Sunday, 18 May 2025
TheStatesTimes

'เจิมศักดิ์' เตือน!! 'สมศักดิ์' ระวัง!! ไม่มีที่ยืนในสังคม ชี้!! ควรดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แม้ทักษิณไม่พอใจ

(18 พ.ค. 68) รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความว่า ข่าวว่ารัฐมนตรีสมศักดิ์ตั้งแพทย์จำนวน 10 คนกลั่นกรองและให้ความเห็นว่าคุณสมศักดิ์ควรจะใช้สิทธิ์วีโต้แพทยสภาหรือไม่ กรณีทักษิณไม่ป่วยหนักวิกฤตจริง จนต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ตำรวจ ชั้น 14 นานถึง 181 วัน

หากผมเป็นแพทย์ 10 คนที่รัฐมนตรีสมศักดิ์ตั้งให้ช่วยกลั่นกรองให้ความเห็นเรื่องนี้

พวกผมจะบอกรัฐมนตรีสมศักดิ์ ว่า

อย่าเสียเวลาใช้งานพวกผมเลยเพราะหากพวกผมมีความเห็นแย้งกับมติของแพทย์สภาอันประกอบไปด้วย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ก็จะไม่มีใครเชื่อถือความเห็นของพวกผม  หากจะอ้างว่าได้ข้อมูลใหม่จากรัฐมนตรีก็ฟังไม่ขึ้น เพราะทำไมจึงไม่ให้ข้อมูลกับแพทยสภาตั้งแต่เมื่อครั้งมีการพิจารณา ตัวรัฐมนตรีสมศักดิ์ ก็จะนำความเห็นไปอ้าง เพื่อวีโต้ช่วยนักโทษทักษิณได้ยาก เพราะขาดน้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ คนจะเชื่อแพทย์สภามากกว่าความเห็นของพวกผม 10 คน ทำให้ถูกสังคมเย้ยหยัน ทั้งตัวรัฐมนตรีและพวกผมไปเปล่าๆ

หากพวกผมมีความเห็นผมพ้องกับแพทยสภา รัฐมนตรีสมศักดิ์ก็จะยิ่งลำบากใจเพราะถ้าลงนามเห็นชอบตามข้อเสนอโดยไม่วีโต้  คุณทักษิณก็อาจจะ โกรธและด่าคุณสมศักดิ์ อยู่ดี แต่หากคุณสมศักดิ์จะใช้สิทธิ์วีโต้แพทยสภาก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นเพราะ สังคมโดยเฉพาะศาล ก็จะยิ่งเชื่อถือมติแพทยสภา เพราะพวกผมก็เห็นพ้องต้องกับมติแพทย์สภา

แพทย์สภายิ่งต้องยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนสองในสาม รัฐมนตรีสมศักดิ์ยิ่งไม่มีที่ยืนในสังคม ยกเลิกการแต่งตั้งให้พวกผมกลั่นกรองให้ความเห็น แล้วดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แม้จะถูกนักโทษทักษิณไม่พอใจแต่ก็คุ้มค่าตัดสินใจครั้งนี้เหมือนแทงพนัน แม้ ท่านจะคุ้นเคย แต่หากไม่ซื่อตรง ก็หมดตัวได้ในคราวนี้

อดีต สว.วันชัย ยกอุทธาหรณ์!! ข่าวฉาวเจ้าคุณแย้ม ‘สตรีกับสตังค์’ ทำเจ้าคณะพระผู้ใหญ่ พังพินาศ

(18 พ.ค. 68) อดีต สว.วันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความเรื่อง “สตรีกับสตังค์” ในเพจเฟซบุ๊ก "ทนายวันชัย สอนศิริ" แสดงความเห็นกรณีข่าวฉาวโฉ่อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมถูกจับสึก โดยระบุว่า...

สตรีกับสตังค์

ในวงการพระสงฆ์เขารู้กันว่าพระผู้หลักผู้ใหญ่ พระที่มีชื่อเสียงมียศมีตตำแหน่งที่พังๆนั้นมาจากสตรีกับสตังค์ แต่ส่วนใหญ่มันจะเริ่มจากสตรีก่อนแล้วสตรีก็เรียกสตังค์ หรือไม่ก็หาสตังค์ไปให้สตรี ต้องยอมรับว่าสตรีนั้นเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ พระวินัยสงฆ์จึงบัญญัติข้อห้ามระหว่างสตรีกับพระภิกษุไว้มากมายเพราะมันเป็นอันตรายต่อความเป็นพระและความวินาศต่อความเป็นพรหมจรรย์ของพระอย่างยิ่ง 

สตรีมี ”อวัยวะเพศ” และมีสิ่งกำเนิดแห่งกามราคะให้บุรุษเพศลุกโชนได้ตลอดเวลา พระสงฆ์องค์เณรผู้ยังไม่บรรลุก็จะติดกับดักแห่งอวัยวะกามราคะ ยากที่จะหลุดพ้น ขนาดเจ้าโลกก็ถูกอวัยวะเพศแห่งสตรีกลืนกินไปจนหมดสิ้น ยศฐาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งแห่งหนเงินทองทรัพย์สินชื่อเสียงเกียรติยศ อวัยวะเพศแห่งสตรีก็ทำให้กระเด็นมาแล้วหลายต่อหลายคนไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้าก็อยู่ในวังวนนี้

ต้องยอมรับว่าอวัยวะเพศแห่งสตรีมีอิทธิพลสูง จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าคณะใหญ่ๆดังๆหลายต่อหลายองค์ ต้องยอมสยบอย่างราบคาบ จะร้อยล้านพันล้านเธอก็กลืนกินได้ เรื่องวัดไร่ขิงจึงไม่ใช่เรื่องใหม่เรื่องแรก และก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้าย ยังจะมีเรื่องในทำนองนี้อยู่อีกต่อไป ตราบใดที่ยังมีสตรีและยังมีโมฆะบุรุษอาศัยอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ สตรีและสตังค์ก็ยังจะพังพระสงฆ์องค์เจ้าได้อีกหลายต่อหลายองค์.... 

อวัยวะเพศหญิง มันยิ่งใหญ่ เหนือโลกเหนือมนุษย์ 

‘ดร.สุวินัย’ เผย!! วิกฤตเด็ก Gen Z ในยุคดาต้านิยม ชี้!! พ่อแม่เขียนโปรแกรม ทำให้เด็กเปราะบาง

(18 พ.ค. 68) ศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

หากเด็กไทยสมัยนี้โตขึ้นมา โดยไม่เคยได้วิ่งเล่นล้มเข่าถลอก ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีต้นไม้ให้ปีน

มีแต่เพียงหน้าจอมือถือหรือแทบเลตที่คอยบอกว่าใครชอบเขา ใครลืมเขา และเขาดีพอหรือยัง

หากเป็นแบบนี้ จงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก เรากำลัง “เขียนโปรแกรมของเด็ก” ใหม่ทั้งระบบ!

และผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เด็กไทยสายพันธุ์ใหม่" ที่วิตกกังวล สับสน และเปราะบางกว่าทุกยุคก่อนหน้านี้มาก

เด็กในยุคดาต้านิยม (dataism) ต่อจากนี้ คงต้องเติบโตในโลกที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์มาก่อน

1. คลื่นแห่งความทุกข์ที่โหมกระหน่ำแต่วัยเยาว์

เด็กยุคก่อนเคยเติบโตท่ามกลางจักรยาน เพื่อนบ้าน และลานดิน

แต่เด็ก Gen Z เติบโตท่ามกลางฟีดที่ไม่มีวันจบ การแจ้งเตือนที่ไม่เคยหลับ และภาพเปรียบเทียบตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือ “ดาวอังคาร” สำหรับวัยรุ่น เป็นพื้นที่ใหม่ที่พัฒนาการมนุษย์ยังไม่เคยถูกทดสอบ ไม่มีระบบนิเวศทางอารมณ์ที่เข้าใจได้ และไม่มีผู้ใหญ่คนไหนรู้วิธีอยู่รอดจริง ๆ

