Friday, 30 May 2025
TheStatesTimes

กฟผ. ปรับดีไซน์ใหม่ ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ดึงแน็ก-ชาลี และศิลปิน “พาราด็อกซ์” เป็นพรีเซนเตอร์ หวังปลุกพลังคนรุ่นใหม่ประหยัดไฟ ผ่านเพลง “ฤดูเซฟ”

กรุงเทพมหานคร - เข้าสู่ฤดูร้อน ความต้องการใช้ไฟฟ้าของคนไทย ก็เข้าสู่ช่วงพีคด้วยเช่นกัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หนึ่งในหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รู้คุณค่า ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จึงเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนไทยมากกว่า 30 ปี มีการเปลี่ยนรูปแบบดีไซน์ให้เข้ากับยุคสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จนถึงทุกวันนี้ 

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เผยถึงความเป็นมาของฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ว่า “กฟผ. ต้องการให้คนไทยใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพมาตั้งแต่ ปี 2536 ได้เปิดตัว “โครงการประชาร่วมใจ ประหยัดไฟฟ้า” (Together Conservation) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5” กฟผ. ได้ผลักดันให้เกิดมาตรฐานระดับประสิทธิภาพพลังงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงด้วยการติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน ในปี 2538 ได้ดำเนินการรับรองฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานผลิตภัณฑ์แรกและได้ขยายขอบข่ายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และปี 2567 กฟผ.ได้พัฒนารูปแบบฉลากฯ ใหม่ และปรับระดับประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเบอร์ 5 ห้าดาว โดยผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกซื้อ, การใช้งาน และหมดช่วงอายุการใช้งาน ผ่านการสแกน QR Code ซึ่งเป็นการพัฒนาฉลากฯ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เพื่อสนับสนุนนโยบายและเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า และมีประสิทธิภาพด้านผู้ผลิตและผู้นำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับสร้างทัศนคติการประหยัดไฟฟ้าแก่ประชาชน ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้า พร้อมเสนอทางเลือกในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงแสวงหาเทคโนโลยีการประหยัดไฟฟ้า  การบริหารการใช้ไฟฟ้าเพื่อนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคและประเทศชาติโดยรวม”

สำหรับการเปลี่ยนดีไซนใหม่ครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ นอกจากจะมีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์แล้ว ยังดึงเอา Music Marketing เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรุกตลาดด้วย “ กฟผ.เล็งเห็นความสำคัญของการตลาดผ่านเพลง ที่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาจากเพลงที่เป็นที่นิยม ติดหูคนฟังหลายเจนเนอเรชันอยู่แล้ว มาใช้ในการสื่อสารสามารถสร้างการจดจำ และช่วยสร้างภาพจำให้กับแคมเปญได้เป็นอย่างดีในระยะเวลาสั้น เราจึงเลือกใช้กลยุทธ์แบบ Music Marketing เราทำการคัดเลือกเพลงดังอยู่หลายเพลง จนได้เพลงคุ้นหู ฤดูร้อน ของวงพาราด็อกซ์ (Paradox) ซึ่งตรงกับช่วงหน้าร้อนที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง จึงมองว่าการนำเพลงมาดัดแปลงเนื้อร้อง ให้เป็น ฤดูเซฟ จะสร้างการจดจำได้เป็นอย่างดี พร้อมทำมิวสิควิดีโอ หลังจากที่ปล่อยซิงเกิลนี้ออกไป ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี มียอดรับชมทั้งมิวสิค วิดีโอ และหนังโฆษณา รวมแล้วกว่า 10,000,000 ครั้ง และเป็นไวรัล ในโซเชียลได้เป็นอย่างมาก ทำให้ยอดผู้ติดตามโซเชียลมีเดียของ กฟผ. เพิ่มขึ้นและถูกแชร์ออกไปเป็นวงกว้าง 

และอย่างที่ทราบกันแล้วว่า พรีเซนเตอร์คนใหม่ล่าสุด คือ แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์ เพราะว่ามีคาแรคเตอร์ชัดเจน คนไทยคุ้นเคย และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่นเดียวกันกับศิลปินนักร้องวงพาราด็อกซ์ ที่มีเพลงติดหูอยู่หลายเพลง ซึ่งทั้งสองศิลปินดังกล่าว รู้จักทุกวัย จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสื่อสารเรื่องฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์แบบใหม่นี้ ให้เข้าถึงคนไทยทั้งประเทศได้ ผ่านแคมเปญการตลาดในรูปแบบ Music Marketing ที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากนี้ เราวางแผนประชาสัมพันธ์ในสื่อทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก, ยูทูป, ติ๊กต๊อก และช่องทางออฟไลน์ เช่น สื่อโทรทัศน์ และสื่อนอกบ้าน ป้ายโฆษณา ควบคู่ไปกับแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าถึง ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เพราะเรามองว่า เรื่องการประหยัดพลังงานเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญร่วมกัน สำหรับแคมเปญปรับโฉมใหม่ ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เราคาดหวังว่า ประชาชนคนไทย จะใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แบบใหม่ 5 ดาว เพื่อช่วยกันประหยัดไฟ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเข้าถึงข้อมูลด้านพลังงานให้มากขึ้น ส่วนภาคผู้ผลิต เราต้องการให้เกิดการแข่งขันด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกำหนดข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม หากทั้งสองส่วนร่วมกัน ก็จะนำไปสู่เป้าหมายในภาพรวม คือ การลดการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมพาประเทศ มุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของเราด้วย” นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กล่าว

