Sunday, 5 May 2024
TheStudyTimes

คติประจำใจจาก "Oprah Winfrey" สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิง เจ้าแม่พิธีกรทอล์คโชว์

“Education is the key to unlocking the world, a passport to freedom.”

"การศึกษาคือกุญแจสู่โลก คือพาสปอร์ตสู่อิสระเสรี"


Oprah Winfrey สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิง เจ้าแม่พิธีกรทอล์คโชว์

สสส.- มหิดล ชูนวัตกรรมแนวคิด MIDL 4 ด้าน เสริมเกราะป้องกันเด็กไทยรู้เท่าทันสื่อ ห่วงเด็กตกเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบเด็กเข้าถึงสื่ออย่างปลอดภัยเพียง 56 %

สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) แถลงผลสำรวจและการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการเป็นพลเมืองดิจิทัลของเด็กไทยวัยเรียนในยุค New Normal” ภายใต้โครงการวิจัยการสำรวจสถานการณ์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย อายุ 6 - 12 ปี

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย สำรวจโดยใช้นวัตกรรมแนวคิด Media Information and Digital Literacy (MIDL) ว่าด้วยกรอบสมรรถนะ 4 ด้าน ได้แก่ 1.) เข้าถึงสื่อ อย่างปลอดภัย 2.) วิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมิน 3.) สร้างสรรค์เนื้อหา และ 4.) ประยุกต์ใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์สังคมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมออกแบบและสร้างเครื่องมือในรูปแบบแอนิเมชัน สีสันสดใส เข้าใจง่าย เหมาะสมกับพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก

ความน่าเป็นห่วงที่พบคือการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบเด็กเป็นทั้งผู้กระทำและเหยื่อจากการถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการพบเห็นภาพโป๊เปลือย และเว็บไซต์การพนัน สิ่งสำคัญคือความใส่ใจของผู้ปกครองในการดูแลการเข้าใช้สื่อของเด็ก ถือเป็นการสร้างองค์ความรู้และฐานข้อมูลระดับประเทศ

ผศ.ดร.สุภาภรณ์ เกียรติสิน หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า การสำรวจสถานการณ์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย อายุ 6 - 12 ปี ได้ดำเนินการสำรวจผ่านเว็บไซต์ www.midlkids.com

ในโรงเรียนไทยทั่วประเทศ 63 โรง มีเด็กนักเรียนร่วมตอบแบบสำรวจ 2,609 คน พบว่า การรู้เท่าทันสื่อเฉลี่ยของเด็กช่วงอายุ 6–8 ปี มีคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 73 ส่วน 9 - 12 ปี อยู่ที่ร้อยละ 76 การสำรวจแบ่งเป็น 4 ด้านตามกรอบสมรรถนะ ได้แก่ ด้านที่ 1 เข้าถึงสื่อ สารสนเทศ และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัยอยู่ที่ร้อยละ 56 ด้านที่ 2 วิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมินอยู่ที่ร้อยละ 73 ด้านที่ 3 สร้างสรรค์เนื้อหาและข้อมูลอยู่ที่ร้อยละ 86 และ ด้านที่ 4 ประยุกต์ใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ร้อยละ 71

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเด็กไทยควรได้รับการพัฒนาทักษะการเข้าถึงสื่อ ทุกภาคส่วนจึงควรร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย รวมถึงการผลิตสื่ออย่างมีความผิดชอบต่อเด็ก กระตุ้นให้เด็กไทยฉลาดทางดิจิทัล ใช้สื่อได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/726732504656323/

สพฐ. เตรียมดำเนินโครงการโรงเรียนทางเลือก ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความถนัดของตัวเอง ปรับรูปแบบบริหารจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มุ่งเน้นการต่อยอดอาชีพ

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมที่จะดำเนินโครงการการศึกษา มุ่งสู่อาชีพที่เป็นอาชีพเฉพาะทาง เลือกตามความถนัดของผู้เรียน โดยได้เลือกการทำโครงการนี้ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.พื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากมองว่าโรงเรียนใน กทม.ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงอยู่หลายแห่ง และเด็กเลือกไปสมัครแย่งที่นั่งในโรงเรียนเหล่านี้จำนวนมาก จนทำให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและเล็กมีจำนวนผู้เข้าเรียนลดน้อยลง ดังนั้นตนจึงคิดว่าหากโรงเรียนของ สพฐ.ในเขตกทม.ปรับรูปแบบบริหารจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อมุ่งเน้นการต่อยอดอาชีพจะดีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษา และสำรวจข้อมูลแล้ว