และผลลัพธ์ก็คือเกิดการ “การเขียนโปรแกรม” วัยเด็กครั้งใหญ่ที่ทำให้ อัตราความเครียด ความซึมเศร้า และการทำร้ายตัวเองของวัยรุ่นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2010–2015

2. โลกออนไลน์เปลี่ยนวัยเด็กไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นของวิกฤตคือช่วงต้นทศวรรษ 2010 ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ 3 อย่าง:

2.1 การระบาดของสมาร์ตโฟน – เมื่อไอโฟน 4 เปิดตัวในปี 2010 พร้อมกล้องหน้า โลกแห่ง “เซลฟี่” ก็เริ่มต้น

2.2 การครองเมืองของโซเชียลมีเดีย – การมาถึงของ “ปุ่มไลก์” และ “แชร์” ใน Facebook และ Instagram เปลี่ยนพฤติกรรมออนไลน์ให้กลายเป็นสนามประลองการยอมรับ

2.3 การลดลงของการเล่นนอกบ้าน – การเลี้ยงลูกแบบ Overprotective และการหายไปของ “play-based childhood” ทำให้เด็กไม่มีพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อฝึกใจ ฝึกสังคม

เด็กยุคนี้จึงต้องโตในโลกที่มี “หน้าต่างพลังงาน” ส่งสารพลังทำลายสมองเข้าสู่ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครเตือนพวกเขาว่ามันอันตรายแค่ไหน

3. โรคทางใจที่พุ่งไม่หยุด

ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อัตราโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 150% โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงวัย 10–14 ปี ที่อัตราทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 300% ในหนึ่งทศวรรษ

นี่ไม่ใช่เพียงการรายงานความรู้สึก (self-reporting) เท่านั้น แต่สะท้อนผ่านข้อมูล:

อัตราการเข้าห้องฉุกเฉิน ด้วยการทำร้ายตัวเอง (Emergency Room Visits for Self-Harm)

อัตราการฆ่าตัวตาย ในวัยรุ่นอายุ 10–14 ปี ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2012

การใช้ยาและการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้า ในระดับวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่สำคัญ เด็กผู้ชายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้จะชัดเจนน้อยกว่าก็ตาม

4. ความแตกต่างระหว่าง “ความกลัว” กับ “ความวิตกกังวล”

ความกลัว (fear) คือการตอบสนองต่อภัยอันตรายจริงในปัจจุบัน ส่วนความวิตกกังวล (anxiety) คือ การคาดการณ์ภัยที่ยังมาไม่ถึง... และไม่แน่ว่าจะมาด้วยซ้ำ

แต่เมื่อสมองของวัยรุ่นถูกฝึกให้ “สแกนหาอันตราย” ตลอดเวลา ผ่านโพสต์ ติ๊ดแจ้งเตือน ไลก์ที่หายไป — อะไร ๆ ก็กลายเป็นภัย ทั้งคำพูดของเพื่อน รูปร่างตัวเอง หรือแม้แต่การถูก “อ่านแล้วไม่ตอบ”

ระบบประสาทถูกรีไวร์ให้ตื่นตลอดเวลา — กลายเป็น โหมดเอาตัวรอดทางสังคมถาวร (Chronic Social Survival Mode)

5. เด็ก Gen Z ไม่ได้ซึมเศร้าเพราะโลกร้อน... แต่เพราะ “อยู่คนเดียว”

มีคำอธิบายมากมายที่พยายามจะโยนปัญหาไปที่ "สภาพโลก":

ความขัดแย้งทางการเมือง

ภัยโลกร้อน

โรคระบาด COVID-19

สภาพเศรษฐกิจ

แต่จริง ๆ แล้ว... สาเหตุเหล่านี้ “ไม่ตรงกับไทม์ไลน์” ของวิกฤตสุขภาพจิตเลย

วิกฤตปี 2008 ไม่ทำให้เด็กยุคมิลเลนเนียลเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่แรงที่สุดเกิดในปี 2012–2013 — ไม่ใช่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ถ้าโลกแย่ลงจริง ๆ เด็กควรจะ “รวมพลัง” สู้ภัย ไม่ใช่แยกตัวจนซึมเศร้า

สิ่งที่ต่างออกไปในยุคนี้คือ... วัยรุ่นไม่ได้ออกไปประท้วง แต่เลื่อนนิ้วดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา

6. “พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกโตบนโทรศัพท์... แต่เหมือนไม่มีทางเลือก”

เสียงจากพ่อแม่ทั่วอเมริกา:

พ่อแม่ที่เห็นลูกสาวเปลี่ยนไปหลังใช้ Instagram และฟื้นคืนตัวตนเมื่อได้ไปแคมป์ไร้โทรศัพท์

พ่อที่เห็นลูกชายที่เคยร่าเริง กลายเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นเกม และหงุดหงิดเมื่อโดนห้าม

ความรู้สึกหลักของพ่อแม่เหล่านี้คือ…

“เราสูญเสียลูกของเราไปให้โลกที่เราเข้าไม่ถึง นี่เป็นโลกที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม”

ผลลัพธ์คือ ‘ลูกโดดเดี่ยว’

7. The Great Rewiring: จุดเริ่มต้นของวัยรุ่นดาวอังคาร

การรีไวร์ครั้งใหญ่ของวัยเด็กเริ่มต้นขึ้นระหว่างปี 2010–2015

จากวัยเด็กที่เต็มไปด้วย “การเล่นเสี่ยงภัย” และ “การลองผิดลองถูก” สู่วัยเด็กที่ต้องสแกนฟีด สร้างแบรนด์ตัวเอง และเปรียบเทียบไม่รู้จบ

การใช้ชีวิตแบบ “อยู่ตรงนี้ แต่จิตใจอยู่ที่อื่น” กลายเป็นบรรทัดฐาน และมันไม่ได้ฝึกความสามารถสำคัญใด ๆ ที่มนุษย์ควรได้เรียนรู้ในวัยเด็กเลย

8. จุดจบของวัยเด็กแบบเล่นสนุก (The Play-Based Childhood)

ก่อนที่โลกจะกลายเป็นหน้าจอ ทุกชีวิตต่างรู้ดีว่า "การเล่น" คือระบบการเรียนรู้โดยธรรมชาติ เราเรียนรู้ที่จะสู้ เรียนรู้ที่จะสมานฉันท์ เรียนรู้ความกลัวและความกล้าหาญ ผ่านการวิ่งไล่ จับ โดนล้อ และตีกันแล้วก็คืนดีกันได้ใน 5 นาที

แต่โลกหลังยุค 1980s กลับเริ่มลดพื้นที่ของการเล่นแบบนั้นลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด เด็ก Gen Z กลายเป็น มนุษย์ยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่โตขึ้นโดยไม่มีสนามให้เล่น ไม่มีความเสี่ยงให้ลอง และไม่มีเสรีภาพที่จะล้ม

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำลายภูมิคุ้มกันทางจิตใจโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

9. พ่อแม่ยุคใหม่: ห่วงมาก... จนบั่นทอน

การเลี้ยงลูกแบบ “Overprotective Parenting” ที่เริ่มมากขึ้นในยุค 1990s คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เด็กไม่ได้รับ “วัคซีนทางประสบการณ์”

ยุคที่ข่าวลักพาตัวกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวัน ทำให้สังคมเชื่อว่าโลกภายนอกคืออันตราย สวนสาธารณะคือกับดัก และถ้าปล่อยลูกเดินไปโรงเรียนเอง เท่ากับปล่อยลูกไปหาโจรโรคจิต

แม้ความจริงคือ สถิติอาชญากรรมต่อเด็กไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความกลัวของพ่อแม่กลับเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน และนั่นทำให้เด็กค่อย ๆ สูญเสีย "พื้นที่เสรีเพื่อเติบโต"

10. เล่นเสี่ยงภัยคือห้องทดลองทางอารมณ์

เด็กไม่ได้เปราะบางเพราะหกล้ม เด็กเปราะบางเพราะไม่เคยได้หกล้มเลยต่างหาก การเล่นที่มีความเสี่ยงพอสมควร เช่น ปีนต้นไม้ วิ่งไล่กัน ล้อกันแรง ๆ หรือทะเลาะกับเพื่อน เป็นสิ่งที่ “ฝึกหัวใจให้รับแรงกระแทก”

