Tuesday, 29 April 2025
TheStatesTimes

โลกกำลังเดินทางสู่...ขาลง เพื่อจัดระเบียบมนุษย์ ด้วยผู้คนไร้ศีล ไร้สามัญสำนึก สนับสนุนสิ่งเลว ๆ เหยียบย่ำสิ่งดี ๆ

(1 เม.ย. 68) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อสถานศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนไทยฉลาด คนจบการศึกษาสูง ๆ มาจากเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมี “สามัญสำนึก” หรือ “คิดเป็น” ผู้คนจำนวนมากยังแยกแยะดีชั่วไม่ออก มองหาแต่ “ความสุขสบายส่วนตัว” โดยไม่คิดโอบกอดสังคมส่วนรวม 

หนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเคารพคนที่เปลือก นับถือเศรษฐีโดยไม่สนที่มาของเงิน กอดคอยิ้มหวานกับเหล่าอาชญากรเพียงเพราะเป็นคนที่ร่ำรวย แสดงความนอบน้อมต่อผู้มีอิทธิพลแม้เบื้องหลังจะใหญ่โตมาจากสิ่งเทา ๆ ก็ถึงเวลาที่โลกต้องออกแรงจัดระเบียบมนุษย์กันสักครั้ง

ความรุนแรงของธรรมชาตินับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า “เบา” 

เมื่อพลังงานเลว ๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้า จนดำมืดไปด้วยอากาศพิษ โลกก็จำต้องออกแรงขยับเขยื้อนดูดกลืนสิ่งสกปรกให้หายไปจากแผ่นดิน เพื่อความสว่างไสวของ “ความดีงาม” เกิดขึ้นอีกคราว และดำรงอยู่อย่าง “ยั่งยืน” เพื่อมวลมนุษยชาติที่ตั้งมั่นในศีลสืบไป 

ผู้คนจำนวนมาก ไร้ความเชื่อเรื่องการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ต่างไม่เกรงกลัวต่อบาป โดยเฉพาะบาปที่มาจากการทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาเปรียบสังคมที่ร่วมอาศัย รวมถึงไม่ดูแลใส่ใจธรรมชาติที่เกิดและเติบโตมาจากโลกใบเดียวที่เรามี หมักหมมจนเหม็นเน่า กลายเป็นขยะที่มาจาก “พฤติกรรมเลว ๆ ของมนุษย์” ความชั่วช้าที่ถูกปกปิดไว้ จะถูกธรรมชาติช่วยเผยอเปิดออกให้ผู้คนที่ยังหลับใหล โง่งมงายแต่ของใหม่ ยินดีแต่สิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ ได้รับรู้จนกระจ่างต่อหัวใจ 

เมื่อคำเตือนจากฟ้า คำบัญชาจากสวรรค์ “ส่งจดหมายเตือนผู้คน” ด้วยการ “สั่นสะเทือนแผ่นดิน” ใครที่คิดได้ ตระหนัก ยอมรับ และกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เพื่อโลกเพื่อสังคม” ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ถือว่าเป็น “มนุษย์หัวใจงาม” ส่วนคนที่ขนาด “บาปมนุษย์” ไล่ล่ามาถึงปลายจมูก ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด ฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือน ก็ยังมองเป็นเรื่องขำขัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังเดินหน้าให้ราคาสนับสนุน “มนุษย์ที่เลว ๆ บนผืนแผ่นดินไทย” ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรม 

โปรดจำไว้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้ผู้คนหวงแหน รักษา มิใช่การอยู่เพื่อเอาชนะ หรือทำลาย

คน..ก็เช่นกัน เมื่อมีบุญได้เกิดเป็นคนก็ควรกล้าหาญปกป้องคนดี มิใช่การหลับหูหลับตาสนับสนุนคนเลว ๆ ที่ทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเพื่อนพ้องประชาชน 

ไต้หวันถอนทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปเมียนมา เหตุวิกฤติการเมืองภายในยังคงรุนแรง กองทัพกบฏยังทิ้งระเบิดไม่เลิก

(1 เม.ย. 68) สำนักข่าว Focus Taowan รายงานว่า นายหลิว ซื่อ ฟาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไต้หวัน แถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 ว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจยุบทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปยังเมียนมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา

นายหลิวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงมหาดไทยไต้หวันได้พิจารณาสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มกบฏในพื้นที่ ทำให้การส่งทีมกู้ภัยเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัยอาจเป็นอันตรายอย่างมาก

“แม้เราต้องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ทำให้เราต้องตัดสินใจเช่นนี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่” นายหลิวกล่าว

