Wednesday, 28 May 2025
TheStatesTimes

'ปธ.สวนนงนุช' โชว์ปอก 'มะพร้าวก้นสาว' ลูกละ 2 แสน สุดยอดมะพร้าว ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก

(20 มี.ค. 67) นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย นายชาญชัย กรรณสูต กงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐเชเชลล์ นำคณะสื่อมวลชน ร่วมบันทึกภาพการปอกมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด (LODOICEA MALDIVICA โลโดเซีย มัลดิวิกา) หรือมีชื่อเรียกในนามชาวโลกว่า ‘มะพร้าวก้นสาว’ จำนวน 20 ลูก ที่ใช้เวลายาวนานหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก ซึ่งได้สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ณ สวนปาล์มโลก 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี

นายกัมพล ตันสัจจา เผยว่า มะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด ถือเป็นพันธุ์มะพร้าวที่มีความพิเศษหายาก มีเอกลักษณ์เด่นที่มีลักษณะคล้ายก้นสาว จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะซีเซลล์ ในมหาสมุทรอินเดีย มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมล็ดปาล์ม มะพร้าวทะเล 1 ต้น ต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 3 ทศวรรษ (30 ปี) จึงจะออกลูก และใช้เวลา 5-7 ปี ผลถึงจะสุก ส่วนมะพร้าวทะเลที่ปอกให้ชมในวันนี้ ลูกที่น้ำหนักมากสุด 14.8 กก. และน้อยที่สุด 2.2 กก. โดย สวนนงนุชพัทยา จะนำไปเพาะปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งในอนาคตข้างหน้า สวนนงนุชพัทยา จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์มะพร้าวทะเล กระจายไปทั่วโลก

ปัจจุบัน สวนนงนุชพัทยา มีมะพร้าวทะเล 30 ต้น รวมต้นกล้าพร้อมที่จะลงดินทั้งสิ้น 53 ต้น สำหรับ มูลค่าผลมะพร้าวทะเล อยู่ที่ผลละประมาณ 100,000 บาท ส่วนลูกที่มีกะลา 2 ใบ มีมูลค่า 2 เท่า 200,000 บาท แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย

นอกจากนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังมีพันธุ์ปาล์มมากถึง 1,567 ชนิด และกว่า 200 ชนิด มีที่สวนนงนุชพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้รับการรับรองจาก สมาคมปาล์มนานาชาติ ว่ามีปาล์มมากชนิดที่สุดในโลก จากการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมปาล์มนานาชาติ (International Palm Society 1998 หรือ IPS 1998) การประชุมปาล์มนานาชาติจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2541 และ พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา

‘บางกอกเคเบิ้ล’ เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ทุ่มงบกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังผลิต ‘สายไฟฟ้า-สายเคเบิ้ล’ หวังรองรับการเติบโตในอนาคต

(20 มี.ค.67) บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 ซึ่งมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานและเทรนด์ของพลังงานหมุนเวียน โดยเพิ่ม

โดยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มยอดจำหน่ายสายโซลาร์เซลล์หรือสายเคเบิ้ล PV (Photovoltaic Cable) เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 30% และขยายส่วนแบ่งตลาดเป็น 35% ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลก ที่รองรับทุกการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ด้าน นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) เปิดเผยว่า “เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ ในปีนี้ BCC จึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่ท้าทายการเติบโตของธุรกิจยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยวางงบลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในกลุ่มสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเภทสายโซลาร์เซลล์เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต ไม่น้อยกว่า 30% และส่วนแบ่งการตลาด 35%”

ทั้งนี้ ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเป็น 3 เท่าในอีก 30 ปีข้างหน้านับจากปี 2563 รวมถึงเทรนด์ ESG และ Net Zero เป็นการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งดั้งเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทาง

การใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3.5% และเพิ่มขึ้น 3.3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า สอดรับกับนโยบายภาครัฐ เช่น แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ แผนการใช้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท โดย BCC ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% สัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่มาจากการขายภายในประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร 31% กลุ่มอุตสาหกรรม 26% กลุ่มไฟฟ้าและพลังงาน 23% และอื่น ๆ 19% โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา BCC มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 12,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% (Double-digit growth) เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 11,400 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 60 ปี

สำหรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ตลาดหลักของ BCC อยู่ในแถบภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยเจาะกลุ่มธุรกิจรีเทล ตลาดค้าส่ง และโครงการภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา BCC มียอดขายในเมียนมากว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในเมียนมาและสปป.ลาว นอกจากนี้ มีการส่งออกไปยังสิงคโปร์ จีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย เม็กซิโก และออสเตรเลีย

ด้วยการวิจัยและพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ BCC เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ที่ตอบโจทย์การใช้งานในตลาดทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ชนิดแรงดันต่ำ แรงดันปานกลาง แรงดันสูง และแรงดันสูงพิเศษ รองรับความต้องการของทั้ง 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักทั้งภายในและต่างประเทศได้อย่างลงตัว ได้แก่ กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร (Construction & Building) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) กลุ่มธุรกิจยานยนต์ (Automotive) กลุ่มจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) กลุ่มการส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) และกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)

ปัจจุบัน BCC ถือเป็นเจ้าตลาดในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน โดดเด่นด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสูง ในราคาที่แข่งขันได้ การส่งมอบที่รวดเร็ว โดยเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCT) เครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“BCC มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จากการขยายฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ท่าอากาศยาน และท่าเรือ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ เดินหน้าพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อส่งมอบสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมาตรฐานระดับสูง รองรับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าและพลังงาน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น” คุณพงศภัค กล่าวสรุป

ทั้งนี้ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลระดับภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ครอบคลุมทุกการใช้งาน ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อการส่งมอบที่รวดเร็ว ในราคาที่แข่งขันได้ ตลอดระยะเวลา 60 ปี BCC ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลรายแรกของประเทศ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตเคียงข้างการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย

19 มีนาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย ให้กับนักกีฬามวยไทยนานาชาติที่ชนะเลิศทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ที่เวทีมวยพิเศษ หน้าโรงแรมบาซาร์โฮเทล รัชดา แยกรัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีพลโท อัครชัย จันทรโตสะ นายกสมาพันธ์มวยไทยโลกและพลเอกธันวาคม ทิพยจันทร์  รองประธานสหพันธ์มวยไทยโลกให้การต้อนรับ

สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจาก นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิด

การแข่งขันมวยไทยโลกครั้งที่ 19 นี้ จัดโดยสหพันธ์มวยไทยโลก WMF มีนักมวยไทยทั้งชายและหญิงตลอดถึงกรรมการเวทีมวยกว่า 400 คนเดินทางมาจากทุกทวีปทั่วโลก โดยออกค่าใช้จ่ายมากันเองเพื่อร่วมทัวร์นาเมนต์แข่งขันชกมวยไทยในแต่ละรุ่น 

ทั้งนี้ทุกการขึ้นชกจะมีการรำไหว้ครูมวยไทยประกอบปี่พาทย์ประกอบเสียงกลองทุกครั้ง นักมวยมาพร้อมพี่เลี้ยงและครูฝึก และยังได้ร่วมเดินทางไปเข้าพิธีไหว้ครูมวยไทยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างคึกคัก 

กิจกรรมนี้ นักกีฬาและคณะตลอดจนครอบครัว และกองเชียร์เพื่อนฝูงต่างพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 7 คืน หลายๆคนเพิ่งเคยเดินทางมาเห็นประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาแสดงฝีมือด้านมวยไทยที่เพียรฝึกฝนมาประลองฝีมือกับนักมวยไทยชาติต่างๆ และได้สัมผัสประเทศไทยในฐานะต้นตำรับของวิชามวยไทยชั้นครู และยืนยันว่าจะกลับมาเยือนประเทศไทยต่อไปอีกอย่างแน่นอน