เด็กจะเรียนรู้การ “ควบคุมความกลัว” ฝึกทักษะทางสังคมโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่แทรกกลาง เรียนรู้การสร้างกฎ การเจรจา และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี

แต่วิธีเลี้ยงลูกแบบกลัวลูกเจ็บ กลัวลูกแพ้ กลัวลูกเศร้า กลายเป็นการบ่ม “ความเปราะบาง” อย่างไม่รู้ตัว

11. เด็กยุคใหม่ไม่ได้โต “ด้วยกาย” แต่โต “ด้วยการเลื่อนจอ”

ในอดีต เด็กอายุ 10–12 จะเข้าสู่ “Discover Mode” ซึ่งคือช่วงที่สมองเปิดกว้างที่สุดสำหรับการลองผิดลองถูก การหา “จุดแข็งของตัวเอง” และการเผชิญความเสี่ยงในระดับปลอดภัย

แต่ในยุคใหม่… เด็กวัยเดียวกันนี้ใช้เวลากับหน้าจอแทนการปั่นจักรยาน หัดตัดต่อคลิปก่อนหัดเจรจากับเพื่อน พูดกับ AI เก่งขึ้น แต่พูดกับคนแปลกหน้าไม่กล้า

ระบบรางวัลในสมองได้เปลี่ยนไปจาก “การลงมือทำจริง” → “การได้รับไลก์จากการโพสต์”

ผลคือ เด็กจำนวนมากโตโดยไม่ได้สร้าง self-efficacy (ความเชื่อว่าตนควบคุมชีวิตได้) แต่กลับฝึก self-branding แทน และนั่นคือรากแห่งความไม่มั่นคงในจิตใจของวัยรุ่นยุคนี้

12. วัยรุ่นโตขึ้น... แต่ไม่มีพิธีกรรมแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน”

ในสังคมดั้งเดิม แทบทุกวัฒนธรรมมี “Rite of Passage” — พิธีกรรมที่ประกาศว่า เด็กคนหนึ่ง “ผ่านพ้น” สู่ความเป็นผู้ใหญ่เช่น

- พิธีบรรลุนิติภาวะ

- การฝึกทหาร

- การเรียนรู้กับครูหรือช่างฝีมือ

- การได้สิทธิ์ใหม่ เช่น ขับรถ หรือหารายได้เอง

แต่ในยุคปัจจุบัน วัยรุ่นกลับ “ถูกดองไว้” ในสภาวะครึ่งเด็กครึ่งผู้ใหญ่

- ไม่มีภาระอะไรจริงจังให้รับผิดชอบ

- ไม่มีอำนาจในการกำหนดชีวิต

- มีหน้าที่แค่ “เรียนเพื่อคะแนน” ไปเรื่อย ๆ

เป็นช่วงวัยที่เปราะบางที่สุดทางสมอง แต่กลับไม่มีโครงสร้างใดรองรับให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ

13. วัยเด็กที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยชีวิตในโลกผู้ใหญ่ปลอม ๆ

ขณะเดียวกันที่เด็กไม่มีโอกาสเสี่ยงในโลกจริง พวกเขากลับมี อิสระเต็มที่ในโลกออนไลน์ แบบไม่มีใครกรอง

- เข้าถึงเนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท

- ได้รับข้อความจากใครก็ได้บนโลก

- เห็นความเกลียดชัง ความแกล้งกัน การคุกคาม ตั้งแต่วัย 9 ขวบ

เด็กยุคใหม่จึงโตมากับความรู้สึกสับสนระหว่าง…

- โลกจริงที่อิสระถูกพรากไป

- โลกเสมือนที่อิสระไร้ขอบเขตจน “จิตใจกลายพันธุ์”

14. สี่พิษร้ายแห่งวัยเด็กบนหน้าจอ

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่สมองกำลัง “ตั้งค่า” วิธีมองโลกและใช้ชีวิตในโลกนี้

แต่ในยุคที่วัยเด็กกลายเป็นการ “อยู่หน้าจอ 7 ชั่วโมง/วัน” สิ่งที่สมองของเด็กเรียนรู้กลับกลายเป็น…

- ตอบสนองสิ่งกระตุ้นไวขึ้น แต่จดจ่อกับสิ่งใดลึก ๆ ได้น้อยลง

- มีความสัมพันธ์มากมาย แต่ตื้น และบอบบาง

- รับการให้รางวัลแบบสุ่มถี่ เหมือนทดลองกับหนูในห้องแล็บ

ผลลัพธ์คือ ระบบพัฒนาการของเด็ก “ถูกรีไวร์” จนผิดเพี้ยน และนำไปสู่ 4 ผลร้ายรุนแรงระดับโครงสร้างที่เรียกว่า…

→ Social Deprivation (ความสัมพันธ์ที่บกพร่อง)

→ Sleep Deprivation (นอนหลับน้อยลง)

→ Attention Fragmentation (สมาธิสั้น)

→ Addiction (ติดโซเชียล)

15. Social Deprivation: ความสัมพันธ์ที่พร่องลึกลงไปเรื่อย ๆ

หนึ่งในภัยที่ร้ายแรงที่สุดของวัยเด็กบนหน้าจอคือ “การพรากออกจากโลกแห่งร่างกาย”

เด็กในอดีตเรียนรู้การเข้าสังคมผ่าน…

-การสบตา

-การเล่นสมมติ

-การล้อกัน

-การให้อภัยและสร้างสัมพันธ์ใหม่

แต่เด็กยุคใหม่...

- แชทมากกว่าเล่น

- ตอบเร็วกว่าเข้าใจ

- สื่อสารแบบ asynchronous (คนละเวลา คนละอารมณ์) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์

ผลคือ แม้จะมีเพื่อนหลายร้อยในออนไลน์ แต่เด็กกลับ “โดดเดี่ยวในใจ” มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์

16. Sleep Deprivation: เด็กหลับน้อยลงกว่าทุกยุคที่ผ่านมา

อัตราการนอนหลับของวัยรุ่น “ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” หลังปี 2010

-วัยรุ่นจำนวนมากนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน (ต่ำกว่ามาตรฐานที่แนะนำไว้คือ 8–10 ชั่วโมง)

-สาเหตุหลักคือ โทรศัพท์อยู่บนเตียง → ใช้จนดึก → สมองถูกแสงกระตุ้นจนหลับยาก

-การแจ้งเตือนที่ไม่สิ้นสุดจากมือถือ ทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ภาวะ “ปิดตัว”

และเมื่อเด็กอดนอน อารมณ์จะไม่เสถียร และซึมเศร้าง่าย

วงจรนี้จะหมุนวนซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกับดักที่ยากจะแก้ไข

17. Attention Fragmentation: สมาธิสั้น จิตใจฟุ้งซ่าน

เด็กที่โตมากับ TikTok, Instagram, Reels และ YouTube Shorts กลายเป็นมนุษย์ที่ “ใช้เวลาในแต่ละคลิปเพียง 6 วินาทีโดยเฉลี่ย” ก่อนจะเลื่อนผ่าน

นี่คือการฝึกสมองให้...

คิดแบบไม่ต่อเนื่อง

เสพข้อมูลแบบส่วนเสี้ยว

ขาดสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ

และเมื่อเด็กไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้...

ความสามารถในการ “สร้างตัวตน” ผ่านความต่อเนื่องของความคิดก็ถูกทำลายไปด้วย

ความคิดแบบลึกซึ้ง (deep work) จึงถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายภายในจิตใจที่ไม่มีทางออก

18. Addiction: เสพติดโซเชียล จนระบบรางวัลในสมองถูกรบกวนอย่างถาวร

เด็ก Gen Z ไม่ได้ “เล่นมือถือ”

พวกเขา “โดนมือถือเล่นงาน” ต่างหาก

บริษัทเทคโนโลยีใช้วิธีการ operant conditioning (แบบเดียวกับการฝึกลิงหรือหมา) ด้วยการออกแบบให้...