“เรามีความเป็นห่วงโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและเล็ก ที่ทุกวันนี้เด็กลดจำนวนลง ไม่เพียงเพราะผู้ปกครองที่สนใจอยากจะพาบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนดังอย่างเดียว แต่อัตราการเกิดของประชากรก็ลดน้อยลงเช่นกัน เช่น โรงเรียนวัดสังเวช ในอดีตเป็นโรงเรียนมัธยมฯ ขนาดใหญ่ แต่ทุกวันนี้มีเด็กน้อยมาก

ดังนั้นเราจึงคิดว่า จะส่งเสริมให้โรงเรียนลักษณะนี้จัดการศึกษาเพื่ออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับดนตรี กีฬา คหกรรม ซึ่งหากอนาคตเด็กสนใจจะประกอบอาชีพเชฟ หรืออยากเป็นนักแสดง ก็สามารถนำความรู้ที่เรียนไปต่อยอดอาชีพในฝันของตัวเองได้ โดยโรงเรียนเหล่านี้จะเป็นโรงเรียนทางเลือกให้เด็กได้เลือกเรียนตามความถนัดของตัวเอง

รวมถึงในอนาคต สพฐ.มีแนวคิดจะทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โดยเด็กคนไหนอยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ก็ให้นำเนื้อหาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมาให้เด็กม.ปลายได้เรียน หากสอบผ่านก็ให้เก็บสะสมเป็นหน่วยกิตหรือเครดิตแบงค์ เมื่อเรียนจบม.6 และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่ทำความร่วมมือก็ไม่จำเป็นต้องไปลงเรียนในวิชาเหล่านั้นอีก” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/728729127789994/

เรื่องเล่าของคุณพ่อแฟรงค์ คุณพ่อที่มีลูกก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะมาแบ่งปันมีวิธีการ พ่อแม่จะพาลูกก้าวข้ามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไปกับลูกได้อย่างไร Part 1

“ถ้าเรากดเค้าไว้ นอกจากสิ่งนั้นจะไม่เบิกบานแล้ว เราจะสูญเสียอัจฉริยะบุคคลแน่นอน”

คำพูดของคุณพ่อน้องเฟียน หรือคุณพ่อแฟรงค์ เปิดนำก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้น้องเฟียนโชว์ฝีมือการบรรเลงเปียโนให้ฟัง บทเพลงที่น้องเฟียนเล่นเป็นเพลงแนวคลาสสิค และที่น่าประทับใจไปกว่านั้น น้องเฟียนแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเอง ตอนนี้หนุ่มน้อยนักดนตรีคลาสสิคคนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว พ่อแฟรงค์จึงมาแบ่งปันมีวิธีการว่าเราจะพาลูกก้าวข้ามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปกับลูกได้อย่างไร

คุณพ่อแฟรงค์เปรียบวัยรุ่นเป็นเหมือนกับผีเสื้อ

“ผมเปรียบวัยรุ่นเป็นผีเสื้อตอนที่กำลังเปลี่ยนจากดักแด้เป็นผีเสื้อ ช่วงที่เค้ากำลังออกมาจากตัวดักแด้มันเร็วมากแล้วเค้าจะกลายเป็นผีเสื้อเลย พ่อแม่จะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นลูกเปลี่ยนไป จะกลัวและเครียด พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ถึงเมื่อวานเค้ายังเป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่วันนี้เค้ากำลังจะไปเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกเค้าเปลี่ยนไปแล้ว เค้าไม่ใช่คนเดิมแล้ว มีแต่เรานั่นแหละที่ยังเหมือนเดิม เราต้องเข้าใจการเติบโตของลูก”

