Saturday, 26 April 2025
TheStatesTimes

ชาวเน็ตโยง!! ‘มหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่สากลฯ - World Expo’ จัดได้เงียบมาก!! ทั้งที่ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ผลงาน กลับว่างเปล่า

(20 เม.ย. 68) อดีตบรรณาธิการนิตยสารสาละวินโพสต์ วันดี สันติวุฒิเมธี ได้ออกมาโพสต์ข้อความสุดเศร้าลงในเฟซบุ๊ก หลังเจ้าตัวมาออกบูธร่วมกับอีก 200 ผู้ประกอบการ ที่มาออกบูธขายของในงาน ‘มหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่สากลและการเจรจาธุรกิจ’ ภายใต้โครงการนโยบาย ‘หนึ่งครอบครัว หนึ่งพลังสร้างสรรค์’ ในวันที่ 18-22 เม.ย. แต่แล้วกลับไร้การโปรโมต แถมไม่มีพิธีกร อีกทั้งคนยังเงียบ เมื่อมาเปิดถ่ายรูปเสร็จแล้วก็กลับ นับว่าทำเอาผู้ประกอบการถึงกับเครียดกันเลยทีเดียว โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความถึงบรรยากาศที่ไม่คึกคัก โดยระบุว่าในช่วงพิธีเปิดงาน มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงวัฒนธรรมมาเป็นประธาน มีช่างภาพ และผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นบรรยากาศกลับเงียบสนิท ราวกับป่าช้า ทั้งที่บริเวณห้างสรรพสินค้าด้านล่างยังคงมีผู้คนเดินสัญจรไปมาอย่างคึกคัก

ผู้ประกอบการกว่า 200 ครอบครัว ต่างตั้งใจเดินทางมาจากทั่วประเทศ โดยไม่ได้มีการสนับสนุนเรื่องที่พักหรือค่าเดินทาง ด้วยความหวังว่าจะได้รับโอกาสทางธุรกิจตามที่เจ้าภาพได้กล่าวไว้ว่าเป้าหมายของงานนี้คือการสร้าง Business Matching

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันแรกผ่านไป ผู้ประกอบการต่างเกิดความสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีผู้คนเดินขึ้นมาชมนิทรรศการ พวกเขาตั้งคำถามถึงการประชาสัมพันธ์งานของเจ้าภาพ ว่ามีการดำเนินการมากน้อยเพียงใด และมีสิ่งใดเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนที่เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าด้านล่างขึ้นมาเยี่ยมชมงาน

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างนำผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีศักยภาพมาจัดแสดงและจำหน่าย โดยหวังว่าจะได้รับการโปรโมทให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่กลับไม่มีกิจกรรมใดๆ จากผู้จัดงานที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมงาน พิธีกรหายเงียบ เวทีแสดงว่างเปล่า ไร้ผู้ชม แม้กระทั่งบูธที่นำนักศึกษาต่างชาติมาแสดงยังรู้สึกเศร้าใจที่ไม่มีใครให้ความสนใจ

ชาวเน็ตเริ่มตั้งคำถาม วิจารณ์ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ 

จัดอะไรก็ ‘แป้ก’ 

ไม่เหมือนยุครัฐบาล ‘ลุงตู่’

รมว.ดีอี ที่ชื่อ ‘ชัยวุฒิ’ โชว์ผลงานอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ ถึงฝีมือของคนไทย 

สร้างความยิ่งใหญ่ ในงาน ‘World Expo’ 

นี่สิ!! คนจริง ของจริง

แต่คนจัดงาน ของรัฐบาลชุดนี้ ที่ตั้งใจจะปั้น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ กลับทำ ‘งานกร่อย’

มีหลากหลายความคิดเห็นของชาวโซเชียล อาทิเช่น …

“พอๆ กับข่าวงาน Soft Power ที่พารากอน?
งบเยอะ แต่ออกแนวตลาดนัดสินค้าโอท็อป สุดท้ายก็กร่อย”

