Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

‘รมต.จีน’ ชี้ รถ EV จากจีน ได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ใช่เพราะเงินอุดหนุน ย้ำ มีการสร้างสรรค์ นวัตกรรม อย่างต่อเนื่อง ห่วงโซ่อุปทานมีเสถียรภาพ

(8 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หวังเหวินเทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวว่าการพัฒนาอันรวดเร็วของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีนเป็นผลจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีเสถียรภาพ และการแข่งขันในตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่เงินอุดหนุน ดังนั้นคำกล่าวหา "กำลังการผลิตล้นเกิน" จากสหรัฐฯ และยุโรปจึงไม่มีมูล

หวัง ซึ่งเดินทางเยือนกรุงปารีสของฝรั่งเศส กล่าวว่าการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปล่อยคาร์บอนต่ำทั่วโลกอย่างมาก และรัฐบาลจีนจะสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการในการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายอย่างจริงจัง

ยามเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนจากภายนอก กลุ่มผู้ประกอบการควรเพิ่มพูนขีดความสามารถภายใน ยึดมั่นการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ เสริมสร้างการจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกลุ่มผู้ประกอบการของจีนควรกระชับความร่วมมือกับผู้ประกอบการท้องถิ่น แสวงหาการพัฒนาร่วมกัน พร้อมมีส่วนร่วมและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

อนึ่ง คณะผู้แทนจากหอการค้าแห่งประเทศจีนประจำสหภาพยุโรป และกลุ่มผู้ประกอบการมากกว่า 10 ราย อาทิ จี๋ลี่ (Geely) เอสเอไอซี (SAIC) บีวายดี (BYD) และซีเอทีแอล (CATL) ได้เข้าร่วมการประชุมที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดกระบวนของกลุ่มผู้ประกอบการจีนและกระชับความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างจีนและยุโรปในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ผู้เข้าร่วมประชุมแจกแจงการลงทุนและการดำเนินงานในยุโรป รวมถึงการรับมือกับการสอบสวนเพื่อต่อต้านเงินอุดหนุนของสหภาพยุโรป โดยพวกเขาแสดงคำมั่นจะเดินหน้าส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยึดมั่นการเปิดกว้างและความร่วมมือ ดำเนินการแข่งขันอย่างเป็นธรรม รับมือกับข้อขัดแย้งทางการค้าอย่างจริงจัง และสร้างผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ผ่านความร่วมมือเชิงปฏิบัติกับหุ้นส่วนในยุโรป

เมื่อคนจุฬาฯ (ส่วนหนึ่ง) เลือกเนรคุณสถาบันฯ ก็ควรกล้าหาญลงชื่อคืนของสูงกลับสู่แผ่นดิน

ผมอยากให้ครูอาจารย์สามนิ้ว และนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่แอบสนับสนุนการล้ม 112 หรือสมคบคิดกับพรรคการเมืองล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ถ้าอยากอยู่อย่างคนที่มีศักดิ์ศรี งามสง่าในความเป็นมนุษย์ ก็โปรดลงชื่อคืนแผ่นดินให้กับสถาบันเถิด หรือไม่ก็ควรลาออกจากมหาวิทยาลัยนี้ก็ได้ 

เพราะในเมื่อเกลียดเจ้าของที่ ก็อย่าเอาเท้าที่คิดว่าสะอาดของตัวเอง ไปเหยียบ ไปเดิน บนแผ่นดินของเขา หรือใช้ชื่อตราของเขาฉายโชว์เพื่อเฉิดฉายตัวตนอวดสังคม 

มันจะเข้าทำนองเกลียดตัวแต่กินไข่ หรือไม่ก็กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา มีคนดี ๆ ที่ไหนเขาทำกัน? เพราะมันดูย้อนแย้งสิ้นดี!