คุณพ่อแฟรงค์ไม่ห้ามลูก และสนันสนุนให้ลูกได้ลองทำ

“เวลาจะห้ามลูก ให้นึกถึงตอนเราอายุเท่ากันกับเค้า ตอนเราอายุ 15 - 16 ปีเท่าเค้าเรารู้สึกยังไง เราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน ผมจะคุยกับลูกว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือการซ้อมในการใช้ชีวิตจริง ลูกซ้อมไว้เลย ทำให้ดี แล้วเรียนรู้ว่าอยากจะมีชีวิตแบบไหน วัยรุ่นเป็นช่วงที่เค้ากำลังสร้างตัวตน ปล่อยให้ลูกสร้างตัวตน เค้าจะได้เป็นเค้าที่แข็งแรง ไปห้ามเค้า เค้าจะสร้างตัวตนไม่สำเร็จ อย่าเป็นศัตรูกับลูก การห้าม เป็นการผลักให้ลูกไปอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเมื่อไหร่ที่เค้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา เค้าจะอยู่กับเราเพราะเค้ามาขอเงินเราเท่านั้น เมื่อเค้าไปได้เค้าจะไปทันที ตอนเด็กเค้ายอมเราได้ แต่ตอนเค้าเป็นวัยรุ่น เค้าไม่ยอมเราแล้ว ฉะนั้นให้เค้าได้ลองและสนับสนุนเค้า”

ให้ลูกได้เห็นชีวิตจริง น้องเฟียนเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าพ่อเคยพาไปดูเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิต เฟียนจึงรู้ว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดเพื่อแลกกับเงินไม่มากนั้นยากเย็นขนาดไหน

“ผมให้ลูกเห็นว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีการรอคอย มีงาน มีหน้าที่ ความรู้เป็นเรื่องที่หาได้ทั่วไปแล้ว แต่การกระทำ การรู้จักหาวิธีสร้างรายได้สำคัญกว่า ผมเห็นตอนนี้มี AI ที่แปลภาษาได้หลายภาษาแล้ว ฉะนั้น AI จะเข้ามาทำงานแทนที่ทักษะด้านนี้ เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง เทรนด์มันมาแล้ว ถ้าปรับตัวได้ก่อน ก็ไปได้ก่อน”

ตอนต่อไปเราจะมาต่อเรื่องวิธีการจัดเวลาให้กับงานอดิเรกที่ไม่อดิเรก และวิธีจัดการกับความเชื่อของคนยุคเก่าที่คุณพ่อแฟรงค์ใช้กันค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และคุณลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ รับมือกับลูกวัยรุ่น เพื่อไปต่อให้ถึงเป้าหมาย

Link : https://www.facebook.com/299800753872915/videos/249307613299909

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์

EDEX-Education Experts ให้คำปรึกษาและแนะแนวการไปเรียนต่อสหราชอาณาจักร ที่ทำขึ้นมาด้วยใจรักและต้องการช่วยเหลือคน สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อ ผ่าน “ที่ปรึกษา” ผู้เชี่ยวชาญ

เพราะมีความเชื่อในปรัชญาที่ว่า “Knowledge is power” หรือ “การศึกษาคือพลัง” คืออำนาจชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จนเป็นรากฐานของความสำเร็จ ทั้งยังเป็นการลงทุนดีที่สุดในชีวิต

จึงทำให้สองพี่น้องครอบครัว “สกุลตั้งไพศาล” จับมือกันเปิด “ แพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและแนะแนวการไปเรียนต่อสหราชอาณาจักร” เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อหรือเพิ่มพูนต่อเติมความรู้ของตัวเอง อันเสมือนเป็นการสร้างถนนไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

การเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ นอกจากเป็นเรื่องลำบากยุ่งยาก สำหรับคนที่ไม่รู้ ยังเป็นการสร้างความกดดันให้กับหลาย ๆ คน ทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง ผลเช่นนี้จึงทำให้ 2 พี่น้อง “ชินวัฒน์ - ศุภนิดา สกุลตั้งไพศาล” สวมบทบาทเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “โค้ช” รับอาสาทำหน้าที่แก้ปัญหาให้กับคนที่อยากไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ

ตั้งแต่ระดับชั้นประถม มัธยม ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา และนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก รวมถึงประชาชนคนทั่วไปที่สนใจเพิ่มเติมความรู้ โดยทั้งคู่มีหลักในการทำธุรกิจว่า “ไม่ได้เน้นเป็นธุรกิจจ๋า แต่เป็นการทำด้วยใจรักและต้องการช่วยเหลือคน”

“ชินวัฒน์” (น้องชาย) จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศอังกฤษ ระดับปริญญาตรี และปริญญาโท เกียรตินิยมทั้ง 2 ใบ จาก London School of Economics and Political Science (LSE) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลก

ขณะที่ “ศุภนิดา” (พี่สาว) เรียนจบปริญญาตรี (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นจึงไปต่อปริญญาโทด้านมานุษยวิทยา ที่ SOAS, University of London มหาวิทยาลัยด้านมานุษยวิทยาอันดับต้น ๆ ของโลก