ตำรวจบึงกาฬ ภาค 4 ยึดเฮโรอีนซุกซ่อนในท่อสเตนเลส

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ให้กวาดล้างยาเสพติดทุกประเภท และจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยให้หมดสิ้นไป

ตำรวจภาค 4 นำโดย พ.ต.ท.ณัฐพล โอฆะพนม สว.กก.สส.ภ.จว.บึงกาฬ ได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลักลอบส่งยาเสพติด ในพื้นที่ บ้านท่าอินแปลง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จึงบูรณาการกำลังกับ สภ.บึงกาฬ, ร้อย ตชด.244 และ กกล.สุรศักดิ์มนตรี วางแผนและสืบสวนจับกุม ต่อมาวันที่ 20 มี.ค.67 เวลาประมาณ 12.00 น. พบว่ามีผู้นำท่อสแตนเลส ลักษณะเหมือนโครงเปลสำหรับเด็ก ไปวางไว้ที่บริเวณ ริมถนน ถนนสาย 212  บ.ท่าอินแปลง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จากการยกตรวจสอบพบมีน้ำหนักที่ผิดปกติ จึงใช้อุปกรณ์เปิดตรวจสอบ พบว่าภายในช่องว่างของท่อ ถูกบรรจุด้วยเฮโรอีน เชื่อว่าเป็นยาเสพติดที่จะมีการลักลอบส่งตามข่าวที่สืบสวนมา จึงนำกำลังซุ่มอยู่บริเวณโดยรอบ กระทั่งพบรถเก๋งนิสสัน สีขาว หมายเลขทะเบียน กม 12xx สกลนคร เข้ามาจอด จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พากันมายกท่อสเตนเลสดังกล่าวเพื่อจะนำขึ้นรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือ นายรุ่งเพชร กำนันแห่งหนึ่ง ในภาคอีสาน, นางเพ็ชรัตน์ ซึ่งเป็นภรรยาของนายรุ่งเพชร และ 3.นายวชิระ พร้อมด้วยของกลาง คือ เฮโรอีนน้ำหนักประมาณ 9.2 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในท่อสเตนเลส ลักษณะเหมือนโครงเปลสำหรับเด็ก สอบถามเบื้องต้น ผู้ต้องหารับว่า มีผู้จ้างให้มารับของดังกล่าวเป็นเงิน 5 หมื่นบาท จึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ ดำเนินคดี และสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

(สุรินทร์) ผู้ช่วยจเร กอ.รมน. ลงพื้นที่ติดตามผลการปฎิบัติงาน พื้นที่ กอ.รมน.สุรินทร์

วันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส  ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าชุดตรวจ และคณะฯ นางสาว อรวรรณ ญาณวิภา ผู้ตรวจราชการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, พันเอก ชัยณรงค์ เชียงทอง ผู้ช่วยจเรกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, พันเอก สุชาติ นันทศุภเศรษฐ์  และ พันตรี เอกรัฐ บุญบัวทอง ในโอกาสเดินทางมาตรวจติดตามการปฎิบัติงาน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ประจำปี 2567 โดยได้เข้าพบปะ หารือ นายพิจิตร บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ต่อจากนั้น พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส  ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าชุดตรวจ และคณะฯ ได้เข้ารับฟังการบรรยาย ผลการปฎิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ที่ ห้องประชุม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ เพื่อรับทราบความคืบหน้าและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ พร้อมทั้งให้คำแนะนำ โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25/รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์(ท.) ให้การต้อนรับ มี พันตำรวจเอก อิทธิพล  พงษ์ธร หัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคงฯ พันเอก สุดใจ แพงพรมมา หัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผนฯ พันเอกหญิง โชติมา มุลาลินน์ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว

หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินการ 16 หน่วยงาน พลตรี พิชิตพล  แจ่มจำรัส ผู้ช่วยจเร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ให้คำแนะนำทางด้านเอกสารแก่เจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ให้ข้อมูลการปฏิบัติงานของหัวหน้าส่วนราชการที่ได้รับการบรรจุให้ปฏิบัติงาน รวมถึงได้ชี้แจงให้ทราบถึงนโยบายของผู้บังคับบัญชา และกำชับให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้บูรณาการร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชนในพื้นที่ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล เพื่อให้ขับเคลื่อนโครงการฯ ในการป้องกัน แก้ไขปัญหาและเสริมความมั่นคง ในด้านต่างๆให้ตรงกับภัยคุกคามและความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ โดยให้ร่วมมือกับประชาชนในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ระดับตำบล ต่อไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ 

‘เมฆ วินัย’ เสียชีวิตอย่างสงบ ในวัย 54 ปี หลังเกิดภาวะความดันตก-ติดเชื้อในกระแสเลือด

(21 มี.ค.67) เป็นข่าวเศร้าของวงการบันเทิงอีกครั้ง เมื่อ ‘เอ๋ อรชัญญาช์’ ภรรยาของอดีตพระเอกร้อยล้าน ‘เมฆ วินัย ไกรบุตร’ ได้ออกมาแจ้งข่าวว่า ‘เมฆ วินัย’ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อเวลา 23.49 น. เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) ด้วยภาวะความดันตก ติดเชื้อในกระแสเลือด และสิ้นใจในเวลาต่อมา

ซึ่ง ‘เมฆ วินัย’ ทุกข์ทรมานจากการป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองมากว่า 5 ปี อาการขึ้นๆ ลงๆ มาโดยตลอด แต่ก็ได้ ‘เอ๋ อรชัญญาช์’ ภรรยาคู่ชีวิตและครอบครัวที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมกับขายผลิตภัณฑ์ calcy collagen เพื่อนำรายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว จากนั้นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนทุกคนจะเริ่มมีความหวังมากขึ้น เมื่อ ‘หนุ่ม คงกระพัน’ ในฐานะเพื่อนสนิท ได้เริ่มพา ‘เมฆ วินัย’ ไปพบ ‘อ.ไพศาล แสนไชย’ ที่นิมิตรเห็นถึงกรรมเก่าและได้แนะนำให้ ‘เมฆ วินัย’ ไปทำการขออโหสิกรรมจากคนที่เชื้อว่าเคยก่อกรรมมาเมื่ออดีตชาติ เมื่อได้ไปขออโหสิกรรมจนครบทุกคน อาการก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาตามลำดับ แผลเริ่มแห้งขึ้นมาก

แต่แล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ‘เมฆ วินัย’ ต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลด่วน ด้วยอาการเป็นลมในห้องน้ำ 3 วันติด ทางครอบครัวจึงตัดสินใจพาส่งโรงพยาบาลทันที ผลคือร่างกายขาดธาตุเหล็ก ขาดวิตามินแร่ธาตุ และสารอาหารหลายตัว ทำให้ร่างกายรับไม่ไหว บวกกับโรคตุ่มน้ำพองที่มีอยู่เดิมด้วย จนในที่สุดเมื่อเวลา 23.49 น. ของวันที่ 20 มีนาคม ‘เมฆ วินัย’ ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ ด้วยภาวะความดันตก และติดเชื้อในกระแสเลือด สิริอายุ 54 ปี

นนทบุรี-จัดงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ปี ๖๗ อย่างยิ่งใหญ่

