได้ เพียงแต่เทอมสุดท้ายต้องศึกษาอยู่ ณ สหราชอาณาจักรเท่านั้น

นอกจากนั้นมีทุนการศึกษาให้เปล่าเพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า โดยปี 2564 มีทุน GREAT Scholarships 28 ทุน จากสถาบันการศึกษา 22 แห่ง สำหรับนักเรียนไทยที่ต้องการศึกษาต่อปริญญาโท ทุนละ 10,000-26,000 ปอนด์ (ประมาณ 415,000 – 1,080,000 บาท)

และทุน Women in STEM ซึ้งเป็นทุนการปริญญาโทแบบเต็มจำนวนสำหรับผู้หญิงในแวดวง STEM ที่ต้องการศึกษาต่อ โดยนอกจากทุนนี้จะครอบคลุมค่าเทอม ค่าที่พักอาศัย และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลแล้ว ยังครอบคลุมการสนับสนุนพิเศษสำหรับผู้ที่มีบุตร และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอร์สปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ

ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี

ตอนนี้ออสเตรเลียยังปิดประเทศอยู่ แต่กำลังพิจารณาอนุมัติวีซ่านักเรียนที่ยื่นนอกประเทศ ดังนั้นเมื่อกลับมาเปิดประเทศแล้ว นักเรียนที่มีวีซ่าสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ทันที

ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียประกาศมาตรการวีซ่าที่ยืดยุ่นสำหรับนักเรียนต่างชาติมากขึ้น อาทิ นักเรียนต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากโควิดต่อวีซ่าได้ฟรี หากไม่สามารถเรียนจบในระยะเวลาวีซ่าเดิม ผู้ถือวีซ่านักเรียนที่เรียนออนไลน์นอกออสเตรเลีย สามารถนำระยะเวลาเรียนออนไลน์มานับรวมเพื่อขอ Post-study Work Visa (วีซ่าชั่วคราว สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เรียนจบระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยของออสเตรเลีย สามารถอยู่ออสเตรเลียต่อได้ 2-4 ปี) ฯลฯ

ทั้งนี้ผู้ที่เรียนจบแล้วสามารถสมัคร Post-study Work Visa นอกออสเตรเลียได้ หากไม่สามารถกลับเข้าออสเตรเลียเนื่องจากโควิด-19 และรัฐบาลออสเตรเลียอนุญาตให้นักศึกษาทำงานได้มากกว่า 40 ชั่วโมง/2 สัปดาห์ได้ชั่วคราว เฉพาะงานสายสุขภาพ หรืองานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 งานดูแลผู้สูงอายุ งานในภาคการเกษตร เป็นต้น

อเมริกาผ่อนเกณฑ์เข้ม

ในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันมีนักเรียน-นักศึกษาไทย 6,154 คน จากการสอบถามสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งว่า ยังมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากว่า 5,000 แห่ง เปิดต้อนรับนักศึกษาจากทั่วโลก

ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่บังคับให้นักเรียน-นักศึกษาสอบเข้าด้วยคะแนน SAT (Scholastic Assessment Tests) หรือข้อสอบมาตรฐานสากลที่ใช้วัดความถนัดในวิชาเลขและภาษาอังกฤษ และ ACT (American College Testing) หรือการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย

ส่วนการดูแลนักเรียนต่างชาติและนักเรียนไทยในสถานการณ์โควิด-19 มอบหมายให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ โดยจะมีวิธีการรับมือแตกต่างกันไป แต่ทั่วไปจะมีการทดสอบโควิด-19 เป็นระยะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงกำหนดให้ใช้หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ และจำกัดการชุมนุมขนาดใหญ่

ส่วนความช่วยเหลือกรณีอื่น ๆ เช่น การประกันสุขภาพ การกักตัว และความช่วยเหลือทางการเงิน สามารถสอบถามสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งในสหรัฐอเมริกาถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ได้