ทุกครั้งที่เราเปิดแอป → มีอะไรใหม่เสมอ (variable reward)

ทุกครั้งที่คุณได้ไลก์ → สมองหลั่งโดพามีน

ทุกครั้งที่คุณเลื่อน → เหมือนได้รางวัลเล็ก ๆ ทำให้เลิกยาก

ระบบนี้คล้ายการพนัน ที่คุณติดไม่ใช่เพราะมันให้รางวัลใหญ่ แต่เพราะมันให้รางวัล “เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบสุ่ม”

เด็กจำนวนมากจึงมีอาการ...

-วิตกกังวลเมื่ออยู่ห่างจากโทรศัพท์ (nomophobia)

-หงุดหงิดเมื่อต้องปิดหน้าจอ

-สูญเสียแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่ไม่ใช่หน้าจอ เช่น กีฬา ดนตรี งานฝีมือ

19. เด็กหญิงโดนหนักกว่าเด็กชายอย่างไร?

เด็กหญิงโตขึ้นมาในระบบที่...

-ยึดโยงคุณค่ากับรูปร่างหน้าตา

-ถูกฝึกให้ “สร้างแบรนด์” ผ่านภาพถ่ายและคำบรรยาย

-ต้องคอยตรวจสอบว่าใครเมนต์อะไร ใครไลก์ใครบ้าง

Instagram, TikTok กลายเป็น เครื่องวัดสถานะทางสังคมแบบเรียลไทม์ ที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึก...

-ไม่ดีพอ

-ถูกจับจ้อง

-ถูกเปรียบเทียบอย่างไม่หยุดหย่อน

ผลคือ อัตราโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และ self-harm ของเด็กหญิงพุ่งสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10–14 ปี

20. เด็กชายก็ไม่รอด — แค่เส้นทางต่างกัน

เด็กชายไม่ได้จมอยู่ใน Instagram หรือ TikTok เท่าเด็กหญิงก็จริง

แต่พวกเขาจมอยู่ใน...

-วิดีโอเกมแบบ multiplayer

-YouTube แบบ endless scroll

-สื่อลามกสุดโต่งที่เข้าถึงได้ตั้งแต่ประถม

เด็กชายจำนวนมากจึงไม่ได้เผชิญภาวะวิตกกังวลแบบเด็กหญิง

แต่เจอปัญหาแบบ “หายไปจากโลกจริง” เช่น...

-วัยรุ่นที่ไม่เข้าสังคม (hikikomori)

-ไม่เรียนต่อ ไม่ทำงาน (NEET)

-ขาดความสามารถในการสื่อสารพื้นฐาน

21. Spiritual Degradation: จิตวิญญาณเสื่อมถอย

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่สุขภาพจิต แต่อยู่ที่สุขภาวะของ “จิตวิญญาณ” (ในความหมายกว้าง) ด้วย

โลกออนไลน์ทำให้เรา...

เสพสารกระตุ้นอารมณ์รุนแรงตลอดเวลา

สูญเสีย “ความเงียบ” ที่จำเป็นต่อการคิดลึก

ไม่มีพื้นที่ว่างในการใคร่ครวญหรือจดจ่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชีวิต

22. “แนวปฏิบัติ 6 ด้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตภายใน” ได้แก่:

Awe – ความตื่นตะลึงทางจิตวิญญาณ

เช่น การมองท้องฟ้า ป่าเขา ดนตรี หรือศิลปะที่ทำให้ “ตัวตนหดลง โลกขยายออก”

Gratitude – การรู้สึกขอบคุณ

การฝึกมองเห็นความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตสงบและพ้นจากวงจรเปรียบเทียบ

Prayer / Meditation – การภาวนา / สมาธิ

ไม่จำเป็นต้องผูกกับศาสนาเสมอไป แต่เป็นการคืนจิตให้จดจ่อกับปัจจุบันขณะ

Self-transcendence – การก้าวข้ามตัวตน

การทำสิ่งที่ไม่ได้เพื่อ “ตัวเอง” เช่น การอาสา การให้ หรือการทำเพื่อชุมชน

Silence and Solitude – ความเงียบและการอยู่กับตัวเอง

การอยู่ลำพังอย่างตั้งใจเพื่อฟัง “เสียงข้างใน” ซึ่งถูกกลบด้วยเสียงแจ้งเตือนทั้งวันจากมือถือ

Embodied Practices – การกลับมาใช้ร่างกาย

เช่น การเดินป่า ทำสวน ฝึกโยคะ หรือแม้แต่งานฝีมือ ที่ช่วยยึดโยงเราไว้กับโลกจริง

23. บริษัทเทคโนโลยี ควรเปลี่ยนจาก “ทำเพื่อ engagement” → “ทำเพื่อ well-being”

บริษัทเทคโนโลยีมิได้เลวร้ายโดยเนื้อแท้ แต่โมเดลธุรกิจที่วัด “ความสำเร็จ = เวลาที่คนอยู่บนแพลตฟอร์ม” คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน

Tech ควรเลิก “ติดตั้งการเสพติด” เป็นค่าเริ่มต้น (default)

แต่ควรสร้างฟีเจอร์ช่วย “เลิกใช้” ง่ายขึ้น เช่น ปิดการแจ้งเตือนอัตโนมัติหลัง 1 ชั่วโมง

ควรยอมเปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานวิจัยอิสระ เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจิต

และถ้าบริษัทเทคไม่ขยับ — เราควรเรียกร้องให้ นักพัฒนาลาออกจากบริษัทเทคเหล่านั้น และร่วมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เคารพ “ชีวิตมนุษย์” แทน

24. เราไม่ได้ปกป้องเด็กจากเทคโนโลยี แต่เราทิ้งเขาให้จัดการคนเดียว

เทคโนโลยีให้ประโยชน์กับผู้ใหญ่ในหลายด้านก็จริง

แต่กับเด็ก มันกลายเป็นสนามทดสอบที่ไม่มีคู่มือ ไม่มีรั้ว ไม่มีผู้ปกครอง

ผู้ใหญ่สามารถควบคุมตัวเองเวลาใช้ social media ได้บางส่วน

แต่เด็กวัย 11 ที่สมองยังไม่พัฒนาเต็ม → ถูกปล่อยเข้าสู่โลกแห่งความเปรียบเทียบ รางวัลแบบสุ่ม และแรงกดดันทางสังคมแบบไม่หยุดพัก

25. ความผิดพลาด 2 ประการ

สรุปว่า เราทำ “พลาดอย่างรุนแรง” 2 ข้อพร้อมกัน:

1. Overprotecting in the Real World

– เรา “หวง” เด็กจากโลกจริงจนเขาไม่ได้ออกไปลองผิดลองถูก

– พ่อแม่กลัวลูกเดินไปโรงเรียนเอง แต่ไม่กลัวลูกเล่น หรือสนทนากับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์

2. Underprotecting in the Virtual World

– เรา “ปล่อย” เด็กให้จมหายอยู่ในโลกออนไลน์โดยไม่มีเกราะป้องกัน

– โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งศัตรู และทั้งแหล่งเปรียบเทียบตลอด 24 ชั่วโมง

และผลก็คือ เด็ก Gen Z กลายเป็นมนุษย์ที่ “หลุดออกจากโลกแห่งพัฒนาการปกติ” โดยไม่มีใครตั้งใจ

26. ปัญหาทางจิตของเด็กจึงไม่ได้จบแค่โรค แต่มันคือการสั่นคลอนแก่นกลางแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเด็กเอง

วิกฤตสุขภาพจิตของเด็กยุคนี้ มิใช่แค่ “โรคซึมเศร้า” หรือ “ภาวะวิตกกังวล” เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนระดับการรับรู้ของมนุษย์อย่างถึงราก

เราเสพข้อมูลมากกว่าที่เราสามารถตีความได้

เราสร้างตัวตนเพื่อให้ถูกมอง มากกว่ามีตัวตนที่ลึกจริง

เราอยู่ในสถานะ “ระแวดระวังทางสังคม” ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว

และในความวุ่นวายนี้ เราสูญเสียความสามารถพื้นฐานของมนุษย์ 3 อย่าง:

จดจ่อ (Attention)

เชื่อมโยง (Connection)

ไตร่ตรอง (Reflection)

