Wednesday, 28 May 2025
TheStatesTimes

‘ลาว’ ลุยปรับขึ้น 'ภาษีมูลค่าเพิ่ม' จาก 7% เป็น 10% หวังหนุนงบประมาณรายรับ - พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ

(21 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดีลาว ออกรัฐบัญญัติที่กำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 เพื่อสนับสนุนงบประมาณรายรับ และเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

โดยรายงานระบุว่า รัฐบัญญัติประธานาธิบดีข้างต้น ฉบับออกวันอังคาร (19 มี.ค.) มีเป้าหมายปรับปรุงความสามารถจัดเก็บงบประมาณรายรับ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินที่ลาวต้องเผชิญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 จะถูกบังคับใช้กับการทำธุรกรรมต่าง ๆ อาทิ การนำเข้า สินค้า การบริการทั่วไป การนำเข้าแร่ธาตุ และการใช้ไฟฟ้า โดยการปรับขึ้นครั้งนี้ส่งผลให้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มคืนสู่ระดับเดิมของปี 2010-2021

อนึ่ง ลาวปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2022 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุคหลังการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

'วิทยา' จี้!! 'ก.ทรัพย์ฯ' ฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ หลังถูกปิดมาร่วม 30 ปี หวังผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

“วิทยา แก้วภราดัย” จี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกปิดมาร่วม30 ปี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

(21 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 เรียงตามรายมาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายวิทยาอภิปรายถึงเหตุผลที่ได้แปรญัตติ ตัดงบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ 5% ว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตั้งมากว่า 20 ปี ในสายตาประชาชนมองกระทรวงนี้เขานึกถึงอะไร มีเพื่อนสมาชิกอภิปรายถึงช้าง และปริมาณช้างที่ล้นป่า บางคนนึกถึงสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของโลกที่เริ่มสูญเสียความสมดุล

ทั้งนี้ พระเอกจริง ๆ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็คือกรมป่าไม้เดิมเป็นกรมป่าไม้ที่ดูป่าทุกประเภทในประเทศไทย เป็นกรมที่ใหญ่มาก วันที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมโลกด้วยการสร้างป่าให้มากที่สุด เราก็ได้ยินทะเลาะกันบ่อย เรื่องเขตป่าอุทยาน เขตป่าสงวน เขตที่จะเป็นสปก. ทะเลาะกันข้ามกระทรวง วันที่กรมป่าไม้ยุบมาอยู่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมป่าไม้กลายเป็นกรมเล็ก ๆ ที่ดูแลป่าสงวน กรมอุทยานแห่งชาติก็เติบโตขึ้นมาดูแลเกือบทุกอย่าง กรมอุทยานชายฝั่งดูแลป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็ดูแลทรัพยากรในทะเล แต่เราได้สร้างบุคลากรที่จะพิทักษ์ป่าจริง ๆ หรือไม่

นายวิทยา กล่าวว่า มีข้าราชการกี่คนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่เรียนรู้เรื่องป่าไม้จริง ๆ มีกี่คนที่ออกไปดับไฟป่ากับเพื่อน ๆ มีหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกี่คนที่ผ่านหลักสูตรป่าไม้อย่างแท้จริง โรงเรียนป่าไม้ของประเทศไทยปิดไปร่วม 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2536 โรงเรียนป่าไม้ตั้งมาในปี 2480 รักษาความเป็นโรงเรียนป่าไม้ ผลิตนักเรียนป่าไม้ส่งไปพิทักษ์ป่าทั่วประเทศ แต่วันนี้โรงเรียนป่าไม้ปิดไป กรรมาธิการฯเคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯคิดจะฟื้นโรงเรียนป่าไม้ขึ้นมาบ้างหรือไม่ วันนี้เรามีนักเรียนวนศาสตร์เพียงพอหรือไม่

“วันนี้มีพนักงานป่าไม้ที่ไปดับไฟป่าอยู่ทั้งหมดเป็นลูกจ้าง ไม่ได้จบหลักสูตรการป่าไม้ ไม่ได้สวมวิญญาณคนพิทักษ์ป่าอย่างแท้จริง เป็นลูกจ้างในระบบราชการทํางานกินเบี้ยเลี้ยงไปตลอด แต่เรากลับทิ้งโรงเรียนป่าไม้แพร่ให้ล้างมา 30 กว่าปี ผมไปเยี่ยมโรงเรียนป่าไม้แพร่เมื่อ 3- 4เดือนที่แล้ว พื้นที่ยังอยู่เรียบร้อย มีป่าสําหรับโรงเรียนป่าไม้ฝึกนักเรียนอยู่ 4-5 พันไร่อยู่ในจังหวัดแพร่ โรงเรียนป่าไม้แพร่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ขอถามกรรมาธิการฯ เคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่ว่า อยากสร้างนักวิชาการป่าไม้ หรือ จะสร้างนักปฏิบัติการป่าไม้” นายวิทยากล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า อีก 2 ปีข้างหน้า คนที่จบหลักสูตรป่าไม้แพร่ทั้งหมดกําลังจะหมดไปจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตนเคยพูดหลายครั้งทั้งในกรรมาธิการงบประมาณ เคยอภิปรายในสภาฯ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบ จึงขอถามกรรมาธิการฯ ว่า เคยไปทวงถามโรงเรียนป่าไม้แพร่เพื่อมาพิทักษ์ป่ากันหรือไม่ ถ้ามีโอกาสรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ฟัง ควรกลับไปดูแลได้แล้ว ใช้งบประมาณคงไม่มาก บุคลากรก็พร้อมในการที่จะสร้างโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมา

เปิดคำสัมภาษณ์ 'ปรีดี' กับสื่อนอกในวัย 79 ยอมรับความผิดพลาดใหญ่หลวงในอดีต

จากกรณีที่ภาพยนต์แอนิเมชันเรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หรือ 2475 Dawn of Revolution ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านทางยูทูบ ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งได้ระบุถึงนายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำคณะราษฎร ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ได้ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ผ่านการให้สัมภาษณ์แก่นายแอนโทนี พอล ในปี 2522 นั้น

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์' ในหัวข้อ เปิดคำสัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ ในวัย 79 ปี ตอบเรื่องความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในอดีต ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ดังกล่าว ดังนี้...

นิตยสาร เอเชียวีคฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 1979 (พ.ศ. 2522) - 4 มกราคม 1980 (พ.ศ. 2523) ภายใต้หัวเรื่องว่า ‘PRIDI THROUGH A LOOKING GLASS’ ซึ่งนายแอนโทนี พอล ได้สัมภาษณ์อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขณะสัมภาษณ์นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีอายุได้ 79 ปี

แอนโทนี พอล : “ท่านคิดว่าอะไรที่น่าจะเป็นความผิดอันใหญ่หลวงของท่าน? ถ้าท่านมีอำนาจกลับไปและแก้ไขเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน การตกลงใจหรือการกระทำอันไหน ที่ท่านอยากเปลี่ยนมากที่สุด?”

ปรีดี พนมยงค์ : “ถ้าท่านถามถึงว่าอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี…เอาละ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะกลับสู่การเมืองอีกหรอก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว แต่ข้าพเจ้าตอบท่านได้ถึงความผิดในอดีตของข้าพเจ้า

ในปี ค.ศ.1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฎหมายเปรียบเทียบ) ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด (ประสบการณ์)

และโดยปราศจากความเจนจัด (ประสบการณ์) บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี

ในปี ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจน (ประสบการณ์) มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

แอนโทนี พอล : ความผิดพลาดอย่างอื่นมีอีกบ้างไหม?

ปรีดี พนมยงค์ : “มี, คือวิธีการเสนอแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเสนอแผนเศรษฐกิจ แต่ข้าพเจ้าควรใช้เวลาให้มากกว่านั้นอธิบายแก่ประชาชน เวลานั้นมีบุคคลไม่กี่คน ที่จะเข้าใจแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้า แม้ในระหว่างรุ่นก่อน คือสมาชิกในคณะรัฐบาลก่อนซึ่งเราเชิญมามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ พวกเขาตีความแตกต่างกันไป พวกเขาไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าควรพยายามให้หนักขึ้น ที่จะอธิบายกับพวกเขาว่าทั้งหมดมันหมายถึงอะไร

แต่ทว่ามันก็เป็นแผนเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะสมด้วยเหมือนกัน ข้าพเจ้าเสนอไม่ใช่ว่าเป็นแผนเศรษฐกิจขั้นสุดท้าย มันค่อนข้างจะเป็นโครงการขั้นเตรียมการมากกว่า หลายคนเหมาเอาว่าเป็นแผนเลยทีเดียว ไม่ใช่เป็นแนวทางหรือข้อเสนอพอเป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนต่อไป

ในสังคมนั้นย่อมมีการขัดแย้งกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คุณต้องเข้าใจ และพวกคนรุ่นเก่ามีความกลัวมากทีเดียว ในบางอย่างที่เป็นสังคมนิยม พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสังคมนิยม อะไรเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาเอาทุกอย่างที่ตรงข้ามกับวิสาหกิจเอกชนเป็นคอมมิวนิสต์ไปหมด”

เผยแพร่โดย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
15 มีนาคม 2567

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะรัฐหาแรงจูงใจเอกชน ลุยธุรกิจลดโลกร้อน ปั้นระบบนิเวศให้พร้อม สู่การสร้างเงินจากสภาพภูมิอากาศ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ' (Climate Finance) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) โดยการเก็บภาษีคาร์บอน และการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียว (Green Transition) ได้อย่างราบรื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากภาคการเงินการคลังไม่ช่วยระดมทรัพยากรมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว

ประการแรก ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรของรัฐบาล เงินลงทุนส่วนใหญ่จึงต้องมาจากภาคเอกชน ภาครัฐต้องจัดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive Structure) ที่เอื้อให้เอกชนกล้าลงทุนในโครงการ/อุตสาหกรรมที่ลดโลกร้อน การเก็บภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตเป็นก้าวแรก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกเลิกการอุดหนุนคาร์บอน (Carbon Subsidies) ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน

ประการที่สอง การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นมาตรฐานและมีการรับรอง รวมทั้งการจัดกลุ่ม/นิยามกิจกรรมที่ลดโลกร้อน (Green Taxonomy) จะช่วยให้ตลาดการเงินและสถาบันการเงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้ามากขึ้น

ตลาดการเงินและธนาคารพาณิชย์เริ่มนำผลิตภัณฑ์สีเขียวมาให้บริการบ้างแล้ว สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มเป็นที่นิยม กองทุน ESG มีจำนวนมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนจะตรงกันหรือไม่ หรือบางทีอาจขัดแย้งกันด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การฟอกเขียว (Greenwashing)

ในสาขาพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ปัจจุบันยังมีโครงสร้างที่พึ่งพา Fossils อยู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าในไทยยังอาศัยก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนถึงกว่า 80% และใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคพลังงานจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง และภาคเอกชนในรูปแบบโรงไฟฟ้า IPP SPP และ VSPP รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การลงทุนและการแบ่งรับภาระความเสี่ยงระหว่างรัฐกับเอกชนร่วมกันในรูปแบบ PPP น่าจะเป็นทางออกสำคัญ IPP และ SPP เป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับเอกชนที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในภาคพลังงาน มีความเป็นไปได้ที่จะขยาย PPP ในโครงการลดคาร์บอนในสาขาอื่นๆ ด้วย

ตลาดการเงินและสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่สามารถเสริมทรัพยากรในประเทศได้ รัฐบาลประเทศร่ำรวยประกาศใน COP 28 สนับสนุนงบประมาณแก่ประเทศกำลังพัฒนา 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบริการพิเศษที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนา

ประการสุดท้าย ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว ย่อมมีกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำรายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มเติมจากภาษีคาร์บอนไปช่วยเป็นมาตรการรองรับทางสังคมแก่กลุ่มคนเหล่านี้

‘ผู้ปกครอง’ เฝ้าระวัง!! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ แปลงร่างเป็น ‘Toy Pod’ ผลิตเลียนแบบ ‘ตุ๊กตา-ของเล่น-กล่องขนม’ หวั่นระบาดสู่เด็ก

(21 มี.ค. 67) ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ผู้จัดการโครงการศึกษาพัฒนาขยายผลการเฝ้าระวังและจัดการความรู้ผลิตภัณฑ์เสี่ยงสุขภาพ เปิดเผยว่า ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าได้ปรับเปลี่ยนรูปโฉมของสินค้าบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ให้ห่างไกลจากบุหรี่มวน โดยใช้การตลาดการ์ตูน ปรับรูปร่างหน้าตาจากบุหรี่ไฟฟ้าแบบเดิม มาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า Gen 5 ‘toy pod’ หรือบุหรี่ไฟฟ้าตุ๊กตา ที่ผลิตเลียนแบบตุ๊กตา ของเล่น ตัวการ์ตูนฮิต อาร์ตทอย ทำเหมือนกล่องขนม ขวดน้ำผลไม้ ไปจนถึงเครื่องเขียน ชนิดเลียนแบบได้เหมือนสมจริงทั้งรูปร่างหน้าตา ขนาด และสีสัน และมีขนาดเล็ก ซึ่ง toy pod ใช้นิโคตินปรับโครงสร้างหรือนิโคตินสังเคราะห์ทำให้สูบง่ายไม่ระคายคอ มีนิโคตินสูง 3-5% สูบได้นานถึง 8,000-15,000 พัฟฟ์

โดย toy pod จะผลิตเลียนแบบตัวการ์ตูนตุ๊กตายอดฮิต โดราเอมอน Super Mario โปเกมอน บางรุ่นเลียนแบบอาร์ตทอยชื่อดังอย่างตุ๊กตา Molly ตุ๊กตา plush หรือตัวการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ บางรุ่นสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาเองเป็น brand character เช่น การ์ตูนโจรสลัด โดยขายสินค้าผ่านการผจญภัยของตัวการ์ตูนและเหล่าสมุน บางรุ่นทำเหมือนของเล่นเลโก้ และผลิตออกมาเป็นคอลเลคชั่นคล้ายของสะสม แต่ละชุดมี 10-12 ตัว มีชื่อเรียกแต่ละชุด มีสีแตกต่างกันเพื่อบอกรสชาติ กลิ่นหอม รสชาติผสมผสานกันทั้งผลไม้ ความเย็น และลูกกวาด เช่น รสแตงโม พีช มิ้นท์

