Tuesday, 29 April 2025
TheStatesTimes

‘หวัง อี้’ ประกาศกลางมอสโก ย้ำสัมพันธ์จีน-รัสเซีย คือมิตรแท้ตลอดกาล ไม่มีวันเป็นศัตรู

(1 เม.ย. 68) หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA ของรัสเซีย ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงมอสโก โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและรัสเซีย พร้อมกล่าวว่า “จีนและรัสเซียเป็นมิตรแท้ตลอดกาล ไม่มีวันเป็นศัตรู”

หวัง อี้ ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างสองประเทศตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ความไว้วางใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน โดยจีนให้ความสำคัญกับความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย และเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพในระดับโลก

การเยือนรัสเซียของหวัง อี้ ครั้งนี้ เป็นเวลา 3 วัน เพื่อหารือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ โดยการเดินทางครั้งนี้ถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อบรรลุการหยุดยิงในยูเครน และการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำรัสเซียและยูเครน รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ 

จีนและรัสเซียประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์แบบไม่มีข้อจำกัดเพียงไม่กี่วันก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน จะส่งทหารหลายหมื่นนายเข้าไปในยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022

เป็นที่ทราบกันว่าประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิง ได้พบกับปูตินมากกว่า 40 ครั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และทั้งสองผู้นำก็ตกลงที่จะกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกันในประเด็นต่างๆ เช่น ไต้หวัน ยูเครน และคู่แข่งร่วมกันอย่างสหรัฐอเมริกา

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เคียร์มลินกล่าวว่ารัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันเกี่ยวกับแนวคิดสำหรับการยุติสันติภาพในยูเครน และเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี และนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม เขาก็ได้เปลี่ยนท่าทีของสหรัฐฯ ให้มีท่าทีปรองดองกับรัสเซียมากขึ้น 

“นี่เป็นผลดีต่อการรักษาสมดุลของอำนาจระหว่างมหาอำนาจ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความหวังในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่น่าผิดหวัง” หวัง อี้ กล่าว

นอกจากนี้ หวัง อี้ ได้ปฏิเสธสมมุติฐานที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพยายามสนับสนุนรัสเซีย เพื่อให้ฝ่ายหลังวางตัวอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับจีน โดยระบุว่าแนวคิดดังกล่าวเป็น “อาการกำเริบของโรคอยากเผชิญหน้าที่ล้าสมัยและเป็นความคิดแบบปิดกั้น”

นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว ชี้ เหตุอาคาร สตง.ถล่ม ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุทางวิศวกรรมอย่างเดียว

(2 เม.ย. 68) ดร.ไพบูลย์ นวลนิล นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว โพสต์เฟซบุ๊ก Namom Thoongpoh ถึงกรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างถล่ม ว่า “สาเหตุอาคาร สตง. ถล่ม ไม่ได้เป็นเพราะเหตุทางวิศวกรรมอย่างเดียว แต่เป็นเพราะต้นกำเนิดแผ่นดินไหวที่มีแนวพังทลายซูเปอร์เชียด้วยนะครับ”

มาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’ อาจทำ GDP โลกหดตัว 7 แสนล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์เตือนสหรัฐฯ เสี่ยงเจ็บหนักสุดจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า มีการคาดการณ์ว่ามาตรการภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมประกาศในวันนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก หากมีการบังคับใช้ทั่วโลก โดยนักวิเคราะห์เตือนสหรัฐฯ เองอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ตามการรายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดกับทำเนียบขาว มาตรการภาษีดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า การดำเนินมาตรการนี้อาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก

“การขึ้นภาษีศุลกากรจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ และอาจกระทบไปถึงผู้บริโภคในที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จากวอชิงตันกล่าว

โดยภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก สถาบันเศรษฐกิจกำลังพัฒนาแห่งองค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ประเมินว่าภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันทั่วโลก รวมถึงภาษีรถยนต์และภาษีสินค้าจีนที่เรียกเก็บก่อนหน้านี้ 20% จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของโลกลดลง 0.6% ในปี 2027

การลดลงดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าถึง 763 พันล้านดอลลาร์ (ราว 26.06 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงจากการคาดการณ์ GDP โลกในปี 2027 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ 127 ล้านล้านดอลลาร์