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/education/news-619433

“อ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบเก่า การเตรียมตัวสำหรับลงสนามสอบที่วัดผลคะแนนของแต่ละสนาม เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าไม่เช่นนั้นคะแนนที่ปรารถนาคงไม่ได้มา แต่การบริหารจัดการเวลาใน “วันสอบ” คือสุดยอดเทคนิคให้สิ่งที่เตรียมตัวมาเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

“สิงห์สนามสอบ” เป็นอีกหนึ่งคำนิยามที่คิดว่าผู้เขียนมีคุณสมบัตินี้อยู่พอตัว ไม่ใช่เพราะว่า ทำข้อสอบอะไรก็ผ่านฉลุย หรือว่าได้คะแนนดีไปซะทั้งหมด แต่ถ้าเทียบกับการเข้าสู่สนามสอบหลายรอบ หลายครั้ง ก็นับว่ามากพอสมควร อาจเนื่องด้วยผู้เขียนร่ำเรียนชั้นอุดมศึกษาในคณะ “นิติศาสตร์” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเมื่อเรียนจบชั้นปริญญาตรีแล้ว หากประสงค์จะประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย ก็ต้องมีการเข้าสู่สนามสอบหลายสนาม นับจากเรียนจบ เส้นทางกว่าจะประกอบวิชาชีพกฎหมายอย่าง “ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ” จึงต้องเข้าสู่สนามสอบมากมาย และใช้เวลายาวนาน

หากเทียบกับผู้ที่มีความเลิศในทางวิชาการ ผู้เขียนถือว่าเป็นรอง สอบตกบ้าง สอบผ่านบ้าง แต่มาถึงวันนี้ ผู้เขียนก็ได้ผ่านสนามสอบมาพอสมควร หากต้องการเทคนิคการสอบให้ได้ที่ 1 อาจข้ามบทความนี้ไป แต่หากต้องการเทคนิคของคนกลางๆ ทางวิชาการแล้วสอบผ่าน ให้อ่านให้จบ!!!

ในที่นี้ผู้เขียนจึงอยากมาแบ่งปันเทคนิคส่วนตัว ซึ่งเชื่อมโยงจากการสอบผ่านในระดับชั้น “เนติบัณฑิต” และประสบการณ์การสอบ “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” สนามใหญ่ของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง

เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านและผู้ที่สนใจเทคนิคนี้นำไปใช้บ้าง ไม่ใช่เพียงในสนามสอบวิชากฎหมายเท่านั้น สนามสอบอื่นก็อาจมีประโยชน์ได้ ต้องบอกว่า “เทคนิค” ล้วนๆ ไม่มี “เนื้อหา” ปนเลยหล่ะ

ทุกครั้งที่ผู้เขียนจะเข้าสู่สนามสอบ สิ่งที่ผู้เขียนจะรู้สึกสนุกและมีพลังอย่างมาก ต้องบอกว่าไม่ใช่เนื้อหาที่จะสอบเลย เพราะเนื้อหาที่ว่าเป็นเนื้อหาวิชากฎหมายที่เยอะและยาก หัวไม่ดีเลิศอย่างเรา อ่าน 3 รอบ บางทียังไม่เข้าใจ แต่เมื่อตั้งเป้าหมายแล้วว่าต้องสอบให้ได้ เพราะฉะนั้นการวางแผนจึงสำคัญพอ ๆ กับการเตรียมตัวด้านวิชาการ

1.) รู้จักตัวเอง

สำคัญมากสำหรับการสอบแต่ละครั้ง เราจะต้องรู้จักและประเมินความสามารถในทางวิชาการของเราอย่างถ่องแท้ และเป็นธรรมกับตัวเองมากที่สุด ไม่เข้าข้างตัวเอง หรือประเมินตัวเองต่ำเกินไป เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราต้องเตรียมในส่วนของเนื้อหาอย่างไรและใช้เวลาเท่าไหร่