27. สิ่งที่ Gen Z ทำได้ และเราควรสนับสนุน

Gen Z อาจไม่ใช่เหยื่อผู้พ่ายแพ้ แต่คือ “รุ่นผู้ตื่นรู้” รุ่นแรกของมนุษยชาติ

หากพวกเขา...ได้เห็นกับตาว่าอะไรทำลายจิตใจตนเอง

หากพวกเขา...ได้เริ่มต่อต้าน algorithm ที่ควบคุมพฤติกรรม

หากพวกเขา...ได้เริ่มกลับสู่การอ่านหนังสือกระดาษอย่างจริงจัง

หากพวกเขา...ได้หันไปคบเพื่อนแบบสนิทกันจริง ๆ

หากพวกเขา...ได้หันกลับมาใช้ชีวิตออฟไลน์ด้วย

วัยเด็กไม่ควรเป็นสนามทดลองของบริษัทเทคโนโลยี

การปกป้องที่ดีที่สุด ไม่ใช่การห้ามทุกอย่างที่เสี่ยง

แต่คือการกล้าให้เด็กได้สัมผัสโลกจริง

ก่อนที่โลกเสมือนจะหลอมเขาให้หายไปจากความเป็นมนุษย์

~ เก็บความจาก The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt

เครดิต : เพจ Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

จากเพจ นัทแนะ

วันนี้ผมขอนำเรื่องของคุณครูสาวชาวอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

ครูสาวสวยคนนี้เธอชื่อว่า “แฮนน่า มาเรีย - Hanna Maria" เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งเธอเข้ามาสอนได้ 3 ปีแล้ว และก็เพิ่งลาออกมาหมาด ๆ

และเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณครูเธอได้โพสท์ติ๊กต่อกระบายความในใจเกี่ยวกับบรรดาอดีตลูกศิษย์ของเธอดังนี้

”เด็ก ๆ พวกนี้ไม่รู้จักการอ่านหนังสือ เพราะทุกวันนี้แค่กดคลิกปุ่มบนหน้าจอ เครื่องก็อ่านให้พวกเขาฟังได้เลย

ฉันคิดว่าพวกเขาไม่แคร์ด้วยซ้ำไป เขาไม่สนใจที่จะหัดเขียนใบประวัติเพื่อสมัครงาน (Resume) หรือกระทั่งเขียนจดหมายแนะนำตัว

นั่นเพราะ ChatGPT สามารถเขียนให้เขาได้หมด

ฉันคิดว่าเราควรจะตัดเทคโนโลยีพวกนี้ออกจากเด็ก ๆ จนกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย“

คลิปติ๊กต่อกนี้กลายเป็นไวรัลในอเมริกา มีคนชมเป็นล้าน จนกระทั่งสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ต้องไปขอสัมภาษณ์คุณครูแฮนน่าว่าเธอคิดเห็นอย่างไรถึงได้ทำโพสท์นี้ขึ้นมา คุณครูเล่าว่า

“ฉันอยากจะจุดประเด็นเรื่องของเทคโนโลยีและเอไอที่มีผลกระทบต่อเด็ก ๆ ขึ้นมาค่ะ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเด็ก ๆ หลายคนในคลาสของฉันก็มีเด็กที่เก่งและหัวดีก็ตาม

ในคลาสที่ฉันสอนภาษาอังกฤษนั้น บ่อยครั้งที่ฉันขอให้เด็ก ๆ เขียนเรื่องราวเป็นคำตอบสั้น ๆ ความยาวแค่เพียง 5 ประโยคก็ได้

และก็บ่อยครั้งมากเช่นกันที่เด็ก ๆ จะเขียนตอบมาแค่ 2 ประโยคแล้วบอกว่า “คิดอะไรไม่ออกแล้ว” บางคนก็เขียนไม่จบประโยคแล้วก็แย้งกับฉันว่า จะต้องเขียนให้จบประโยคทำไม เขียนแค่นี้ก็สื่อกันเข้าใจแล้วนี่นา

บางครั้งฉันสั่งการบ้านให้เด็ก ๆ เขียนบทความสั้น ๆ หรือ essay และเมื่อนักเรียนเอาการบ้านนี้กลับมาส่งนั้น ฉันต้องบอกก่อนว่า ฉันรู้จักและจำวิธีการเขียนของนักเรียนแต่ละคนได้จากการนั่งเขียนในห้องเรียน

และฉันรู้ดีว่าลักษณะการเขียนของเด็กชั้นมัธยมนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อฉันได้อ่านการบ้านของเด็ก ๆ ในคลาสแล้ว มีหลายคนที่ฉันต้องเรียกมาถามว่าได้ให้ ChatGPT เขียนให้หรือเปล่า?

เด็ก ๆ กลับตอบฉันว่า “ถ้าต้องเอาการบ้านกลับไปแก้ใหม่ จะกระทบเกรดสักแค่ไหน? ขอเอาแค่ศูนย์ก็ได้“

ฟังมาถึงตอนนี้ นักข่าวก็ร้องว้าวแล้วถามคุณครูว่า ”นี่มันแค่ว่าเด็กขี้เกียจหรือเปล่าคะคุณครู?“

ครูแฮนน่าตอบว่า ”นักเรียนเขามีความคิดว่า เอไอสามารถทำงานแทนพวกเขาได้น่ะค่ะ คือฉันต้องออกตัวก่อนว่าในชั้นเรียนระดับสูง ๆ นั้น เอไอสามารถเอามาใช้ให้มีประโยชน์ในห้องเรียนได้นะคะ“

”แต่ถ้าเราอนุญาตให้นักเรียนใช้เอไอได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พวกเขาก็จะไม่ทำงานทำการบ้านเองค่ะ“

และตอนนี้คุณครูแฮนน่าเธอก็ลาออกจากโรงเรียนแล้ว หลังจากที่สอนมาได้ 3 ปี

สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับคุณครู 100% ทักษะการฟังพูดอ่านเขียนและกระบวนการคิดที่ดี คือพื้นฐานของผู้มีการศึกษา

เอไอไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายสำหรับเด็ก ๆ อย่าเอามาใช้ในวัยที่กำลังพัฒนาทักษะเหล่านี้เลย

‘ทรัมป์ – ปูติน’ เตรียมพบกัน ในวันจันทร์นี้ เทียบได้กับการเจรจา!! ในช่วงสงครามเย็น

(18 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

การพบกันระหว่างทรัมป์และปูตินในวันจันทร์นี้คือฝันร้ายที่สุดของยูเครน

หนังสือพิมพ์ The Telegraph รายงานว่าทรัมป์ได้ทรยศต่ออุดมคติของประชาธิปไตยระดับโลกอีกครั้ง และ “ปูตินผู้เจ้าเล่ห์จะดึงดูดความสนใจของทรัมป์ทั้งหมด” ในการประชุมโดยไม่ต้องมีคนกลาง

The Telegraph บ่นอุบอิบว่าบรรดาผู้นำยุโรปต่างหวังว่าการที่ประธานาธิบดีรัสเซียไม่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับยูเครนในอิสตันบูลจะทำให้ทรัมป์หมดความอดทน แต่แทนที่จะเข้าข้างยุโรปและใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับตัดสินใจ "ตอบแทน" ประธานาธิบดีรัสเซียด้วยการพบปะเป็นการส่วนตัว

The Telegraph ระบุว่า จากมุมมองของปูติน การเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างสถานะของรัสเซียในฐานะมหาอำนาจ และการพบปะดังกล่าวจะเทียบได้กับการเจรจาระหว่างมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น

The Telegraph ระบุหลายครั้งในบทความว่าสำหรับชาวยูเครน การพบปะกันแบบนี้ถือเป็นฝันร้ายที่สุด เนื่องจากปูตินจะดึงดูดความสนใจของทรัมป์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และจะไม่มีคนกลางที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของเคียฟได้

แบนหนัง ‘พระร่วง’ เมื่อโซเชียลเป็นเหตุ นักแสดงไม่ช่วย แถมสื่อช่วยเหยียบซ้ำ

(18 พ.ค. 68) วันนี้เอย่าขอมานอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพม่ากันสักครั้งนะคะเพราะมาถึงนาทีนี้คงไม่มีกระแสภาพยนตร์เรื่องไหนดังเท่า พระร่วง มหาศึกสุโขทัยได้อีกแล้ว  เพราะกระแสคนแห่แบนภาพยนตร์เรื่องนี้รุนแรงจนแทนที่จะกลายเป็นว่าภาพยนตร์ที่ดูมีแววรุ่งกลับกลายเป็นมีแววดับเสียอย่างนั้น