“เป็นที่น่าตกใจที่การตลาดล่าเหยื่อเด็กนี้ประสบความสำเร็จ จากการมีข่าวว่ามีการระบาดในกลุ่มนักเรียนระดับประถม ล่าสุดพบเด็ก ป.1 (6 ขวบ) พกบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นพ่อแม่ ครูและโรงเรียน ควรต้องคอยเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าแปลงร่างเหล่านี้ที่เป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะ toy pod ออกแบบช่วงปากสูบให้กลมกลืนไปกับตัวตุ๊กตา จนอาจไม่ทราบว่านี่คือบุหรี่ไฟฟ้า หากนำมาวางปนกันกับของเล่น อาจแยกไม่ออกว่าอันไหนคือของเล่นจริง อันไหนคือบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.ศรีรัช กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า การตลาดล่าเหยื่อของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่ไร้จริยธรรมนี้ นอกจากจะพัฒนาบุหรี่ไฟฟ้าให้เย้ายวนเด็กอายุเล็กลงเรื่อยๆ ยังพัฒนาสถานที่ และส่งเสริมการขาย ในสื่อโซเชียลที่ถูกใจและตรงกับวิถีชีวิตของเด็กๆ ด้วย จากรายงานการเฝ้าระวังการตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์ช่วงม.ค.-ก.พ. ปี 2567 โดย น.ส.กนิษฐา ไทยกล้า พบว่า มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์จำนวนมากถึง 309 บัญชีรายชื่อ 

มีการโพสต์ 605 ครั้ง ส่วนใหญ่ 66.7% เป็นผู้ขายรายเก่าที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาก่อนปี 2567 รองมาคือ 33% เป็นผู้ขายรายใหม่ที่ลงทะเบียนใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ปี 2567 โดยลักษณะการขายส่วนใหญ่ 54.4% เป็นผู้ขายย่อย 44.7 ขายส่ง/รับตัวแทนขาย และ 1% รับรีวิว ทั้งนี้ 29.1% ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) มากที่สุด รองมาคือ 26.9% เฟซบุ๊ก 17.5% อินสตาแกรม 15.2% เว็บไซต์ 7.4% ไลน์ 3.6% ติ๊กต็อก และ 0.3% ยูทูบ

“กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่นออนไลน์ เน้นโพสต์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงตัวผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า การรักษาลูกค้าด้วยการจัดส่งฟรี แจก แถม และลดราคา จนกระทั่งเกิดการซื้อขาย ส่งถึงบ้าน มีเก็บเงินปลายทาง โดยผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่นิยมโพสต์ขายมากที่สุด คือ 89.3% pod รองมาคือ 6.3% ชุดบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมสูบ และ 4% เครื่องเปล่า โดยแนวโน้มของการออกแบบผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเน้นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ความชอบของคนรุ่นใหม่ เริ่มมีการรายงานพบตู้กดขายบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าวต่อไปว่า น่าเป็นห่วงมากที่เด็กอาจกำลังตกเป็นเหยื่อการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ เพราะหากสมองของเด็กตั้งแต่ในครรภ์ถึงอายุ 25 ปี สะสมสารนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า จะทำให้เซลล์สมองถูกทำลายได้มาก โดยเฉพาะต่อระบบความจำ ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียน และส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ชัก หัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีที่สุด และยังต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง จับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน เพื่อปกป้องเด็กจากการตลาดล่าเหยื่อนี้ 

“วิกฤตการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า หายนะกำลังคืบคลานทำร้ายลูกหลานไทย สังคมคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จะต้องร่วมพลังกันออกมาส่งเสียงดังๆ บอกรัฐบาล ว่า 'คนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ร่วมกันสอดส่องดูแลหากมีสิ่งผิดกฎหมาย ช่วยกันแจ้งเบาะแส สายด่วน สคบ. 1166 และที่สำคัญผู้ปกครองและครูต้องรู้เท่าทันกลยุทธ์ล่าเหยื่อ รู้จักพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมแรงร่วมใจทั้งชาติเพื่อปกป้องลูกหลานไทยจากมหันตภัยนี้” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

‘กฟผ. - Metlink’ แลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนฯ ปักหมุด!! วิธี ‘ไครโอเจนิค’ เล็งต่อยอดใช้งานในโรงไฟฟ้าของ กฟผ.