ด้าน 2 พรีเซนเตอร์ นำโดย แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์ เล่าถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในแคมเปญนี้ว่า “ผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน ไม่ว่าพักผ่อน เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ไลฟ์โซเชียล เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าตลอด เครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งบ้านก็จะต้องติดฉลากเบอร์ 5 พอรู้ว่าได้มาทำงานตรงนี้ ผมและพี่ๆ รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เป็นตัวแทนจาก กฟผ. มารณรงค์ให้เพื่อนๆ ใส่ใจในการใช้ไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า สำหรับฉลากฯใหม่ รู้สึกทันสมัยมากขึ้น เข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้น มีความสดใส ไฉไลมากขึ้นครับ ผมอยากให้คนไทยได้ร่วมรักษ์โลกไปกับพวกเรา ผมแน็กชาลี และพี่ๆ พาราด็อกซ์ โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 รูปแบบใหม่ 5 ดาว รับรองว่า ประสิทธิภาพของการประหยัดไฟพลังงานดีแน่นอนครับ” 

ทางด้านศิลปินนักร้อง วงพาราด็อกซ์ กล่าวเสริมด้วยว่า “พวกเราจะใช้ชีวิตด้วยกันในห้องอัดอยู่บ่อยๆ ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จริงๆ ไม่ใช่แค่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ข้าวกล้อง เสื้อผ้า และผ้าม่าน ที่ได้รับการติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เช่นกัน พวกเรารู้สึกดีใจมากๆ ครับ ที่ได้มาเป็นพรีเซนเตอร์ แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ อยากฝากถึงคนไทยทุกคน เวลาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า อยากให้มองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับติดฉลากเบอร์ 5 แบบใหม่ 5 ดาว เป็นอันดับแรก เพราะนอกจากจะช่วยชาติประหยัดพลังงานแล้วยังประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยครับ” สองพรีเซนเตอร์ กล่าวทิ้งท้าย 

ติดตามความเคลื่อนไหวและอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/EGAT.Official

'WAVE' แต่งตั้ง 'อรรถวิชช์' นั่งแท่นประธานกรรมการบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป

(18 มี.ค.67) นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE ดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ธุรกิจเพื่อสุขภาพ และธุรกิจที่สนับสนุนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า...

ทางบริษัทฯ ได้ทำหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2567 โดยมีมติแต่งตั้ง 'นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี' เป็นกรรมการใหม่ และประธานกรรมการบริษัทแทนนายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ที่ได้ลาออกไป โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2567 เป็นต้นไป

สำหรับ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี นอกจากเป็นนักการเมือง อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตเลขาธิการพรรคกล้า อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร หลักสี่ บางซื่อพญาไท พรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย กรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ขณะที่ตำแหน่งในบริษัทจดทะเบียน ปัจจุบันยังเป็นกรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN ) 

สิ้น!! 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้าง 'Sparko Box' ต้นแบบ 'คาราโอเกะ' เครื่องแรกของโลก

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'อัตสึมิ ทาคาโนะ' ลูกสาวของ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ได้ออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้างเครื่องคาราโอเกะเครื่องแรกของโลกได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 100 ปี โดย 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' สร้างเครื่องคาราโอเกะมาตั้งแต่ปี 1967 โดยตั้งชื่อให้มันว่า 'Sparko Box' เป็นอุปกรณ์ลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเทปคาสเส็ต 8 แทร็ก สามารถบรรเลงเสียงเพลงจากเทปให้ผู้คนได้ร้องตามแบบอัตโนมัติ โดยที่คนร้องต้องอ่านเนื้อเพลงจากสมุดเล่มเล็กที่แถมมาให้

'Sparko Box' จะมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากผู้ที่ได้ลองใช้งานตามคลับและบาร์ แต่บรรดาเจ้าของบาร์ต่างพากันตีกลับเครื่องร้องคาราโอเกะดังกล่าวกลับไปยังโรงงานภายในเวลาไม่นาน เพราะเกิดกระแสความหวาดกลัวขึ้นในหมู่นักร้อง-นักดนตรีสมัยนั้น โดยกลัวว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จ 

ต่อมาปี 1970 'ไดสุเกะ อิโนะอุเอะ' นักดนตรีชาวญี่ปุ่นได้สร้างเครื่องร้องคาราโอเกะชื่อว่า '8 Juke' ขึ้นพร้อมทั้งมีการปรับแต่งคีย์เพลงต่างๆ ให้คนทั่วไปสามารถร้องตามได้ง่ายขึ้น ก่อนจะกลายเป็นต้นแบบของเครื่องร้องคาราโอเกะที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ก็ยังได้รับการจดจำในฐานะบุคคลผู้ประดิษฐ์เครื่องคาราโอเกะเป็นเครื่องแรกของโลก

20 มีนาคม พ.ศ. 2280 วันคล้ายวันพระราชสมภพ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี บูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสยามประเทศ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิม ด้วง หรือ ทองด้วง เป็นบุตรพระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการกรมอาลักษณ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีกรมพระคลังในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับท่านหยก ธิดาเศรษฐีจีน มีพระบรมราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 