“เราไม่ทราบรายละเอียดแต่หัวเรือใหญ่เปลี่ยนจากกระทรวงดีอีในยุคประยุทธซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่แพทองธารเปลี่ยนหัวเรือใหญ่จาก ก.ท ดี อี เป็น ก.ท สาธารณสุข ผลที่ได้คืองานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน อาจเป็นเพราะเอากระทรวงหมอมาทำงานผิดประเภท หรืออาจเป็นเพราะบริหารงบประมาณไม่เต็มประสิทธิภาพ เราก็ไม่อาจทราบได้”

“ไปมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นแม่งานได้อย่างไร นายสมศักดิ์ รัฐมนตรีหลายสมัยทุกรัฐบาล เขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่หมดไฟในการทำงานแล้ว ที่ได้เป็นรัฐมนตรีทุกสมัยไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถแต่เป็นเด็กในคาถาของนายใหญ่เท่านั่นเอง”

“แค่งานนิทรรศการ ยังห่วยเลย ไหนคุยนักหนาว่า ทำงานเป็น”

“ตรวจสอบเถอะ ใช้เงินทำอะไรไปบ้าง”

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง จากหลากหลายคำติชม หากอยากจะอ่านเพิ่มเติม เชิญได้ที่ 

https://www.facebook.com/thestatestimes/posts/pfbid02N2mYxtxW4pu5gDa3cGKaG1iSr5T36XpKQZQ9rz3euskZtZCQuU6usbBACK23njzyl

หรือท่านใด อยากจะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม กับ THE STATES TIMES เชิญพูดคุยกันได้ ที่คอมเมนต์ด้านล่าง

‘เอกนัฏ’ นำทีม!! ร่วมหารือ ‘สหประชาชาติ’ ใช้กฎหมายเข้มข้น!! ยกระดับอุตสาหกรรม

เมื่อวันที่ (18 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมหารือจากคณะทำงานจากสหประชาชาติ(UN) ซึ่งนำโดยมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้แทนเลขาธิการสหประชาชาติในประเทศไทย พาหัวหน้าคณะสหประชาชาติส่วนต่าง ๆ เข้าหารือ เช่น UNIDO สหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

ในการหารือครั้งนี้ได้มีการหยิบยกหลากหลายประเด็นขึ้นมาหารือ เช่น ปัญหากากอุตสาหกรรม และการลักลอบทำธุรกิจสีเทา ที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น และสะสางระบบให้โปร่งใส รวมถึง การยกร่าง พรบ.กากอุตสาหกรรมฯ ฉบับแรกของประเทศไทยที่เรากำลังเสนอ ซึ่งจะเป็นคำตอบระยะยาวสำหรับการยกระดับอุตสาหกรรมไทย

‘พีระพันธุ์’แจงปมสัญญาซื้อไฟ 5,200 MW ลั่น!! พบผิด‘ยกเลิกสัญญา’ได้ทันที

(20 เม.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า เรื่อง การเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านได้ตั้งกระทู้ถามในสภาเมื่อเดือนที่ผ่านมา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบไปอย่างครบถ้วนแล้ว

Lesiy[โครงการประมูลดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2565 ในรัฐบาลที่ผ่านมา ในรอบแรกมีการประมูลขนาด 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากการประมูลเสร็จสิ้น ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ แต่ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยยกฟ้องทุกกรณีแล้ว จึงไม่มีข้อกฎหมายใดเป็นอุปสรรคต่อการลงนามในสัญญาอีกต่อไป และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจึงเริ่มทยอยดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขกำหนดให้ กฟผ.ต้องลงนามในสัญญาภายในสอง 2 ปี โดยในส่วนของไฟฟ้าจากแสงแดดจะครบกำหนดในวันที่ 18 เมษายน 2568 ส่วนพลังลมครบกำหนดภายในปี 2569

สำหรับการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 5,200 เมกกะวัตต์ในเฟสแรกนั้น มีการประมูลที่ 4,852 เมกกะวัตต์ มีสัญญาทั้งสิ้น 175 ฉบับ มีโครงการ  ที่ กฟผ.เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ โดยเป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565  และทางกฤษฎีกาได้ให้ข้อเสนอแนะว่า เนื่องจากมีการเซ็นลงนามสัญญาไปแล้วหากยกเลิกหรือชะลอการเซ็นลงนามสัญญาส่วนที่เหลืออาจจะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย

ในส่วนของ 16 โครงการที่ยังไม่ได้ลงนามนั้น หากจะหยุดกระบวนการทันที จะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย  เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนที่มีการดำเนินการล่วงหน้าแล้ว และ กฤษฎีกาได้แนะนำให้ กฟผ. ใส่เงื่อนไขในสัญญาเพิ่มเติมว่า หากภายหลังพบว่าการประมูลมีปัญหาทางกฎหมายหรือผิดขั้นตอนใด ๆ ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ต้องรอให้ครบสัญญา 25 ปี  ดังนั้น ทั้ง 3 สัญญาที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา จึงได้มีการดำเนินการตามเงื่อนไขที่ต้องลงนามในสัญญาภายใน 2 ปีและมีการปรับเงื่อนไขของสัญญาตามคำแนะนำของกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ขอให้วางใจได้

ขณะเดียวกัน สำหรับ 16 สัญญาที่เหลือ นายพีระพันธุ์ได้หารือกับผู้ว่าการ กฟผ.เพื่อหาช่องทางทางกฎหมายในการชะลอการลงนามเพื่อให้มีเวลาตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังวลอย่างรอบคอบ โดยส่วนใหญ่เป้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยจะครบกำหนดในปี 2569 ซึ่งขณะนี้ ผู้ว่าฯ กฟผ. กำลังตรวจสอบข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางดำเนินการให้สอดคล้องกับกรอบอำนาจที่มี จึงขอให้มั่นใจว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้จะไม่เป็นข้อผูกมัดไป 25 ปี เพราะสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที หากพบว่ามีการกระทำผิด

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดย กกพ. ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565   และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย  ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ไข  ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุชัดว่า หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการปฏิรูปพลังงานคือ ปัญหากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกฎหมายพลังงานที่มีอยู่จำกัดอำนาจรัฐมนตรีในการกำกับดูแลอย่างแท้จริง รัฐบาลจึงอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่เปิดช่องให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใด ๆ ในอนาคต

“ขอยืนยันว่า หากมีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าโครงการใดผิดกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยขั้นตอน ก็สามารถดำเนินการยกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบอายุสัญญา 25 ปี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย”

ทั้งนี้  รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกเสียงของประชาชนและฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ แต่ขอให้การนำเสนอข้อกล่าวหาเป็นไปอย่างรอบคอบและยึดข้อเท็จจริง มิใช่การบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างว่า การลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 25 ปี

‘อินทนิล’ นักรบนิรนามในเงาสงคราม 333 วีรกรรมที่ไม่มีใครเขียนถึง ในบทไพร่พล

(20 เม.ย. 68) ท่ามกลางเสียงปืนที่ไม่เคยปรากฏในหน้าหนังสือเรียน และวีรกรรมที่ไม่มีใครเขียนถึงในบทไพร่พล - มีชื่อหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในความเงียบ คือ “อินทนิล”
อินทนิล ไม่ใช่ชื่อบุคคลธรรมดา แต่คือชื่อจัดตั้งของ ร้อยโทชูเกียรติ สินค้าเจริญ นายทหารยุทธการแห่งกองพันรหัส BC.609 ซึ่งประจำการอยู่บนยอด ภูเทิง - หนึ่งในแนวสันเขายุทธศาสตร์กลางทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ที่ใช้ควบคุมเส้นทางเคลื่อนพลในสงครามลับยุคสงครามเย็น

ปฏิบัติการของอินทนิล อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2514–2518 ภายใต้รหัสลับ “333” เป็นภารกิจสนับสนุนการสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ร่วมกับฝ่ายราชการในลาว โดยมีไทย-สหรัฐฯ เป็นผู้หนุนหลัง ผ่านการรบแบบไร้สัญชาติ ไร้เหรียญตรา และบางครั้ง…ไร้ทางรอด