เมื่อวันที่ (20 มี.ค.67) นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน เป็นผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามสัญญารักษาความลับ Confidentiality Agreement (CA) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิค (Cryogenic Carbon Capture: CCC) กับนายประพันธ์ อัศวพลังพรหม กรรมการและประธานบริหาร ผู้แทนจาก บริษัท เมทลิงค์ อินโฟ จํากัด (Metlink Info Co.,Ltd) โดยมีนายฉัตรชัย มาวงศ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้า กฟผ. และนายนิพนธ์ ลิ่มบุญสืบสาย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เมทลิงค์ อินโฟ จํากัด ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า เป็นก้าวสำคัญในการขยายองค์ความรู้ด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กว้างขึ้น โดยการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิคหรือความเย็นยิ่งยวด Cryogenic Carbon Capture: CCC เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจ สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ได้ในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Triple S: Sink ของ กฟผ. ด้วยวิธี ‘การดักจับ ใช้ประโยชน์และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS)’ ซึ่งจะตอบโจทย์แผน EGAT Carbon Neutrality ที่มีเป้าหมายเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 

นายประพันธ์ อัศวพลังพรหม กรรมการและประธานบริหาร ตัวแทนจาก บริษัท Metlink เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ กฟผ. สามารถบรรลุเป้าหมายของ CCUS ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยการดักจับคาร์บอนด้วยวิธีความเย็นยิ่งยวด เป็นเทคโนโลยีทางเลือกในการดักจับคาร์บอน และกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อใช้งานในโรงไฟฟ้า สามารถแข่งขันได้ในเชิงต้นทุน และคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากการดักจับมีความบริสุทธิ์เกือบ 100% จึงมีศักยภาพที่จะนำไปใช้งานได้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และทางการแพทย์ เป็นต้น

‘OR’ นำร่องใช้รถไฟฟ้าขนาดใหญ่ขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ ระยะทางไกล ‘เชียงใหม่-อยุธยา’ รายแรกของไทย

(21 มี.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย ดร.อารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (WICE) และ นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจกลุ่มบริษัท WICE ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการทดลองการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ (EV Truck) หรือ Green Logistics for Café Amazon Project ระหว่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) โดยมี นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายธเนศ เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ WICE ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องพลังไทย 2 ชั้น M อาคาร 2 อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่

นายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ WICE ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการร่วมกันศึกษาและสร้างต้นแบบ (Prototype) ‘กรีน โลจิสติกส์’ (Green Logistics) สำหรับทดลองระบบการขนส่งสินค้าระยะไกลด้วย EV Truck เป็นเจ้าแรกของประเทศไทย เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี และความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีให้แก่ OR ต่อไป 

โดย OR และ WICE จะร่วมกันออกแบบ EV Truck พร้อมทดลองการขนส่ง โดยกำหนดเส้นทางการขนส่ง ‘กรีน คอฟฟี่ บีน รูท’ (Green Coffee Bean Route) เพื่อขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากต้นทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟของ OR อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มายังปลายทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟที่ศูนย์ธุรกิจไลฟ์สไตล์คาเฟ่อเมซอน (OASYS) อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้เครือข่ายสถานีชาร์จ EV Station PluZ ของ OR ในเส้นทาง ‘Green Coffee Bean Route’ เป็นจุดพักเพื่อชาร์จไฟของรถขนส่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกิจกรรมการขนส่งสินค้า ตลอดจนช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างต้นแบบของการนำห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจสู่ความเป็น Green ทั้งระบบนิเวศของ OR และการพัฒนา Ecosystem ของกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเมล็ดกาแฟแบบยั่งยืน โดยก่อนหน้านี้ OR ได้เปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปกาแฟคาเฟ่ อเมซอน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรโดยตรงในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงได้เปิดแผนการดำเนินโครงการอุทยาน คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon Park) ที่จังหวัดลำปาง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต้นน้ำของคาเฟ่อเมซอน และเป็นการสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ณ จังหวัดลำปาง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ดร.อารยา กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือ กับ OR ในครั้งนี้ จะส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ให้สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของ WICE พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของบริษัท ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไปพร้อมกับการดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (Green Logistics) และช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ด้าน ESG ของ OR ในการผลักดันการใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางและขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานอย่างไร้รอยต่อ และมุ่งเน้นให้การใช้ยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกภาคส่วน ซึ่งการให้บริการด้านยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งโครงการที่ WICE ได้ริเริ่มและผลักดันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้า เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ไปสู่ระบบยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) อย่างแท้จริง

“ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ หรือการสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของ OR รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) และบรรลุเป้าหมายของ OR 2030 Goals หรือเป้าหมายขององค์กรในการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับสังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับผลดำเนินการงานที่ดี” นายดิษทัต กล่าวเสริมในตอนท้าย

หักปากกาเซียน!! 'ตุ๋ย-ปุ้ย' ควงอันดับกระทรวงงบฯ น้อยสุด สวนทางผลงาน 6 เดือนเข้าตา ช่วยย้ำ!! งบต่ำแต่โต ถ้าตั้งใจ

พลันเมื่อตัวเลขงบประมาณ 2567 ของประเทศไทยออกมาแล้วปรากฏว่า สองกระทรวงภายใต้การกำกับดูแลของพรรครวมไทยสร้างชาติ (ตั้งแต่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566) ซึ่งได้แก่ กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ก็กลายเป็นสองกระทรวงที่ได้รับงบประมาณ 2567 น้อยที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ 

'กระทรวงพลังงาน' ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ 'รองตุ๋ย' พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษา อดีต สส. 7 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีพันธกิจสำคัญ คือ...

1) จัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการและกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม 

2) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานพลังงานให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ 

3) กำกับกิจการพลังงานให้มีมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย 

4) ส่งเสริมการผลิต การใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานเพื่อสอดรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 

และ 5) ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงาน และเตรียมความพร้อมรองรับโอกาสธุรกิจพลังงานในอนาคต ด้วยการบริหารงานอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล

ทว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรหนนี้ น้อยที่สุดเพียง 1,856 ล้านบาท แต่ต้องรับผิดชอบภารกิจที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นองค์กรหลักในการกำกับดูแลธุรกิจพลังงานของประเทศซึ่งเป็นต้นทุนและปัจจัยที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากที่สุด ด้วยมูลค่าของธุรกิจพลังงานในประเทศมีมูลค่าปีละราวสองล้านล้านบาท มีหน่วยงานระดับกรมในสังกัด 6 หน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ 2 หน่วยงาน และอีก 1 หน่วยงานที่กำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

ถึงกระนั้น หากไล่ทวนผลงานของกระทรวงพลังงานภายใต้ 'รองตุ๋ย' จะพบว่า การออกมาตรการแบบเข้มข้นในช่วง 6 เดือนแรก ได้สร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยแบบทันทีทันใด ดังนี้...

1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ มีการเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ 

2) น้ำมัน ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง มีการออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมันเพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร 

3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า มีการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ NGV โดยเฉพาะกลุ่มรถแท็กซี่ กลุ่มรถโดยสาร และรถบรรทุกด้วยความร่วมมือจาก ปตท.

ข้ามมาทางฟาก 'กระทรวงอุตสาหกรรม' ซึ่งได้รับงบประมาณ 2567 น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ราว 4.5 พันล้านบาทนั้น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีหญิงแกร่ง 'ปุ้ย' พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช เขต 10 ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการสตรีคนที่ 2 ของกระทรวงแห่งนี้ 

จะว่าไปบทบาทหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่ อาจจะเทไปในเชิงรับเสียมากกว่าเชิงรุก ทั้งๆ ที่เป็นองค์กรภาครัฐหลักในกำกับดูและจัดการอุตสาหกรรมของประเทศทั้งระบบ มีหน่วยราชการระดับกรมในสังกัด 8 หน่วย 2 รัฐวิสาหกิจ 12 สถาบันเครือข่าย และ 1 หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีฯ ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดกว่า 20 หน่วยงานนี้ถือเป็นอวัยวะสำคัญในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมที่เป็นแกนหลักของความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย  

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลงานของ 'รมว.ปุ้ย' ในช่วง 6 เดือนที่ผ่าน ก็ทำให้ชื่อของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้ 'รมว.ปุ้ย' ไม่น้อยหน้ากระทรวงพลังงาน เช่นกัน อาทิ...

1) ให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการกับสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค 

2) ติดตามเร่งรัดผู้ประกอบการในประเทศให้เพิ่มการผลิตแร่ 'โปแตช' วัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย เพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงของพี่น้องเกษตรกร 

3) ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทั้งนักลงทุนรายใหม่และผู้ประกอบการรายเดิมซึ่งต้องปรับตัวจากการผลิตรถสันดาป 

4) ยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาลด้วยมาตรการต่าง ๆ เพื่อยกระดับให้เกิดนวัตกรรมและความหลากหลาย เพิ่มคุณภาพ มาตรฐาน และปริมาณการผลิต 

5) สนับสนุน Green Productivity ทั้งการจัดหาไฟฟ้าสีเขียวด้วยกระบวนการรับรองอย่างมีมาตรฐานและมีปริมาณเพียงพอเพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรม, แก้ปัญหาเรื้อรังในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นของอุตสาหกรรมน้ำตาล, ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของผู้คนในยุคปัจจุบันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยไปสู่ยุคใหม่

สนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นให้ได้รับวงเงินสินเชื่อธุรกิจเพียงพอในการต่อยอดธุรกิจ เป็นกลไกหมุนเวียนรายได้และกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนทั่วประเทศ, ส่งเสริมการสร้างต้นแบบ Smart Farmer สร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงาน, เริ่มบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 สำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ช่วยลดมลพิษจากฝุ่น PM2.5 และกำหนดยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