ต่อมาได้ทรงรับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต จนพระชนมพรรษาครบ 21 พรรษา ได้ทรงผนวช ณ วัดมหาทลายพรรษาหนึ่ง หลังจากทรงลาผนวชแล้วทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงอีกครั้ง ครั้นพระชนมพรรษาได้ 25 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นหลวงยกกระบัตร ออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2311 หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จเข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปปราบก๊กต่าง ๆ จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจ ต่อจากนั้นทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นแม่ทัพไปปราบหัวเมืองต่าง ๆ หลายครั้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบให้เป็นพระยายมราช และทรงทำหน้าที่สมุหนายกด้วย 

ในปีต่อมาทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก รับพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ครั้น พ.ศ. 2324 ได้เกิดเหตุจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องยกทัพกลับจากเขมรเพื่อปราบจลาจล และได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา 

ทั้งนี้ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า ‘กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’ หรือเรียกอย่างสังเขปว่า ‘กรุงเทพมหานคร’

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า ’สงครามเก้าทัพ‘ นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า ’กฎหมายตราสามดวง‘ สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงรับการยกย่องเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย พระองค์ทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่าเป็น มหาราช เพราะทรงได้รับชัยชนะจากสงครามเก้าทัพนั่นเอง

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน  พ.ศ. 2352 พระชนมพรรษาได้ 73 พรรษา

'หม่าล่าทั่ง' ของเด็ดประจำเมือง 'เทียนสุ่ย' นทท.แห่ลิ้มลองไม่ขาดสาย ชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว ‘น้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชา-เส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ’

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยามฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและสวยงาม บรรดาร้านหม่าล่าทั่งใน ‘เทียนสุ่ย’ เมืองโบราณเก่าแก่พันปี ณ มณฑลกานซู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้ต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วยอาหารรสชาติเผ็ดร้อนกลิ่นหอมหวนนี้

โดย หม่าล่าทั่ง ของแต่ละภูมิภาคในจีนจะมีรสชาติแตกต่างกัน แต่ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คนเหมือนกัน โดยหม่าล่าทั่งของเมืองเทียนสุ่ยมีเอกลักษณ์เฉพาะจากน้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชาและกลิ่นหอมเตะจมูกบวกกับเส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ ชวนผู้คนต่อแถวซื้อยาวเหยียด

เมืองเทียนสุ่ยมีย่านการค้าที่รวบรวมร้านหม่าล่าทั่งอันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักบนโลกอินเทอร์เน็ต ที่ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าลองลิ้มชิมรสกันไม่ขาดสาย ดังเช่นร้านของ ‘ฮาไห่อิง’ ผู้เผยว่าแต่ละวันรับลูกค้ามากกว่า 700 คน

ด้าน ต่งจิ้งเหยียน วัย 29 ปี จากเมืองต้าชิ่ง มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทียนสุ่ยกว่า 1,000 กิโลเมตร ได้ดั้นด้นลากกระเป๋าสัมภาระมาต่อแถวรอชิมหม่าล่าทั่ง เมนูที่เธอบอกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางไกลมารับประทานถึงที่

ทั้งนี้ เมืองเทียนสุ่ยจัดบริการรถโดยสารสายหม่าล่าทั่งเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวฟรี พร้อมทีมอาสาสมัครประจำสถานีขนส่ง จุดชมวิว และร้านหม่าล่าทั่งชื่อดัง คอยแนะนำการ ‘ชอปปิง-กินเที่ยว’ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญขยายเวลาเปิดทำการ

นอกเหนือจากหม่าล่าทั่งแล้ว เมืองเทียนสุ่ยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติน่าสนใจมากมาย เช่น หมู่ถ้ำหินแกะสลักม่ายจีซาน พิพิธภัณฑ์เมืองเทียนสุ่ย พื้นที่ชมวิววัดฝูซี ฯลฯ

คนแวดวงอุตสาหกรรมมองว่าตลาดวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองเทียนสุ่ยจะเข้าสู่ช่วงคึกคักมีชีวิตชีวาและปลดปล่อยพลังการบริโภคเพิ่มขึ้นตามการมาถึงของช่วงหยุดสั้นยาวต่างๆ เช่น เทศกาลชิงหมิง วันหยุดแรงงาน และอื่น ๆ

19 มีนาคม พ.ศ. 2502 ‘ในหลวง ร.9’ ทรงพระบรมราโชวาทแก่ ‘ทหารค่ายเสนาณรงค์’ “ประเทศเราอยู่มาได้แต่โบราณ ต้องอาศัยความสามัคคี-ความพร้อมเพรียงของทุกคน”

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน ณ ท่าเรือเทศบาลสงขลาเพื่อประทับเรือยนต์ ‘พัทลุง’ ซึ่งจัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง ทอดพระเนตรทะเลสาบสงขลา วิถีชีวิตของชาวบ้านและการแข่งเรือของชาวประมงในทะเลสาบสังขลา ชาวบ้านจัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติอย่างสวยงามไว้กลางน้ำเพื่อรับเสด็จ ปัจจุบันเรือพัทลุงได้รับการซ่อมแซมและขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรจอดอยู่ในคลองลำปำ หลังวังเจ้าเมืองพัทลุง

ในวันเดียวกันนี้หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จทอดพระเนตรกิจการของสถานีการยางคอหงส์แล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังค่ายเสนาณรงค์ ทรงมีพระปฏิสันถารและพระราชดำรัสตอบแก่ทหารและข้าราชการที่มารอรับเสด็จดังนี้