2.) จะเอาแค่สอบผ่าน หรือต้องการได้คะแนนดีที่สุด

หากประเมินตัวเองแล้ว เราจะต้องรู้ว่าสนามสอบนั้น ต้องการอะไร ? บางสนามสอบต้องทำคะแนนได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเรียงลำดับคะแนนในการถูกคัดเลือก แต่บางสนามสอบต้องการคะแนนผ่านเกณฑ์ก็ถือว่าผ่าน ซึ่งตัวเราเองต้องตัดสินใจว่าเราต้องการแบบไหน การตัดสินใจสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราวางแผนในการเตรียมตัวได้ชัดเจนมากขึ้น

3.) ศึกษา “ข้อสอบ” และ “การตอบ”

ข้อนี้การตอบข้อสอบกฎหมายจะชัดเจน เพราะการตอบข้อสอบกฎหมายจะเป็นอัตนัยทั้งหมด โจทย์ยาวและซับซ้อน การตอบต้องตรงประเด็น ในชั้นเนติบัณฑิตและระดับผู้ช่วยพิพากษา ต้องแม่นในตัวบทกฎหมาย และคำพิพากษาฎีกา ที่สำคัญเวลาในการสอบก็จำกัด เพราะฉะนั้นจะต้องศึกษาลักษณะของ “ข้อสอบ” สังเกตการตั้งคำถาม และรู้ว่าเขาถามอะไร เพื่อจะได้ตอบให้ตรงตำถาม ที่สำคัญคือการตอบ วิธีการตอบให้ดี เป็นเรื่องที่ต้องฝึก ฝึก ฝึกและฝึก จนสามารถสังเคราะห์คำตอบที่ออกมาจากการเขียนสไตล์ของตัวเองให้ได้ ซึ่งข้อนี้คนที่สอบได้คะแนนดี จะฝึกจนชินในการใช้ภาษา แล้วทำให้มีเวลาในการไป Focus กับประเด็นที่ต้องตอบ เพราะวิธีการหรือรูปแบบการตอบ เราได้ฝึกมาแล้ว

4.) ศึกษา “กฎระเบียบ” ใน “วันสอบ” “สนามสอบ” ให้ละเอียดและแม่นยำ

เรื่องนี้ เพื่อบริหารเวลาและสถานการณ์ในห้องสอบให้ราบรื่น และทำให้เราไม่ตื่นสนามสอบหากมีความเข้าใจในกระบวนการ ขั้นตอน กฎระเบียบใน “วันสอบ” ทั้งหมด ข้อนี้ผู้เขียนให้ความสำคัญมาก !! ถามว่าทำไม ? ก็เพราะผู้เขียนไม่ใช่ผู้ที่เลิศทางวิชาการ แต่ผู้เขียนตั้งเป้าว่าต้องสอบผ่าน ซึ่งการสอบให้ได้คะแนน ก็ต้องทำข้อสอบให้ได้มาก และทันเวลาด้วย ! การบริหารเวลาและสถานการณ์ในห้องสอบจึงสำคัญ

ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์ครั้งที่ผู้เขียนสอบในระดับชั้นเนติบัณฑิตและการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาก็แล้วกัน

ผู้เขียนก็จะต้องรู้ว่าสนามสอบอยู่ที่ไหน ใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปสนามสอบเท่าไหร่ เดินทางอย่างไร เผื่อให้ทันเวลา จะขับรถหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะ ผู้เขียนรู้ว่าการเดินทางในกรุงเทพมหานครนั้นรถติด หากผู้เขียนขับรถไปก็จะทำให้เสียเวลาในการท่องหนังสือ ในวันสอบทุกครั้งผู้เขียนก็จะให้คุณพ่อไปส่งบ้าง หรือนั่งรถโดยสารสาธารณะบ้าง เพื่อจะได้มีเวลาทวนก่อนเข้าห้องสอบ