ณ ใจกลางสมรภูมิแห่งนี้ นักรบไทยได้ตั้งฐานรบระดับกองพันไว้ 3 แห่งรอบทุ่งไหหิน ได้แก่ ภูเทิง, ภูห่วง และ ภูเก็ง — ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ถูกจัดชั้นว่า Key Terrain หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์สูงสุด หากควบคุมได้ ย่อมควบคุมทั้งแนวรบ

แนวสนับสนุนจากแนวหลังคือฐานยิงปืนใหญ่ของไทยในรหัสลับ มัสแตง, ไลอ้อน, คิงคอง, สติงเรย์ และ แพนเธอร์ ที่คอยยิงสนับสนุนทุกครั้งที่ฐานแนวหน้าส่งสัญญาณขอ “ไฟ” จากฟ้า

ปี พ.ศ. 2515 ฐาน BC.609 ถูกกองกำลังฝ่ายตรงข้ามโอบล้อมจากทุกทิศ เส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกตัดขาด อากาศเลวร้ายจนเครื่องบินไม่อาจฝ่าเข้าไปได้ สถานการณ์เต็มไปด้วยสัญญาณแห่งความตาย

ในที่สุด ภูเทิงตกอยู่ในวงล้อมอย่างสมบูรณ์ ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงปืนใหญ่ใส่ฐานไทยตั้งแต่เช้าจรดเย็น บังเกอร์ถูกถล่มกระจุยทุกแนวเพลาะ ลูกปืนของศัตรูดูไม่มีวันหมด ...

ร้อยโทชูเกียรติ — หรือ “อินทนิล” — จึงตัดสินใจประกาศคำสั่งสุดท้ายผ่านวิทยุ:

> “ขอให้ปืนใหญ่ไทย ยิงแตกอากาศใส่ฐานของเราเอง”

คำว่า “แตกอากาศ” คือคำสั่งให้ยิงลูกกระสุนระเบิดกลางอากาศเหนือฐาน เพื่อให้สะเก็ดกระจายลงมา ทำลายอาวุธ แผนที่ เอกสารลับ และ…ชีวิตของผู้ที่อยู่ในวงล้อม ไม่ให้ตกไปในมือศัตรูแม้แต่นัดเดียว

เสียงระเบิดในวันนั้น คือเสียงของคนที่เลือกตายอย่างมีศักดิ์ศรี มากกว่าจะยอมเป็นเชลยโดยไร้เกียรติ
และหลังการตรวจสอบภายหลังสงครามจบลง — เราจึงได้ทราบว่า
กำลังพลไทยที่ยังปักหลักอยู่ในฐานภูเทิง ณ วินาทีสุดท้าย มีเพียง 8 นาย
ในจำนวนนั้นคือ ร้อยโทชูเกียรติ สินค้าเจริญ, ร้อยโทโรม ชัยมงคล และทหารกล้าทั้งหมดอีก 6 นาย ส่วนที่เหลือถอยออกจากสนามรบทำให้เป็นผู้รอดชีวิต...
หลายปีผ่านไป ไม่มีพิธีรำลึก ไม่มีบันทึกในตำราทหาร ไม่มีแม้แต่ชื่อของอินทนิลอยู่ในรายนามของผู้กล้า… จนกระทั่งมีการสร้าง “อนุสาวรีย์วีรกรรมทหาร 333” ขึ้น ณ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี แท่นหินที่ตั้งสงบแต่หนักแน่นอยู่ริมถนนแห่งนี้ คือคำยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ลืมวีรบุรุษที่เลือกสละแม้กระทั่งชื่อเสียง เพื่อรักษาแผ่นดิน

> อินทนิล คือเสียงของผู้ไม่พูด
คือแสงสว่างจากเงามืด
คือผู้ที่ยอมแตกเป็นผุยผง ดีกว่าให้แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง

‘แพทองธาร’ เตรียมบินไปเยือน!! ‘กัมพูชา’ 23 – 24 เม.ย.นี้ เน้น!! ประสานความร่วมมือ แก้ปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ

(20 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันพุธ 23 – พฤหัสฯ 24 เมษายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการสำคัญในการเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมหารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นประธานในพิธีเปิดตราสัญลักษณ์ ครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง การแก้ปัญหาข้ามแดน เศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค” นายจิรายุกล่าวทิ้งท้าย

ดินยุบกว่า 5 เมตร เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ กินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ที่กระบี่ คาด!! อาจเกี่ยวข้องกับเหตุแผ่นดินไหว รอเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

(20 เม.ย. 68) นายธนพล รำเภย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต.พรุเตียว อ.เขาพนม จ.กระบี่ พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่นเข้าตรวจสอบบริเวณหลังฟาร์มไก่เทพพิทักษ์ เลขที่ 280 หมู่ที่ 10 โดยพบว่าบริเวณสวนปาล์มน้ำมันที่ห่างจากฟาร์มไก่และบ้านไปประมาณ 50 เมตร เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่กว้างประมาณ 20x20 เมตร ความลึกชาวบ้านหยั่งด้วยไม้ไผ่ยาวกว่า 5 เมตร ไม่สามารถหยั่งถึง และยังพบว่าบริเวณโดยรอบมีการยุบตัวเกิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่เล็กเป็นทางยาวกินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ทางนายธนพล ได้ให้ชาวบ้านนำเชือกมากั้นเป็นเขตอันตรายห้ามไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้ นอกจากนั้นเมื่อไปสำรวจบริเวณคอกไก่พบว่ามีพื้นปูนคอกไก่แตก 2 จุด มีการยุบตัวของคานประมาณ 1 ซม.
จากการสอบถามนายสุวิทย์ หนูชู อายุ 52 ปี เจ้าของที่ดินและฟาร์มไก่ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวนั้นมีชาวบ้านมาพบว่ามีดินยุบแต่ไม่กว้างมากนักเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้หลุมได้ขยายตัวทรุดทำให้ต้นปาล์มน้ำมัน 2 ต้น อายุประมาณ 3 ปี จมหายไปในน้ำไม่โผล่ให้เห็นแม้แต่ยอด
ขณะที่นายธนพล กล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้รับทราบ เพื่อที่จะได้มีการเข้ามาตรวจสอบต่อไป เบื้องต้นได้กั้นแนวเขตป้องกันอันตราย เพราะมีรอยแยกและดินยังทรุดตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนสาเหตุนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบให้แน่ชัด ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 14 เมษายนที่ผ่านมาหรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้

‘ผบ.กองทัพรัสเซีย’ รายงาน!! ถึงความคืบหน้าการยึดคืน ‘แคว้นคุสค์’ จากยูเครน ‘ปูติน’ ประกาศ!! 19 – 21 เม.ย. เป็นช่วงพักรบ ไม่มีการเข้าโจมตี และอาจมีขยายเวลา

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

พล.อ เกราซิมอฟ ผบ.กองทัพรัสเซีย รายงานความคืบหน้าการยึดคืนแคว้นคุสค์ จากยูเครน มีความคืบหน้า 99.5% ปธน.ปูตินแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของกองทัพ และอวยพรกองทัพเนื่องในโอกาสเทศกาลอิสเตอร์

ปธน.ปูติน ประกาศให้ตั้งแต่ 18:00 เวลามอสโคว์ของวันที่ 19 เมษายน จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 21 เมษายน เป็นช่วงเวลาพักรบ รัสเซียจะไม่โจมตีเข้าไปในยูเครน และจะดูพฤติกรรมของยูเครนเพื่อพิจารณาขยายเวลาพักรบ

‘ฝรั่ง’ ทักคนเอเชียว่า ‘หนีห่าว’ อาจไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียน แค่ดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติไหน แต่ไม่ได้เจตนาจะด้อยค่า