โชว์เสน่ห์อัตลักษณ์ถิ่น ยลวิถีเอกลักษณ์ไทย ดัน Soft Power ก้าวไกลสู่เมืองเศรษฐกิจดี วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานแถลงข่าว การจัดงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ประจำปี ๒๕๖๗ “ย้อนรอยวิถีนนท์ ยลสายชลสองฝั่งเจ้าพระยา น้อมรำลึกมหาเจษฎาบดินทร์” โดยมี นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี นายอุดร ระโหฐาน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี นายชาญยุทธ เศวตสุวรรณ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กทม. ร่วมแถลงข่าวฯ ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ต.บางศรีเมือง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี

​​​งานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ที่ทรงมีคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อจังหวัดนนทบุรีและประเทศไทย รวมทั้งเพื่อส่งเสริมและผลักดัน Soft Power ภายในจังหวัดนนทบุรี ตามนโยบายของรัฐบาล อาทิ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “นนทบุรี 6 ดี สู่เมืองน่าอยู่” ของผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ในการนำจังหวัดสู่เศรษฐกิจดี โดยในปี 2567 นี้ จัดงานฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ มีนาคม – วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๓๐ – ๒๓.๐๐ น. ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ตำบลบางศรีเมือง และบริเวณท่าน้ำนนท์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้แนวคิด “ย้อนรอยวิถีนนท์ ยลสายชลสองฝั่งเจ้าพระยา น้อมรำลึกมหาเจษฎาบดินทร์” โดยจังหวัดนนทบุรี บูรณาการร่วมกับ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายภาคเอกชนและภาคประชาชน จัดกิจกรรมแบ่งออกเป็นสถานีต่าง ๆ ๑๔ สถานี ได้แก่ บริเวณอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ประกอบด้วย ​สถานีพหุวัฒนธรรม โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมการสาธิตหมู่บ้านจำลองวิถีชีวิตของชาวจังหวัดนนทบุรีในอดีต ได้แก่ หมู่บ้านคนไทยพื้นถิ่น จีน มุสลิม และรามัญ การออกร้านจำหน่ายอาหารและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย และสินค้าเด่นจากสภาวัฒนธรรม

​สถานีกาชาดและชมรมแม่บ้านมหาดไทย โดยชมรมแม่บ้านมหาดไทยและเหล่ากาชาดจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรำวงย้อนยุค การเดินแบบผ้าไทยโดยนางแบบกิตติมศักดิ์ การจำหน่ายสลากกาชาดลุ้นรางวัลใหญ่มากมาย
​สถานีเกษตรแฟร์ โดยหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดแสดงนิทรรศการด้านการเกษตร การออกร้านจำหน่ายสินค้าสินค้าเกษตรทั้งสดและแปรรูป การแข่งขันและการประกวดต่างๆ อาทิ การแข่งขันกินกุ้ง การประกวดธิดาเกษตรนนท์ จุดถ่ายภาพและจำลองโมเดลสัตว์ ต้นไม้ และผลไม้เลื่องชื่อของจังหวัด เป็นต้น
​สถานี Street Art @ Nonthaburi โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงแสง สี และเสียง ทุ่งแพไฟ ดอกไม้ อุโมงค์ไฟ จุดแสดงภาพ Street Art และกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจุดลงเรือเริ่มที่ท่าน้ำนนท์ ล่องผ่านประตูน้ำคลองอ้อม วัดราษฎร์ประคองธรรม สิ้นสุดที่ท่าน้ำวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร เริ่มเที่ยวแรกเวลา ๑๖.๓๐ น. เป็นต้นไป จำนวนวันละ ๔ รอบ ​สถานีธนาคารชุมชน โดยสำนักงานคลังจังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมธนาคารย้อนยุค การให้คำปรึกษา การแก้ปัญหาหนี้สินและปรึกษาด้านการประกันภัย และบริการนวดแผนไทย​สถานีกินลมชมสะพาน @ OTOP Station โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ของดี ของเด่น ของนนทบุรี กว่า ๕๐ ร้านค้า ​สถานีอำเภอชวนชิม โดยที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี จัดกิจกรรมออกร้านจำหน่ายอาหารเด่น อาหารอร่อยจาก ๖ อำเภอในจังหวัดนนทบุรี และจุดบริการถ่ายภาพในรูปแบบตู้ถ่ายภาพอัตโนมัติ 