ขณะที่ รายงานของสื่อระหว่างประเทศระบุว่า กองทัพเมียนมายังคงโจมตีพื้นที่บางส่วนในประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศ จนถึงขณะนี้มีรายงานว่าคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 1,700 ราย โดยสหประชาชาติได้กล่าวถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า “เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง”

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายพื้นที่ของเมียนมา โดยมีรายงานความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศกำลังเร่งพิจารณาวิธีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลไต้หวันยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้การสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร

‘วินท์ สุธีรชัย’ ชี้ “เหล็กแข็งนอกอ่อนใน” ไม่เหมาะใช้สร้างตึกสูง เหตุเพราะไม่อาจรับมือแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

(1 เม.ย. 68) นายวินท์ สุธีรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) และกรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “เหล็กแข็งนอกอ่อนใน” -> ทำความรู้จักกับ เหล็กเส้นข้ออ้อย “T” หรือ Temp Core ที่อยู่ในตึก สตง. ที่ถล่มในเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา

เหล็กเส้นข้ออ้อยที่ใช้ในไทย ปัจจุบันที่มีให้ประชาชนเลือกใช้ มีแบบ T และ Non-T

เหล็กเส้น Non-T เป็นวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม คือ การหลอมเศษเหล็กให้เป็น Billet และรีดด้วยความร้อน 1,200+ องศาเซลเซียสให้เป็นรูปทรงเหล็กเส้นข้ออ้อย สุดท้ายจึงปล่อยเย็นตามธรรมชาติ ราคาแพงกว่าโดยรวม

เหล็กเส้น T หรือ Temp Core เข้ามาในประเทศไทย ปี 2561 โดยผู้ประกอบการจีนนำเครื่องจักรมาลงทุนในไทย ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการฉีดน้ำหล่อเย็นเพื่อลดอุณหภูมิเหล็กเส้นจากที่ร้อนๆให้เย็นด้วยความรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลันนี้ทำให้ “เปลือก” ของเหล็กเส้นแข็งขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้สามารถ “ลดต้นทุนวัตถุดิบ” ได้โดยการลดคุณภาพเศษเหล็กที่นำมาหลอม และไปเพิ่มความแข็งตอนปลายทางได้ เหล็กเส้น T จึงมีราคาถูกกว่าโดยรวม

ด้วยราคาที่ถูกกว่าของเหล็กเส้น T ทำให้เหล็กเส้น T เป็นที่นิยมของตลาดโดยรวมในประเทศไทยมากกว่าเหล็กเส้น Non-T ถึง 4-5 เท่า

สิ่งที่น่าสนใจคือ กรมทางหลวง ไม่ยอมรับเหล็กเส้น T โดยให้เหตุผลว่าถนนและสะพานที่มีรถขับผ่านเยอะจะเกิด “ความล้า” (Fatigue) ซึ่งทำให้โครงสร้างขยับตัวจากการสั่นอย่างต่อเนื่องคล้ายๆเหตุการณ์แผ่นดินไหว และจะทำให้เหล็กเส้น T ซึ่งไม่มีความแข็งเท่ากันทั้งเส้นแตกหักได้ง่าย

ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทยอีกในอนาคตซึ่งทำให้เกิด “ความล้า” ในเหล็กคล้ายๆถนนและสะพานที่มีรถขับผ่าน อาคารสูงๆที่ใช้เหล็กเส้น T จะมีความเสี่ยงอีกหรือไม่???

ผมมองว่าการใช้เหล็กเส้น T ที่ “แข็งนอกอ่อนใน” ไม่เหมาะกับการสร้างตึกสูงในไทย ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวแล้ว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ควรจะเป็นบทเรียนให้ผู้ออกกฎหมายและวิศวกรในไทยคำนึงถึงการสร้างอาคารโดยการใช้เหล็กที่สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต

ทีมกู้ภัยจากจีน 15 คน เดินทางถึงมัณฑะเลย์แล้ว พร้อมเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือภัยพิบัติแผ่นดินไหวในเมียนมา

(1 เม.ย. 68) สมาชิกจากหน่วยรับมือเหตุฉุกเฉินระหว่างประเทศของสภากาชาดจีนจำนวน 15 คน เดินทางถึงเมืองมัณฑะเลย์ของเมียนมาเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเริ่มปฏิบัติการบรรเทาภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่

การเดินทางของทีมกู้ภัยครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีน และสภากาชาดจีน โดยทีมงานจะทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกับประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้

เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ทีมกู้ภัยจากจีนจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

“ด้วยความร่วมมือกับสภากาชาดเมียนมา เราเตรียมให้การสนับสนุนฉุกเฉินในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่พักพิง อาหาร และน้ำ การช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับผู้บาดเจ็บ การสนับสนุนการจัดการศพอย่างปลอดภัย การช่วยให้สมาชิกในครอบครัวที่พลัดพรากจากกัน หรือไม่ทราบชะตากรรมและที่อยู่ของคนที่พวกเขารัก ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง” เดอ แบ็ก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประจำประเทศเมียนมา กล่าว

ทั้งนี้ ทีมกู้ภัยจีนถือเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ พร้อมทั้งแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว
 

เกิดเหตุไฟไหม้ท่อก๊าซปิโตรนาสในเมืองปุตราจายา ไฮท์ส ประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บ้านเรือนพังเสียหายหนัก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งช่วยเหลือ-ค้นหาผู้ติดอยู่ใต้ซาก

(1 เม.ย. 68) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่ท่อส่งก๊าซในเมือง ปุตราจายา ไฮท์ส (Putra Heights) รัฐสลังงอร์ ของประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ใต้ซากอาคาร

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุเมื่อช่วงค่ำ และระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิง ขณะที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้แน่ชัด เนื่องจากเพลิงไหม้กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างและทำให้โครงสร้างอาคารบางส่วนพังถล่ม

อาห์มัด มุกห์ลิส มุกห์ตาร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของหน่วยงานดับเพลิงและกู้ภัยประจำรัฐสลังงอร์ เผยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นใกล้กับย่านที่พักอาศัยของประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพร้อมกับหน่วยงานอื่นๆ ได้อพยพผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยส่วนของท่อก๊าซที่มีไฟลุกไหม้นั้นยาวราว 500 เมตร

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ที่เกิดเหตุได้ปิดวาล์วแล้วและกำลังรอให้แก๊สหมดจึงจะสามารถดับไฟได้ ตามรายงานของศูนย์ปฏิบัติการ SMART Selangor (SSOC) และรายงานอีกว่ามีคนจำนวนหนึ่งติดอยู่ในบ้านที่ถูกไฟไหม้ใกล้ ปุตราจายา ไฮท์ส หลังจากท่อส่งก๊าซในบริเวณนั้นเกิดไฟไหม้

ตามรายงานของศูนย์ปฏิบัติการ SMART Selangor ระบุว่าบ้านที่ได้รับผลกระทบคือบ้านที่อยู่ใน กัมปง ซุงไก บารู (Kampung Sungai Baru) และสาเหตุของเพลิงไหม้นั้น เกิดจากท่อส่งก๊าซแห่งหนึ่งของปิโตรนาส (Petronas) รั่ว ตามที่ JBPM สลังงอร์ระบุในแถลงการณ์

ทั้งนี้ ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงถูกสั่งให้อพยพออกจากจุดเสี่ยง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการระเบิดซ้ำจากแรงดันก๊าซที่ยังคงค้างอยู่ในระบบ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้

หน่วยฉุกเฉินและทีมกู้ภัยยังคงปฏิบัติภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต ขณะที่เจ้าหน้าที่เตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย

สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย และความห่วงใยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังแผ่นดินไหวในประเทศไทย

(1 เม.ย. 68) สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรทรงส่งพระราชสาส์นถึงพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เมียนมา และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในพระราชสาส์น พระราชเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ฝ่าพระบาท หม่อมฉันและพระราชินีรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศเมียนมา ประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค หม่อมฉันรับทราบถึงความโศกเศร้าและความสูญเสียที่ประชาชนในประเทศไทยกำลังประสบอยู่ อันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก”

พระราชสาส์นยังทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งพระองค์และพระราชินีขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งและร่วมปวดร้าวไปกับประชาชนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ยังทรงยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางการบรรเทาภัยพิบัติแก่ประเทศไทยในทุกด้าน

พระราชสาส์นฉบับนี้เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและการแสดงออกถึงความห่วงใยระหว่างพระราชวงศ์แห่งสหราชอาณาจักรและราชวงศ์ไทยในยามที่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้น

กฟผ. – มูลนิธินายช่างไทยฯ เตรียมนำทีมวิศวกรลงพื้นที่ ตรวจสอบโครงสร้างอาคารโรงเรียน สพฐ. หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว

(1 เม.ย. 68) กฟผ. จับมือ มูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา จัดอบรมความพร้อมวิศวกรและช่างอาสา กฟผ. ก่อนเริ่มลงพื้นที่ 4 – 5 เมษายน 2568 นี้ เพื่อตรวจสอบโครงสร้างอาคารโรงเรียน สพฐ. ที่ได้รับผลกระทบเบื้องต้น 130 โรงเรียนในพื้นที่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และสมุทรสงคราม หวังฟื้นฟูอาคารเรียนที่ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะประธานมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา เผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ศูนย์กลางประเทศเมียนมา ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนในหลายพื้นที่ของไทยได้รับความเสียหาย ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก รวมทั้งโรงเรียนภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กฟผ. จึงร่วมกับมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา เตรียมนำทีมวิศวกรและช่างอาสา กฟผ. กว่า 200 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงสร้างอาคารเรียนของ สพฐ. เบื้องต้น จำนวน 130 โรงเรียน ใน 7 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และนครปฐม ระหว่างวันที่ 4 - 5 เมษายน 2568 นี้ หวังฟื้นฟูเพื่อให้ครู นักเรียนกลับเข้าเรียนและสอบได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ กฟผ. และมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา เตรียมจัดอบรม “แนวทางการตรวจสอบอาคาร หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว เพื่อเตรียมพร้อมก่อนลงพื้นที่ตรวจสอบโรงรียนในสังกัด สพฐ.” ให้กับทีมวิศวกรและช่างอาสา กฟผ. โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนายวสวัตติ์ กฤษศิริธีรภาคย์ เลขาธิการมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา และอดีตนายกสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร เพื่อให้วิศวกรและช่างอาสา กฟผ. ทุกคน ได้รับความรู้ ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และสามารถตรวจสอบสภาพอาคารที่ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างถูกต้อง ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 3 อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

“กฟผ. ขอขอบคุณ วิศวกร และช่างอาสา ทุกท่านที่ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบโครงสร้างอาคารโรงเรียน สพฐ. ในครั้งนี้ และ กฟผ. ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต” นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าว

ญี่ปุ่นทุ่มงบ 20 ล้านล้านเยน เสริมโครงสร้างสู้ภัยพิบัติใหญ่ใน 5 ปี พร้อมรับมือภัยเงียบใต้ดิน ‘รอยเลื่อนนังไก’ ที่อาจรุนแรงถึง 9 แมกนิจูด

(1 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 4.564 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough Earthquake)

ตามรายงานของสำนักข่าวท้องถิ่น มาตรการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการประกอบด้วย การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงตึกสูง โรงพยาบาล และสะพานให้มีความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่แม่นยำและสามารถอพยพได้ทันเวลา เสริมศักยภาพหน่วยกู้ภัยและเครือข่ายฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำความสำคัญของมาตรการลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระหว่างการประชุมของสำนักงานส่งเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติแห่งชาติ โดยกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง”

นายอิชิบะยังกล่าวถึง ความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับ โครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะระบบท่อระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ หลุมยุบในเมืองยะชิโอ จังหวัดไซตามะ ที่ทำให้รถบรรทุกพร้อมคนขับตกลงไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับ รอยเลื่อนนังไกถือเป็นหนึ่งในเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด ในบริเวณนี้ อาจมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติเป็นลำดับแรก และหวังว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 1 เมษายน 2568

รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท
669687

รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
635  760

รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
180  666

รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
36

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
669686  669688

รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
055440  120441  032218  317176  903895

รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
115898  677417  976075  863114  430077  
968267  898356  699092  617158  269444  

รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
947528  179643  344000  914197  720039  
744799  592546  658419  689814  235692  
001477  585929  057527  874164  741507  
384674  798376  465015  811292  264282  
378835  783654  367741  704849  121573  
585110  367601  325749  594199  804468  
861456  910964  821017  108857  196802  
781735  922149  250447  360695  552715  
920845  541755  248088  370842  169205  
607488  720557  760916  564540  438967  

๒ เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498

ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา จนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย

ทรงสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถทำคะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นอันดับ 4 ของประเทศ

เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศ

พ.ศ. 2520 ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง คะแนนเฉลี่ย 3.98

ระดับปริญญาโท ด้านจารึกภาษาตะวันออก (ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และสาขาภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต จาก ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ระดับปริญญาเอก คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พระองค์ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างยอดเยี่ยมด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้เข้าสอบทั้งหมด

ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2520 มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี”

เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรก ที่ทรงดำรงพระอิสริยยศที่ “สยามบรมราชกุมารี” แห่งราชวงศ์จักรี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระอัจฉริยภาพด้านภาษา ด้านดนตรี และด้านพระราชนิพนธ์

ด้านพระราชกรณียกิจ ทรงมุ่งมั่นพัฒนา ในทุกๆ ด้าน อาทิ ด้านการศึกษา ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการพัฒนาสังคมและการพัฒนาห้องสมุดและการรู้หนังสือ ด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้านการสาธารณสุข และด้านศาสนา

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2528 ประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น “วันอนุรักษ์มรดกไทย” เพื่อรณรงค์สร้างความเข้าใจ ความสำนึกรัก และหวงแหนในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top