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Aroonsri Chaiyachatti Harrison’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ฝรั่งทักคนเอเชียด้วยประโยคภาษาจีนอย่าง “หนีห่าว” กันอีกแล้ว เลยอยากมาเล่าแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึงค่ะ

ตอนเด็ก ๆ เคยตามคุณพ่อไปอยู่ยุโรป ที่ประเทศหนึ่งในอดีตยูโกสลาเวีย สมัยนั้นชาวยุโรปแถบนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเอเชียตัวจริง ๆ เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในหนังหรือทีวี พอได้เจอกับของจริง ก็แยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าใครเป็นคนจีน คนไทย คนญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์

จริง ๆ แม้แต่เราบางครั้ง ยังแยกไม่ออกเลยว่าฝรั่งที่เจอเป็นคนอังกฤษ อเมริกัน หรือยุโรปชาติไหน ต้องฟังสำเนียงก่อนถึงจะพอเดาได้

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงย้ายมานิวยอร์ก ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ ลูกค้าฝรั่งเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ถามว่าเราเป็นคนชาติไหน มีบางคน โดยเฉพาะฝรั่งรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้คำว่า Oriental ซึ่งสมัยนี้ถือว่าคำนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะมันเป็นการเหมารวมคนเอเชียแบบไม่มีความเข้าใจ คล้าย ๆ กับเวลาพูดถึง Oriental rug — มันเป็นภาษาที่สะท้อนยุคสมัยที่ยังไม่เปิดกว้างทางวัฒนธรรมเท่าไหร่

สมัยนััน80s-90s คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ :
What kind of asain are you?
What are you made of? (อันนี้ชอบบบมากตลกดีส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนสูงอายุหน่อย เรามักจะตอบกวนๆว่า “Mom and dad of course” 
So you are an Oriental from Thailand?

สรุป :
• “Oriental” ใช้กับวัตถุได้ เช่น “Oriental rug” แต่ไม่ควรใช้กับ “คน” อีกแล้ว
• เวลาฝรั่งพูดแบบนี้ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าไม่สุภาพ หรือ outdated มาก ๆ
นอกจากนี้ก็มีบางคนที่แค่ไม่รู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า ignorance ไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่ไม่รู้ว่าคนเอเชียมีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ไม่ได้เหมารวมได้ง่าย ๆ

บางครั้งก็มีเจอแบบไม่โอเค เช่น แซวทำตาเฉียงเลียนแบบคนจีน ทั้งที่เราไม่ใช่คนจีนก็ตาม ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของเอเชียดีนัก

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฝรั่งที่ทักเราเป็นภาษาจีน ก็อาจจะเป็นแค่การพยายามจะเชื่อมต่อ อยากทักทายด้วยคำไม่กี่คำที่เขาพอรู้ อาจเพราะเพิ่งเคยมาเที่ยวเอเชียครั้งแรก แล้วตื่นเต้น อยากสื่อสารกับคนท้องถิ่น แม้จะผิดภาษา แต่เจตนาก็ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร

สุดท้ายแล้ว เราว่ามันอยู่ที่ “เจตนา” ค่ะ
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหยียด ดูถูก หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า ก็คงไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป

เพราะบางที แม้แต่คนไทยเองก็มีหน้าตาหลากหลาย บางคนดูเหมือนจีน บางคนดูเหมือนแขก หรืออื่น ๆ ซึ่งแม้แต่เราเองยังแยกไม่ออกในบางครั้ง แล้วจะคาดหวังให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นชินกับความหลากหลายของเอเชียแยกออกเป๊ะ ๆ คงเป็นเรื่องยาก

แต่แน่นอนว่า ถ้ามันเลยเถิดไปจนถึงการล้อเลียนหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกด้อยค่า นั่นก็ถือเป็นปัญหาจริง ๆ และเข้าใกล้เรื่อง cultural appropriation มากขึ้น — คือการเอาวัฒนธรรมของคนอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้มันดูตลกไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ควรถูกพูดถึงและทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ

บางครั้งในชีวิตเราก็เลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะต้องเจอกับคนที่มีทัศนคติไม่ดี เหยียดเชื้อชาติ หรือพูดจาไม่เหมาะสมกับเราโดยตรง ไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ถ้าคุณรู้สึกว่าคำพูดหรือท่าทีของเขาเป็นการเหยียดเราจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้… คือ “ยิ้ม” ค่ะ

ใช่ค่ะ - แค่ยิ้ม

เพราะบางทีความสุภาพ และความสงบนิ่งของเราเองนั่นแหละ ที่จะทำให้คนที่เหยียดเรารู้สึกละอายใจในพฤติกรรมของตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลดตัวลงไปตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง

การยิ้ม ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับการกระทำของเขา
แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรา “เหนือกว่า” การเหยียดนั้นมากแค่ไหน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและอคติ
การรักษาความสงบภายในใจ และตอบกลับด้วยความสุภาพ
คือการต่อสู้ที่สง่างามที่สุด

อย่าลืมสิว่าประเทศเราคือสยามเมืองยิ้ม 
ด่ากลับเป็นภาษาไทยด้วยรอยยิ้มค่ะ   ทำบ่อยมากเวิร์คทุกครั้ง ด่าสามีด้วยรอยยิ้มนางยังไม่โกรธ 

3 สิ่งนี้ถ้าคนไทยมี ‘เมืองไทย’ จะเจริญเท่า สิงคโปร์ หรือ ญี่ปุ่น ระบบการศึกษาที่แข็งแรง จิตสำนึกไม่ทุจริต รู้หน้าที่ของตัวเอง

(20 เม.ย. 68) ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศด้อยศักยภาพ แต่เรายัง "ปลดล็อกตัวเอง" ไม่ได้เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศคือ ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์

ลองจินตนาการดูว่า...
หาก “ประเทศที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้งที่สุดในอาเซียน”
“ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติแบบไม่มีใครเทียบ”
“ประเทศที่ตั้งอยู่บนจุดตัดเศรษฐกิจโลก เรา เพื่อนบ้าน ประเทศทั้งอาเซียน จีน และอินเดียที่มีประชากรเกิน 2,000 ล้านคน”
จะดีแค่ไหนหากเราได้ปลุกศักยภาพของคนในชาติขึ้นมาพร้อมกัน

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ประเทศน่าเที่ยว”
แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางของโลก” และสิ่งที่เราต้องการมีเรื่องสำคัญ 3 ข้อดังนี้

1.คนไทยต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแรง ทันโลก มีนิสัยไฝ่เรียนรู้ ขยันสร้างศักยภาพทั้งความคิดและคุณธรรม

สิงคโปร์มีระบบการศึกษาแข็งแรง ญี่ปุ่นมีวินัยและสำนึกส่วนรวม แต่ถ้าไทย “รวมทั้งสองสิ่งไว้ในคนคนเดียวได้” เราจะไปได้ไกลกว่านั้น

เราต้องการเด็กที่คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ก้าวทันเทคโนโลยี และไม่กลัวตั้งคำถาม พร้อมกันกับเป็นคนที่มีเมตตา ไม่เบียดเบียน และมีจิตสาธารณะ"

สิ่งนี้จะกลายเป็นรากฐานของผู้นำรุ่นใหม่ แรงงานรุ่นใหม่ และสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ แต่มีพลัง

2. คนไทยต้องมีจิตสำนึกในการรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชันเป็นค่านิยมร่วม

สิงคโปร์เลิกคอร์รัปชันได้ในไม่กี่ทศวรรษ
ญี่ปุ่นมีระบบตรวจสอบที่แม้แต่นายกฯ ก็ต้องรับผิด
แต่ไทยยังอยู่ในวงจร “รู้นะว่าโกง แต่ก็จำยอม”

ถ้าเราเปลี่ยน “ความอดทน” เป็น “ความรังเกียจ”
และเปลี่ยน “ความเคยชิน” เป็น “ความกล้าทำให้มันจบ”