เจ้าของแผ่นดินชาติตัวจริง เขาจะได้นำผืนดินผืนนี้ไปสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มคนที่เขารักชาติ-สถาบัน ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ เกิดความรัก เกิดความสามัคคีในคนหมู่มากที่ 'คิดเป็น' มากกว่า

การทำตัวเป็นคนเนรคุณสถาบัน แอบเซาะกร่อน จาบจ้วง ผ่านพฤติกรรมอันหยาบช้าอยู่บ่อยครั้ง ทั้ง ๆ ที่จุดกำเนิดของการสร้างมหาวิทยาลัยก็มาจากน้ำใจของพระมหากษัตริย์ไทยโดยแท้ ยังกล้าเนรคุณนั้น ผมกล้าพูดเลยว่าเจ้าตูบที่บ้านของผมยังมีหัวใจกตัญญูรู้คุณคนมากกว่าเลย 

แต่นี่ใช้ชื่อความเป็นจุฬาฯ มาทำมาหากิน แสวงหาความอยู่รอดในสังคม แต่กลับทำตัวต่ำช้า คอยเหยียบย่ำสายเลือดของผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยของตัวเอง

น่าละอาย น่ารังเกียจ และน่าทุเรศที่สุด!!

แนะนำว่า คืนแผ่นดินให้กับสถาบันแล้วก็ให้ไปลงชื่อขอที่ดินจาก 'ศาสดาส้ม' ที่พวกคุณยกย่อง ไปสร้าง 'มหาวิทยาลัยสามนิ้วใหม่' ได้เลย แล้วเอา 'ตราพระเกี้ยว' อันสูงส่งออก ใส่ตราสามเหลี่ยมหัวแหลมคล้ายตูดลิงเข้าไปแทน

ถ้าไม่กล้าคืน ก็อย่าริเรียกตนว่าเป็น 'คนจุฬาฯ' อย่าบังอาจเอาชื่อที่งามสง่ามาใช้ป้องปิดหัวใจบาปของตัวเอง

พบลายมือปริศนา ที่ ‘สะพานนากาเมกุโระ’ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดราม่ากันสนั่น ชาวเน็ตสวมวิญญาณโคนัน สันนิษฐาน อาจเป็นคนไทย 

(8 เม.ย.67) เป็นดราม่าที่กำลังมาแรง เมื่อมีคนไทยไปเที่ยวที่สะพานนากาเมกุโระ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของโตเกียว ซึ่งช่วงซากุระบาน จะมีนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปจำนวนมาก

โดยดราม่าที่ว่านี้ เริ่มจากนักท่องเที่ยวไทยรายหนึ่ง ถ่ายภาพราวสะพานจุดชมวิวซากุระสุดลูกหูลูกตา แต่กลับพบว่า ที่ราวสะพานมีร่องรอยการเขียน ว่า “Beer   Mayvy 2024” ผู้โพสต์ได้ระบุว่า “ วันนี้ผมไปถ่ายรูปที่ Nakameguro แล้วเจอกับสิ่งนี้ครับ อยากรู้เหมือนกันว่าชาติไหน?”

คอมเมนต์ที่เข้ามาต่างวิพากษ์วิจารณ์และสันนิษฐานว่า ชื่อ เบียร์ นั้น อาจจะเป็นคนไทยหรือไม่ เพราะถือเป็นการตั้งชื่อเล่นที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยพอสมควร รวมถึงแสดงความไม่พอใจ ว่า การกระทำแบบนี้เป็นการทำลายสถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ควรทำ

ดูเหมือนว่า ข้อสันนิษฐานของชาวเน็ตนั้นค่อนข้างจะถูกต้องว่า ผู้เขียนดูเหมือนว่าจะเป็นคนไทยจริงๆ เนื่องจาก มีคนไปค้นหาและพบว่า เจ้าของลายมือนี้ เคยไปเขียนที่สะพานนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2022 และโพสต์ภาพดังกล่าวลงในโซเชียลด้วย

โดยโพสต์เจ้าของลายชื่อ เบียร์รักเมวี่ ได้โพสต์ภาพราวสะพาน พร้อมเขียนข้อความว่า “แล้วเราก็กลับมาที่สะพานนี้อีกครั้ง แต่ชื่อที่เขียนไว้มันหายไปแล้ว 2024 เราก็เขียนใหม่ เดี๋ยวปี 2025 เราจะกลับมาดูใหม่ #ความทรงจำ2022”

หลังจากมีคนขุดโพสต์นี้ขึ้นมาก็เรียกว่าทัวร์ลงอย่างหนักและงงว่าทำไมจึงเขียนลงไปแบบนั้นซึ่งมีชาวเน็ตให้เบาะแสอีกว่าปัจจุบันเจ้าของลายมือเบียร์รักเมวี่ได้ปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว

‘พิพัฒน์’ รุกเจรจา ‘รร.ดุสิตธานี เกียวโต’  เพื่อส่งแรงงานไทย ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเพิ่ม

(8 เม.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นางสาวสดุดี กิตติสุวรรณ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น และคณะ เข้าพบ ผู้บริหารโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต เพื่อหารือความร่วมมือในการรับแรงงานไทยเข้ามาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต โดยมี นายมาโคโตะ ยามาชิตะ (Mr.Makoto Yamashita) ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต นายอัครพงศ์ เฉลิมนนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา และคณะ ร่วมให้การต้อนรับและเลี้ยงรับรอง ณ โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานได้มาพบกับท่านมาโคโตะ ยามาชิตะ ผู้บริหารของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต และขอขอบคุณที่ท่านให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และทราบว่าทางผู้บริหารมีความสนใจและตั้งใจที่จะรับแรงงานไทยเข้ามาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโตแห่งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการและการต้อนรับแบบไทย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทดุสิตธานีฯ ที่ประเทศไทยได้ยื่นขอวีซ่าให้กับพนักงานหลายคนเพื่อให้มาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต แต่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยปฏิเสธการอนุมัติวีซ่าทำให้ประสบปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ ในส่วนของกระทรวงแรงงานของไทยเอง เรามีสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นที่คอยให้ความร่วมมือในการสนับสนุนประสานงาน ให้คำปรึกษา และแนะนำการดำเนินการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แรงงานไทยสามารถเดินทางมาทำงานในญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งจากการหารือทราบว่า ผู้บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานีได้ให้ความสนใจจะจัดส่งผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค แรงงานไทยมาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ซึ่งผู้บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานีได้เดินทางไปศึกษาดูงานการฝึกอบรมก่อนเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นในสถานภาพการพำนักผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงาน 14 ปทุมธานี และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ทราบว่า โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ได้ลงนามในสัญญากับองค์กร IM Japan แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทย โดยกรมการจัดหางานจัดส่งผ่านองค์กร IM Japan ซึ่งเริ่มทยอยจัดส่งชุดแรก จำนวน 3 รายก่อน จากนั้นจะขยายโควตาการจัดส่งเพิ่มขึ้นต่อไป

“ผมขอขอบคุณผู้บริหารของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ที่เปิดโอกาสให้ได้มาพบปะพูดคุยและที่สำคัญให้ความสนใจในการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทย รวมทั้งขอให้พิจารณาเพิ่มการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค/แรงงานทักษะเฉพาะชาวไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยวและบริการ อาทิ ตำแหน่งพนักงานแปรรูปอาหาร ทำขนมปัง ปรุงอาหาร พนักงานโรงแรม ล่าม เป็นต้น ซึ่งจากการพูดคุยกับนายจ้างส่วนใหญ่ก็มีความพึงพอใจและชื่นชมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยที่มีความขยันหมั่นเพียร เชื่อฟังคำสั่ง มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ำใจ เรียนรู้งานได้รวดเร็ว มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถหลากหลาย ผลจากการหารือในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือในการเปิดตลาดแรงงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศต่อไป” นายพิพัฒน์ กล่าว

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกฯ จะไปฝึกงานในประเภทอุตสาหกรรมภาคการผลิต ภาคท่องเที่ยวและบริการ จะได้รับเบี้ยเลี้ยงระหว่างการฝึก เมื่อฝึกจบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยอีกด้วย 

ทั้งนี้ ผู้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานจัดส่งผ่านองค์กร IM Japan 

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

‘กลาโหม’ แจง เครื่องบินพาณิชย์ ‘เมียนมา’ ลงจอด แม่สอด จ.ตาก กองทัพดูแล ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง

(8 เม.ย.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว ถึงกรณีเครื่องบินพาณิชย์เมียนมาลงจอดที่ประเทศไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  ว่า 