“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมค่ายเสนาณรงค์ ซึ่งค่ายนี้เป็นค่ายของกองทัพบกที่อยู่ทางใต้ที่สุดของประเทศไทยเรา อาณาเขตกรมผสมที่ 5 ที่จะต้องปกครอง ที่ต้องป้องกัน ที่เป็นอาณาเขตที่สำคัญ ยิ่งเป็นชายแดนข้าพเจ้าก็พอใจที่ท่านได้ฟัง ท่านแสดงความเจตนาอันแน่วแน่ที่จะทำหน้าที่ป้องกันประเทศ โดยที่ท่านได้กล่าวเสียงให้คำปฏิญาณ ขอให้การเปล่งเสียงปฏิญาณนั้นจงเป็นสัญลักษณ์ว่าทุกคนจะทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถในเวลาปกติไม่ทำสงคราม ทหารก็มีหน้าที่หลายอย่าง แต่หน้าที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือฝึกฝนอดทนและเรียนรู้ความรู้ต่างๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอเพื่อที่จะให้ตนเองดีขึ้นมีความสามารถดีขึ้น และให้หมู่คณะเข้มแข็งขึ้น ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของทหารมาก่อนอื่น คือต้องรู้จักรักชาติ การเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศเราอยู่มาได้แต่โบราณก็ต้องอาศัยความสามัคคีและความพร้อมเพรียงของทุกคน ขอให้ทหารทุกคนมีกำลังใจกำลังกายที่จะประกอบกิจการของตน เพื่อให้เป็นกำแพงป้องกันประเทศชาติในเมื่อมีความจำเป็น ขอให้ค่ายเสนาณรงค์นี้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปชั่วกาลนาน”

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถ ทรงเยี่ยมเหล่าทหารและข้าราชการที่ค่ายเสนาณรงค์แล้ว จึงเสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังโรงเรียนหาดใหญ่ (ปัจจุบันคือโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย) ประทับ ณ พลับพลา ที่ประทับ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 16.45 น. เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรซึ่งมีทั้งคณะครู นักเรียน ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จอย่างหนาแน่น

ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักเขาน้อย ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งทอดพระเนตรซุ้มรับเสด็จของอำเภอหาดใหญ่ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

'รมว.ปุ้ย' เตือน!! อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต้องเร่งเครื่อง ปรับจุดเปลี่ยนให้เป็นโอกาส

(18 มี.ค. 67) อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยนั้น ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สามารถสร้างรายได้ทั้งในประเทศและการส่งออกได้อย่างมากในทุก ๆ ปี อ้างอิงจากข้อมูลของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ในปี 2566 มียอดการผลิตรถยนต์ในเดือน ม.ค.-ธ.ค. รวมทั้งสิ้น 1,841,663 คัน และมีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในช่วงดังกล่าวรวม 1,117,539 คัน มูลค่าการส่งออก 719,991.98 ล้านบาท แต่หากว่ามีการรวมกลุ่ม เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ จะส่งผลให้มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 1,046,201.01 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าที่สูงอย่างมาก

ขณะที่ในปี 2567 นี้เอง กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.ก็ยังได้ประมาณการผลิตรถยนต์รวมทุกประเภทว่าจะอยู่ที่ 1,900,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่ 3.17% แยกเป็นผลิตเพื่อการส่งออกที่ 1,150,000 คัน การผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ 750,000 คัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศนั้นยังเป็นกลุ่มที่สามารถจะสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนั้นก็มีเรื่องที่ต้องจับตาและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น และสามารถตอบสนองความต้องการของคนในสังคม รวมทั้งเทรนด์ของโลกได้

เนื่องด้วยปัจจุบันที่โลกกำลังเร่งเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อที่จะมุ่งไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์นั้น ทำให้กระบวนการทำงานต่าง ๆ ถูกปรับเปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับบริบทนั้น ๆ รวมไปถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญและพัฒนาความนิยมไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี โดยประเทศไทยตื่นตัวกับเรื่องนี้มาสักระยะหนึ่ง

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เคยกล่าวไว้ในการปาฐกถาในหัวข้อ ‘ยุทธศาสตร์ยานยนต์ไทย สู่…ท็อปเทนโลก’ ว่า “เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะสามารถกลับมาเป็นเสือที่ตื่นและผงาดอยู่ในท็อป 10 ของฐานการผลิตยานยนต์ และยานยนต์ไฟฟ้าของโลก พร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรักษาโลกส่งต่อให้คนรุ่นหลัง”

โดย น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลก แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบมากมายเช่นกัน อาทิ ภาพสัดส่วนของยานยนต์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร เครื่องยนต์สันดาป (ไออีซี) จะหายไปเลยหรือไม่ สุดท้ายแล้วยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะครองโลกหรือไม่ โดยไทยต้องมียุทธศาสตร์ทั้งรุกและรับ ต้องลุยไปข้างหน้าในขณะที่ยังต้องมีความยืดหยุ่นปราดเปรียวพร้อมปรับตัว ก้าวย่างต้องมีจังหวะที่พอเหมาะพอดี ไม่ช้าจนตกเวที ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน แต่ก็ไม่เร็วจนหลุดโค้ง