​สถานีธงฟ้า Blue Flag @ พาณิชย์นนท์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด สินค้าราคาพิเศษ อาทิ ไข่ไก่ น้ำมันพืชปาล์ม น้ำตาลทราย และข้าวหอมมะลิ เป็นต้น
​สถานีพลังงาน โดยสำนักงานพลังงานจังหวัดนนทบุรีร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดแสดงนิทรรศการการอนุรักษ์พลังงานอย่างยั่งยืน กิจกรรมตลาดนัดพลังงานเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน จากการแปรรูปโดยเทคโนโลยีพลังงาน และส่งเสริมกิจการสินค้าอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ​สถานีหับเผย by เรือนท่านนท์ โดยเรือนจำจังหวัดนนทบุรี จัดแสดงนิทรรศการและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ ​สถานีตลาดย้อนยุค ไทย-รามัญ โดยเทศบาลนครปากเกร็ด จัดกิจกรรมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายรามัญ โดยตกแต่งสถานที่รูปแบบ “บ้านมอญ” การประดับสถานีด้วยอัตลักษณ์ของชาวรามัญ การจำลองวิถีชีวิตผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 3 การจำหน่ายอาหารคาว หวาน โดยการใช้เงินพดด้วงแทนเงินสด และการแต่งกายย้อนยุค ​สถานีเยือนตลาดพรหมลิขิต สวมจริตชาวบางศรีเมือง โดยเทศบาลเมืองบางศรีเมือง จัดกิจกรรมจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าชุมชนในเขตเทศบาลฯ จุดถ่ายภาพเช็คอินที่สวยงามตระการตา การประดับตกแต่งด้วยไฟสวยงาม

​สถานีท้องถิ่นชาวบางกรวย โดยเทศบาลเมืองบางกรวย จัดกิจกรรมออกร้านวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านบางกรวย จำหน่ายอาหารไทย อาหารโบราณ ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของชาวสวนบางกรวย การจำหน่ายสินค้า Handmade โดยกลุ่มส่งเสริมอาชีพผู้พิการ และจุดเช็คอิน จุดถายภาพที่เป็นอัตลักษณ์ของเทศบาลเมืองบางกรวย
​สถานีท่าน้ำเมืองนนท์ โดยเทศบาลนครนนทบุรี จัดกิจกรรมบริเวณฝั่งท่าน้ำนนทบุรี โดยจำลองการจัดงานวัด การจำหน่ายอาหารคาว หวาน สินค้าเครื่องแต่งกาย สินค้าอุปโภค บริโภค จุดถ่ายรูป เช็คอิน ตลอดจนการแสดง การประกวด การสาธิตที่น่าสนใจ เช่น หนังกลางแปลง การชกมวยไทย เป็นต้น ​นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการแสดงแสง สี เสียง พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๓ การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม  และการแสดงพื้นบ้าน อาทิ โขน ลำตัด การแสดงดนตรีจากนักเรียนในจังหวัดนนทบุรี รวมทั้งการแสดงจากศิลปิน นักร้อง ที่มีชื่อเสียง อาทิ ขุนอินทร์ ระนาดเอกและวงบางสะพาน เอ๊ะ จิรากร และ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. ณ บริเวณเวทีกลาง อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ บริเวณพลับพลา โถงจตุรมุข พร้อมชมการประดับไฟสวยงามภายในสวนและริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแสงไฟอันงดงามของสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ทรานุสรณ์ ตลอด ๗ วัน ๗ คืน ทั้งนี้ ไฮไลท์ภายในงานยังมีกิจกรรมขบวนแห่ชาติพันธุ์ทางบกและขบวนแห่ทางน้ำ ในวันที่ ๒๗ มีนาคม 2567 กิจกรรมการรำเทิดพระเกียรติฯ โดยนางรำกว่า ๔๐๐ คน ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๓ และพิธีเปิดงานฯ ในวันที่ ๓๑ มีนาคม 2567 เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ บริเวณเวทีกลาง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชม ชิม ช้อป แต่งกายชุดไทย ในงานวัฒนธรรมสองฝั่งเจ้าพระยา มหาเจษฎาบดินทร์ ประจำปี ๒๕๖๗ ณ อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ตำบลบางศรีเมือง และบริเวณท่าน้ำนนท์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยมีบริการเรือข้ามฟากให้บริการฟรีจากท่าน้ำนนท์มายังท่าน้ำอุทยานกาญจนาภิเษก ตลอดระยะเวลาการจัดงาน รายละเอียดเพิ่มเติม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี www.nonthaburi.m-culture.go.th
 

