Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘คิม จองอึน’ สั่งฝึกหนัก!..ลุยตรวจฐานซ้อมใกล้เปียงยาง ยกระดับความพร้อมรบเกาหลีเหนือ สู้สงครามในอนาคต

(14 พ.ค. 68) คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ลงพื้นที่กำกับการฝึกซ้อมยุทธวิธีของกองกำลังพิเศษและรถถัง โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงแนวทางการฝึกทหารให้ทันสมัยและสอดคล้องกับ 'สงครามยุคใหม่' ภายหลังการมีส่วนร่วมของทหารเกาหลีเหนือในสมรภูมิยูเครน ซึ่งรายงานจากสื่อรัฐเผยว่า การฝึกซ้อมจัดขึ้นที่ฐานฝึกหมายเลข 60 ใกล้กรุงเปียงยาง โดยมีการสาธิตการยิงจริงและการฝึกแบบสมจริงเต็มรูปแบบ

คิมเข้าร่วมการฝึกพร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ พร้อมเน้นย้ำให้กองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) ปรับรูปแบบการฝึกตามประสบการณ์จริง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบและความพร้อมต่อภารกิจจริง เขายังชื่นชมการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติของผู้สอนทางทหารที่เกิดจากการฝึกเฉพาะทางอย่างเข้มข้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจและทักษะของทหารทุกนาย

การฝึกซ้อมครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการทดสอบขีปนาวุธระยะสั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีเป้าหมายจำลองการโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ คิมยังกล่าวว่าการฝึกทหารต้องคำนึงถึงความเป็นผู้นำแบบสร้างสรรค์และอิสระ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางคุณภาพในสนามรบยุคใหม่ พร้อมเร่งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและกลไกประเมินผลแบบวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาการฝึก

ทั้งนี้ หน่วยย่อยของกองพลที่ 11 ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ “กองพันอเนกประสงค์” ระหว่างการฝึก โดยคิม จอง อึน กล่าวชื่นชมพวกเขาว่าเป็นต้นแบบของความพร้อมรบเต็มขั้น พร้อมประกาศจุดยืนว่า “การเตรียมความพร้อมเพื่อสงครามเสร็จสิ้น” คือภารกิจปฏิวัติสูงสุดของกองทัพเกาหลีเหนือในยุคปัจจุบัน

นักเรียนนายร้อย จปร. และทหารหญิงไทย สร้างชื่อในเวทีโลก หลังร่วมเวที แข่งขันทักษะทหารระดับนานาชาติ ‘Sandhurst Military Skills’ ที่สหรัฐฯ

(14 พ.ค. 68) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พร้อมทหารหญิงจากกองทัพบกไทย จำนวนรวม 11 นาย เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางทหาร “Sandhurst Military Skills Competition 2025” ณ โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยจบการแข่งขันในอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 48 ทีมจาก 16 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้กำลังพลไทยได้แสดงความสามารถในระดับสากล

การแข่งขันครั้งนี้ประกอบด้วยการทดสอบสมรรถภาพ ความชำนาญ และการทำงานร่วมกันของหน่วยทหารขนาดเล็ก ภายใต้สถานการณ์สมมติที่ท้าทาย ซึ่งนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 2-4 และทหารหญิงจากกรมทหารพรานและกรมพลาธิการทหารบก สามารถผ่านภารกิจได้อย่างภาคภูมิ ท่ามกลางความกดดันและสภาพแวดล้อมที่เข้มข้นตามมาตรฐานสากล

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรบในทุกมิติ โดยเน้นการเปิดโอกาสให้กำลังพลได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกองทัพพันธมิตร ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสามารถของกองทัพบกไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและภารกิจในอนาคต

มูลนิธิพระราหู – จีจีไอ. กรุ๊ป เปิดรับผู้เข้าร่วมโครงการ อุปสมบทหมู่มุ่งสู่ดินแดนพุทธภูมิ - ลงทะเบียนได้ด้านล่าง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการ พรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู เปิดเผยว่า มูลนิธิพระราหู ร่วมกับ บริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ กรุ๊ป จำกัด ได้จัดโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาเพื่อไปศึกษาพระธรรม และที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วม โครงการบรรพชามาแล้วถึง 6 รุ่น ด้วยกัน โดยมูลนิธิพระราหูและบริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ. กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย รุ่นที่ 7 ปี 2568 ในห้วงเวลา ตั้งแต่ วันที่ 28 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 (จำนวน 18 วัน) 

ทั้งนี้ หากประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ไลน์กลุ่มบวชพระอินเดีย โดยทีมงานจะบันทึกลงโน้ตไว้ให้ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568  - 1 กรกฎาคม 2568 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568

สำหรับเงื่อนไขของการรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ดังนี้
1. ต้องมีความมุ่งมั่น และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
2. สามารถปฏิบัติตนตามกฎ และเงื่อนไขของโครงการที่กำหนดไว้ในโปรแกรมได้อย่างครบถ้วน
3. มีอายุระหว่าง 20 - 65 ปี และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอันตรายที่มีผลเสียงในการเดินทาง และปฏิบัติธรรมในห้วงกิจกรรม
4. หากโครงการฯ ดำเนินการออกตั๋วเครื่องบิน และขอวีซ่าแล้วท่านไม่สามารถเดินทางได้ ท่านจะต้องเป็นผู้ชดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในส่วนของท่านให้แก่ทางโครงการฯ โดยไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17%

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘ICAO’ ตัดสินให้รัสเซียต้องชดใช้กรณี ‘MH17’ หลังกลุ่มกบฏฝักใฝ่ปูตินยิงตก เสียชีวิตยกลำ

(14 พ.ค. 68) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินให้รัฐบาลรัสเซียต้องรับผิดชอบและชดใช้กรณีเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตกในยูเครนเมื่อปี 2557 โดยกบฏฝักใฝ่รัสเซีย เป็นเหตุให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 298 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเนเธอร์แลนด์

ICAO ระบุว่ารัสเซียล้มเหลวในการปกป้องเที่ยวบินพลเรือนตามกฎหมายการบินระหว่างประเทศ และละเมิดข้อห้ามใช้อาวุธกับเครื่องบินพลเรือน โดยผู้เสียชีวิตประกอบด้วยชาวดัตช์ 196 ราย ออสเตรเลีย 38 ราย สหราชอาณาจักร 10 ราย รวมถึงจากมาเลเซียและเบลเยียม

ทั้งนี้ รัฐบาลรัสเซียยังคงปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ขณะที่ศาลเนเธอร์แลนด์เคยพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตผู้ต้องหา 3 รายในคดีนี้ ซึ่งรวมถึงชาวรัสเซีย 2 คน และชาวยูเครนฝักใฝ่รัสเซีย 1 คน แต่ยังไม่มีการส่งตัวมาดำเนินคดีจริงแต่อย่างใด

‘ผู้นำชีอะห์ไทย’ ลากไส้ ‘NGO ต่างชาติ’ ปมชายแดนใต้ แฉช่วยล้างภาพ BRN เปิดทุกกลลวงแบ่ง ‘อธิปไตยไทย’

‘ผู้นำชีอะห์’ ลากไส้ ‘NGOต่างชาติ’ ต่อปัญหา ‘ชายแดนใต้’ แฉเบื้องหน้าอ้างสิทธิมนุษยชน เบื้องหลังคือเครื่องมือแทรกแซง เปลี่ยนภาพลักษณ์ ‘BRN’ จาก ‘กลุ่มติดอาวุธ’ เป็น ‘ขบวนการทางการเมือง’ ปลายทางคือแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย แนะรัฐบาลไทยตั้ง ‘NGO ฝ่ายความมั่นคง’ ตีโต้

(14 พ.ค. 68) นายซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความ เรื่อง “โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 3 ตอน มีเนื้อหาดังนี้...

โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย

ตอนที่ 1
เบื้องหน้า 'สิทธิมนุษยชน' – เบื้องหลัง 'เครื่องมือแทรกแซง' 'สิทธิมนุษยชน' และ 'สันติภาพ' อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่สวยงาม แต่ในบางเวที โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังขององค์กรนอกภาครัฐจากต่างประเทศ (NGO ต่างชาติ) ในการเข้ามากำหนดทิศทางความขัดแย้งอย่างแยบยล โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า: พวกเขาต้องการอะไรจริงๆ?"

NGO ต่างชาติใน จชต.: ผู้มาเยือนหรือผู้กำหนดยุทธศาสตร์?
ตั้งแต่ความรุนแรงรอบใหม่ใน จชต.ปะทุขึ้นในปี 2547 เป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของ NGO ระหว่างประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน องค์กรเหล่านี้มักอ้างเป้าหมายในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมทางกฎหมาย และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน — แต่การสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า หลายองค์กรมีบทบาทเชิงโครงสร้างในระดับที่ไม่ธรรมดา

องค์กรอย่าง Human Rights Watch, International Crisis Group (ICG), Amnesty International หรือแม้แต่ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ต่างมีโครงการ ฝึกอบรม รายงานวิจัย และเวทีพูดคุยที่ดำเนินมายาวนานใน จชต. โดยเฉพาะ HD ซึ่งเป็นองค์กรที่มีที่ตั้งในเจนีวาแต่สามารถเข้าถึงทั้งแกนนำ BRN และฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน — จนกระทั่งสามารถผลักดันให้เกิดโต๊ะเจรจาสันติสุขขึ้นจริง

วาทกรรมสิทธิมนุษยชน: พื้นที่ใหม่ของการต่อรอง
รายงานและถ้อยแถลงจาก NGO ต่างชาติ มีการตั้งคำถามต่อการใช้กฎหมายพิเศษของรัฐไทย เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ทั้งที่รายงานเหล่านี้มักขาดการอ้างอิงเหตุผลด้านความมั่นคง หรือความรุนแรงที่มาจากขบวนการ BRN

ในทางกลับกัน กลับมีแนวโน้มที่ NGO เหล่านี้จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงการวางระเบิด การลอบยิง หรือการเกณฑ์เยาวชนเข้าร่วมขบวนการด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยมักจัดให้เป็น "ผลพวงของโครงสร้างรัฐที่กดทับ" มากกว่าการกระทำผิดกฎหมายหรืออาชญากรรม

แนวโน้มนี้สร้างวาทกรรมใหม่ที่มองรัฐไทยเป็น 'ผู้กดขี่' และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเป็น "ผู้ถูกกดขี่ที่ต้องเข้าใจ" ซึ่งอาจดูสมดุลในแง่สิทธิมนุษยชน แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว คือการวาง 'โครงสร้างการตีความ' ที่ลดทอนอำนาจความชอบธรรมของรัฐไทยในเวทีสากล

ประโยชน์เชิงโครงสร้าง: NGO ได้อะไร?
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง NGO เหล่านี้ได้ประโยชน์ในหลายระดับ:

การต่ออายุองค์กร
พื้นที่ความขัดแย้งที่ยังไม่จบ ทำให้โครงการ NGO ไม่หมดอายุ — งบประมาณ ความชอบธรรม และความสนใจจากโลกภายนอกยังคงหลั่งไหล

การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็น
ยิ่งรัฐไทยกับ BRN ไม่ไว้ใจกันมากเท่าไร องค์กรอย่าง HD ยิ่งกลายเป็นผู้กำหนดโต๊ะ (agenda-setter) ได้มากเท่านั้น

เวทีแห่งอำนาจใหม่
การเข้ามาทำงานใน จชต. คือโอกาสสร้างเครือข่ายใหม่ของ NGO กับนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาสังคมมลายู — ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานต่อรองในอนาคต