-การบริหารเวลาในการทำข้อสอบเนติบัณฑิต

เนื่องจากว่าในแต่ละวิชาผ่านเกณฑ์ 50 คะแนน ผู้เขียน “ตัดสินใจ” แล้วว่าจะเอาแค่ผ่านเกณฑ์ ข้อสอบมี 10 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน ผู้เขียนใช้วิธีเลือกมา 4 ข้อแม่น หมายถึงว่า 4 ข้อนี้ผู้เขียนต้องได้ 7 คะแนนขึ้นไป เพื่อจะได้เน้นการอ่านเตรียมตัวสอบให้จำกัดขึ้น เพราะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย 7 คูณ 4 ได้ 28 คะแนน / 50 - 28 เหลือ 22 คะแนนก็จะผ่าน เพราะฉะนั้น 6 ข้อที่เหลือก็ข้อให้ได้ข้อละ 3 - 4 คะแนนก็พอ และห้ามมีข้อที่ได้ 0 คะแนน ซึ่งหมายความว่า ต้องเขียนทุกข้อ เขียนอะไรได้ก็เขียนพอให้มีคะแนน

นอกจากนี้เวลาในการทำข้อสอบนั้นมีจำกัดมาก ตกข้อละ 24 นาที แต่ผู้เขียนให้เวลาข้อละ 20 นาทีเท่านั้น หากยังเขียนตอบไม่เสร็จก็เปลี่ยนข้อทันที แล้วค่อยมาเก็บตกประเด็นที่เหลือ เพราะอย่าลืมว่าทุกข้อคะแนนเท่ากันคือ 10 คะแนน หากข้อนึงได้่ 10 อีกข้อนึงได้ 0 ก็ไม่คุ้มค่ะ ทำให้ข้อนึงได้ 6 แล้วอีกข้อได้ 5 รวมกันก็ยังได้ 11 คะแนน และอาจได้มากกว่านั้นอีก

ไม่เพียงเท่านั้น การจัดการตัวเองในการทำธุระส่วนตัวก็สำคัญเช่นกัน ในห้องสอบจะเปิดแอร์เย็นมากและจะทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย การเตรียมเสื้อกันหนาวมาเผื่อเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเสียเวลาเข้าห้องน้ำอยู่นั่นแหละ เสียเวลาทำข้อสอบไปอีก หรือหากสนามสอบไหนมีให้พักเบรกเข้าห้องน้ำ ก็ต้องประเมินดีๆ ว่าช่วงพักเบรกเราจะเข้าห้องน้ำทันหรือไม่ ซึ่งในการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ผู้เขียนประเมินแล้วว่าใน 1 ฮอล์สอบ คนสอบเป็นพันคนและห้องน้ำมีน้อย ช่วงพักเบรกเข้าห้องน้ำก็สั้นเหลือเกิน ต้องต่อแถวเข้าห้องน้ำ คงไม่ทันแน่นอน ผู้เขียนจึงเตรียมแพมเพิสผู้ใหญ่พกติดไปเลยเผื่อฉุกเฉิน ! แม้เรื่องจริงจะไม่ได้ใช้ แต่ก็อุ่นใจขึ้นเยอะ หรือแม้กระทั่งเรื่องจำนวนปากกา ดินสอ นาฬิกา บัตรสอบที่ต้องพกเข้าไป รายละเอียดพวกนี้ หากสามารถเตรียมตัวได้ไม่ติดขัด ก็จะทำให้การทำข้อสอบของเราราบรื่นขึ้นไม่มากก็น้อย

5.)นอนให้พอ ผ่อนคลาย มั่นใจในตัวเองก่อนลงสู่สนามจริง

ไม่มีวันไหนสำคัญเท่าวันสอบจริง ต่อให้เตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่วันสอบจริงสมองเบลอเพราะนอนไม่พอหรืออยู่ในภาวะเครียดจนคิดคำตอบไม่ออก ก็น่าเสียดาย เพราะฉะนั้นจงมั่นใจในตัวเองให้มาก เพราะที่ผ่านมาเราก็เตรียมตัวดีที่สุดในเวลาที่มีแล้ว หากสอบครั้งนี้ไม่ผ่าน ก็เป็นบทเรียนในครั้งหน้า จะได้แก้ไขอย่างถูกทาง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเคล็ดลับส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง แบ่งปันในฐานะผู้ที่เคยเป็น “สิงห์บ้างแมวบ้าง” ในสนามสอบ ผู้เขียนไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่เมื่อต้องสอบเมื่อไหร่ผู้เขียนก็เต็มที่และมีพลังสนุกไปกับมันอยู่เสมอ ขอให้ “สิงห์สนามสอบ” ทุกท่านโชคดีในการสอบของท่านนะคะ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of content editor THE STUDY TIMES