“ชินวัฒน์” บอกว่า ผมเรียนในระบบอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจบชั้นประถมจากเซนต์คาเบรียล ก็ไปเรียนมัธยมในระบบอังกฤษ จึงรู้และซึมซับวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนอังกฤษเป็นอย่างดี เวลามีลูกเพื่อนคุณแม่หรือรุ่นน้องจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ มักจะมาปรึกษาขอคำแนะนำเสมอ ๆ

“นับตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ สัก 40 - 50 คนได้มั้ง จนผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งเห็นว่าไม่ควรทำฟรี แต่ควรทำเป็นธุรกิจได้แล้ว เพราะเราทำกันอย่างจริงจัง ทุ่มเทมาก ๆ ดูแลให้ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจากศูนย์ กระทั่งเรียนจบ เพื่อให้คนที่มาปรึกษาเราได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อสำเร็จจึงเป็นความสุขใจทั้งของเรา และของคนที่มาขอคำปรึกษา นี่คือที่มาของธุรกิจ

ที่จริงแล้ว ธุรกิจที่ว่านี้ไม่ได้ตั้งเป็นรูปของบริษัท แต่เป็นลักษณะไพรเวตแบบพรีเมี่ยม ใช้ชื่อเรียกง่าย ๆ ว่า EDEX-Education Experts โดยติดต่อผ่าน LINE Official ID : @edex ที่บริการรับให้คำปรึกษา ให้คำแนะแนวทางแก่ผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อในสหราชอาณาจักรทุกระดับ”

“ไม่เฉพาะแค่เรื่องเรียนเท่านั้น ยังรวมถึงแนะนำและแก้ปัญหาสำหรับการเรียน กระทั่งเรื่องของการใช้ชีวิต และมารยาทในสังคมผู้ดีอังกฤษ พร้อมกับแนะนำเรื่องที่พัก ย่านที่อยู่อาศัยอีกด้วย”

มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง “ชินวัฒน์” บอกว่า ไม่ใช่จะเข้าได้ง่าย ๆ ยกตัวอย่าง หากเปิดรับสมัคร 50 คน จะมีคนแห่ไปสมัครถึง 700 คน และใน 700 คนนั้น เป็นคนที่มีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยระบุไว้ทุกคน เช่น เกรดจะต้องได้ 3.75 ต้องได้ A กี่ตัว วิชาไหนบ้างทุกคนจะได้ตามนี้หมด

“แต่จะเฉือนกันตรงไหน เราจะเป็น 1 ใน 50 ได้ยังไง อันนี้แหละคือกุญแจสำคัญที่จะต้องรู้ เพราะที่อังกฤษมองว่า คนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยคือคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ ดังนั้น ต้องรู้แล้วว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเรียนอะไร ไม่เหมือนอเมริกาที่ปีแรกยังไม่ต้องเลือกวิชาเอก หรือวิชาหลัก แต่ที่อังกฤษต้องเลือกแล้ว

ฉะนั้น การเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่าง คุณอยากเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ยื่นสมัครเข้าเรียนเลย เขากำหนดไว้เลยว่า ถ้าใครไม่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในชั้นมัธยม พอระดับมหาวิทยาลัยจะไม่สามารถเรียนคณะนี้ได้”

“ข้อมูลนี้ต้องรู้ และต้องเตรียมตัวตั้งแต่มัธยม ถ้าไม่รู้ถือว่าพลาด หลายคนเครียดมาก กลายเป็นคนมีปัญหาก็มี ดังนั้น หากได้คนมาให้คำปรึกษาหรือแนะนำ เขาจะไม่เครียด และยังจะได้ในสิ่งที่อยากเรียน อยากได้ ธุรกิจของเราที่เปิดมานี้ก็เพื่อตอบโจทย์ตรงนี้ และเราไม่ได้ให้คำปรึกษาเฉพาะกับเด็กเท่านั้น แต่ยังให้คำปรึกษากับพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร”

“เริ่มตั้งแต่มานั่งคุยกันก่อน เพื่อหาความชอบร่วมกันดูว่าเด็กอยากเรียนสิ่งนี้จริงไหม หรือถูกผู้ปกครองบังคับ จะต้องช่วยกันปั้นเขาขึ้นมาอย่างไร สร้างตัวตนของเขายังไง ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องไม่โกหกในเรื่องข้อมูล ไม่บีบให้เด็กเป็นในสิ่งที่เขาไม่ใช่ และจะไม่สร้างโปรไฟล์ของเด็กแบบลวก ๆ ต้องเป็นตัวตนเขาจริง ๆ”