“การที่ประเทศไทยจะรักษาความเป็นฐานการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ผสมผสานในหลาย ๆ ด้านทั้งยุทธศาสตร์ในเชิงรุก ใช้จุดแข็งที่ไทยมีในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในภูมิภาค เพื่อเร่งปรับตัวก้าวให้ทันกับกระแสของอีวี ยานยนต์ไฟฟ้า และยุทธศาสตร์ในเชิงรับ ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมให้สามารถยืนหยัด พัฒนายานยนต์เดิมให้สะอาดและประหยัดขึ้น และส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ประเภทเชิงพาณิชย์ ซึ่งยังไม่มีผู้เล่นในตลาดโลกมากนัก ถือเป็นโอกาสของผู้ผลิตของไทยที่ยกระดับการเป็นผู้ผลิตและการทำตลาดในประเทศและการส่งออก” น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้าน นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ไทยต้องสนับสนุนคือเรื่องพลังงานหมุนเวียน พลังงานสีเขียวมากขึ้น เพราะบริษัทต่างชาติให้ความสำคัญเรื่องนี้ในการเข้ามาตั้งโรงงาน นอกจากนี้รัฐบาลต้องส่งเสริมเรื่องคนในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า เนื่องจากการมีโรงงานเข้ามาตั้ง เพราะหากประเทศมีความพร้อมทางภาคแรงงานจะสามารถสร้างการยอมรับจากประเทศอื่น ๆ ได้ และมีโอกาสกระจายสินค้าจากไทยไปต่างประเทศได้มาก โดยด้านคนหรือแรงงานนั้นเรื่องที่ต้องโฟกัสคือด้านหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษาในปัจจุบัน เพื่อรองรับตลาดแรงงานในอนาคต รัฐต้องจับมือกับเอกชนพัฒนาให้แรงงาน นักศึกษา มีสถานที่ฝึกงาน และต้องผลักดันให้เกิดการร่วมทุนการค้าไทย

ด้าน นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอเชียเป็นตลาดใหญ่สุดในยอดขายรถยนต์ และเป็นอีวี 9.9 ล้านคันทั่วโลก เท่ากับ 14% โดยตลาดที่มีอัตราเติบโตคือ ตลาดที่ไม่มีพลังงานของตัวเอง สำหรับประเทศไทยรถยนต์สันดาปหรือรถน้ำมันจะยังไม่หายไปจากตลาด แต่เป็นโจทย์ที่ต้องกลับมาถามว่าทำอย่างไรให้รถยนต์สันดาปและอีวีโตไปด้วยกัน โดยรถอีวีเป็นตัวเสริม

ประเทศไทยยังขาดเรื่องแบตเตอรี่อยู่ เนื่องจากรัฐยังมองเป็นเรื่องวัตถุต้องห้าม ต้องทดสอบ จึงเป็นอุปสรรคมากกว่าโอกาส จึงอยากให้ภาครัฐส่งเสริมความต้องการในประเทศก่อน ซึ่งไทยพร้อมในทุกเรื่องของรถอีวีแล้ว โดยภาคเอกชนไทยเองก็มีศักยภาพ แต่ยังไม่โดดลงมาเล่น อยากให้รัฐบาลส่งเสริมให้เอกชนเข้ามา ซึ่งเอกชนไทยสามารถทำได้แน่ทั้งเรื่องการผลิตและรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์อีวี

“การทำให้ไทยติดท็อป 10 ผู้ผลิตรถไฟ้าทำได้ไม่ยาก แต่การทำให้ยั่งยืนถือเป็นเรื่องยาก เมื่ออุตสาหกรรมถูกดิสรัปชันแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะโลกเปลี่ยนตลอดเวลา เราต้องเป็นเจ้าของเทคโนโลยีถึงจะช่วยให้เกิดความยั่งยืน ไม่เช่นนั้นจะถูกคู่แข่งแซง เพราะตลาดไทยไม่ใหญ่” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า กติกาการค้าใหม่จะใช้เรื่องสิ่งแวดล้อมมากีดกันทางการค้า มองว่าไทยมีโอกาสมากกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร จึงเห็นว่าจีน ยุโรป มาลงทุนในไทย การผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวเสริมมาช่วยลดการกีดกันทางการค้า อยู่ที่ไทยจะฉวยโอกาสได้อย่างไร

ด้วยคำว่ากติกาใหม่นี่เอง จึงเป็นอีกด้านที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยจะต้องจับตา เพราะในปัจจุบันมีหลายประเทศเดินหน้าทำมาตรฐานใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าของไทย โดยล่าสุดอย่างที่ประเทศออสเตรเลียได้ออกกฎหมายการกำหนดมาตรฐานมลพิษใหม่ของรถยนต์ที่จัดจำหน่ายในประเทศออสเตรเลีย หรือที่เรียกว่า New Vehicle Efficiency Standard-NVES ที่มีแผนการบังคับใช้ในปี 2568 และหากมีการบังคับใช้มาตรฐานนี้จะส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์ของผู้ประกอบการในประเทศไทย และอาจทำให้การส่งออกจากประเทศไทยลดลง

ซึ่งปัจจุบันไทยมีการส่งออกรถยนต์ไปยังออสเตรเลียประมาณ 260,000 คันต่อปี และออสเตรเลียนำเข้ารถกระบะจากประเทศไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็น 48.25% ของปริมาณการนำเข้ารถกระบะทั้งหมด และหากมีการบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวแล้วรถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดจะมีค่าปรับสูงมากถึง 100 เหรียญฯ/กรัม/กิโลเมตร และล่าสุดผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบได้ประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยต้องการเวลาที่เหมาะสมเพื่อการปรับตัวสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ที่รวมถึงการที่ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตหลายส่วน จึงต้องการขอให้ทางการออสเตรเลียพิจารณาระยะเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 2-3 ปี ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (WTO TBT Agreement)

