Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

'อลงกรณ์-ประชาธิปัตย์' วิเคราะห์งบประมาณ 2569 ชี้งบประจำลดลงส่งสัญญาณบวกแต่กังวลงบลงทุนหดมากกว่า ห่วงผลกระทบ 'ทรัมป์2.0' ทำรายได้ประเทศลด แนะทำแผนงบสมดุลควรเริ่มระบบงบประมาณฐานศูนย์ปี 2570

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กวันนี้เรื่อง “วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“

โดยชี้ว่าเป็นงบประมาณที่มีเปอร์เซ็นของงบประจำลดลงเล็กน้อย1%ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นแนวโน้มที่ดีแต่งบลงทุนลดลงมากกว่าคือ 7.3 %ในขณะที่งบชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น0.7%เป็นการชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นและยังไม่ปรากฏว่าแนวทางว่าจะเริ่มจัดทำงบประมาณสมดุลอย่างไรเมื่อใดซึ่งต้องรอฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

โดยนายอลงกรณ์เขียนบทความ“วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ ดังนี้

“บทวิเคราะห์นี้จะกล่าวถึงโครงสร้างของงบประมาณปี2569ในด้านงบประจำงบลงทุนงบชำระหนี้เงินกู้กับการเตรียมงบประมาณรับมือนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' และปัจจัยเสี่ยงโดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา

ทั้งนี้ไทม์ไลน์ของกระบวนการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีกำหนดที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 20 พ.ค  2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 วันที่ 28–30 พ.ค. 2568 และวาระที่ 2-3 วันที่ 13–15 ส.ค. 68 (เป็นกำหนดการเท่าที่ยืนยันขณะนี้)

ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 มีดังนี้
1. โครงสร้างและวงเงินงบประมาณวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.1 รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท (ลดลง 1%)  
1.2 รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท (ลดลง 7.3%)  
1.3 รายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 151,200 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7%)   
1.4 งบขาดดุล 860,000 ล้านบาท

ภายใต้โครงสร้างงบประมาณเช่นนี้มีข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรอง
1. การลดรายจ่ายลงทุนอาจกระทบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต   
2. การเพิ่มวงเงินชำระหนี้สะท้อนภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นซึ่งต้องจับตาการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงทางการคลังระยะยาว  
3. การเตรียมงบประมาณรับมือวิกฤต เศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”

จากกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งผลให้ภาคส่งออกและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดว่า GDP จะปรับลดเหลือ 2.1% หรือต่ำกว่า 2.0%ทั้งนี้ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้กลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณปี2569ของสภาฯ ปรับโอนงบประมาณจากรายการไม่จำเป็นเข้างบกลาง 25,000 ล้านบาท (ตามที่ปรากฏเป็นข่าว) เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ 
อย่างไรก็ตามการไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. อาจทำให้ขาดรายละเอียดแผนรองรับที่ชัดเจน เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ   
และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่างบกลางที่เพิ่มขึ้น25,000 ล้านบาทจะเป็นการ 'ตีเช็คเปล่า' ไม่มีแผนและรายละเอียดในการตรวจสอบโดยรัฐสภาระหว่างการพิจารณางบประมาณซึ่งรัฐบาลและสำนักงบประมาณควรสร้างความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเป็นงบประมาณในภาวะผันผวนซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะได้แก่  
1. งบกลาง
การจัดสรรงบกลางเพื่อรับมือวิกฤตยังคลุมเครือสามารถแก้ไขได้โดยเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-time ผ่านแพลตฟอร์ม Open Data 
2. งบประจำ
รายจ่ายงบประจำลดลงแม้เพียง1%ก็ถือเป็นสัญญาณบวกควรดำเนินการต่อในปีงบประมาณถัดไปอย่างต่อเนื่อง
3. งบลงทุน
การลดลงของงบลงทุนอาจกระทบการเติบโตระยะยาว  
4. งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าควรชะลอไว้ก่อน
ได้แก่โครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน
เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน   
และโครงการที่ยังไม่มีแผนรองรับการใช้งานอย่างชัดเจน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ  
5. หนี้สาธารณะ 

หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปี 2564 มีสัดส่วน62.44% ของ GDP และปี 2569 จะเพิ่มใกล้แตะเพดาน 70 % ของ GDP   ทั้งนี้หนี้สาธารณะรวมเมื่อถึงปี 2569 คาดว่าจะสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาท  เป็นภาระหนักของประเทศเสมือนโคลนติดล้อ
6. ความเสี่ยงของประเทศ
ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอาการเปลี่ยนแปลง และภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่นสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเร็วและแรงมากขึ้นอาจทำให้รายได้ประเทศจากภาษีและการพาณิชย์ลดลงและกดดันให้ต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มจึงควรเตรียมงบประมาณให้พร้อมสำหรับการรับมือและปรับตัว
7. ความยั่งยืนของงบประมาณและการคลัง 
7.1 ควรมีแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในคำแถลงนโยบายงบประมาณต่อสภาฯ.
7.2 ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า
7.3 ปรับลดงบประจำและเพิ่มงบลงทุน
7.4 ควรเริ่มเตรียมแผนการการปฏิรูประบบงบประมาณแบบใหม่โดยจัดทำงบประมาณฐานศูนย์(Zero based budgeting)ถ้ามีความพร้อมควรเริ่มในปีงบประมาณ 2570

หากรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณในภาวะผันผวนด้วยความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยีและเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนมากขึ้น.”

ผู้เขียน :
นายอลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีต สส.6 สมัย
อดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

‘ปูติน-ทรัมป์’ ไม่ร่วมวงเจรจาสันติภาพที่อิสตันบูล ทิ้ง ‘เซเลนสกี’ ผู้นำยูเครนผิดหวัง…มองรัสเซียไม่จริงใจ

(16 พ.ค. 68) แผนการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซียในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันพฤหัสบดีต้องล่มไม่เป็นท่า หลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม แม้ก่อนหน้านี้ปูตินเคยส่งสัญญาณว่า “พร้อมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข” ขณะที่ทรัมป์กดดันให้ยูเครนเข้าร่วมการพูดคุยทันที

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนระบุว่าเขาจะยินดีเข้าร่วมก็ต่อเมื่อผู้นำรัสเซียเข้าร่วมด้วยตนเอง แต่สุดท้ายรายชื่อของปูตินไม่ปรากฏในคณะผู้แทนของรัสเซีย โดยมีเพียงวลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับรองของกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศ

เซเลนสกี แสดงความผิดหวังพร้อมกับเผยว่า ระดับของคณะผู้แทนรัสเซียสะท้อนว่ามอสโกว์ยังไม่จริงใจ และตั้งคำถามถึงอำนาจในการตัดสินใจของตัวแทนดังกล่าว “เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจในรัสเซีย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าคณะผู้แทนของยูเครนประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และที่ปรึกษาประธานาธิบดี

ด้านสหรัฐฯ ส่งตัวแทนระดับสูง ได้แก่ สตีฟ วิตคอฟ, คีธ เคลล็อก และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ เข้าร่วมการเจรจาแทนทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โพสต์เรียกร้องให้ยูเครน “มีการเจรจาเดี๋ยวนี้” เพื่อให้รู้แน่ชัดว่า ข้อตกลงสันติภาพเป็นไปได้หรือไม่ และให้ชาติตะวันตกเตรียมรับมือในทุกกรณี

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนผู้ใช้ป้ายทะเบียนรถผิดกฎหมาย ดัดแปลงป้าย เสี่ยงโทษหนัก

(16 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งมีการใช้รถที่ติดป้ายทะเบียนไม่ถูกต้อง ดังปรากฏในคลิปวิดิโอที่เผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ไม่สามารถมองเห็นชื่อจังหวัดได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ใช้มาตรการเชิงแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่ดำเนินคดี พร้อมให้ผู้ขับขี่แก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ลดความขัดแย้งบนท้องถนน และยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกต้อง เช่น ตัวอักษรจาง ตัวอักษรเลอะเลือนใช้กรอบป้ายทะเบียนที่บดบังข้อมูลสำคัญ หรือติดตั้งกันชนหน้า/หลัง แล้วปิดบังข้อความบนแผ่นป้ายทะเบียน เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ย้ำว่า การไม่ติดป้ายทะเบียนให้เห็นชัดเจน หรือปล่อยให้เลือนลางจนไม่สามารถอ่านได้ ถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากมีการใช้กรอบป้ายที่บดบังตัวอักษร เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 7 มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนให้สามารถมองเห็นได้โดยสะดวก และต้องไม่มีการปิดบังหรือทำให้แผ่นป้ายชำรุด