“นอกจากในเรื่องของการเลือกวิชา และคณะที่อยากเรียนแล้ว สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เป็นการเลือกโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมที่สุดกับผู้เรียน จะต้องมีสภาพแวดล้อม สังคมที่เหมาะสมอยู่ในย่านที่ปลอดภัย และยังต้องเป็นที่ที่สามารถเชื่อมสัมพันธ์ และสร้างเพื่อนที่ดีได้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับอนาคต ต้องยอมรับว่าการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศของพ่อแม่บางราย ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว นอกจากวิชาความรู้แล้วยังเป็นเรื่องของคอนเน็กชั่น โดยเฉพาะครอบครัวที่ทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนอย่างรอบคอบและสมบูรณ์แบบ”

เพราะสังคมโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสลับซับซ้อน การแข่งขันเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางในอนาคตจึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างมีโอกาส แต่โอกาสที่ว่านั้นจะไปสู่ความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงทุนมองอนาคตอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และด้วยวิธีการที่เป็นระบบ ซึ่งไม่สามารถคิดเอง ทำเองได้ โดยไม่มีความรู้ คนแนะนำหรือคนให้คำปรึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเหมือนกับ 2 พี่น้องคู่นี้


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/csr-hr/news-629012?fbclid=IwAR1AiVDIVHJdHs72D7Luk9e4iBHhEmiLQ9oM7fYqa2Ds4eZzULIdI8TS0_A

คติประจำใจจาก "B. F. Skinner" นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน

“Education is what survives when what has been learned has been forgotten.”

“การศึกษาคือสิ่งที่เหลือรอดเมื่อสิ่งที่เคยได้เรียนรู้ถูกหลงลืมจนหมดสิ้น”


B. F. Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน

สพฐ. คัดเลือก 349 โรงเรียน ลุยแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัด เสนอของบพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ 2565 ชี้ ผู้บริหารโรงเรียนคิดโครงการยกระดับคุณภาพโรงเรียนมาคนละ 1 โครงการ ให้ ศธ.พิจารณา

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาการ รมว.ศธ. กล่าวภายหลังการประชุมมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดทั่วประเทศให้แก่ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ทุกจังหวัด ว่า

ขณะนี้แผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดมีความคืบหน้าอย่างมาก ศธ.พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำการคัดเลือกโรงเรียนจำนวนทั้งสิ้น 349 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนคุณภาพของชุมชนจำนวน 183 แห่ง โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมืองจำนวน 77 แห่ง และโรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Stand Alone) จำนวน 89 แห่ง เพื่อเสนอของบประมาณพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ในปี 2564 นี้ ตนต้องการคัดเลือกโรงเรียนนำร่องที่สามารถเป็นต้นแบบของโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และโรงเรียน Stand Alone แบ่งเป็น 5 ภูมิภาค จำนวนทั้งสิ้น 15 แห่งให้แต่ละโรงเรียนเขียนโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา 1 โครงการเพื่อเสนอของบประมาณปี 2564

“ขอให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้ง 349 แห่ง คิดโครงการในการยกระดับคุณภาพโรงเรียนมาคนละ 1 โครงการ และส่งเข้ามาให้ ศธ.พิจารณา เราจะมีคณะกรรมการพิจารณา แต่หากโครงการไม่ตอบโจทย์ตัวชี้วัดด้านคุณภาพเราก็จะไม่อนุมัติโครงการให้ ทั้งนี้เชื่อว่า รมว.ศธ.คนใหม่จจะให้ความสำคัญกับแผนการศึกษาจังหวัด” คุณหญิงกัลยา กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/728841491112091/

ห้ามพลาด!! UPDATE ทุนที่กำลังเปิดรับสมัครในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2564 สนใจทุนไหน กดตามลิงค์ได้เลย

✅ ทุน TEA ทุนสัมมนา/พัฒนาวิชาชีพ สำหรับครูมัธยม วิชาภาษาอังกฤษ คณิตฯ วิทย์ฯ สังคม 6 สัปดาห์ ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง กันยายน 2022

ปิดรับสมัคร 31 มีนาคม 2021 (เวลา 14.00 น. ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022tea/