ขณะที่ ทางออสเตรเลียเองอยู่ระหว่างเวียนแจ้งกฎระเบียบดังกล่าวให้ประเทศสมาชิกมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ภายในวันที่ 30 เม.ย.2567 และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ดำเนินการแจ้งกฎระเบียบดังกล่าวของออสเตรเลียไปยังผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยทุกส่วน เช่น สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เป็นต้น เพื่อรวบรวมและรับฟังความเห็นอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันนางสาวพิมพ์ภัทราได้มีการหารือกับผู้บริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และผู้บริหาร สมอ. เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว

อีกหนึ่งกติกาที่ต้องจับตามอง แม้จะไม่ใช่ด้านยานยนต์โดยตรงแต่ก็อาจจะมีการพัฒนามาจนถึงรูปแบบการเก็บภาษีกับรถยนต์ได้ ก็คือกติกาเกี่ยวกับการดูแลปัญหาขยะพลาสติกที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเริ่มมีการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บ ‘ภาษีพลาสติก’ เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมถุงพลาสติกแล้ว เพราะในยุคที่ทั่วโลกต่างตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติก ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเริ่มมีการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีพลาสติก เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมถุงพลาสติก

โดยจะเห็นได้จากการประกาศใช้ระเบียบเพื่อควบคุมการใช้ด้วยถุงพลาสติกหูหิ้วชนิดบางของสหภาพยุโรปเมื่อปี พ.ศ.2558 (Directive (EU) 2015/720 amending Directive 94/62/EC as regards reducing the consumption of lightweight plastic carrier bags) ที่ห้ามประเทศสมาชิกแจกถุงพลาสติกหูหิ้วกับผู้บริโภค เพื่อควบคุมปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจากถุงพลาสติก แต่ขยะพลาสติกไม่ได้มีเพียงแค่ถุงพลาสติก เมื่อผู้ประกอบการ ผู้ผลิตสินค้าหันมาใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single-use plastics) เพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของผู้บริโภค ทำให้ขยะพลาสติกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมหาศาลและตกค้างรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านนโยบายและมาตรการ European Green Deal ในปี 2562 สหภาพยุโรปได้จัดทำแผนปฏิบัติการเศรษฐกิจหมุนเวียนของสหภาพยุโรป (The EU’s Circular Economy Action Plan) ซึ่งมีการระบุที่จะใช้มาตรการภาษีกับพลาสติกและบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้ ประจวบกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สหภาพยุโรปมองว่าการเก็บภาษีพลาสติกจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติก พร้อมไปกับการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป

มีการคาดการณ์ว่า ภาษีพลาสติกของสหภาพยุโรปนี้จะช่วยให้สหภาพยุโรปมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 7 พันล้านยูโรต่อปี และเป็นแหล่งรายได้ใหม่สำหรับงบประมาณของสหภาพยุโรปในช่วงปี พ.ศ. 2564-2570 แม้จะเป็นการนำร่องดำเนินการในช่วงแรกที่อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบมายังอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ หรือยานยนต์ที่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบ แต่เชื่อว่าโมเดลการดูแลเรื่องขยะพลาสติกนั้นจะถูกพัฒนาไปอีกหลายขั้นตอน จนสุดท้ายแล้วในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งสำหรับภาคการผลิตต่าง ๆ ถึงกระบวนการการกำจัดที่เข้าที่เข้าทางเพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป

สังคมจีนป่วน!! เทรนด์ 'Spicy milk style' เซ็กซี่ฟันน้ำนม ลุกลาม พ่อแม่จีนบ้าจี้ จับลูกแต่งตัวเซ็กซี่ หวังดัง-ดึงดูดเชิงพาณิชย์

สังคมจีนกำลังถกประเด็นร้อน เมื่อเกิดกระแสแฟชั่นฟันน้ำนมใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า 'Spicy milk style' หรือ เซ็กซี่ฟันน้ำนม ที่พ่อ-แม่ชาวจีน นิยมแต่งตัวลูกสาววัยอนุบาลด้วยเสื้อผ้าที่เน้นโชว์สัดส่วน เรือนร่าง ว่าเป็นแค่ 'แฟชั่น' การแต่งตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือ แก่แดดเกินวัยไม่เหมาะสม หรือไม่?

'Spicy Milk Style' มาจากภาษาจีนคำว่า 奶辣风 (หน่ายล่าเฟิน) ที่ไม่ได้หมายถึงหม่าล่าหม้อไฟรสเผ็ดของชาวจีน แต่หมายถึงกระแสแฟชั่นที่พี่พ่อแม่จีนจับลูกเล็ก ๆ ของตนเองมาที่แต่งตัวสไตล์เผ็ด ๆ แซ่บ ๆ ที่ตัดเย็บเลียนแบบเสื้อผ้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กระโปรงรัดรูป เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว ชุดเปลือยหลัง และรองเท้าส้นสูง เป็นต้น 

ไม่เท่านั้น ยังถ่ายรูปลูก ๆ ของตนในชุดเซ็กซี่เผยแพร่ลงใน Weibo เว็บไซต์โซเชียลของจีน จนกลายเป็นไวรัล และสร้างกระแสความนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มพ่อแม่จีนที่ต้องการให้ลูก ๆ ของตนเป็นจุดสนใจ ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ในจีนลงมาแข่งขันผลิตเสื้อผ้าเด็กเล็กที่ออกแนวเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย 

หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คงไม่มีใครนึกออกว่า การจับเด็กวัยอนุบาลมาแต่งตัวเป็นสาวฮอตจะเป็นจุดขายได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ กระแสการแต่งตัวสไตล์เซ็กซี่ฟันน้ำนมมีให้เห็นอย่างมากมายตามสื่อออนไลน์ของจีน หลายครั้งที่มีการเจาะจงใช้นางแบบเด็กเล็กมาแต่งกายในชุดเซ็กซี่ มาโปรโมตขายเสื้อผ้า และ สินค้า เพื่อกระตุ้นยอดวิวอีกด้วย

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มกระแส สังคมจีนยังมองว่าเป็นเพียงการจับเด็กมาแต่งตัวตามแฟชั่น เพื่อสร้างคอนเทนต์ลงในโซเชียล และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการโฆษณา โปรโมตสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น จนชาวจีนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา 

แต่ต่อมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 สื่อท้องถิ่นจีนรายงานข่าวครูประถมของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งพบเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมต้นของตนสวมชุดกระโปรงสั้น เปลือยหลัง มาโรงเรียน เธอจึงเรียกผู้ปกครองมาเพื่อตักเตือนและขอร้องให้เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเมื่อมาโรงเรียน แต่ปรากฏว่าพ่อแม่ของเด็กปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเด็ก 

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อจีนยังพบว่า มียังพ่อแม่ของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่จับลูกสาวของตนแต่งชุดเซ็กซี่เป็นประจำ แถมยังให้โพสต์ท่ายั่วยวนแบบผู้ใหญ่เพื่อแชร์ลงในโซเชียลอีกด้วย โดยให้คำจำกัดความว่าเป็น 'Soft Pornography' - โป๊แบบอ่อน ๆ 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวครูสาวชาวปักกิ่งตักเตือนผู้ปกครองเรื่องการให้ลูกแต่งตัวแบบ 'Spicy milk style' มาโรงเรียนแต่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธก็กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกโซเชียลจีนทันที โดยมีผู้มาถกเถียงในหัวข้อนี้มากถึง 130 ล้านวิว และร่วมแชร์ประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายที่คัดค้านมองว่า เด็กเล็กควรสวมเสื้อผ้าสมวัย เพราะเด็กมีกิจกรรม และการออกกำลังกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ การที่ให้เด็กมาสวมชุดรัดรูป กระโปรงสั้น เปิดเผยสัดส่วน หรือสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเครื่องแต่งกายเหล่านั้นมักดึงดูดความสนใจจากคนแปลกหน้า ที่อาจส่งผลเสียทางอารมณ์ของเด็กเล็ก เช่น ความวิตกกังวล หรือ ขาดความมั่นใจในตัวเองได้ในระยะยาว

อีกทั้งยังเป็นการสร้างค่านิยมด้านความงามที่ผิดให้กับเด็ก ที่ให้ความสำคัญแต่เพียงรูปลักษณ์ความงามภายนอกมากจนเกินไป และยังมีผลต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง หรือเพื่อนวัยเดียวกัน เพราะเครื่องแต่งกายที่แตกต่าง อาจสร้างความแปลกแยกทางสังคมให้เด็กได้ 

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนบางกลุ่มก็มองว่า คำว่าแฟชั่น มีความหมายกว้างกว่า 'เครื่องแบบ' และมีการเติบโตตามยุคสมัยที่มีเสรีภาพในการแต่งกายมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ 'Spicy milk style' ส่วนหนึ่งมาจากพ่อแม่ในยุคมิลเนเนียน หรือพ่อแม่ที่เกิดหลังยุค 1990s ที่นิยมให้ลูกแต่งตัวเหมือนตนเอง หรือแต่งชุด พ่อ-แม่-ลูก แบบเดียวกัน เวลาออกไปเที่ยว แฟชั่นแบบ 'Spicy milk style' จึงเกิดขึ้น และหากพ่อแม่ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูก ๆ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร 

แต่ทั้งนี้ China Daily สื่อของรัฐบาลชี้ว่า ถึงจะเป็นเรื่องแฟชั่นก็ควรมีขอบเขต โดยเฉพาะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก ที่ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเชิงพาณิชย์ หรือ ใช้เด็กในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายอย่างไม่เหมาะสม 

อย่างที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Balenciaga เคยพลาดมาแล้ว ด้วยการให้เด็กเล็กในโฆษณาสินค้าอุ้มตุ๊กตาหมีที่สวมเครื่องพันธนาการทางเพศ หรือแบรนด์เนมหรูอย่าง Louis Vuitton และ Billionaire Boys Club ที่เปิดไลน์เสื้อผ้าเด็ก ก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'เซ็กซี่' ในประโยคที่พูดถึงเด็กเช่นกัน 

ดังนั้นขอบเขตของแฟชั่นเด็กควรอยู่ที่ตรงไหน การใช้เพียงวิจารณญาณของพ่อแม่อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'ภูมิใจไทย' จัดทัพหลวงปูพรมขยายฐาน 'นครศรีฯ' หลังเขต 8 จ่อเลือกตั้งใหม่ 'ปชป.-พปชร.-ก้าวไกล' พร้อมหน้า

27 มีนาคมนี้ นครศรีฯ จะคึกคักอีกครั้ง เมื่อเสนาบดีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปเหยียบเมือง เน้นพื้นที่เขตเลือกที่ 8 

นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสังกัด ตลอดจนกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค จะร่วมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดธาตุน้อย ต.หลักช้าง อ.ช้างกลางในเวลา 15.30 น. 