สำหรับสหรัฐฯ นั้นคาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดย JETRO ประเมินว่า GDP ของประเทศจะลดลงถึง 2.7% ภายในปี 2027 นักวิเคราะห์ชี้ว่าต้นทุนสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน ซึ่งอาจทำให้กำไรของธุรกิจในสหรัฐฯ ลดลง

หลายประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ อาจตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับภาคการค้าระหว่างประเทศ นักวิเคราะห์เตือนว่าหากเกิดสงครามการค้าครั้งใหญ่ขึ้น เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ผู้นำในภาคธุรกิจของสหรัฐฯ หลายคนได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายนี้ โดยระบุว่า การขึ้นภาษีศุลกากรอาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในตลาดโลก

ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กล่าวถึงมาตรการภาษีดังกล่าวว่าเป็น “วันปลดปล่อย” โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะหยุดยั้งไม่ให้ประเทศอื่น ๆ “แย่งงานของเรา แย่งทรัพย์สินของเรา และแย่งสิ่งของต่าง ๆ มากมายที่พวกเขาเคยแย่งกันมาตลอดหลายปี” 

ทั้งนี้ ทรัมป์และทีมที่ปรึกษาของเขาอ้างว่าการนำภาษีศุลกากรแบบตอบแทนมาใช้ จะช่วยให้สามารถแทนที่ภาษีเงินได้ด้วยภาษีนำเข้าเป็นแหล่งรายได้หลัก

ขณะที่ ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและการผลิตของทรัมป์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงภาษีศุลกากรแบบตอบแทน จะสามารถสร้างรายได้ถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า

ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศรายละเอียดของมาตรการภาษีศุลกากรดังกล่าวในลักษณะใด และจะมีการเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงหรือไม่

‘วินท์ สุธีรชัย’ โยนคำถามถึงสังคมไทย – อุตสาหกรรมก่อสร้าง ถึงเวลาหรือยังที่ต้องแบนเหล็กเส้น T ที่ผลิตจากเตาหลอมแบบเก่า

(2 เม.ย. 68) นายวินท์ สุธีรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) และกรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “เหล็กแข็งนอกอ่อนใน” Ep. 2: เหล็กจีนตีเหล็กไทยตาย

ช่วงปี 2560 ประเทศจีนประกาศไม่ให้ใช้เหล็กเส้น T หรือ Temp Core จากโรงเหล็กที่ใช้เตาหลอมเศษเหล็ก Induction Furnace (IF) โดยให้เหตุผลว่าเตาหลอมเหล็กประเภทนี้มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและน้ำเหล็กที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานของประเทศจีน

ช่วงปี 2560-2561 จึงเป็นช่วงที่โรงงานเหล็กในจีนย้ายเครื่องจักรที่ใช้อยู่แล้วในประเทศจีนมาติดตั้งในประเทศในแถบอาเซียนเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ ประเทศไทย ในช่วงเวลานั้นโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้เตาหลอมเศษเหล็ก Electric Arc Furnace (EAF) ที่ว่ากันว่ารักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าและเนื้อเหล็กสะอาดกว่า

เหล็กเส้น T จากเตา IF ที่ทุนจีนมาประกอบการในไทยเริ่มตีตลาดในประเทศไทยได้อย่างมากมายมหาศาล เพราะราคาถูกกว่าเหล็กเส้น Non-T ที่รีดด้วยเตา EAF จนปัจจุบันตลาดส่วนใหญ่ในไทยใช้เหล็กเส้น T เป็นหลัก

แต่หากจะบอกว่าเหล็กเส้น T ไม่สามารถใช้ในประเทศไทยได้เลยก็ดูจะเป็นการกล่าวร้ายกันเกินไป เนื่องจากประเทศไทยในหลายพื้นที่โดยเฉพาะกรุงเทพมีดินที่ค่อนข้างนิ่มและไม่ค่อยเกิดแผ่นดินไหวเหมือนในต่างประเทศ ดังนั้นเวลาเกิดเหตุแผ่นดินไหวอาคารที่มีความสูงไม่มาก เช่น อาคาร 1-3 ชั้น ใช้เหล็กเส้น T ก็ไม่มีผลกระทบอะไร

แต่เราต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้:
ประเทศไทยควรจะแบนเหล็กเส้น T จากเตา IF เหมือนประเทศจีนหรือไม่? 
ถ้าเราแบนเหล็กเส้น T อาคารขนาดเล็กแพงขึ้นค่าครองชีพคนไทยแพงขึ้น คุ้มหรือไม่?
หากไม่แบน เราจะคุมไม่ให้ใช้เหล็กชนิดนี้ไม่ให้ใช้ผิดประเภทอีกได้อย่างไร?