✅ ทุน TGS ทุนเรียนต่อป.โท / ป.เอก 2 ปี ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง สิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 22 เมษายน 2021 (เวลา 17.00 น. ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-tgs/

✅ ทุน HHH ทุนอบรม/ฝึกงาน ส่งเสริมความเป็นผู้นำ สำหรับผู้บริหารระดับกลาง อายุ 30-55 ปี ในองค์กรรัฐ/เอกชน/รัฐวิสาหกิจ ประสบการณ์ทำงาน 5 ปีขึ้นไป 10 เดือน ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง สิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 24 พฤษภาคม 2021 (เวลาเที่ยงวัน ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-hubert-h-humphrey-fellowship-program/

✅ ทุน FLTA ทุนสอนภาษาไทยให้นักศึกษาอเมริกันระดับอุดมศึกษา และพัฒนาทักษะความสามารถในการสอนภาษาสำหรับครูมัธยมปลาย รร.รัฐ / อาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ อายุไม่เกิน 35 ปี 9 เดือน ในสหรัฐอเมริกา เดินทางสิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 7 มิถุนายน 2021 (เวลาเที่ยงวัน ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-flta-program/


ที่มา: https://www.facebook.com/FulbrightThailand/posts/10158072571127308

ผนึกเครือข่ายนักวิจัยอาเซียน เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสะเต็มศึกษา กระตุ้นให้เกิดงานวิจัยที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสะเต็มศึกษาในอาเซียน หลังพบปัญหาเยาวชนอาเซียนคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานโลก

ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) ร่วมกับ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และเชฟรอน คอร์ปอเรชั่น จัดประชุมนักวิจัยระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสะเต็มศึกษา เพื่อกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสะเต็มศึกษาในอาเซียน หลังพบปัญหาเยาวชนอาเซียนคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานโลก

ประกอบกับ 3 ปัจจัยที่การศึกษาแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ คือ ดิจิทัล ดิสรัปชั่น ความเหลื่อมล้ำของเด็กในเมืองและชนบท และผลกระทบจากโควิด-19 การประชุมมี 3 วิทยากรหลักนำเสนอภาพรวม ได้แก่ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการศูนย์ และ มิสดี เบอบอน ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการลงทุนเพื่อสังคม เชฟรอน คอร์ปอเรชั่น

ดร.สุภัทรชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของงานวิจัยที่ช่วยยกระดับการศึกษาของอาเซียน เนื่องจากสภาพปัญหาที่มีความคล้ายกัน 3 เรื่องคือ เยาวชนอาเซียนมีผลประเมินด้านการศึกษาต่ำ (PISA) การขาดแคลนกำลังคนที่มีทักษะสะเต็มศึกษา โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งเป็นกลไกที่จะช่วยดึงประเทศให้หลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง และการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงต้องเร่งส่งเสริมงานวิจัยด้านการศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต นำผลการวิจัยไปขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพื่อยกระดับศักยภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน

ขณะที่ ดร.พรพรรณกล่าวถึงบทบาทของสถาบันการศึกษากับการพัฒนาอาชีพครู และการสนับสนุนงานวิจัยที่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน โดยระบุว่าการหารือครั้งนี้ครอบคลุม 3 ประเด็นหลักคือ กระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) การบูรณาการสะเต็มศึกษาตั้งแต่ระบบเรียนฟรี หรือ K-12 และการสร้างโมเดลวิทยาลัยอาชีวะสะเต็มศึกษาที่ได้มาตรฐานโลก เวทีนี้ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา หลังผลกระทบจากดิจิทัล ดิสรัปชั่น ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของเด็กในเมืองและชนบท และสภาพเศรษฐกิจจากโควิด-19

ด้าน มิสดี กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างเชฟรอนกับ SEAMEO STEM-ED เพื่อพัฒนาสะเต็มศึกษาในภูมิภาคอาเซียน โดยเชฟรอนเริ่มมีส่วนร่วม พัฒนา “พลังคน” ในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง 6 ปีแล้วภายใต้โครงการ “Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต” ซึ่งปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่สองกลายเป็นโมเดลต้นแบบงานซีเอสอาร์ ด้านการศึกษาระดับภูมิภาค โดยนำเสนองานวิจัย ที่ถอดบทเรียนในโครงการให้กับนักวิจัยทั้งอาเซียน โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะการสอนในห้องเรียน ประโยชน์ของกระบวนการสร้างชุมชน แห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) รวมถึงการประเมินครู ผู้สอน ซึ่งมีความสำคัญต่อเด็กและการยกระดับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในอาเซียน

บทสรุปและแนวทางที่ได้จากงานประชุมครั้งนี้ จะถูกนำไปพัฒนาและบรรจุเป็นวาระนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ 11 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ SEAMEO Congress 2021 ที่จะมีขึ้นปลายเดือน เม.ย.นี้


ที่มา: https://www.khaosod.co.th/newspaper/newspaper-inside-pages/news_6142318

การสำรวจความเห็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายอเมริกัน พบว่า พวกเขามีความสนใจที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยน้อยลง เพื่อให้ได้งานการที่ดีในอนาคต และเผยว่าผลจากโควิด-19 กระทบแนวคิดเรื่องการเรียนต่อของพวกเขาอย่างมาก

การสำรวจความเห็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายชาวอเมริกัน 3,202 คน โดย ECMC Group ร่วมกับ VICE Media ที่ถามว่า มหาวิทยาลัยคือหนทางสำหรับเส้นทางอาชีพที่ดีหรือไม่? ปรากฏว่ามีเพียง 1 ใน 4 ของนักเรียนอเมริกันในการสำรวจ ที่คิดเห็นเช่นนั้น

วัยรุ่นอเมริกันครึ่งหนึ่งในการสำรวจ บอกว่า พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในระยะ 3 ปีข้างหน้าได้ หรือเชื่อว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องเรียนได้วุฒิสูงๆ ขณะที่ส่วนใหญ่ในการสำรวจบอกว่า พวกเขาต้องการจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่าจะเริ่มต้นอย่างไรและชีวิตจะไปในเส้นทางไหนก็ตาม

ระดับความสนใจในการเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ลดลงของวัยรุ่นอเมริกัน เกิดขึ้นหลังจากการปิดการเรียนการสอนช่วงการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส โควิด-19 ประเด็นการเมือง เหตุการณ์การใช้ความรุนแรงกับคนต่างเชื้อชาติสีผิว ที่สะท้อนการแบ่งแยกในสังคมอเมริกันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งค่าเล่าเรียนที่สูงสำหรับระดับอุดมศึกษาในอเมริกา

เมื่อจัดอันดับปัจจัยที่นักเรียนม.ปลายอเมริกันในยุคนี้กังวล อันดับแรก คือ ค่าเล่าเรียนระดับอุดมศึกษาที่สูงลิ่ว อันดับ 2 คือเส้นทางชีวิตที่ไม่แน่นอนหลังจบม.ปลาย อันดับ 3 คือ รู้สึกว่าเตรียมตัวไม่พร้อมสำหรับการประกอบอาชีพหลังจบการศึกษา

กว่าครึ่งหนึ่งในการสำรวจ ยอมรับว่า โควิด-19 ทำให้พวกเขากังวลถึงอนาคตอย่างยิ่ง และไม่พร้อมสำหรับชีวิตในก้าวต่อไป และผลกระทบทางการเงินจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้พวกเขาไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยอีก 4 ปีต่อจากนี้ และไม่อยากจะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษามากขึ้น

เจเรมี วีตัน ซีอีโอของ ECMC Group องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นเรื่องการศึกษาในระดับอุดมศึกษา บอกว่า นักเรียนมัธยมปลายและพ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขา เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อปีก่อน จากการระบาดของโควิด-19 นั่นหมายถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับอาชีพของพวกเขา

ซีอีโอของ ECMC Group ระบุว่า การเปลี่ยนแนวคิดด้านการศึกษาต่อไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และเป็นโจทย์สำหรับครูอาจารย์นักการศึกษาที่จะมอบโอกาสในอนาคตให้พวกเขาอย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเส้นทางการศึกษาต่อที่หลากหลายในปัจจุบัน

นักเรียนม.ปลายในการสำรวจนี้ ระบุว่า พวกเขาต้องการให้โรงเรียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกหลังจบมัธยมปลายที่หลากหลายกว่านี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลและภาคเอกชน จัดเตรียมระบบการศึกษา เงินทุนการศึกษา และยกเว้นผ่อนผันเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาด้วย


ที่มา : https://www.voathai.com/a/fewer-us-high-schoolers-plan-to-attend-university-03162021/5817072.html


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top