เปิดใจ ‘ครูเสริฐ’ แม้เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เพราะพลังรักจากแม่ ถ่ายทอดจิตวิญญาณความเป็นครู นำไปสู่การส่งต่อพลังที่ดี ให้กับเด็กนักเรียน

“ต้องขอบคุณที่พ่อเดินจากผมกับแม่ไปตั้งแต่ผม 2 ขวบ”

คำพูดของลูกผู้ชายที่ประสบกับจุดแตกหักของครอบครัวในแบบที่สังคมตีความว่าคือความแตกแยก แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ เรื่องมันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น มันกลับเป็นจุดตัดของชีวิตที่ขยายพลังความรักและความปรารถนาดีของแม่ให้เห็นชัดและยิ่งใหญ่จนโอบกอดและห่อหุ้มหัวใจของลูกชายเอาไว้ได้ทั้งดวง

ครูเสริฐ คุณครูสอนเด็กชั้นประถมโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่มีความตั้งใจจะทำอาชีพครูตั้งแต่เด็ก ครูเสริฐทำทุกอย่างให้ตัวเองได้เป็นครูที่ดีพร้อม ถึงแม้จะไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง เพราะได้รับทุนเต็มให้ไปเรียนในสาขาวิชาอื่น แต่ในแผนการของครูเสริฐนั้น ทุกวิชา ทุกกิจกรรม ทุกงานคือส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่การสร้างตน เพื่อกลายเป็นครูที่ดี แล้วอะไรทำให้ผู้ชายคนนี้ถึงรักการเป็นครูนัก

ครูเสริฐสอนนักเรียนชั้นไหน?

ผมมาลงที่สอนชั้น ป.1 ครับ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

ทำไมเลือกสอนเด็ก ป.1?

การสอนเด็กเล็กน่าจะเป็นทางของผม แต่ให้ไปสอนอนุบาลเลยผมก็กลัวว่าจะไปทับเด็ก (หัวเราะ) คือผมสูง 182 ซม. เด็กอนุบาลตัวเล็กไปสำหรับผม ป. 1 สูงประมาณเอวผมก็พอได้ ผมชอบสอนเด็กเล็กเพราะเค้าใสซื่อ ปากกับใจตรงกันจริง ๆ ไม่มีมารยา ไม่มีอะไร

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครูเสริฐรักการเป็นครู?

น่าจะเป็นคุณครูที่เราเรียนด้วยเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นครูเหมือนอย่างท่าน

ครูเสริฐเคยเจอครูที่ไม่ชอบบ้างมั้ย?

(คิดนานก่อนจะตอบ) น้อยมาก เคยมีนะ จำได้ว่ามีครูที่ตีเพื่อนเรา เราก็แบบว่าเค้าตีเพื่อนเราทำไม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรนะ

วิธีการสอนในชั้นเรียนของครูเป็นแบบไหน?

ผมเคยตอบคำถามในการอบรมครูครั้งหนึ่ง วิทยาการถามว่า ครูที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร ผมตอบไปว่า ครูที่ดีที่สุด คือครูที่สามารถเข้าไปนั่งในหัวใจเด็กได้ ผมไม่ใช่คนเก่งนะ ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึก ถ้าครูสามารถเข้าไปนั่งในใจเด็ก ๆ ได้ เด็กเค้าจะเชื่อฟัง เค้าจะทำตามที่เราบอกทุกอย่าง