จากประเด็นเรื่องความเห็นในโซเชียลของนักแสดงกัมพูชาที่แสดงออกถในการเคลมชุดไทยเป็นการจุดชนวนแอนตี้ภาพยนตร์เรื่องนี้จนกลายเป็นกระแสแบนในวงกว้างอีกทั้งมีการขุดอีกว่าในช่วงบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องนี้  สื่อทางกัมพูชารายงานว่ามีหนังไทยฟอร์มยักษ์ จ้างดาราสาวชาวกัมพูชาอย่าง เยม สตรีเพชรด้วยค่าตัวสูงลิ่ว นั่นยิ่งสร้างให้เกิดความโมโหโกรธาโดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่ไม่ได้ชอบชาวเขมรเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก 

ประเด็นนักแสดงสร้างความฉิบหายให้แก่ภาพยนตร์ที่ตนแสดงไม่ใช่เพิ่งขึ้นครั้งแรกหรือเกิดแค่ในฝั่งบ้านเรา  ไม่นานมานี้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างสโนไวท๋ก็พังไม่เป็นท่า แม้จะด้วยสาเหตุมากมายหลายอย่างไม่ว่าจะนางเอกไม่ตรงปกบทหนังอิหยังวะ หรือคนแคระซีจี บลาๆอะไรก็ตาม  แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นประเด็นเลยคือการที่นางเอกอย่าง  ราเชล เซเกลอร์ ประกาศกลางโซเชียลว่าเธอสนับสนุนปาเลสไตน์จนทำให้แฟนหนังจำนวนหนึ่งเลือกจะไม่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้

ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปไม่ได้เสพแค่คุณภาพของผลงานแต่มองถึงปูมหลังที่ผ่านมา รวมถึงทัศนคติด้วย ดังนัันทำให้ผลงานของนักแสดงหรือผู้กำกับรวมถึงนักร้องบางคนที่ควรจะปังได้มากกว่านี้แต่กลับปังได้เท่าที่เห็นเพราะหลายคนติดบ่วงจากภาพลักษณ์ในอดีต

ที่สำคัญวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะนายทุนภาพยนตร์อาจจะต้องเรียนรู้ถึงการควบคุมดารา ศิลปิน รวมถึงทีมงานทุกคนให้มีภาพลักษณ์ที่ดีอันจะไม่ส่งผลเสียต่อภาพยนตร์ที่กำลังจะฉายซึ่งนี่อาจจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการบันเทิงก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามถ้าเราเลือกไม่ให้ค่าดาราคนนั้นภาพยนตร์เรื่องพระร่วงก็เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่อุดมไปด้วยนักแสดงมากฝีมือแถมเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับทุนสร้างจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ด้วย ดังนั้นถ้าเราตัดจุดนี้ได้เอย่าก็อยากให้ไปสนับสนุนกันนะคะ   แต่ถ้าไม่งั้นก็อาจจะมีฉบับรีคัทที่ตัดฉากดาราเขมรออกไปนั่นก็อาจจะทำให้กระแสดีขึ้นก็เป็นได้  ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างของ Aquaman and the lost kingdom ดูคะ

‘สวนดุสิตโพล’ เผย!! ปชช.มอง ‘บ้านใหญ่’ มีอิทธิพลอย่างมาก!! กับการเลือกตั้งท้องถิ่น

(18 พ.ค. 68) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ เรื่อง “ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในสายตาประชาชน” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,104 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 13-16 พ.ค. สรุปผลจาก 5 คำถามได้ดังนี้

ประชาชนอยากให้นายกเทศมนตรีคนใหม่ดำเนินการเรื่องใดมากที่สุด
อันดับ 1 ปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ 57.25%
อันดับ 2 แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ ปัญหาฝุ่น 48.64%
อันดับ 3 พัฒนาถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปาให้ดีขึ้น 47.46%

จากการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาลครั้งนี้ ประชาชนคิดว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่

อันดับ 1 น่าจะทำได้ 37.32%
อันดับ 2 ไม่น่าจะทำได้ 34.51%
อันดับ 3 ไม่แน่ใจ 28.17%

ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ว่า บ้านใหญ่หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในพื้นที่

อันดับ 1 เห็นด้วย 78.80%
อันดับ 2 ไม่เห็นด้วย 21.20%

ปัจจัยใดที่ประชาชนคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บ้านใหญ่หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่
อันดับ 1 เข้าถึงประชาชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น งานบุญ งานศพ งานประเพณี 45.13%
อันดับ 2 มีฐานเสียงที่มั่นคงและความสัมพันธ์กับชุมชนที่ยาวนาน 43.19%
อันดับ 3 มีระบบอุปถัมภ์ ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 41.89%

ประชาชนคิดว่าหากกลุ่มการเมืองท้องถิ่นไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองระดับชาติ จะมีผลต่อการบริหาร และพัฒนาพื้นที่หรือไม่

อันดับ 1 ส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังพอบริหารจัดการภายในพื้นที่ได้ 37.50%
อันดับ 2 ส่งผลกระทบมาก เช่น โครงการหรืองบประมาณสนับสนุนจากรัฐกลางลดลง 23.82%
อันดับ 3 ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถพัฒนาโดยอาศัยทรัพยากรท้องถิ่น 19.93%
อันดับ 4 น่าจะเป็นผลดี เพราะจะได้ลดการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติ 18.75%

KazanForum เมื่อรัสเซียหันหน้าเข้าสู่ ‘โลกมุสลิม’ เพื่อปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ในโลกยุคหลายขั้ว

(18 พ.ค. 68) ในขณะที่โลกยังคงหมุนวนท่ามกลางความปั่นป่วนของอำนาจและการแย่งชิงผลประโยชน์ รัสเซียเดินหน้าด้วยความเด็ดขาดและไม่ลังเลที่จะ “หันหน้า” เข้าหาโลกมุสลิม — กลุ่มประเทศที่มีพลานุภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมและอุดมการณ์ KazanForum จึงไม่ใช่แค่เวทีเจรจาธรรมดาแต่มันคือการประกาศศักดาอันดุเดือดของรัสเซียในการปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลกยุคหลายขั้ว นี่คือการท้าทายอำนาจเก่าที่มองข้ามหรือพยายามกดขี่โลกมุสลิมมาเนิ่นนาน รัสเซียไม่ใช่แค่ผู้เล่นรายหนึ่งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศแต่คือ “เสาหลัก” ที่โลกมุสลิมจะจับมือเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบโลกเดิม ดังนั้น KazanForum คือสนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยพลังความมั่นคงและพันธมิตรที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อโลกถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างอำนาจที่สั่นคลอนและอนาคตที่ไม่แน่นอน KazanForum คือคำตอบของพันธมิตรใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ที่จะปั้นโลกให้เป็นเวทีของความหลากหลาย ศรัทธาและอิทธิพลที่รัสเซียและโลกมุสลิมพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกันอย่างไม่หวั่นไหว