Soft Power ฝังลึก
NGO เหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังฝังกรอบคิดแบบตะวันตกในเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ เขตปกครองตนเอง หรือความเป็นสากลของสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทไทยเสมอไป

คำถามปลายเปิดที่รัฐไทยยังไม่กล้าถาม
ทำไม NGO เหล่านี้ถึงสามารถเข้าถึงทั้ง BRN และฝ่ายความมั่นคงได้พร้อมกัน?
การฝึกอบรมให้แก่นักเจรจา ทั้งฝ่ายขบวนการและเจ้าหน้าที่รัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นกลางจริงหรือ?

โต๊ะเจรจาที่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขและเวทีของ NGO ต่างชาติ แท้จริงแล้วเป็นโต๊ะของใคร?

ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่จำเป็นต้องถาม เมื่อองค์กรต่างชาติในนามของ NGO เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้ง ความชัดเจนในเจตนาและวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ในตอนต่อไป จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า NGO ต่างชาติเหล่านี้ ได้ประโยชน์อย่างไรจากทั้ง BRN และรัฐไทย และอาจกำลังเป็นผู้ควบคุมกระดาน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

ตอนที่ 2
เกมลวงของ NGO: 'ผู้หวังดี' ที่ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในเวทีความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง BRN องค์กร NGO จากต่างประเทศมักปรากฏตัวในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เฝ้าระวัง หรือผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูเป็นกลางและหวังดีเหล่านี้ NGO บางกลุ่มได้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายในแบบที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง

NGO ในบทบาท 'กรรมการ' ที่ควบคุมเกม

หนึ่งในองค์กรที่โดดเด่นที่สุดคือ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ซึ่งเป็นองค์กรที่อ้างความเป็นกลางในการสร้างสันติภาพ และสามารถเข้าถึงทั้งฝ่าย BRN และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน

HD ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการจัดเวทีพูดคุยสันติสุขเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดอบรม ฝึกเจรจา และให้คำแนะนำในเชิงกระบวนการแก่ทั้งสองฝ่ายมานานนับสิบปี ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์ นี่ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวก — แต่คือการ ควบคุมโครงสร้างโต๊ะเจรจา

NGO กับการปั้น BRN

NGO บางกลุ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในการช่วย BRN เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก 'กลุ่มติดอาวุธ' มาเป็น 'ขบวนการทางการเมือง' โดยเฉพาะ HD และกลุ่มฝึกอบรมจากยุโรป ซึ่งสนับสนุนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ของ BRN ให้พูดภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจกลไกระหว่างประเทศ และสามารถสื่อสารผ่านสื่อสากลได้

NGO เหล่านี้ยังสนับสนุนเวทีระหว่างประเทศ เช่น การดึง OIC หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนให้ร่วมฟัง BRN นำเสนอข้อเรียกร้องในเชิงการเมือง มากกว่าจะพูดถึงเหตุการณ์ลอบโจมตีหรือการใช้อาวุธในพื้นที่

NGO กับรัฐไทย: ทำไมจึงยอมรับ?

แม้รัฐไทยจะระแวดระวัง NGO ต่างชาติ แต่สุดท้ายก็มักยอมให้เข้ามามีบทบาทเพราะ:

ต้องการเวทีพูดคุยที่ดูเป็นกลางในสายตาสากล

ขาดทักษะด้านการเจรจาและต้องพึ่งพาการฝึกอบรมจากภายนอก

เชื่อว่า NGO จะเป็น 'กันชน' ลดแรงกดดันจากประชาคมโลก

อย่างไรก็ตาม การยอมเปิดพื้นที่ให้ NGO เหล่านี้ ก็คือการยอมให้ ผู้อื่นกำหนดโครงสร้างเจรจาแทนตน โดยไม่รู้ตัว