ในชั้นเรียนผม ผมจะสอนไม่ยากนะ เน้นให้เด็กมีความสุข แล้วเค้าจะรักการเรียนเอง อย่างช่วงที่ผ่านมาเรียนออนไลน์ ผู้ปกครองชอบมาก พอถึงเวลาเริ่มเรียนผมก็เอาเครื่องดนตรีมาเล่นให้เด็ก ๆ ได้ร้องเพลงผ่านการเรียนแบบออนไลน์ เด็กได้เต้นได้ร้องเพลง เค้าก็สนุกกับการเรียนและจำบทเรียนได้

ซึ่งผมได้ไปอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยาสมัยใหม่มา อธิบายความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาสมัยใหม่และสมัยเก่าคร่าว ๆ คือเค้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ positive psychology ให้มองโลกในแง่บวก บวกไว้เลย เด็กจะมีความสุข ให้กำลังใจเค้า บอกเค้าว่า หนูทำได้นะ หนูเก่ง อย่างตอนที่เด็กฟันหลุด ผมก็บอกเค้าว่า หนูฟันหลุดเพราะว่าหนูโตแล้วนะลูก เราให้กำลังใจเค้า

ในวัยที่ครูเสริฐอายุเท่านักเรียนของครู ครูมีเรื่องให้ต้องไม่มีความสุขบ้างมั้ย?

(ครูเสริฐคิดอยู่เสี้ยววินาที) ไม่ค่อยมีนะ จริง ๆ ต้องขอบคุณคุณแม่ผมนะ คุณแม่ผมจบแค่ ป. 4 เป็นแม่ค้า แต่เลี้ยงลูกแบบจิตวิทยาสมัยใหม่ตรงกับที่ผมไปอบรมมาเลย คือพ่อแม่ผมแยกทางกัน เป็นบ้านอื่นเค้าจะพูดถึงกันไม่ดีให้ลูกฟัง แต่มาม้าไม่เคยพูดลบถึงพ่อให้ผมฟังเลย ต้องขอบคุณคุณพ่อที่จากผมไปตั้งแต่ผม 2 ขวบ ผมไม่เคยโกรธพ่อผมเลยนะ คุณแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น จริง ๆ ผมต้องบอกว่าคุณแม่คือครูคนแรกที่สำคัญของผม แม่ทำให้ผมอยากส่งต่อพลังที่ดีให้กับเด็ก

ครูเสริฐอยากให้ลูกศิษย์ได้อะไรติดตัวไปจากครู อยากเห็นลูกศิษย์ครูโตไปเป็นยังไง?

อยากให้เค้าเข้าใจความเป็นคน เหรียญมีสองด้าน ให้เราพิจารณาทุกคน อะไรทำให้เค้าเป็นแบบนี้ อะไรทำให้เค้าทำแบบนี้ มันมีอะไรที่นำพาเค้ามาให้เค้าเป็นแบบนี้ อยากให้เค้าเข้าใจว่าความเก่งไม่เก่งไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนดีของประเทศ รู้จักเอาตัวรอด นำประโยชน์ที่ได้ไปใช้ เมื่อได้ดีแล้ว อย่าลืมตอบแทนบุญคุณ เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ในเวลาเดียวกัน ผมเป็นครูผมก็รู้นะ เด็กบางคนเก่ง เด็กบางคนไม่เก่ง แต่เด็กทุกคนเป็นคนดีได้

อยากฝากอะไรให้กับคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน?

อยากให้เข้าใจคน อย่างที่บอกเหรียญมีสองด้าน เรื่องนี้พูดแล้วก็ขนลุกนะ เด็ก ๆ ทุกคนทำได้ เค้าแค่ขาดโอกาส ผมเคยคัดเด็กเป็นนางรำแล้วผมคัดเด็กอ้วนดำมารำ ครูคนอื่นเค้าก็ถามว่าทำไมคัดเด็กอ้วนดำมารำล่ะคะครูเสริฐ สำหรับผม ถึงเค้าจะอ้วนดำ แต่พอจับแต่งตัวแต่งหน้าออกมาสวยเลย และพอเค้าได้โอกาสที่เค้าคิดว่าเค้าไม่น่าจะได้รับ เค้าก็ตั้งใจกับมันมาก ผมให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างหน้า หนูอยู่ข้างหน้าทำให้ดีนะลูก แล้วเค้าก็ทำออกมาได้ดีเลย เด็กทุกคนต้องการแค่โอกาส กำลังใจที่เป็นพลังบวก ความเชื่อมั่นที่เรามีต่อเด็กสามารถทำให้เด็กเรียนไม่เก่งกลายเป็นเรียนเก่ง ไม่สวยกลายเป็นสวย แค่กำลังใจอย่างเดียวก็เพียงพอ เด็กเค้าจะพยายามเอง