อีกกรณีที่น่าเป็นห่วงคือ การปลอมแปลง หรือดัดแปลงป้ายทะเบียน เช่น การใช้ตัวเลขหรืออักษรที่ผิดจากทะเบียนจริง การทำเลียนแบบ หรือการแก้ไขข้อมูล ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 60 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมแปลงหรือใช้แผ่นป้ายทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท และหากมีการใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว ยังอาจถูกดำเนินคดีเพิ่มตาม มาตรา 268 ฐานใช้เอกสารปลอมอีกด้วย

หากประชาชนพบว่าป้ายทะเบียนรถของตนมีสภาพชำรุด สูญหาย หรือซีดจางไม่ชัดเจน ขอให้รีบดำเนินการขอเปลี่ยนแผ่นป้ายใหม่โดยเร็ว โดยสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งพื้นที่ใกล้บ้าน พร้อมแนบเอกสาร ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ ,สำเนาทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ส่วนกรณีป้ายทะเบียนสูญหาย ต้องมีใบแจ้งความจากสถานีตำรวจแนบประกอบด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน และเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งลดความเสี่ยงหากมีผู้ไม่หวังดีนำป้ายทะเบียนไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีป้ายทะเบียนที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม หากรถเกิดอุบัติเหตุหรือหลบหนีการกระทำผิด การอ่านทะเบียนได้ชัดเจนถือเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือหรือจับกุมผู้กระทำผิด

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุผิดปกติ ต้องการสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ตร. เปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(16 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้เข้าร่วมสัมมนาระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป หรือเทียบเท่า จากส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 10 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 , ส่วนสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 7 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และส่วนการศึกษา 2 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการศึกษา และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รวมจำนวน 185 นาย พร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

โครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกผู้สัมมนาให้เกิดความรัก ความหวงแหน พรัอมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของไทย อันได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีทัศนคติที่ดี รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถวายความปลอดภัยและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้สัมมนา พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างกลไกการปฏิบัติงานร่วมกัน ตลอดจนสามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปต่อยอด ขยายผล เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างถูกต้อง โดยมี นายกองเอก ธารณา คชเสนี วิทยากรประจำศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และนายหมวดไท น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ วิทยากรพิเศษ กอ.รมน.ภาค 2 ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับในวันนี้ เป็นเรื่องราวและข้อมูลความจริงที่สำคัญ ที่ทุกท่าน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้รับฟังเพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าในความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ข้าราชการไทย ที่มีความรักและหวงแหน จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นและถูกร้อยเรียงเรื่องราว ส่งผลมายังสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน การได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงของอดีตและปัจจุบัน จะช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสม ปกปักรักษาไว้เพื่อชนรุ่นหลังในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ขอให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย และนำไปขยายเผยแพร่กับผู้ใต้บังคับบัญชาและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องต่อไป

จเรตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 กำชับการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหารือกับทัพเรือภาคที่ 2 ในความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และน้ำมันเถื่อน

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม./ผอ.ศปนม.) ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 และ พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน รองผู้บังคับการกองการสอบ 

โดยวานนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ประชุมสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อสั่งการและกำชับการปฏิบัติในงานจเรตำรวจ , ศปอส. , ศตคม. และ ศปนม. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา โดยได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทาง 15 นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกระดับ ทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง สอบถามและตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม

จากนั้นเวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ และคณะ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมกับฝ่ายทหาร โดยมี พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล (รน.) ผบ.ทรภ.2/ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปรีชา รัตนสำเนียง รอง ผบ.ทรภ.2 , พล.ร.ต.โชคชัย เรืองแจ่ม ผบ.ฐท.สข.ทรภ.2 , พล.ร.ต.อิทธิพัทธ์ กวินเฟื่องฟูกุล รอง ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.มรุเดช บุญนิตย์ ผอ.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปนิธาน สิทธิโยธาคาร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน กองทัพเรือ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อหารือใน 3 ประเด็น ได้แก่

1. กรณีการค้ามนุษย์ : ประเทศไทยอยู่ในระดับ tier 2 ถ้ามีการโดนลดระดับจะมีผลในเรื่องการส่งออกของประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทัพเรือภาคที่ 2 นอกจากมีการตรวจเรือประมงแล้ว ให้พิจารณาตรวจเรือขนส่งในระยะใกล้ หรือเรือต่าง ๆ ป้องกันเหตุผิดกฎหมาย เหตุการณ์ที่นำเด็กไปล่วงละเมิดทางเพศบนเรือขนส่งในทะเล

2. กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยในส่วนของทัพเรือภาคที่ 2 ขอให้ประสานในเรื่องการตรวจบุคคลที่ลักลอบเข้าเมืองทางทะเล รวมไปถึงสิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไปสนับสนุนในการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

3. กรณีน้ำมันเถื่อน : ขอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกองทัพเรือในการประสานงานทุกมิติในการปฏิบัติงานเรื่องน้ำมันเถื่อน

จากนั้นเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ โดยมี พ.ต.อ.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา ผู้กำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ให้การต้อนรับ จเรตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด

หลักฐานมัด ‘ทิดแย้ม’ พัวพันขบวนการฟอกเงินเว็บพนัน ใช้พระมหาโอนเงินเข้าบัญชีสีกา เงินหมุนเวียน 800 ล้าน!!

(16 พ.ค. 68) ‘ทิดแย้ม’ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พัวพันคดีฟอกเงินเว็บพนัน LAGALAXY911 ร่วมกับสีกาคนสนิท ‘น.ส.อรัญญาวรรณ’ โดยใช้พระมหารูปหนึ่งโอนเงินหลายสิบล้านเข้าสู่บัญชีของหญิงสาวผ่านตู้ฝากเงินอัตโนมัติ ตามคำสั่งของอดีตเจ้าอาวาส

เบื้องต้นพบเส้นทางการเงินโยงไปยัง 3 บริษัทนอมินี ใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินกว่า 800 ล้านบาท ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยมีการหมุนเงินผ่านบัญชีน.ส.อรัญญาวรรณมากกว่า 180 ล้านบาท ทั้งรับและโอนต่อหลายรอบ รวมถึงบัญชีอื่นที่เชื่อว่าใช้รับผลประโยชน์จากเว็บพนัน

จากการสอบสวนพบคลิปส่วนตัวของ น.ส.อรัญญาวรรณ กำลังอาบน้ำในมือถือของทิดแย้ม รวมถึงคำให้การว่าเคยขอยืมเงินตั้งแต่ปี 2564 โดยครั้งแรกยืมเงินเป็นจำนวนมหาศาลถึง 40 ล้านบาท อ้างว่าจะนำไปลงทุน และมีการปรึกษาผ่านทางวิดีโอคอลมาโดยตลอด ซึ่งมีพระลูกวัดเป็นผู้นำเงินไปฝากแทน

ขณะนี้ พระมหาผู้เกี่ยวข้องได้ลาสิกขาและหลบหนี หลังศาลอาญาออกหมายจับฐานร่วมจัดให้เล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว พร้อมขยายผลความเชื่อมโยงทั้งหมดในเครือข่ายฟอกเงินพนันออนไลน์ดังกล่าว

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ เผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 3 เดือนแรก พบกลุ่มเบนซินส่งสัญญาณชะลอตัวคนหันใช้ระบบราง – EV

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนมกราคม - มีนาคม 2568 อยู่ที่ 158.67 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 เนื่องจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการ และการใช้ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ขณะที่กลุ่มเบนซินลดลงร้อยละ 0.4 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการลดลงร้อยละ 1.5 และ NGV ลดลงร้อยละ 15.1 

รายละเอียดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดในเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้

การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.57 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.4 ประกอบด้วยการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.71 ล้านลิตร/วัน แก๊สโซฮอล์ อี20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.11 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.38 ล้านลิตร/วัน และแก๊สโซฮอล์ อี85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 18.96 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม - มีนาคม 2568) แต่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.68 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงโดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วนร้อยละ 5.97 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน1 รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 5.92 2 เทียบกับปีก่อน

การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ เฉลี่ยอยู่ที่ 68.43 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 1.5 ประกอบด้วยดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 68.39 ล้านลิตร/วัน สอดคล้องกับข้อมูลภาคการผลิตอุตสาหกรรมในบางกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มประมาณร้อยละ 2.0 และในกรณีที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.3 รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 จากเดิมที่ร้อยละ 2.5 - 3.0 สำหรับดีเซลหมุนเร็ว บี20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.05 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ดีเซลพื้นฐาน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.12 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ 70.55 ล้านลิตร/วัน  