เมื่อเทียบงบประมาณที่ทั้ง 2 กระทรวงได้รับเป็น % กับภาระงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว จะเห็นได้ว่าทั้งสองกระทรวงได้รับงบประมาณน้อยมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ต้องกำกับดูแล รับผิดชอบทำเรื่องราวต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย 

โดยกระทรวงพลังงานได้รับงบประมาณเพียง 0.1415% ของมูลค่าธุรกิจพลังงานในประเทศโดยรวม และกระทรวงอุตสาหกรรมยิ่งได้รับงบประมาณน้อยกว่าเพียง 0.045% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของประเทศเท่านั้น 

จากผลลัพธ์ที่พูดได้ว่า 'สอบผ่าน' ของทั้งสองกระทรวงนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ตลอดจนคณะทำงาน และข้าราชการของทั้ง 2 กระทรวง ออกแววสานต่อสายเลือดลุงตู่ที่อยู่และทำเพื่อประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ชัดเจนพอดู 

ยิ่งได้เห็นตัวเลขงบประมาณอันน้อยนิดที่ได้รับ แต่ก็ไม่ได้มีการปรับท่าทีใด แถมยังพร้อมลุยงานตามเป้าหมายต่อทันที ก็ยิ่งดูเป็นนิมิตหมายอันดีของชาติ ที่มีคนกล้าเปลี่ยนแนวคิดและความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนานในระบบราชการและการเมืองที่ว่า...

“งานจะสำเร็จได้ต้องมีงบประมาณมากพอเท่านั้น” มาเป็น “หากมี ‘ความตั้งใจ’ แล้ว แม้ ‘งบประมาณจะน้อย’ แต่งานก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้”

‘ผู้สร้างหนัง 2475’ ชี้!! จะฝ่ายไหนก็ไม่สำคัญเท่าความจริง ขอแค่คนไทยได้เรียนรู้และทวงคืนความเป็นธรรมให้รัชกาลที่ ๗

เมื่อวานนี้ (21 มี.ค. 67) จากกรณีที่ น.ส.สุดา พนมยงค์ และนางดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล ทายาทหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ ออกมาเคลื่อนไหวถึงข้อคิดเห็นบางประการเรื่องที่ฝ่ายอธรรมกําลังปลุกกระแส โดยสร้างและเผยแพร่ ภาพยนตร์ 2475 อยู่ในขณะนี้ หลังการฉายภาพยนตร์แอนิเมชันประวัติศาสตร์เรื่อง ‘2475 Dawn of Revolution’ ผลงานของผู้กำกับ ซัง-วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผ่านออนไลน์ โดยเปรียบตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะ ระบุว่า สถาบันปรีดีฯ จะไม่ตอบโต้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดยตรง เพราะทําให้เข้าทางฝ่ายตรงข้าม ที่หวังสร้างข้อมูลเท็จ บิดเบือนประวัติศาสตร์ ยั่วยุเพื่อให้เกิดกระแสด้านลบ

โดยสถาบันปรีดีฯ เผยแพร่ความรู้ และข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อผู้ที่สนใจจะสามารถสืบค้น เข้าถึงได้สะดวกขึ้น และตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เคยมีการสร้างสื่อในลักษณะใส่ร้ายและโจมตีการอภิวัฒน์ 2475 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากสังคม จึงไม่ประสบความสําเร็จในการปลุกกระแสดังกล่าว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะ กับฝ่ายอธรรม ยังคงดำเนินต่อไปในสังคมอีกยาวนาน ขอบคุณกรรมการทุกท่าน ที่ได้ช่วยกันพิจารณาวิถีทางรับมือกับกระแสดังกล่าว และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่านยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เฟซบุ๊กของนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘2475 Dawn of Revolution’ โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ แล้วแอนิเมชันของเราเกือบจะล้มไปหลายครั้ง และผมเริ่มมีความคิดหนึ่งในหัวว่า หรือเรากำลังทำสิ่งที่ผิด เราจึงมีอุปสรรคมากมายเหลือเกิน เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้เราทำ

วันหนึ่ง ผมไม่รู้จะไปต่อยังไงแล้ว ผมจึงไปพิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า พนมมืออธิษฐานต่อพระองค์ว่า “ถ้าผมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขอให้ผมหมดหนทางไปต่อ ให้งานนี้ล้มเหลว และไม่สามารถเผยแพร่ได้ แต่ถ้าผมทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ขอพระองค์ทรงช่วยให้มีปาฏิหาริย์ ทำให้ผมสามารถทำงานนี้เสร็จ และประสบผลสำเร็จ”

ผมไม่รู้หรอกว่า ปาฏิหาริย์ หรือความดันทุรัง แอนิเมชันตัวนี้มันจึงมาถึงจุดหมายปลายทางได้ เราเจ็บปวดที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านที่เป็นผู้ซึ่งคอยประนีประนอม ประสาน และประคอง ให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด แต่กลับถูกกล่าวร้าย ถูกกระทำต่างๆ นานา แม้จนปัจจุบัน