ประเด็นแรก ผู้ลี้ภัยจากสงครามเมียนมา ที่หลบหนีเข้ามาทางฝั่งไทย ทางด้านกองทัพภาคที่ 3 มีการเตรียมการ มาตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์สู้รบฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด และอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีการสู้รบในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา มาโดยตลอด ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยเข้ามายังค่ายผู้อพยพ ที่อำเภอแม่สอด และอำเภอแม่สะเรียง และทางกองทัพ  ก็ได้ดูแลช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7เม.ย.67) รัฐบาลของเมียนมาที่จังหวัดเมียวดี สูญเสียฐานที่มั่น กองทัพไทย จึงให้ทางรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ได้เจรจากัน ในเรื่องของความช่วยเหลือ ทั้งการนำเครื่องบินพาณิชย์ มารับข้าราชการ และครอบครัว ที่อยู่ในจังหวัดเมียววดี ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องไปพูดคุยกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน

สรุปยอดจองมอเตอร์โชว์ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

(8 เม.ย.67) งาน Bangkok International Motor Show 2024 ครั้งที่ 45 จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ปิดฉากลงอย่างสวยงาม

สรุปยอดจองรถยนต์ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 @ Challenger Hall 1 – 4 เมืองทองธานี (14 วัน) รวมทั้งสิ้น 53,438 คัน เพิ่มขึ้น 10,553 คัน (+24.6%) จากปีก่อนหน้า Motor Show 2023 : 42,885 คัน

‘TAIA’ คาดแนวโน้มผลิตรถปีนี้ ทะลุ 1.9 ล้านคัน  ยัน!! สนับสนุนร่วมสร้าง ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’

(8 เม.ย.67) ในกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชน (TAIA Meets the Press) ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Industry Association : TAIA), สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association : TAJA และบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 คาดการณ์แนวโน้มภาคผลิตยานยนต์ปี พ.ศ. 2567 ทะลุ 1.9 ล้านคัน เติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ ส่วนยอดขายในประเทศอาจไม่เติบโต เหตุจากหนี้ภาคครัวเรือน และยอด NPL รถยนต์ยังสูง ส่งผลประมาณการยอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะอยู่ที่ 7.5 แสนคัน

นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เผยว่า ในปี พ.ศ. 2567 คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่ 1.9 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.17% โดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 7.5 แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1.15 ล้านคัน และสำหรับรถจักรยานยนต์คาดการณ์จะมีการผลิตที่ 2.12 ล้านคัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 0.03%

ปัจจัยส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ปี 2567 หลักคือ ภาวะทางเศรษฐกิจ ภาระหนี้สินภาคธุรกิจและ ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและหนี้เสีย NPL มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจซื้อของประชาชนที่ลดลง นโยบายและกฎระเบียบด้านยานยนต์ การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับยูโร 5 ทั้งรถยนต์และน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคารถยนต์และน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับอนาคตยานยนต์ไฟฟ้า (EV :Electric Vehicle) ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดจดทะเบียนรวมปัจจุบันอยู่ประมาณ 1.0 – 1.2 แสนคัน และส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง จากการตระหนักถึงความสำคัญของการลดภาวะโลกร้อนโดยการใช้รถไฟฟ้าจากประชาชนชาวไทย รวมถึงมาตรการ การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ยอดขายรถ EV มีอัตราการเติบโตแบบชะลอตัว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการตัดสินใจชะลอซื้อรถรุ่นใหม่ เพราะการทยอยเข้ามาของรถ EV รุ่นใหม่ แบรนด์ใหม่ๆ จากประเทศจีน และการทำสงครามราคาของ EV ด้วยกันเอง

นายสุวัชร์ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อยู่ในช่วงของการปรับตัว และเปลี่ยนถ่ายสู่การผลิตยานยนต์พลังงานสะอาดในอนาคตอันใกล้ เพียงแต่ในเวลานี้ นโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV 3.0, EV 3.5 และมาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ รถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าของรัฐบาล มีการอุดหนุนด้านการผลิตรถ EV และเงินอุดหนุนราคา ส่งผลให้ราคารถ EV ต่ำกว่าความเป็นจริง สิ่งที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกังวลคือ อาจมีการชะลอตัวในตลาดรถ EV หลังจากมาตราการอุดหนุนต่างๆ สิ้นสุดลง

สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ มาตรการเหมาะสมในการสนับสนุนการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จากการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE : Internal Combustion Engine) มาอย่างยาวนาน ครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก เปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการสร้างสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้ตามโนบาย “เป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2050” ของรัฐบาลผ่านนโยบายต่างๆ เช่น 30@30 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ และการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ปี 2569 เพื่อส่งเสริมรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายสุรศักดิ์ จรินทอง อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนสื่อมวลชนสายยานยนต์รู้สึกได้ถึงความตั้งใจของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในการนำเสนอข้อมูลภาพรวม และทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยข้อมูลจากกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดยานยนต์ไทยในอนาคต สมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลเหล่านี้ สามารถสื่อสาร และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต่างๆ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI และประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ กล่าวว่า ทิศทางอุตสาหกรรม
ยานยนต์ไทยปัจจุบัน มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์มีการแข่งขันกันสูง ในขณะที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งตนเองในฐานะผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ พยายามผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตไปสู่แนวหน้าของโลก อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเติบโตมาได้อย่างทุกวันนี้ เป็นความร่วมมือของผู้ประกอบการทุกบริษัท โดยเฉพาะญี่ปุ่น ค่ายญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ที่ผ่านมามีการรุกเข้ามาของรถยนต์จากประเทศจีนอย่างมาก แต่อนาคตรถจากจีนเข้ามาแล้วจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกแบบนี้หรือไม่นั้น สำคัญคือเราต้องรู้ทันสิ่งที่เห็น ตอนนี้สิ่งที่กลัวคือ รู้ไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้น

“จึงอยากเตือนว่าอย่าลุ่มหลงจนเกินไป ทั้งที่พื้นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเราดีอยู่แล้ว แต่เป็นห่วงในเวลานี้คือ พื้นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะได้รับผลกระทบ ห่วงความไม่ยั่งยืน อุตสาหกรรมมยานยนต์ไทยเราทำมา 50 กว่าปีด้วยความยากลำบาก มีค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นยกตัวอย่างทั้งโตโยต้า อีซูซุ มิตซูบิชิ และอีกหลายค่าย ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะปิกอัพส่งออกไปทั่วโลกรวมหลายล้านคันแล้ว” ดร.ปราจิน กล่าว

ดร.ปราจิน กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ในช่วงแรก ตนเองเคยมีโอกาสได้เดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นช่วงที่มีการย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ทำให้เห็นว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับอุตสาหกรมยานยนต์ไทยอย่างมาก ไม่อย่างนั้นค่ายรถยนต์ทั่วโลกคงไม่เกรงใจไทยเหมือนทุกวันนี้ ในฐานะผู้จัดงานมอเตอร์โชว์มีผู้เข้าชมครั้งละเป็นล้านคน ดังนั้นเราจึงต้องรักษาไว้ ตนจัดงานมอเตอร์โชว์มาจนถึงวันนี้ ครั้งที่ 45 อยากให้เป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็น ตอนนี้ตนอายุ 81 ปีแล้ว แต่ยังอยากทำงานให้ประเทศไทยให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อไป

‘EA’ จับมือ ‘BAFS’ ลุยส่งเสริมการใช้ SAF ในอุตฯ การบิน ปักหมุดลดการปล่อย CO2 ก้าวสู่ Net Zero ในปี 2573

(9 เม.ย. 67) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รักษ์โลก ผนึกกำลัง บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) ศึกษาแผนร่วมทุนตั้งบริษัทใหม่ประกอบธุรกิจผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) ส่งเสริมเป้าหมายอุตสาหกรรมการบินก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2573 โดยมี ม.ร.ว.ศุภดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าว เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า EA มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ใช้นวัตกรรมของคนไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ การลงทุนต่อยอดในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพใช้สำหรับเครื่องบินในครั้งนี้ สามารถช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนให้ประเทศไทยไปสู่ Carbon Neutral ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ กับประชาคมโลกใน COP26 ว่าด้วยการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก

การลงนามความร่วมมือกันของ EA และ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ในครั้งนี้นั้นเป็นการรวมจุดแข็งของสององค์กรของไทยที่จะควบรวมองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจผลิต น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ธุรกิจจัดเก็บและบริหารจัดการน้ำมัน SAF รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ 
ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งในประเทศไทยเอง และในอาเซียน