โดยก่อนเข้าร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้น ในเวลา 14.00 น. นายอนุทินและนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ จะร่วมพบปะผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและตัวแทนสถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เขต 8 ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 

มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จะเดินทางลงมาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน โดยนายชาดาจะแยกเดินทางต่อไปยัง อ.พิปูนและฉวาง เพื่อพบปะกับชาวบ้าน ส่วนนายพิพัฒน์ เข้าพื้นที่ อ.นาบอน เพื่อพบปะพูดคุยกับชาวบ้านและผู้ประกอบการโรงงานยางพารา ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดเวทีปราศรัย ที่ อ.ช้างกลาง มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าคณะ

เป็นการยกทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่เน้นเขตเลือกตั้งที่ 8 นครศรีฯ และเป็นการลงพื้นที่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งฟ้อง 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' ชงให้มีการเลือกตั้งใหม่

โดยพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมหาผู้สมัครแทนไว้แล้ว และเดินสายพบปะประชาชนอยู่ต่อเนื่อง หลัง กกต.ชงศาลให้สั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่าการลงพื้นที่แบบเต็มแม็กของภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการเลือกตั้งใหม่

สำหรับคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทย จะมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันแล้วว่าจะส่ง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส.หลายสมัยที่สอบตกครั้งที่แล้ว ลงพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง

พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันว่า ส่งคนเดิม คือ สุนทร รักษ์รงค์ ที่ครั้งผ่านมาได้อันดับ 2 ที่คงจะสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาแล้ว

พรรคก้าวไกล มีอยู่สองตัวเลือก ชายคนหญิงคน รอสรุปว่าจะเลือกใคร หลังพรรคให้ทั้งสองคนไปทำการบ้านมา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวจันดี อายุ 26 ปี

พรรครวมไทยสร้างชาติก็หึ่มๆ ว่าจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่ภาพยังไม่ชัดนักว่าจะส่งใครลงชิงสำหรับสนามช้างกลาง, ฉวาง, นาบอน, พิปูน

‘ผอ.โรงเรียน’ ที่นครสวรรค์ เผยเก้าอี้-โต๊ะ ผอ. ทุกคนใช้ได้หมด ชี้!! ยุคสมัยเปลี่ยน ครูคือ 'เพื่อนที่ดี' เตือนสติหมดยุคหลงหัวโขน

(18 มี.ค. 67) แม้ว่าเรื่องราว ‘ผอ.หวงเก้าอี้’ กล่าวคือ ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด เสียใจจนแขนขาอ่อนแรงที่ครูสาวรายหนึ่งนั่งเก้าอี้ ผอ. ที่อยู่ในห้องประกันคุณภาพการศึกษา กระทั่ง สพฐ.ตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง พร้อมมีคำสั่งให้ ผอ.รายงานตัวและปฏิบัติราชการที่เขตพื้นที่โดยทันที จะเกิดขึ้นใน 2-3 วันที่ผ่านมา แต่สังคมยังวิจารณ์และถกเถียงประเด็นที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเรื่องความเหมาะสม การยึดติดตำแหน่ง ไปจนถึงการรังแกผู้ใต้บังคับบัญชา

เกี่ยวกับเรื่องราวนี้ น.ส.ปัทมา เสริมสุขต่อ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดท่าแรต อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 2 เปิดเผยมุมมองการใช้งานห้อง ผอ.โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ผอ. ปัทมา ความว่า…

“ห้อง ผอ. เก้าอี้ ผอ. โต๊ะทำงาน ผอ. แอร์ ผอ. โซฟา ผอ. ตู้เย็น ผอ. ทีวี ผอ.ห้องนี้ ผอ.ตั้งใจสร้างและให้ไว้กับโรงเรียนวัดท่าแรต ที่ทุบทำใหม่ทั้งหมด ทุกคนล้วนเข้ามาทำงาน ‘นั่งโต๊ะทำงานและเก้าอี้ ผอ.เลย’

เป็นห้องประชุม ห้องทำงาน ห้องรับแขก ทุกคนล้วนอยากเข้ามาในห้องนี้ คือ ห้องเย็น ‘หนีร้อนมาพึ่งเย็น’

ไม่มีใครกลัว ‘ห้องเย็น’ นี้เลย แถมใครนั่งเก้าอี้ ผอ.ยังบอกเลยอนาคต เธอต้องได้เป็น ผอ. แน่ๆ ไปเรียนบริหารนะ

ซึ่งคุณครูของเรา 1 ท่านก็เพิ่งได้เป็น ผอ. อีก 1 ท่านสอบบรรจุครูผู้ช่วยติด และที่เหลือกำลังจะสมัครเรียนบริหาร

ถ้าไม่มีคุณครู ไม่ส่งเสริม ไม่เข้าใจ ไม่เมตตา เราจะมีทีมที่ดีได้ยังไง ไม่ใช่โลกสวย แต่ยุคสมัยเปลี่ยนแล้ว ‘ครูคือเพื่อนที่ดีของ ผอ.เลย’ นักเรียนคือลูกที่น่ารักของ ผอ.

#อย่าหลงหัวโขน #อย่าเบ่งอำนาจ #ทุกคนเท่าเทียมกัน
#ผอปัทมาโรงเรียนวัดท่าแรต”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top