'รมว.ปุ้ย' ชวนยล!! เสน่ห์แห่ง 'ผ้ายกเมืองนคร' ผลิตภัณฑ์ผ้านครศรีฯ ที่ลือชื่อมาแต่ครั้งโบราณ

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึง 'ผ้ายกเมืองนคร' ผ้าดีจากเมืองคอนที่สร้างชื่อกระฉ่อนในวงการผ้าไทย ว่า...

"มีคนถามปุ้ยมาค่ะ 'ผ้ายกเมืองนคร' ทำอย่างไรให้ขึ้นชื่อลือชากระฉ่อนในวงการผ้าไทย นี่เลยค่ะ ปุ้ยใช้ผ้ายกเมืองนครจากนครศรีธรรมราช บ้านเราค่ะ 

"ต้องเล่าความเป็นมาก่อนนะคะ ผ้ายกเมือง เป็นผ้าจากฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองนครศรีธรรมราช มีชื่อนามปรากฏในประวัติศาสตร์เรื่องราวต่างๆ มานับร้อยปี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ 'ผ้ายกเมืองนคร' 

"สมัยก่อนชาวเมืองนครศรีธรรมราชนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน รวมถึงข้าราชการกรมเมือง ข้าราชการศาลและราษฎรทั่วไปนุ่งกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้านายฝ่ายหญิงของเมืองนครฯ แต่โบราณ จะนุ่งผ้ายกจีบเวลาออกรับแขกบ้านแขกเมือง หรือไปทำการงานพิธีบุญต่างๆ และมีผ้ายกสำคัญที่ชื่อ 'ผ้ายกขาวเชิงทอง' ใช้นุ่งในพิธีการถือพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช  

"ผู้ที่เข้าพิธีถือน้ำจะต้องนุ่งผ้ายกขาวเชิงทองเรียกว่าหรือเรียกอีกชื่อว่า 'ผ้าสัมมะรส' และยังมีผ้ายกทองซึ่งมีด้ายทำจากทองคำ จะใช้สำหรับเฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรั้วในวังหรือเจ้าพระยาเท่านั้น ซึ่งมีบันทึกตรงกันหลายแหล่งว่าเจ้าพระยานครได้ส่งผ้ายกเข้ามาถวายเจ้านายในเมืองหลวง ส่วนผ้ายกธรรมดาก็ใช้กันโดยทั่วไป

"ปัจจุบันผ้ายกเมืองนคร เป็นที่นิยมมากค่ะ เป็นผ้าที่มีความเป็นมายาวนานอยู่ในวัฒนธรรมของชาวนครศรีธรรมราช มีคุณลักษณะพิเศษคือ สามารถนำมาออกแบบตัดเย็บได้อย่างหลากหลาย ทั้งชุดสวมใส่เพื่อความสวยงามทั่วไป ชุดเครื่องแต่งกายที่มีระเบียบแบบแผน หรือพิธีการสำคัญต่างๆ ผ้ายกเมืองนครจะโดดเด่นมากค่ะ หรือจะเป็นชุดสูททางการเช่นที่ปุ้ยจะนิยมนำมาใช้เสมอมาแบบนี้ ทำนองนี้ค่ะ 