ใครหลอกใคร: NGO ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในขณะที่รัฐไทยพยายามสร้างภาพว่ากำลังควบคุมสถานการณ์ และ BRN พยายามสร้างความชอบธรรม NGO บางกลุ่มกลับสามารถ:

ขยายโครงการ ต่อเนื่องจากสถานการณ์ไม่จบ

ปั้นผู้นำ ที่ตนเองสามารถเข้าถึงได้

ขยายทุนทางสังคม ในหมู่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเยาวชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง NGO บางกลุ่มสามารถทำให้ตนเองกลายเป็น "ผู้มีอำนาจเหนือความขัดแย้ง" โดยไม่มีต้นทุนทางความรับผิดชอบใดๆ

ตัวอย่างพฤติกรรมที่ควรจับตา

HD จัดเวิร์กช็อปให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและแกนนำเยาวชนในหัวข้อเดียวกัน แต่แยกพื้นที่ พบว่ามีการปลูกฝังชุดความคิดเรื่อง self-determination โดยใช้กรณีติมอร์ตะวันออกและโคโซโวเป็นต้นแบบ

ตามรายงานของ ICG ปี 2022 BRN มีแนวโน้มปรับบทบาททางการเมืองผ่านการมีทีมเจรจาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งสะท้อนความพยายามเปลี่ยนผ่านจากขบวนการติดอาวุธสู่เวทีการเมือง”

เครือข่าย NGO ด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในยุโรปแนะนำให้ไทยยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยไม่พูดถึงความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป
NGO บางกลุ่มไม่เพียงแต่เข้ามามีบทบาทในเวทีเจรจา แต่ยังทำหน้าที่เสมือน ผู้ออกแบบกระดาน ที่ทั้ง BRN และรัฐไทยต้องเล่นตาม โดยไม่ได้ตระหนักว่าตนเองอาจกลายเป็นหมากในเกมที่ NGO เป็นผู้จัดวาง

ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
NGO กับวาระตะวันตก – ปลายทางคือการแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย?

ในสองตอนที่ผ่านมา เราเห็นภาพ NGO ต่างชาติที่มีบทบาทลึกซึ้งในความขัดแย้ง จชต. บทบาทนั้นไม่ได้จบที่การฝึกอบรมหรือไกล่เกลี่ย แต่เชื่อมโยงกับแนวโน้มของยุทธศาสตร์ตะวันตกที่ต้องการปรับโครงสร้างอำนาจรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้นทุกขณะ

ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: ทำไมตะวันตกจึงสนใจ จชต.?

จชต. ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ช่องแคบมะละกา จุดยุทธศาสตร์การค้าและการทหารของโลก ภูมิภาคนี้เป็นทางผ่านสำคัญของการขนส่งพลังงาน และเป็นพื้นที่แทรกซึมของอิทธิพลจีน — จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป จะจับตามองอย่างใกล้ชิด

ในบริบทเช่นนี้ NGO กลายเป็น 'แขนขาทางอ้อม' ของแนวคิด soft power ตะวันตก ที่พยายามแทรกซึมแนวคิดเรื่อง human rights, autonomy, self-determination ให้ฝังลึกลงในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะในจุดที่อำนาจรัฐไทยไม่อาจควบคุมได้อย่างเด็ดขาด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเสวนารับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา พร้อมระดมความเห็นแนวทางการพัฒนางานสอบสวน

(14 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) 
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)” โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี), พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร.

การจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน เสนอยกร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างฉบับนี้ ได้เสนอแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานสอบสวน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ตร. ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นในเชิงวิชาการและความเห็นจากผู้ปฏิบัติ รวมทั้งภาคประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาร่างกฎหมาย โดยให้ คณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ รร.นรต. เป็นผู้รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) 
ควบคุมกำกับดูแล  

โดยการเสวนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับฟังความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนของตำรวจ โดยได้เชิญวิทยากรในกระบวนการยุติธรรมและผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ก.ร.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , นายสันติ  ผิวทองคำ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดวิเชียรบุรี , รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล , พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวน , พ.ต.อ.เอนก  เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.อุเทน  นุ้ยพิน  รอง ผบก.อก.ภ.6 และ พ.ต.อ.ภูมิรพี  ผลาภูมิ ผกก.สภ.ทัพทัน ร่วมขึ้นเวทีให้แลกเปลี่ยนความเห็นในการเสวนา โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช., ผบก.ภ.จว., รอง ผบก.ภ.จว. พร้อมด้วย พนักงานสอบสวน และข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวนทุกระดับตั้งแต่ ผกก.-รอง สว. ในสังกัด บช.น. ภ.1 และ ภ.7 และนิติกรในสังกัด กมค. พร้อมด้วยภาคประชาชนเข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

อนึ่ง สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญาของพรรคประชาชนนั้น มีการเสนอแก้ไขหลักการสอบสวนในหลายประเด็น ได้แก่ การให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน ตั้งแต่อำนาจการให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ อำนาจตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญ รวมทั้งเรื่องการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ บางฝ่ายเห็นว่าเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแต่บางฝ่ายก็มองว่าเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนการอาจทำให้กระบวนการสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น เพราะสำนวนการสอบสวนต้องถูกตรวจพยานหลักฐานโดยพนักงานอัยการตามกฎหมายอยู่แล้ว รวมถึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการดำเนินคดีอาญาของประเทศไทย
 
ปัจจุบัน ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบตามรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดทำข้อเสนอความเห็น พร้อมสรุปผลจากการเสวนาครั้งนี้เพื่อเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานสอบสวนในภาพรวมขององค์กร

‘นิสสัน’ ประกาศเลิกจ้างพนักงาน เพิ่มอีก 11,000 คนทั่วโลก พร้อมปิดโรงงาน 7 แห่ง หลังยอดขายทรุดหนัก แผนควบรวมกับ ‘ฮอนด้า’ ก็ล่ม

(14 พ.ค. 68) นิสสัน ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติม 11,000 คน และปิดโรงงาน 7 แห่งทั่วโลก หลังจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐฯ สองตลาดหลักที่มีการแข่งขันสูงและมีแรงกดดันด้านราคา ทำให้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้ของบริษัท พร้อมกันนี้การควบรวมกิจการกับฮอนด้าและมิตซูบิชิที่คาดว่าจะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ก็ล้มเหลวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

การปลดพนักงานครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดต้นทุนอย่างเข้มข้น ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตทั่วโลกลง 20% ส่งผลให้ยอดเลิกจ้างสะสมในปีที่ผ่านมาพุ่งแตะ 20,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 15% ของกำลังพลทั้งหมด โดยสองในสามของตำแหน่งที่ถูกตัดจะอยู่ในภาคการผลิต ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในสายงานขาย งานบริหาร และงานวิจัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายอีวาน เอสปิโนซา ระบุว่า ปีงบประมาณที่ผ่านมานับเป็นปีที่ท้าทายที่สุดของบริษัท ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยนิสสันรายงานผลขาดทุนประจำปีถึง 670,000 ล้านเยน (ราว 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้ บริษัทยังไม่สามารถให้แนวโน้มรายได้ในปีหน้าได้ เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังคงไม่มีความชัดเจน

นอกจากการปลดพนักงาน นิสสันยังยกเลิกแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหลักอย่างจีนเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากผู้ผลิตท้องถิ่น เช่น BYD ส่วนในสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็ฉุดรั้งยอดขายรถใหม่ แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลอังกฤษกำลังจับตาว่าโรงงานในเมืองซันเดอร์แลนด์จะได้รับผลกระทบจากแผนปรับโครงสร้างนี้หรือไม่

กฎใหม่คุ้มครองสิทธิ กรณีเที่ยวบินระหว่างประเทศ 'ดีเลย์'

มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารเที่ยวบินแบบประจำในประเทศและระหว่างประเทศ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