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการถูกชี้ว่าเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ทุกคนต่างเป็นตัวเอกในเรื่องราวของตัวเอง เป็นเรื่องปกติ เราเพียงแค่ต้องการคืนความเป็นธรรมให้พระองค์ท่าน และคนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้

จะเป็นฝ่ายไหน ก็ไม่สำคัญเท่าความจริง"

“เราเห็นประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าประวัติศาสตร์ปัจจุบันไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับรัชกาลที่ 7 เท่าไร คือเราอ่านประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าท่านถูกกระทำต่างๆ มากมาย ด้วยความที่กระแสของประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนกันขึ้นมาในยุคหลังๆ มักจะเน้นไปในทางโจมตีทำให้การเสียสละของพระองค์ด้อยค่าลง เราแค่รู้สึกว่าเราอยากคืนความเป็นธรรมให้พระองค์ อยากให้คนไทยรู้ว่าท่านสู้เต็มที่แล้ว ท่านพยายามเต็มที่แล้วที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองมันราบรื่นที่สุด” นายวิวัธน์ กล่าว

นายวิวัธน์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ ออกประกาศคณะราษฎร ผู้คนก็รู้สึกโกรธแค้นกันมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ทั้งการก่อหวอดทำร้ายคณะราษฎร หรือก่อกบฏหรือปฏิวัติอะไรขึ้นมาอีก ในเวลานั้น รัชกาลที่ 7 ท่านก็ส่งจดหมายไปยังพระประยูรญาติ ขออย่าเคลื่อนไหวใดๆ จากนั้นเมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รวมถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา แกนนำคณะราษฎร มาขอพระราชทานอภัยโทษ รัชกาลที่ 7 ท่านก็เขียนจดหมายส่งไปเพิ่มเติมอีกฉบับว่าปรับความเข้าใจกันแล้ว

ซึ่งรัชกาลที่ 7 ได้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรักษาความสงบ ให้ประเทศไทย (หรือสยามในเวลานั้น) เดินไปได้ แม้กระทั่งช่วงที่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายมาเจรจากัน อย่าทะเลาะตีกันเพราะคนไทยไม่ควรมาฆ่ากันเอง ตนจึงมองว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเสียสละให้ทุกอย่างแล้ว แต่ประวัติศาสตร์แนวใหม่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเหล่านี้ 

'กรณ์' ทึ่ง!! รสชาติอาหารไทยสุดจี๊ดใน Soho ลอนดอน แม้ไม่ได้ขายความเป็น 'ร้านไทย' แต่สัมผัสได้ถึงไทยแท้

ไม่นานมานี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแชร์ประสบการณ์สุดทึ่ง หลังจากได้ไปทานร้านอาหารย่าน Soho ที่ลอนดอน ซึ่งเสิร์ฟอาหารไทยแนว Street food ว่า...

ร้านอาหารย่าน Soho ที่ลอนดอน เป็นร้านบริหารโดยฝรั่งที่กล้าเสิร์ฟอาหารไทยแนว Street food ในบรรยากาศและการออกแบบร้านแบบเท่ๆ เมนูฉีกแนวจากร้านไทยทั่วไป ในราคาที่อยู่ในมาตรฐานร้านฝรั่งหรือร้านญี่ปุ่นในระดับเดียวกัน

ร้านเล็กแต่เป็นที่นิยม ตอนเที่ยงเราไปยืนรอร้านเปิดอยู่คู่แรก กว่าจะเปิดมีคิวยาวเต็มที่นั่งในร้านพอดีๆ 

ระหว่างรอ เราเห็นรถมาส่งวัตถุดิบในกล่องโฟมขนาดใหญ่สามกล่องซึ่งเพิ่งเดินทางมาบนเครื่องการบินไทย - อันนี้เพิ่มความมั่นใจในความจริงจังของพ่อครัว

ซึ่งในร้านไม่มีคนไทยทำครัว ไม่มีพนักงานคนไทยเลย แต่อาหาร Authentic และอร่อยมาก รสชาติและความเผ็ดอยู่ในระดับต้นๆ ที่หาทานได้ในประเทศไทย 

ในร้านไม่ได้เสิร์ฟเบียร์ไทย แต่เสิร์ฟสาเก และเหล้าไวน์เหมือนร้านฝรั่งทั่วไป

คือเขาไม่ได้ขายความเป็น 'ร้านไทย' แต่เขาขายอาหารที่อร่อย ที่เขาพบและชอบที่เมืองไทย และขายในบรรยากาศชิลๆ

และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ (จากฝรั่ง) ว่า ‘jin toob’ (จิ้นตุ๊บ) คืออะไร น่าอายสำหรับหลานคนลำปางคนนี้ 😅#kilnsoho


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top