เราจะมีสังคมที่ไม่ต้องออกมาประท้วงทุกปี
ไม่ต้องตื่นมาเจอกับข่าวฮั้วงบ และไม่ต้องสอนลูกว่า “ถ้าอยากโตเร็ว อย่าเล่นตามกติกา”

3.ทุกคนต้องรู้และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ 100% และที่สำคัญต้องไม่เล่นการเมืองในที่ทำงาน

สิงคโปร์มีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม “ทุ่มเท” กับงานอย่างสุดกำลัง
แต่ในไทย... ยังมีการเมืองในที่ทำงาน การใช้อำนาจมากกว่าหลักการ

ถ้าพนักงานไทยทุกคนทำงานเต็มศักยภาพ
ข้าราชการไทยทำเพื่อประเทศมากกว่าตำแหน่ง
และเจ้านายเลิกเลื่อนตำแหน่งคนจากความใกล้ชิดส่วนตัว

เราจะไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร เพราะเราจะ “ลุกขึ้นยืนในจุดที่โลกต้องหันกลับมามอง”

แล้วถ้าเรามีครบทั้ง 3 ข้อนี้จริงล่ะ?
คนเก่งแต่มีธรรมะ = ประเทศเจริญโดยไม่ทิ้งใคร
คนไม่โกง = งบประมาณไปถึงที่ควรถึง
คนทำงานเต็มที่ = งานทุกงานเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม”
แต่คือ ประเทศที่ทั้งเก่ง ทั้งกล้า ทั้งดี - และเป็นจุดศูนย์กลางของโลกในยุคใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกถามว่า

“เราจะตามใครทัน?” แล้วหันมาถามว่า
“ถ้าประเทศไทยมีสิ่งนี้... โลกจะตามเราทันไหม?”

‘โหรวารินทร์’ เผย!! หลังพฤษภาคมนี้ การเมืองไทย เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขณะที่ภัยพิบัติต่างๆ จะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแค่เล็กน้อย

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 68) ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา หรือรู้จักในนาม “โหร คมช.” แห่งสำนักหลวงปู่เกวาลัน จังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนถึงการบูชาทวยเทพเทวา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  

และบูชาเสื้อบ้านที่ปกปักรักษาเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย ในงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี ว่า การประกอบพิธีในครั้งนี้ได้รับมอบหมายจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เมืองพ้นภัยพิบัติจากธรรมชาติและภัยเศรษฐกิจที่กระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย พร้อมขอให้คนไทยน้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ 

ทั้งนี้ อาจารย์วารินทร์ฝากถึงผู้มีอำนาจว่า อย่าใช้ประชานิยมมากเกินไป เพราะประเทศที่ล่มสลาย เช่น เวเนซุเอลา ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เนื่องจากใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไป ทุนทรัพย์ของเรามีเพียงพอแล้ว อย่านำไปขาย แจกจ่าย หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของประชาชนทั้งประเทศ เราควรร่วมกันดูแลรักษา เพิ่มพูน เพื่อประคองประเทศให้เดินหน้าสู่ความเจริญต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ความวุ่นวายทางการเมืองจะรุนแรงหรือไม่ อาจารย์วารินทร์ตอบว่า “จะไม่รุนแรง แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน หลังเดือนพฤษภาคมนี้จะเริ่มเห็นเค้าโครงต่าง ๆ ชัดเจน ผู้ที่มีหน้าที่ แต่ใครจะมาทำหน้าที่ที่แท้จริง เราก็รู้อยู่แก่ใจ ในนิตินัยอาจยอมรับได้ แต่ในพฤตินัยเป็นใคร เรารู้ดี” พร้อมระบุว่า ต่อไปจะมีผู้ที่เหมาะสมมาดูแลประเทศ และอาจมีบางคนที่เคยมีหน้าที่ “รีเทิร์น” กลับมาอีกครั้งก็ได้

สำหรับปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติ อาจารย์วารินทร์กล่าวว่า จากนี้ไปจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เพราะส่วนที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top