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บาฟส์) เปิดเผยว่า บาฟส์ ในฐานะผู้ให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบครบวงจรตามมาตรฐานสากล ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์กว่า 40 ปี ในการบริหารจัดการและให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จับมือกับ EA ผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาด เพื่อผลักดัน SAF ให้เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกัน เพื่อศึกษาโอกาสในการ สร้างสถานีบริการผสมน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF Blending Facility) แบบ Open-Access เพื่อรองรับ SAF ที่ผลิตมาจากวัตถุดิบทางชีวภาพและวัตถุดิบอื่น ๆ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงความสะดวกในการเข้าถึงของทุกบริษัทน้ำมัน เพื่อส่งเสริมให้ตลาดการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนเป็นไปอย่างเสรี สนับสนุนผู้ผลิตน้ำมันอากาศยานทุกราย พร้อมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำมันอากาศแบบยั่งยืนของภูมิภาค 

ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอากาศยานของบาฟส์ ทำให้สายการบินจากทั่วทุกมุมโลกมั่นใจได้ว่าน้ำมันที่ บาฟส์ ให้บริการเป็นน้ำมันอากาศยานที่มีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ บุคลากรของบาฟส์ ได้ผ่านการรับรองจากองค์กร ISCC จึงมีความพร้อมสำหรับบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบและรับรองคุณภาพ SAF ให้ตรงตามมาตรฐานสากล ทั้งการตรวจสอบความสอดคล้องด้านความยั่งยืนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต และปริมาณคาร์บอนที่ลดลงตามกรอบมาตรฐานด้านความยั่งยืน

การลงนามความร่วมมือระหว่าง EA และ BAFS เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรม การบินที่ไร้มลพิษ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ เเละเป็นเเรงผลักดันขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ ในธุรกิจของประเทศให้เติบโตบนหลัก Sustainability Business ตลอดจนทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างสมดุลทางสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยให้แข็งเเกร่ง

'อ.เทพมนตรี' เผยลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทย 'ท่านอ้น' ยศหม่อมเจ้าโดยชาติกำเนิด แต่ปัจจุบันเป็นสามัญชน

(9 เม.ย.67) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ท่านอ้นเป็นแค่สามัญชนในปัจจุบัน’ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ลำดับการสืบสันตติวงศ์ของจักรีบรมราชวงศ์ เป็นมาอย่างถูกต้องโดยลำดับ และเฉพาะสายสกุลมหิดลนั้นก็เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาจนถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ขึ้นครองราชสมบัติ ในพระราชสถานะองค์รัชทายาทที่ถูกต้องและมีพระอิสริยยศสูงสุด

เช่นเดียวกันกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ที่มีพระอิสริยยศ สูงกว่าพระเจ้าลูกเธอทั้งปวงจึงทรงดำรงพระราชสถานะ ว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งน่าจะสถาปนาพระองค์ท่านภายหลังจากทรงผนวชและจนลาสิกขาแล้ว ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร

อีกทั้งพระราชมารดาของพระองค์ท่าน คือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ก็ได้รับการสถาปนา พระอิสริยยศ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และแม้ภายหลังจะส่งลาออกจากพระอิสริยยศ แต่ก็ยังดำรงตำแหน่งท่านผูัหญิงในปัจจุบัน

ส่วนท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ ซึ่งแต่เดิม มียศเป็นหม่อมเจ้าโดยชาติกำเนิด แต่ปัจจุบันท่านกลับไปเป็นสามัญชน มิได้ดำรงยศเป็นหม่อมเจ้าอีกต่อไป จึงมีวัตรปฏิบัติแตกต่างจากพระราชโอรส และพระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10

ดังนั้นเราเป็นประชาชนคนธรรมดาจงทำความเข้าใจให้ชัดเจน ถ้าแม้ว่าใครจะขึ้นเป็น ‘องค์รัชทายาท’ ในปัจจุบันนี้มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นก็คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ซึ่งมีทั้งพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ และเมื่อแรกประสูติก็เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอโดยชาติกำเนิดมาตั้งแต่ต้น

คำลวงความคิดอันเลอะเทอะที่ถูกหว่านล้อมไปด้วยถ้อยคำต่าง ๆ จึงไม่อาจจะหนีความจริงไปได้