ผมว่า คนๆเดียวคงไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ควรจะมีการตั้งผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ว่าประเทศไทยเราควรจะเดินไปในทิศทางไหน เพราะความเสี่ยงแผ่นดินไหวที่ในอดีตที่ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้… ได้เกิดขึ้นแล้วและอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต… ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาหาคำตอบเรื่องนี้ร่วมกัน

WBC ปฏิเสธการรับรอง!! หลังรองประธานฯ มวยกัมพูชา แห่เข็มขัด 'WBCKUNKHMER' โพสต์อวดโซเชียล

(2 เม.ย. 68) เมื่อไม่นานมานี้ 'สเร จันทร' รองประธานกิตติมศักดิ์สหพันธ์มวยกัมพูชา ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมเข็มขัดศิลปะการต่อสู้ กุน ขแมร์ ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างว่าได้รับการรับรองจาก WBC (สภามวยโลก) โดยเข็มขัดดังกล่าวมีการออกแบบด้วยสีของธงชาติกัมพูชาและรูปภาพของนครวัด เพื่อเฉลิมฉลองศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ของประเทศ และเชิญชวนชาวกัมพูชามาร่วมต้อนรับขบวนพาเหรดเข็มขัดเส้นนี้

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์และเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ทางสภามวยโลก (WBC) ออกมาชี้แจงว่า ไม่มีการรับรองเข็มขัดกุนขแมร์จากทางสภามวยโลกแต่อย่างใด โดยเข็มขัด 'WBC Kun Khmer' เป็นแค่ ของที่ระลึก ที่ทาง WBC จัดทำขึ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐบาลกัมพูชา ที่ให้ทุนสนับสนุนการแข่งขัน WBC Silver ที่จะจัดขึ้นวันที่ 14 เม.ย. นี้

WBC ยืนยันว่าการจัดทำเข็มขัดที่ใช้ในกีฬามวยนั้นต้องผ่านกระบวนการและการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด และเข็มขัดที่แสดงในโพสต์ของ 'สเร จันทร' ไม่ได้อยู่ในข่ายที่ได้รับการรับรองจาก WBC นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ภาพที่ถูกโพสต์อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณะและผู้ที่สนใจศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้ เพราะเข็มขัดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรของ WBC ทั้งสิ้น

“ถึงเพื่อนกัมพูชา ไม่มีการพัฒนา WBC กุน ขแมร์ เลย ไม่มีแชมป์โลก WBC กุน ขแมร์
เข็มขัดเส้นนี้เป็นของขวัญพิเศษจากประธาน WBC ในเม็กซิโกสำหรับงานมวยสากลระดับตะวันตกในกัมพูชาในวันที่ 14 เมษายน ขอบคุณ” WBC คอมเมนต์ใต้รูปของนายสเร จันทร

ด้าน สเร จันทร ยังไม่ได้มีการชี้แจงหรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปฏิเสธจาก WBC แต่เชื่อว่าเขาจะยังคงเดินหน้าผลักดันให้ศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้รับการยอมรับและยกระดับในเวทีโลกต่อไป

ทายาท ‘รังสรรค์ ต่อสุวรรณ’ ออกมาชี้แจงกรณีนายหน้าขายตึก ‘สาทร ยูนีค’ ยืนยันยังไม่ได้ขายตึกในราคา 4 พันล้านบาท ตามที่เป็นข่าว

(2 เม.ย. 68) จากกรณีมีนายหน้ารายหนึ่ง โพสต์ข้อความว่า ปิดดีลขายตึก ‘ตึกสาทร ยูนีค’ ที่ร้างมานาน ได้แล้ว ซึ่งขายได้ในราคา 4 พันล้านบาท ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบออกไป สร้างความฉงนให้กับชาวเน็ตบนโลกโซเชียล

ล่าสุด เฟซบุ๊ก Tampote Torsuwan หรือคุณตามโพธ ต่อสุวรรณ ลูกของ อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เจ้าของตึกตัวจริง ออกมาโพสต์ถึงกรณีนี้ว่า คุณพ่อไม่ได้เป็นผู้ประกาศขายตึกสาทรยูนีคตามที่หลายคนเข้าใจผิดกัน