จากดอนบาสถึงคาซาน

เมื่อรัสเซียเผชิญแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระลอกแล้วระลอกเล่า การประชุมทางเลือกนอกโลกตะวันตกจึงกลายเป็นเวทีสำคัญในยุทธศาสตร์ต่างประเทศของเครมลินและหนึ่งในนั้นคือ Russia–Islamic World: KazanForum ซึ่งจัดขึ้นที่สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ดินแดนที่มีทั้งอัตลักษณ์มุสลิมและเชื้อชาติเตอร์กผสมผสานอยู่ในโครงสร้างของรัฐรัสเซียอย่างแนบแน่น KazanForum ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2025 ดึงดูดผู้แทนจากกว่า 80 ประเทศมุสลิมโดยเฉพาะกลุ่ม OIC ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การรวมตัวกันในระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กในโลกที่แตกขั้วอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน โดย KazanForum มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2025  ณ เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย มีตัวแทนจากกว่า 87 ประเทศ รวมถึงประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และ 87 ภูมิภาคของรัสเซียเข้าร่วมงาน หัวข้อและกิจกรรมเด่นประกอบไปด้วย 
1) การประชุมเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ มีการจัดการประชุมกว่า 150 เซสชัน ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเงินอิสลาม การลงทุน เทคโนโลยี การศึกษาและการท่องเที่ยว รวมถึงมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกว่า 120 ฉบับระหว่างภาครัฐและเอกชน 2) การประชุมกลุ่มวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ "รัสเซีย–โลกอิสลาม" เป็นเวทีสำคัญที่มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่าง ๆ เช่น เติร์กเมนิสถาน แอลจีเรีย บังกลาเทศ โมร็อกโกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วม 3) การประชุมด้านการเงินอิสลาม (AAOIFI Conference) จัดขึ้นครั้งแรกในรัสเซีย โดยเน้นการปรับใช้การเงินอิสลามภายใต้กฎหมายรัสเซีย 4) นิทรรศการ Halal Expo แสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาล
หลากหลายประเภท เช่น อาหาร เครื่องแต่งกาย การเงินและการท่องเที่ยว halaltimes.com 5) การประชุมระดับรัฐมนตรีรวมถึงการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก OIC และการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมระดับสูงหลายท่าน เช่น นายกุร์บันกูลี เบอร์ดีมูฮาเมโดว์อดีตประธานาธิบดีเติร์กเมนิสถาน นายอันวาร์ อิบราฮิมนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ฯพณฯ อาลี อับดุลลาห์ ธานี จัสซิม อัล ธานี มาชิกราชวงศ์กาตาร์ รวมถึงรัฐมนตรีจากปากีสถาน ลิเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้ภาพลักษณ์ของ KazanForum จะถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมเศรษฐกิจ การลงทุนและความร่วมมือวัฒนธรรมแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือบทสนทนาเรื่อง "ความมั่นคงทางเลือก" ที่ไร้เงาของ NATO หรือ EU หลายประเทศมุสลิมมองรัสเซียในฐานะ “รัฐที่เข้มแข็ง” ที่กล้าท้าทายอำนาจอเมริกาและพร้อมจะจัดระเบียบความมั่นคงร่วมในรูปแบบใหม่ที่ไม่พึ่งพาโลกตะวันตก เช่น การร่วมมือด้านข่าวกรอง การพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศหรือแม้แต่การสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่เปราะบางอย่างซาเฮลหรือคอเคซัส  สิ่งนี้สะท้อนว่า KazanForum ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจแต่มันเริ่มกลายเป็น “แหล่งรวมแนวร่วมของความมั่นคงเชิงภูมิวัฒนธรรม” ที่ตั้งอยู่บนฐานของอัตลักษณ์อิสลามและการต่อต้านภาวะอาณานิคมใหม่ 

หากมอสโกคือจุดศูนย์กลางของอำนาจรัฐ คาซานก็คือ “เวทีทดลอง” สำหรับยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่รัสเซียต้องการเสนอออกสู่โลกการเลือกจัด KazanForum ในตาตาร์สถานไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะดินแดนนี้เปรียบได้กับ "สะพาน" ระหว่างจักรวรรดิรัสเซียดั้งเดิมกับโลกมุสลิมที่แผ่ขยายจากเอเชียกลางสู่ตะวันออกกลาง การใช้ความเป็นมุสลิมของชาวตาตาร์ในการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ทำให้รัสเซียสามารถ "แสดงบทบาท" ของรัฐพหุวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน ภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ของรัสเซียจึงไม่ได้พึ่งแต่กองทัพหรือพลังงานอีกต่อไปแต่ยังพยายามสร้าง "Soft Eurasianism" ผ่านความเชื่อมโยงทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และการต่อต้านอำนาจเดิมของโลกตะวันตก

นอกจากวาทกรรมทางความมั่นคงและอัตลักษณ์ KazanForum ยังเป็นเวทีที่รัสเซียพยายามเสนอภาพตนเองในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศมุสลิมที่ต้องการความหลากหลายในการค้าระหว่างประเทศจากระบบการเงินอิสลาม (Islamic Finance) ไปจนถึงเครือข่ายการค้าฮาลาล รัสเซียเร่งเจาะตลาดใหม่เพื่อชดเชยการสูญเสียการค้ากับยุโรป ในฟอรั่มปีนี้มีการลงนาม MOU หลายฉบับทั้งการส่งออกอาหารฮาลาล การร่วมทุนโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงท่าเรือทะเลสาบแคสเปียนเข้าสู่เส้นทางซัพพลายเชนใหม่ กล่าวได้ว่า KazanForum กำลังทำหน้าที่คล้ายกับ Belt and Road Forum ของจีนในเวอร์ชันมุสลิม—ต่างกันแค่แทนที่จะมี “มังกร” เป็นผู้ชี้ทางที่นี่มี “หมีขาว” สวมชุดมุสลิมเป็นผู้เปิดเกม 

โลกมุสลิมตอบรับ KazanForum ในแง่บวกอย่างชัดเจนโดยมองว่าเวทีนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างพันธมิตรกับรัสเซียในหลากหลายมิติโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการพึ่งพาตะวันตก เช่น การร่วมมือในด้านการเงินอิสลาม ฮาลาล เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานหลายประเทศมุสลิมมองว่ารัสเซียเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในเวทีโลกหลายขั้ว ที่สามารถเป็นทางเลือกแทนตะวันตกที่มักมีความขัดแย้งกับโลกมุสลิม นอกจากนี้ KazanForum ยังถูกมองว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประเทศมุสลิมนำเสนอวัฒนธรรมและศักยภาพของตนเองในระดับสากลภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

เยกอร์ อาเลเยฟ (Yegor Aleyev) นักวิเคราะห์ชื่อดังของสำนักข่าว TASS ของรัสเซียชี้ชัดว่า KazanForum เป็นการแสดงพลังของรัสเซียในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับโลกมุสลิมซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมถึงความมั่นคงและการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก อาเลเยฟเน้นว่า "รัสเซียกำลังสร้าง ‘เวทีใหม่’ ที่โลกมุสลิมสามารถแสดงบทบาทและศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ภายใต้การสนับสนุนและความร่วมมือที่เท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบเก่าที่มีเงื่อนไขหรือการครอบงำจากมหาอำนาจตะวันตก" อาเลเยฟมองว่าเวทีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัสเซียและโลกมุสลิมสามารถรับมือกับความท้าทายร่วมกัน เช่น การกดดันทางการเมืองจากโลกตะวันตก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์และการก่อการร้าย เขายังชี้ว่าความสัมพันธ์นี้จะไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่พันธมิตรยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนและทรงพลังที่สุดในศตวรรษนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโลกที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุค “โลกหลายขั้ว” ที่มีอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์กระจายตัวมากขึ้น 

ในขณะที่อเล็กเซย์ วาซิลิเยฟ (Alexei Vasiliev) นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของรัสเซียเน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสร้างความร่วมมือกับโลกอิสลามโดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก เขาเห็นว่า Kazan Forum เป็นเวทีสำคัญที่รัสเซียใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การสร้างโลกหลายขั้วที่รัสเซียผลักดัน

อันเดรย์ โคโรตาเยฟ (Andrey Korotayev) นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาชาวรัสเซียผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกอิสลามในบริบทของความมั่นคงและวัฒนธรรม เขาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของประเทศมุสลิมในการสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน และ KazanForum เป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือดังกล่าว

รุสลาน เคอร์บานอฟ (Ruslan Kurbanov) นักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมจากดาเกสถาน
เน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสนับสนุนและส่งเสริมชุมชนมุสลิมภายในประเทศและการใช้ KazanForum เป็นเวทีในการแสดงออกถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของรัสเซีย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศมุสลิมอื่น ๆ