ขอฝากถึงพ่อแม่ด้วย ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนกลับบ้านมาคุณต้องมอบความสุขให้กับลูก รับฟังลูก กอดลูก การกอดคือสัมผัสที่ทรงพลังมากกว่าคำพูด กอดของพ่อแม่คือเกาะกำบังของลูก อย่าส่งลูกออกไปนอกบ้าน อย่าไล่ลูกไปอยู่ในที่ที่อันตราย บ้านคือสวรรค์ของลูก

ครูเสริฐเป็นตัวอย่างชิ้นดีชิ้นหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า ถึงแม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ครบสมบูรณ์แบบ แต่ความใส่ใจของผู้เป็นแม่หรือสมาชิกที่เหลือในครอบครัวก็สามารถเติมเต็มความสุขให้ลูกจนเอ่อล้นได้ ครูเสริฐได้ส่งต่อพลังความห่วงใยและความหวังดีนั้นไปยังนักเรียนในชั้นของครู พลังบวกของแม่ครูเสริฐนั้นได้แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ

จากจุดเริ่มต้นที่แตกหัก ในแบบที่สังคมตีความว่าคือความแตกแยก กลับกลายเป็นจุดตัดขยายอนุภาพแห่งความรักจากแม่สู่ลูก สู่หัวใจที่เต็มอิ่มไปด้วยรักของลูก สู่จิตวิญญาณของความเป็นครูที่รักและหวังดีต่อเด็ก พลังรักของคุณแม่ครูเสริฐสัมฤทธิ์ผลแล้ว นั่นคือตัวครูเสริฐเอง

ครูเสริฐ คุณครูสอนชั้นประถมที่อยากทำให้เด็กทุกคนเป็นคนดีและมีความสุข


ขอขอบคุณ ครูประเสริฐ ปานเพชร ครูเอกชน สอนประจำ ณ  โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์  เขตคลองเตย  กรุงเทพมหานคร สอนวิชา ภาษาอังกฤษ  ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น

สัมภาษณ์และเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

ไขข้อข้องใจ การสอบ SAT คืออะไร? ทำไมต้องสอบ? จำเป็นไหม? ทำความรู้จักกับสนามสอบสำคัญอย่าง SAT ในทุกแง่มุมที่ควรรู้

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ล้วนใช้คะแนนจากการสอบ SAT หรือ Scholastic Aptitude Test เพื่อยื่นสมัครเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งข้อสอบตัวนี้ยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศไทย

ชวนมาทำความรู้จักกับสนามสอบสำคัญอย่าง SAT ในทุกแง่มุมที่ควรรู้ เพื่อนำไปสู่การพิชิตคะแนนในฝัน

SAT คืออะไร?

SAT คือ การสอบเพื่อนำคะแนนไปยื่นในระดับอุดมศึกษา ณ ต่างประเทศ

โดยตัวข้อสอบนั้นจะได้รับการพัฒนาจากองค์กร College Board อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทดสอบว่าคุณเป็นคนที่มีทักษะการอ่าน การวิเคราะห์ และการเขียนที่ดีในระดับมาตรฐานที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งส่วนที่จะถูกเน้นความสำคัญมากที่สุดคือ Mathematics และ Reading & Writing

อายุเท่าไหร่ถึงสอบได้?