ดังนั้นเราเป็นประชาชนคนธรรมดาจึงสมควรที่จะศึกษาหาความรู้ให้กระจ่างแจ้งจะได้เข้าใจและไม่สับสน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป แต่ที่มาที่ไปนั้นจะต้องถูกรับรองและถูกคำนึงถึงโบราณราชประเพณีและกฎมณเทียรบาลที่ตราขึ้นมาก่อนใครในปัจจุบันนี้

'ชาวเน็ต' เตือน!! คาเฟ่คลั่ง 'การเมือง' ทำการตลาดอวยกีบ-ด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม "ขายกาแฟดีๆ ไม่ชอบ คงชอบเปิดร้านบ้าง ปิดร้านไปศาลบ้าง เข้าคุกบ้าง"

จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก '302 CAFE' พิกัดกรุงเทพฯ ใกล้โรงเรียนอนุบาลสามเสน ได้มีการทำการตลาดผ่านเนื้อหา เมนู และโปรโมชันที่มีความชัดเจนในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามสามกีบ 

ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ย่านอารีย์/ประดิพัทธ์ ผู้คนเฟรนลี่ พร้อมพื้นที่ที่เปิดให้ทุกคนมาหาเพื่อนใหม่ จะมาดื่มกาแฟทานข้าวหรือใช้เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนข่าวสารก็ได้ ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองไปจนถึงเรื่องเม้าท์มอยหอยสังข์

อย่างไรก็ตามข้อความต่าง ๆ ที่โพสต์ในเพจล้วนแล้วแต่อิงการตลาดการเมือง ในเชิงจาบจ้วง สร้างปีศาจ และปั่นกระแสจนชาวเน็ตที่ได้พบเห็นเริ่มไม่สบายใจ เช่น...

"เวคอัพ เวคอัพ เวคอัพ ที่อากาศร้อนๆ แวะมาดื่ม มาดริ้ง ที่ 112 เอ้ย 302 ได้นะค้าบบบ"

"วันจันทร์ที่ 8 แดดขนาดนี้ รับ อำมาตย์ชั้น 14 และ ริมสระ สักแก้วไหมครับ Special joke day"

"เมนูกาแฟ ได้แก่ ภัยความมั่นคง / ปล่อยเพื่อนเรา / ทรราช / ทหารเกณฑ์ / ริมสระ / ลีลาของกากี / ขอเวลาอีกไม่นาน ฯลฯ"

"หมายเหตุ: ตำรวจ ทหาร พนักงานของรัฐ คิดเพิ่ม 10%"

ทั้งนี้ ภายหลังจากชาวเน็ตที่ได้เห็นการตลาดเหล่านี้จากร้าน '302 CAFE' จึงได้มีการเข้าไปคอมเมนต์มากมาย อาทิ...

"ร้านชัดเจนแบบนี้แจ้งดับเร็วนักแล เชื่อหลิ่มสิค่ะ" 
"ต้องเพิ่มเมนู #กบฏ ขี้ข้าไอ้ทอน ไปด้วยนะคะจะครบ"
"ที่ร้านมีเมนู 29.5 นายกว่าวไหม?" / "มีเมนูยุบพรรคไหม?"
"คิดใหญ่ใจไม่ถึง หิวแสงแรงไม่ออก คงเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้าน ปล.มีใครสั่งไปเยี่ยมพวกที่อดอาหารในคุกหรือยัง"

"ไม่แปลกที่พรรคจะถูกยุบ เพราะดูคนที่สนับสนุนด้อมส้ม อย่างร้านนี้ เป็นต้น"
"ขายกาแฟข้างนอกดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเปิดร้านบ้างปิดร้านไปศาลบ้าง สักพักเข้าไปขายในคุกบ้าง เศรษฐกิจแบบนี้รนหาที่นะครับ"

"เพิ่งเปิดร้าน ก็จะปิดร้านเสียแล้ว"

สำหรับท่านใดที่อยากไปลิ้มลอง เมนู เครื่องดื่ม และ อาหาร ตามติดได้ที่พิกัดนี้ >> https://linktr.ee/302CAFE 

ร้านเปิด 09:00 - 17:00 น.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top