ตามทฤษฎี Clash of Civilizations ของ ซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) โลกถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มอารยธรรมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และค่านิยม ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ในบริบทนี้ KazanForum จึงไม่ได้เป็นเพียงงานประชุมเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมทั่วไปแต่เป็นเวทีที่รัสเซียกำลังสร้าง “สะพาน” เชื่อมโยงระหว่างโลกอิสลามกับอารยธรรมตะวันตก-รัสเซีย ผ่านการแสดงออกถึงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ได้แก่ 1) ภูมิรัฐศาสตร์หลายขั้วโดยรัสเซียใช้ KazanForum เป็นเครื่องมือผลักดันยุทธศาสตร์หลายขั้วที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐและตะวันตกในโลกมุสลิม 2) การสร้างอัตลักษณ์ร่วม KazanForum เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ “โลกอิสลาม” ที่มีความเป็นเอกภาพและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นการตอบโต้แนวคิดของตะวันตกที่มองโลกมุสลิมเป็น “อื่น” หรือศัตรู 3) การแข่งขันทางวัฒนธรรมและความมั่นคง โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงผ่าน KazanForum คือการต่อสู้ในสมรภูมิทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมและการกำหนดอนาคตของอารยธรรม

สรุป KazanForum มิใช่เพียงงานประชุมหากคือการเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมและแยบยล รัสเซียกำลังสลักหมุดใหม่บนแผนที่โลก ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารแต่ด้วยการสร้างพันธมิตรในนามของศรัทธา เศรษฐกิจและอารยธรรม ท่ามกลางระเบียบโลกเก่าที่เปราะบางและกำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตารัสเซียและโลกมุสลิมกำลังรวมตัวกันอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลังเพื่อวางรากฐานใหม่ของอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากตะวันตกอีกต่อไป เวทีสัมมนาอย่าง KazanForum กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่ “คำพูดสามารถโค่นกองทัพ” และ “การสร้างภาพจำสามารถล้มอารยธรรม” รัสเซียไม่เพียงปรับยุทธศาสตร์แต่กำลังสร้างสนามใหม่ที่คู่แข่งไม่ถนัดและไม่อาจคุมเกมได้ โลกมุสลิมตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเพราะนี่คือพื้นที่ที่ให้เกียรติให้โอกาสและให้อนาคต ในท้ายที่สุด คำถามที่โลกต้องเผชิญไม่ใช่ว่า "รัสเซียกับโลกมุสลิมจะทำอะไรต่อไป?" แต่คือ "จะมีใครกล้าต้านทานพันธมิตรแห่งศรัทธา อำนาจ และภูมิปัญญาใหม่นี้ได้หรือไม่?"

‘ทหารรัสเซีย’ ยืนยัน!! พวกเขาพร้อมที่จะลุย จนกว่าจะปลดปล่อย ดินแดนรัสเซียได้สำเร็จ

(18 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

รายงานผลสำรวจความเห็นของทหารรัสเซียเกี่ยวกับแนวคิดการหยุดยิง

ทหารรัสเซียยืนยันว่าพวกเขาพร้อมที่จะสู้จนกว่าจะปลดปล่อยดินแดนรัสเซียได้สำเร็จ
จากการสอบถามทหารรัสเซียทั้งหมด 11 นาย ทั้งหมดปฏิเสธข้อเสนอของยูเครนและชาติตะวันตกในการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข

“เราต้องการยึดครองทุกพื้นที่ เพื่อที่ในอนาคตเราจะไม่ต้องต่อสู้เพื่อพวกมันอีก ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกคนเหล่านี้จะต้องตายไปเปล่าๆ ใช่ไหม” ทหารคนหนึ่งชื่อเซอร์เกย์บอกกับหนังสือพิมพ์

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าคณะผู้แทนที่เจรจาในนามของประธานาธิบดีรัสเซียได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อยูเครนให้ออกจาก 4 ภูมิภาคซึ่งตามรัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว

‘รองเลขานายกฯ’ ชี้เป้า!! เครือข่าย ‘เว็บพนัน’ เตรียมส่งข้อมูล ‘ผบ.ตร.-บช.ก.’ ลุยล้างบาง

(18 พ.ค. 68) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัด เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ ว่า เรื่องพนันออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่เข้าไปถึงทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนของสังคม นำไปสู่อาชญากรรมต่างๆตามมาอย่างที่ได้เห็นกัน ปัญหานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมาก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

นายณณัฏฐ์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ตนได้รับมา พบว่า กลุ่มทุนพนันออนไลน์ในประเทศไทย นอกจากเว็บไซต์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศอย่างเครือข่าย UFA888 แล้ว ก็ยังมีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป และเนื่องจากเป็นการกระทำผิดในรูปแบบออนไลน์ จึงทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับพื้นที่ที่จะปราบปรามให้เด็ดขาด เพราะเคยสั่งปิดไป ก็กลับมาเปิดได้อีกด้วยชื่อใหม่ ลำพังทรัพยากรของตำรวจในพื้นที่อาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนกลางด้วย

“ตนจะนำข้อมูลที่ได้รับมา ไปประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบเชิงลึกและมีขอบเขตอำนาจการทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งแรงในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด และต้องให้ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนได้เสีย” นายณณัฏฐ์ กล่าว

นายณณัฏฐ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจะทำให้การพนันออนไลน์หมดไปจากสังคม หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถดำเนินการได้เองโดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงานภาครัฐ ถึงจะเห็นผล และที่สำคัญ ต้องทำอย่างเด็ดขาด จริงจังตามที่นายกฯ สั่งการลงมา ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการลูบหน้าปะจมูก ผลร้ายจะตกอยู่กับพี่น้องประชาชน 

‘กรณ์’ คาใจผู้ว่าฯ กทม. พยายามแก้ กม. เอื้อสร้างตึกสูง ลั่น!! อย่าเอาใจ ‘นายทุนอสังหาฯ’ ให้มากเกินไป

(18 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

การทำงานของ กทม. แถวบ้านผม หลายวันที่ผ่านมา กทม. สร้างความประทับใจในการทำงานอยู่หลายงานครับ

1. ปรับปรุงกระจกจราจรในมุมอันตรายภายใน 2 วันจากที่ชาวบ้านแจ้งไปทาง  traffy fondue

2. มาลอกคลอง 2 วันก่อนฝนตกหนัก (โดยไม่มีใครร้องขอ) คลองนี้เป็นคลองระบายนํ้าสำคัญจากสาทรผ่านไปออกเจ้าพระยา และกลายวันที่ผ่านมาที่ฝนตกหนักมากนํ้าระบายออกอย่างดี

3. ซ่อมใหญ่ท่อระบายนํ้าในซอยเย็นอากาศ 3  ด้วยระบบการทำงานที่ดีมาก คือ ขุด-ปรับปรุงจนเสร็จทีละจุด ไล่ไปตามซอย ขณะนี้มาถึงท่อกลางซอย แต่ช่วงต้นซอยที่ขุดไปก่อนได้มีการปรับปรุงและซ่อมคืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำงานเร็ว เท่าที่เห็น มีคนงานทำอยู่ทุกวัน

ผมไม่รู้จริงๆว่างานเหล่านี้สำนักงานเขต (ยานนาวา) เขาทำกันเอง หรือเป็นนโยบายหรือการกำกับของท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่องานดี ผมขอชม เพราะพองานไม่ดี ทั้งผู้ว่าฯ (ทุกยุค) และเจ้าหน้าที่ กทม. จะมีคนพร้อมด่าเสมอ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมยังคาใจกับท่านผู้ว่าเสมอคือเรื่องความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการสร้างตึกสูง และเพื่อลบล้างความผิดที่สำเร็จแล้ว

กทม. หลายยยุคที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยเรื่องการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย บางครั้งศาลพิพากษาแล้ว แต่ กทม. ก็ไม่มีการดำเนินการตามคำสั่งศาล ประชาชนเสียเปรียบเพราะเมื่อสร้างไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เรื่องงานจิปาถะสำคัญ แต่เรื่องผังเมือง เรื่องกฎหมาย และเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เอาใจนายทุนอสังหาเกินไปก็สำคัญมากครับ หากผู้ว่ามีความชัดเจนเรื่องนี้จะดีมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top