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 19.22 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 ยังคงขยายตัวได้ดีจากภาคท่องเที่ยวและการบริการ ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสะสมถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 9.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยขยายตัว ร้อยละ 2.12 รวมไปถึงการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน

การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.14 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ประกอบด้วยการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.02 ล้านกก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.13 ล้านกก./วัน ขณะที่ภาคปิโตรเคมีลดลงมาอยู่ที่ 6.67 ล้านกก./วัน และภาคขนส่งลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.31 ล้านกก./วัน     

การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.52 ล้านกก./วัน ลดลงร้อยละ 15.1 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ให้กับกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะที่ถือบัตรสิทธิประโยชน์ 

ขณะที่ราคาขายปลีก NGV สำหรับรถทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาท/กก. อยู่ที่ 18.80 บาท/กก. เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,064,710 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 85,890 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 1,041,149 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบ อยู่ที่ 84,424 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) อยู่ที่ 23,561 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 63.6 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1,466 ล้านบาท/เดือน

การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 150,794 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 3.7 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซินน้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 13,204 ล้านบาท/เดือน

Chery ผนึก KGEN ปั้นแบรนด์รถยนต์ ‘EV สัญชาติไทย’ หนุนเทคโนโลยี-ชิ้นส่วนในประเทศ ดันไทยสู่ผู้นำยานยนต์อาเซียน

(16 พ.ค. 68) Chery และ Omoda & Jaecoo ภายใต้บริษัท Chery Automobile ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท คิง เจน จำกัด (มหาชน) หรือ KGEN ในการพัฒนาแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวง อว., สวทช. และกระทรวงพาณิชย์ มุ่งผลักดันเทคโนโลยี EV และการใช้ชิ้นส่วนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ สร้างโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก พร้อมชูจุดเด่นด้านคุณภาพ ราคาจับต้องได้ และข้อได้เปรียบทางภาษีจากสถานะ ‘รถยนต์สัญชาติไทย’

ภายในงาน 'Next Era Mobility: TECH DAY' Chery ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่ CHS และ SHS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5T GDI ประสิทธิภาพความร้อน 44.5% ระบบส่งกำลัง DHT และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการจัดการพลังงานล้ำสมัย ลดการใช้พลังงานลงสูงสุดถึง 15% และกู้คืนพลังงานจากเบรกได้ถึง 80%

ทั้งนี้ Chery และ Omoda & Jaecoo เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่หลายรุ่นในปีนี้ ทั้ง JAECOO 5 EV, 6T EV, OMODA C7 SHS และ C9 SHS พร้อมโปรโมชั่นราคาจับต้องได้และการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ 'Mr.J' เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่

สำหรับด้านการผลิต Chery ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท สร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในระยอง บนพื้นที่ 104 ไร่ พร้อมเดินสายการผลิตไตรมาส 3 ปี 2568 เริ่มที่ JAECOO 6 EV เป็นรุ่นแรก ตั้งเป้าผลิต 80,000 คันต่อปีภายในปี 2571 เพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกสู่ตลาดภูมิภาค

TMZ แฉเบื้องหลังการเงินพังทลายของ ‘จัสติน บีเบอร์’ ยอมขายลิขสิทธิ์เพลง 200 ล้านดอลลาร์..หนีวิกฤตหนี้

(16 พ.ค. 68) จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ป็อปสตาร์ระดับโลกผู้เคยสร้างรายได้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ กำลังเผชิญภาวะทางการเงินอย่างหนัก จนต้องตัดสินใจขายลิขสิทธิ์เพลงของตนเองในเดือนธันวาคม 2022 ด้วยมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ผู้จัดการส่วนตัวอย่าง สกูตเตอร์ บราวน์ (Scooter Braun) จะพยายามแนะนำให้รอจนถึงต้นปี 2023 เพื่อประโยชน์ทางภาษี แต่บีเบอร์กลับเลือกขายทันทีเพราะมีปัญหาทางสภาพคล่อง

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่า บีเบอร์อยู่ในภาวะใกล้ล้มละลาย และเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่ขายแคตตาล็อกเพลงของตัวเอง ความรุนแรงของปัญหาทางการเงินเป็นตัวเร่งให้เขาตัดสินใจอย่างเร่งด่วน สารคดี 'TMZ Investigates: What Happened to Justin Bieber' ที่ฉายทาง Hulu เปิดเผยว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิต การแต่งงาน ความสัมพันธ์กับคริสตจักร รวมถึงแรงกดดันในวงการบันเทิง ล้วนส่งผลกระทบต่อเส้นทางชีวิตและการเงินของเขา

หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตาคือความเชื่อมโยงกับ ฌอน 'Diddy' คอมส์ ซึ่ง TMZ ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีอิทธิพลบางอย่างต่อจัสตินในช่วงวัยรุ่น รายงานชี้ว่าผู้คนใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามถึงลักษณะความสัมพันธ์ระหว่าง Diddy กับจัสตินในช่วงเริ่มต้นอาชีพ แม้จะไม่มีข้อกล่าวหาโดยตรง แต่ก็เป็นอีกจุดที่สารคดีเปิดเผยเพื่อให้สังคมตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจเบื้องหลังวงการเพลง

TMZ Investigates ยังชี้ให้เห็นว่าปัญหาทางการเงินของบีเบอร์ไม่ใช่กรณีโดดเดี่ยวในวงการเพลง แต่เป็นผลสะสมของการถูกแวดล้อมด้วยผู้มีอิทธิพล การใช้ชีวิตหรูหราที่เกินตัว และความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างจริงจัง

นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ตอบโจทย์เกษตรกรรมอัจฉริยะ

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน 'Green Tech' หรือ 'เทคโนโลยีสีเขียว' เป็นแนวคิดที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การลดมลพิษ หรือการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว

โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน การลดของเสีย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร แนวคิดนี้ครอบคลุมไปถึงหลากหลายสาขา เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการรีไซเคิล และเกษตรกรรมอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งแนวปฏิบัติเหล่านี้สามารถบริหารจัดการได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ​ที่ผ่านมา ทางกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน, ส่งเสริมพลังงานทดแทน ด้วย เทคโนโลยีแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวลสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งที่ไม่ยั่งยืน รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน

​ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ทางกองทุนดีอี ได้มุ่งเน้นส่งเสริมเทคโนโลยี Green Tech อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Farming) ทั้งการใช้เทคโนโลยี IoT และ AI เพื่อลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน โดยได้ให้ทุนสนับสนุนกับ กรมประมง เพื่อดำเนินโครงการ “ระบบดิจิทัลต้นแบบการตรวจ วินิจฉัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรค ของสัตว์น้ำระยะไกล (Telemedicine for Aquaculture Animal Health)” ด้วยการนำเทคโนโลยี AI Visual Inspection มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคของสัตว์น้ำโดยการใช้ภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) จากโทรศัพท์มือถือหรือ Tablet ในการจับภาพสัตว์น้ำที่มีความผิดปกติและส่งภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) นั้น ๆ ผ่าน Web Application ของระบบ" ไปยังกรมประมงที่มีระบบ AI ที่ผ่านกระบวนการนำข้อมูล Training set สอนให้กับคอมพิวเตอร์แล้วได้ Model (AI Model) เอาไว้อย่างแม่นยำเพื่อให้สามารถตรวจสอบคัดกรองโรคของสัตว์น้ำเบื้องต้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

​ขณะเดียวกัน ยังทำให้สามารถวิเคราะห์และคัดกรองได้ทันทีว่าภาพของสัตว์น้ำแต่ละภาพที่ส่งมานั้นเข้าข่ายการวินิจฉัยเบื้องต้น ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคใด ประกอบกับมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลประกอบต่าง ๆ เช่น 1) ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 2) ประวัติข้อมูลการเลี้ยง 3) ผลการตรวจร่างกาย 4) ผลการตรวจสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาช่วยให้สัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์และคัดกรองโรคเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าโรคของสัตว์นั้นจะเกิดจากปัจจัยแวดล้อมแบบใดและปัญหาอยู่ที่ส่วนใด และเมื่อได้รับข้อมูลที่วิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มจะเป็นโรคประเภทใดแล้วเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงก็จะสามารถทราบได้ถึงการวินิจฉัยเบื้องต้นของสัตว์น้ำชนิดนั้น ๆ พร้อมกับคำแนะนำเบื้องต้นของการเริ่มต้นรักษาและแก้ไข ดังนั้น เกษตรกรสามารถพิจารณาจากคำแนะนำเบื้องต้นและทำการตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ได้ในภายหลัง

​อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นเพียงหนึ่งแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ช่วยลดการสูญเสียสัตว์น้ำ พร้อมทั้งเพิ่มผลผลิต และยังได้ช่วยในมิติด้านแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top