การสอบ SAT ไม่ได้มีการกำหนดอายุของผู้เข้าสอบ แต่เนื่องจากคะแนนจะมีอายุแค่ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ประกาศผล ดังนั้นจึงนิยมสอบกันอย่างเร็วที่สุดในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ลักษณะการสอบ SAT:

ข้อสอบ SAT มี 2 PARTS ได้แก่

1.) Evidence-Based Reading & Writing

ใช้เวลา 1 ชม. 40 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบออกเป็น 2 ชุด คือ

– Reading มี 52 ข้อ

– Writing and Language มี 44 ข้อ จาก 4 บทความ

2.) Mathematics

ใช้เวลา ใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบเป็น 2 ชุด คือ

– Math Test : Calculator มี 38 ข้อ เป็นทั้งแบบ Choice และ เติมคำตอบ โดยสามารถใช้เครื่องคิดเลขในการช่วยคำนวณได้

– Math Test : No Calculator มี 20 ข้อ เป็น Choice 16 ข้อ และเติมคำตอบ 4 ข้อ โดยห้ามใช้เครื่องคิดเลข คะแนนเต็ม 1,600 (Part ละ 800 คะแนน) ตอบผิดไม่ติดลบ

วิธีสมัครสอบ:

การสมัครสอบสามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์ โดยจะต้องชำระเงินล่วงหน้าผ่านทางช่องทางที่กำหนด

ที่สำคัญ ควรเช็คสถานที่สอบที่ใกล้ที่สุดเพื่อความสะดวก และควรวางแผนการสมัครแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากสถานที่สอบหลายแห่งมักเต็มเร็ว ซึ่งอาจทำให้ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อไปสอบที่อื่นแทน

คะแนนนี้มีผลอย่างไร?

คะแนนจากการสอบทั้งหมดสูงสุดจะอยู่ที่ 1,600 คะแนน (พาร์ทละ 800 คะแนน) ค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่ทำได้จะอยู่ที่ 1,060 คะแนน นั่นหมายความว่าหากยิ่งทำคะแนนได้สูง โอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ยิ่งมีมาก

ทำอย่างไรให้ได้คะแนนดี?

สิ่งแรกที่ควรศึกษา คือรูปแบบการสอบ SAT และการฝึกทำข้อสอบปีเก่า ๆ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองพลาดตรงส่วนไหน อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าควรตอบลักษณะไหนจึงจะเข้าข่ายข้อถูกมากที่สุด

SAT เทียบกับ ACT อย่างไหนดีกว่า?

การสอบทั้งสองแบบมีความแตกต่างไปตามความถนัด ซึ่งโดยส่วนมาก มหาวิทยาลัยมักจะรับผลคะแนนทั้งสองแบบในการสมัครเข้าเรียน

หากคุณถนัดในสายวิทยาศาสตร์ ACT อาจตอบโจทย์มากกว่า SAT ที่เน้นไปในด้านคณิตศาสตร์ สิ่งสำคัญคือการทบทวนข้อสอบและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับในส่วนของการเปิดรับสมัคร ในแต่ละปี College Board จะประกาศเปิดสอบเป็นรอบ ๆ ทำให้สามารถติดตามข่าวสารได้โดยตรงทั้งบนเว็บไซต์ หรือหน้าเพจที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าว

ใครที่รู้ตัวว่าอยากไปเรียนต่อ หรือกำลังรอสอบรอบต่อไป อย่ารอช้า เตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้ แล้วไปลุยเลย!


ขอบคุณที่มา

https://www.wegointer.com/2021/02/what-students-should-know-about-the-sat/

https://www.bachelorstudies.com/article/what-students-should-know-about-the-sat/

https://www.ignitebyondemand.com/sat-คืออะไร/

'จุฑาเทพ จุฑานนท์' อุดมการณ์เพื่อมวลชน และอิทธิพลของนิยายจีนจึงทำให้มีวันนี้ | Click on Clever EP.5

อาชีพในฝันของใครหลายคนที่เรียนกฎหมาย อาชีพ “อัยการ” ที่ต้องแลกมาด้วยความอดทนและคราบน้ำตา

.

.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top