"ช่างตัดเย็บ นักออกแบบสามารถออกแบบได้อย่างหลากหลายตามสมัยค่ะ"

'เพจดัง' เตือน!! ชาว กทม.เตรียมจมฝุ่น ไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน หลังกัมพูชาเผามหึมาหลายจุด ส่งกลิ่นไหม้กลางดึก จนรับรู้ได้

(21 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนเหม็นกลิ่นควัน อีกทั้งบรรยากาศเหมือนควันปกคลุมหลายแห่งนั้น

ต่อมาเพจ Drama-addict โพสต์ข้อความระบุว่า....

“สาเหตุน่าจะมาจาก ลมพัด pm 2.5 มา ตอนนี้ทางกัมพูชามีการเผาแบบมหึมาหลายจุดมาก แล้วลมตอนนี้พัดจากตะวันออกไปตะวันตก น่าจะพัด pm 2.5 จำนวนมากจากกัมพูชา เข้ามาทางภาคตะวันออก แล้วมาทางภาคกลาง”

ต่อมาได้โพสต์ภาพและข้อความเพิ่มเติมว่า “กทม. และปริมณฑล จมฝุ่น ไม่จำเป็น อย่าออกนอกบ้าน คนที่มีโรคประจำตัว ควรอยู่ในบ้าน เปิดเครื่องกรองอากาศ อย่าออกกำลังกายนอกบ้าน พรุ่งนี้ น่าจะจมฝุ่นหนัก เป็นไปได้ก็ WFH กันซักวันสองวัน”

ขณะที่ด้านเพจ 'เพื่อนชัชชาติ' ได้โพสต์ข้อความลงใน (X) โดยระบุว่า...

พรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กทม. ได้ชี้แจงถึง 3 สาเหตุ #กลิ่นไหม้ ดังนี้...

1. ทิศทางลมวันที่ 20 เป็นทิศตะวันออก (ตามภาพ) ซึ่งต่างจากวันอื่นๆ ช่วงนี้ที่มาจากอ่าวไทย ส่วนจุดเผาในช่วง 24 ชม.ที่ผ่านมาพบที่ปริมณฑลหลายจุด

2. ระยะนี้สภาพอากาศแปรปรวน มีพายุฤดูร้อน ประกอบกับมีความกดอากาศสูงผ่านทางอีสานมาเมื่อวาน ส่งผลให้ความสูงของชั้นบรรยากาศผสม (Mixing Height) ลดต่ำลง ฝุ่นละอองเกิดการสะสมตัวเพิ่มมากขึ้น

3. ความชื้นในบรรยากาศทำให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5 ทุติยภูมิ (Secondary PM2.5) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชนิดที่เกิดจากพวกสารประกอบไนโตรเจนและแอมโมเนียจะเกิดปฏิกิริยาได้ดีในสภาวะที่มีความชื้นสูง

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน แก่ชาวร้อยเอ็ด มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้กับโรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี

วานนี้ (วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 25 ครัวเรือน พร้อมทั้งมอบรถจักรยานในโครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 4” จำนวน 50 คัน กระบอกน้ำ จำนวน 250 ใบ  ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน รวม 5 แห่ง เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าสิ่งของที่มอบในครั้งนี้เป็นเงิน 627,120 บาท (หกแสนสองหมื่นเจ็ดพันหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยมี นายนพดล จอมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นางนวลจันทร์ ศรีมงคล ผู้ตรวจราชการ กรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี  รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบไปแล้วรวมทั้งสิ้น 10 จังหวัด 237 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,928,485 บาท (สี่ล้านเก้าแสนสองหมื่นแปดพันสี่ร้อยแปดสิบห้าบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลา 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top