ตึกสาทรยูนีคนี้มีข้อพิพาทและคดีความมากมาย โดยผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่มีลักษณะของการฉ้อฉล ซึ่งการยึดทรัพย์ภาคเอกชนถูกถ่ายโอนไปยังองค์กรข้ามชาติแล้วฟอกทรัพย์กลับมาเข้ามือกลุ่มทุนสามานที่มีอำนาจในประเทศนี้ อีกทั้งยังกล่าวถึงการต่อสู้ของคุณพ่อและคุณแม่ที่ยาวนานร่วม 30 ปีในการต่อสู้กับกระบวนการดังกล่าว

นอกจากนี้ หัวใจสำคัญที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ ห้องชุดในตึกนี้ได้ถูกขายไปแล้วมากกว่า 90% ตั้งแต่เปิดขายเมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มทุนสามานนี้ไม่ได้แค่ปล้น Developer เท่านั้น แต่ยังปล้นผู้ซื้อทุกคนผ่านการโอนถ่ายทรัพย์ไปมาเพื่อทำให้ตึกนี้กลายเป็นตึกเปล่าที่ไม่มีใครสามารถซื้อได้อย่างแท้จริง จนกลายเป็นตึกที่ดูเหมือนจะไม่มีเจ้าของแม้จะมีห้องชุดที่ขายไปแล้วมากมาย

สุดท้าย คุณตามโพธ ต่อสุวรรณ ได้เน้นย้ำว่าเรื่องราวการต่อสู้ของคุณพ่อและคุณแม่ยังคงดำเนินต่อไป และมั่นใจว่ามันจะดำเนินต่อไปตราบเท่าที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ “การประกาศขายไม่ได้มาจากคุณพ่อ และท่านไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับใครเกี่ยวกับตึกนี้ในการขาย” เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่า ช่วงระยะหลังคุณพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี และท่านพักผ่อนเสียเป็นส่วนใหญ่

ทั้งนี้ ผู้โพสต์ได้ขอให้ชาวเน็ตที่รับข่าวสารนี้ใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวและเข้าใจสถานการณ์อย่างละเอียด โดยเฉพาะกับตึกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 30 ปี หากปัญหาตึกนี้มันสามารถจบได้ง่ายๆ คงไม่กลายเป็น “อนุสาวรีย์ต้มยำกุ้ง” มานานขนาดนี้

เวียดนามชิงประกาศลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เวียดนาม ประกาศลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายประเภทในความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 นี้

ตามแถลงการณ์จากเว็บไซต์รัฐบาล การลดภาษีครั้งนี้รวมถึงการปรับลดภาษีรถยนต์บางประเภทจากเดิมที่สูงถึง 64% ลงมาเหลือ 32% และลดภาษีก๊าซ LNG จาก 5% เหลือเพียง 2% ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เวียดนามแก้ไขปัญหาการเกินดุลการค้า และเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดีขึ้น 

นอกเหนือจากรถยนต์และ LNG แล้ว เวียดนามยังได้ปรับลดภาษีเอทานอลจาก 10% เหลือ 5% และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น แอปเปิลสด ไก่แช่แข็ง อัลมอนด์ และเชอร์รี่

การลดภาษีครั้งนี้ของเวียดนามดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองล่วงหน้าต่อแผนการเก็บภาษีที่สหรัฐฯ อาจใช้กับสินค้าเวียดนาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้เริ่มตรวจสอบการนำเข้าของเวียดนาม โดยเฉพาะสินค้าบางประเภทที่สหรัฐฯ มองว่ามีการค้ากับเวียดนามในลักษณะไม่เป็นธรรม

เวียดนามจึงพยายามลดภาษีในบางสินค้าหวังที่จะป้องกันไม่ให้มาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนในระดับสากล

การลดภาษีของเวียดนามอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีที่อาจกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและยานยนต์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเวียดนามในปัจจุบัน

ตามข้อมูลจากสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีช่องว่างการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่ที่สุด โดย เวียดนาม ครองอันดับที่ 3 ของประเทศที่มีดุลการค้าส่วนเกินกับสหรัฐฯ รองจาก จีน และ เม็กซิโก ซึ่งปัญหานี้ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งหวังลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับการลดภาษีในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเวียดนามในการรักษาสมดุลในการค้าระหว่างประเทศและรับมือกับความท้าทายจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยรัฐบาลเวียดนามจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนการรับมือหากเกิดการตอบโต้จากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สมุทรปราการ- 'พระครูแจ้' จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา ถวายเป็นพระราชกุศล กรมสมเด็จพระเทพฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 เมษายน 2568 ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) ดร. เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ประธานดำเนินการ จัดโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา ถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี สมุทรปราการ

โดยในปี 2568 นี้ มีผู้ขออุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ จำนวน 19 องค์ ซึ่งทางวัดบางพลีใหญ่กลางได้เป็นเจ้าภาพในการบรรพชาอุุุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติกรมสมเด็จพระเทพฯ ตลอดทุกปี มีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการตำรวจ นักธุรกิจ และประชาชนเข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ โดยมี นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี เป็นนาคเอก และนายเลิศศักดิ์ เลิศอริยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นนาคโท  

จากนั้น คณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลและประชาชนจำนวนมากได้ร่วมกันโห่ร้องแห่นาครอบอุโบสถ จำนวน 3 รอบ ก่อนนำนาคเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยได้รับความเมตตาจาก พระธรรมสุธี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง พระอารามหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ 

ทั้งนี้ นายฉะโอด รุ่งเรือง ที่ปรึกษานายก อบจ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก (อบต.) ตำบลบางพลีใหญ่ ตลอดจน ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี ไวยาวัจกร ตัวแทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 2 สมุทรปราการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ ผอ.โรงพยาบาลสมุทรปราการ คณะแพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลบางพลี โรงพยาบาลบางจาก และเครือญาติตลอดจนประชาชนเข้าร่วมพิธีกันอย่างเนื่องแน่น

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกแพรกษาใหม่ มั่นใจเลือกตั้ง สท.เอาอยู่!! แม้มีคู่แข่ง 

วิเคราะห์เกมการเมืองตำบลแพรกษาใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนาม นายกนาจ แม่ทัพใหญ่ตำบลแพรกษาใหม่ ที่สามารถฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคนานับประการมาได้ ดุจเหล็กกล้า 

เอาชนะคู่แข็งพรรคส้มในการเลือกตั้งนายกท้องถิ่นแบบลอยลำ ประชาชนเทคะแนนเสียงให้แบบขาดลอย หรือแม้แต่การเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ.ในเขตพื้นที่ที่ผ่านมา ก็สามารถใช้หน้าตาชื่อเสียงที่ชื่อ อำนวย บุญริ้ว อ้อนขอคะแนนเสียงพา สจ.ในเขตพื้นที่เอาชนะคู่แข่งเข้าวินไปตามคาดหมาย คงเป็นเพราะความใจถึง พึ่งได้ และความไม่ถือตัวของนายกคนนี้ทำให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนโดยทั่ว

กระทั่งล่าสุดคณะสมาชิกสภาเทศบาล ( สท.) ทั่วประเทศหมดวาระไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลใหม่ ล่าสุดคณะทำงานในนามกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ ได้ยื่นใบสมัครการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ทั้ง 3 เขต 

ซึ่งแต่ละเขตจะมีสมาชิกเขตละ 6 คน และรอบนี้ก็มีคู่แข่งอีกเช่นเคยหากจะบอกว่าบังเอิญคงจะไม่ใช่ เพราะคู่แข่งมาในชื่อกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่เหมือนกัน ส่งสมาชิกลงแข่งในพื้นที่เขต 1 หากย้อนถามแม่ทัพใหญ่อย่างนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ ถึงความหนักใจ คงตอบได้ทันทีว่าไม่หนักใจและเอาอยู่ เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วด้วยผลงาน การบริหาร การพัฒนา หากประชาชนไม่รักไม่ศรัทธาคงมายืนอยู่จุดนี้ไม่ได้แน่นอน และเชื่อมั่นว่าคณะสมาชิกทุกคนทั้ง 3 เขต นั้นจะสอบผ่านและเข้าไปนั่งเก้าอี้สมาชิกสภาเทศบาลได้อีกสมัยอย่างแน่นอน ดั่งคำที่ว่า ทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top