กรณีเที่ยวบินระหว่างประเทศดีเลย์เกิน 2 ชั่วโมง 
-สายการบินต้องจัดอาหารและเครื่องดื่มหรือคูปองสำหรับแลกซื้อ อาหารและเครื่องดื่มให้แก่ผู้โดยสารตามความเหมาะสม

กรณีเที่ยวบินระหว่างประเทศดีเลย์เกิน 5 ชม.
สายการบินจะต้องจัดอาหารและเครื่องดื่ม และอุปกรณ์สื่อสารเช่นเดียวกับกรณีล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง 
- ชำระค่าชดเชยเป็นเงินสดให้แก่ผู้โดยสารจำนวน 1,500 บาท หรือเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการเดินทางครั้งต่อไป หรือบัตรกำนัลการเดินทาง หรือไมล์สะสมตามโครงการสะสมไมล์ หรือสิ่งอื่นแทนค่าชดเชยดังกล่าว โดยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าการชำระค่าชดเชยเป็นเงินสด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 14 วัน นับแต่วันที่เกิดเหตุเที่ยวบินล่าช้า 
-จัดที่พักพร้อมการรับส่ง หากต้องมีการพักค้างคืน 
-เมื่อผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางต่อ สายการบินจะต้องเสนอทางเลือกแก่ผู้โดยสารในทันที เพื่อพิจารณาเลือกระหว่างรับเงินค่าโดยสารคืน หรือรับวงเงินเพื่อใช้ในการเดินทางครั้งต่อไป หรือบัตรกำนัลการเดินทาง หรือไมล์สะสมตามโครงการสะสมไมล์ หรือสิ่งอื่นทดแทน 

กรณีเที่ยวบินระหว่างประเทศดีเลย์เกิน 10 ชั่วโมง 
สายการบินต้องจัดอาหารและเครื่องดื่ม และอุปกรณ์สื่อสารเช่นเดียวกับกรณี ล่าช้าเกิน 2 และ 5 ชั่วโมง  
1) รับค่าชดเชยเป็นเงินสดภายในระยะเวลาไม่เกิน 14 วันนับแต่วันที่เกิดเหตุ · 2,000 บาท สำหรับเที่ยวบินที่มีระยะทางไม่เกิน 1,500 กิโลเมตร · 3,500 บาท สำหรับเที่ยวบินที่มีระยะทาง 1,500 - 3,500 กิโลเมตร · 4,500 บาท สำหรับเที่ยวบินที่มีระยะทางเกิน 3,500 กิโลเมตร หรือ 
2) รับค่าชดเชยเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการเดินทางครั้งต่อไป หรือบัตรกำนัลการเดินทาง หรือไมล์สะสมตามโครงการสะสมไมล์  หรือสิ่งอื่นแทนค่าชดเชยดังกล่าว โดยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าการชำระค่าชดเชยเป็นเงินสด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 14 วัน 

-จัดที่พักพร้อมการรับส่ง หากต้องมีการพักค้างคืน 
-เมื่อผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางต่อไป สายการบินต้องเสนอทางเลือกทั้งหมดแก่ผู้โดยสารในทันที เพื่อพิจารณาเลือกระหว่าง        
1) รับเงินค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมอื่นใดที่ถูกเรียกเก็บคืนเต็มตามจำนวน หรือรับเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการเดินทางครั้งต่อไป หรือบัตรกำนัลการเดินทาง หรือไมล์สะสมตามโครงการสะสมไมล์ หรือสิ่งอื่นทดแทน        
2) เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ระบุไว้ในบัตรโดยสารหรือไปยังจุดหมายปลายทางอื่นที่ใกล้เคียง หรือ        
3) การขนส่งทางอื่นที่เหมาะสมเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่ระบุไว้ในบัตรโดยสาร หรือจุดหมายปลายทางอื่นที่ใกล้เคียงกับจุดหมายปลายทางเดิม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top