Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

‘ศูนย์วิจัยกสิกร’ เผย 3 ปัจจัยทุเรียนไทยครองใจคนจีน คาด!! ปี 2567 สดใส ส่งออกทุเรียนไปจีน โต +10%

(19 ก.พ. 67) ศูนย์วิจัยกสิกร เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทุเรียนไทยกลายเป็นดาวเด่นบนเวทีการส่งออกสินค้าไทยไปจีน โดยมีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 18.2% ท่ามกลางสถานการณ์การส่งออกสินค้าไทยโดยรวมที่หดตัวเล็กน้อย -0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หากมองเฉพาะกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่รวมผลไม้ สถิติการส่งออกไปจีนจะหดตัวลงถึง -5.3%

ขณะที่ทุเรียนสดถือเป็นผลไม้ที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุด โดยมีสัดส่วนการส่งออก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักมาจาก

1.ความต้องการบริโภคทุเรียนในตลาดจีนมีมากขึ้นตามความนิยม
2.ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามพื้นที่เพาะปลูก
3.ปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ การขยายช่องทางการขาย อาทิ ช่องทางออนไลน์ และการเพิ่มช่องทางขนส่งทางรางผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว ช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกในการขนส่งได้มากขึ้น ซึ่งในปี 2566 เริ่มมีการส่งทุเรียนผ่านเส้นทางนี้มากขึ้น โดยคิดเป็น 5.7% ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมดไปจีน

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2567 การส่งออกทุเรียนสดไทยไปจีนมีแนวโน้มแตะ 4,500 ล้านดอลลาร์ เติบโต +12% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งการเติบโตจะชะลอลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าปริมาณการส่งออกจะเพิ่มขึ้น +10% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่การเติบโตจะชะลอลงเนื่องจากผลผลิตบางพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน

ในส่วนของราคาส่งออกคาดว่าจะขยับขึ้นเล็กน้อย +2% เมื่อเทียบกับปี 2566 แม้ความต้องการทุเรียนไทยในจีนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ทุเรียนจากคู่แข่งก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน

'พอลล่า ชูการ์ต' ออกแถลงเป็นภาษาไทย ประกาศฟ้อง 'แอน จักรพงษ์' หลังถูกกล่าวหาฉ้อโกง ลั่น!! เป็นการลดทอนคุณค่าผู้ครองมงกุฎที่ผ่านมา

(19 ก.พ.67) แฟนนางงามช็อก หลังจากที่ ‘พอลล่า ชูการ์ต’ อดีตประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์ส ได้ออกแถลงการณ์เป็นภาษาไทยผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ฟาดกลับกรณีที่ถูก ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป กล่าวหาฉ้อโกง รับสินบน พร้อมเตรียมดำเนินคดีกลับ ข้อความระบุว่า

“หลังจากที่ดิฉันได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์สเมื่อเดือนพฤศจิกายน ดิฉันเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมิสยูนิเวิร์ส พร้อมยังยินดีที่จะช่วยเหลือทางองค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยคำแนะนำ คำชี้แนะ จากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาอันยาวนาน

ดิฉันจำเป็นที่จะต้องออกมาแถลงในครั้งนี้ เพราะทางเจ้าขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ได้กล่าวหาดิฉันด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ และทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วดิฉันเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดพวกนั้น แต่การกล่าวหาว่าดิฉันฉ้อโกงและรับอามิสสินจ้างเพื่อให้ประเทศใดประเทศหนึ่งได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สในการประกวดมิสยูนิเวิร์สแต่ละปี

คำกล่าวนี้ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการหมิ่นประมาทในตัวดิฉันเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดทอนคุณค่าของผู้หญิงทุกคนที่ได้ครองมงกุฎมิสยูนิเวิร์สที่ผ่านมาทั้งหมดว่าพวกเธอนั้นเป็นมิสยูนิเวิร์สที่ซื้อตำแหน่งมาโดยไม่ได้เข้าสู่ระบบของการประกวดอย่างเป็นธรรม

ดิฉันไม่สามารถยอมรับคำกล่าวหาที่รุนแรงอย่างไร้การยังคิดเยี่ยงนี้ได้ เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการดูถูกความเป็นมิสยูนิเวิร์สและผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ดิฉันเตรียมดำเนินการทางกฎหมายในประเทศไทย ถึงแม้ว่าการดำเนินการทางกฎหมายของดิฉันจะเป็นเพียงแค่หนึ่งคดีของการฟ้องร้องจากหลาย ๆ คดีที่ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัทเจเคเอ็น (LKN) กำลังเผชิญอยู่ก็ตาม

แต่การออกมาประกาศความจริงและประณามต่อข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ คือ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปกป้องมิสยูนิเวิร์สและชื่อเสียงขององค์กร ก่อนที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมในราชอาณาจักรไทยต่อไป และฉันขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมด

ดิฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปร่วมในข้อถกเถียงข้อโต้แย้งทางสื่อโซเชียล ทุกคนที่รู้จักดิฉันดีย่อมรู้ความจริงทั้งหมดและสิ่งที่ดิฉันยืนหยัดอย่างมั่นคงมาโดยตลอด ดิฉันขอให้ประสบการณ์ทั้งหมดของดิฉันที่ทำงานร่วมกับผู้หญิงที่น่าชื่นชมทั่วโลกเหล่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนและเนื้อแท้ในตัวดิฉันเอง”

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘นักการเมือง’ พยายามจะเข้าเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ชี้!! ขัดประมวลจริยธรรม ซ้ำ!! ‘พักโทษ’ ไม่ได้แปลว่า ‘บริสุทธิ์’

เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความเห็นว่า…

“เห็นมีกระแสข่าวว่านักการเมืองบางคนโดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือจะไปเข้าเยี่ยม/ขอคำปรึกษาจากคุณทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้ากันใหญ่ ซึ่งผมเห็นแล้วไม่สบายใจอย่างมาก 

ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ข้อ 10 (9) กำหนดว่า ข้าราชการการเมืองจะต้องไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนแก่ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือมีชื่อในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน

ในพระราชหัตถเลขาอภัยโทษ กล่าวไว้ชัดแจ้งว่าคุณทักษิณยอมรับว่าได้กระทำความผิดฐานทุจริตจริงตามคำพิพากษา และได้สำนึกผิดแล้ว ประเด็นที่ว่าคุณทักษิณผิดจริงหรือไม่จึงยุติโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องโต้แย้งกันอีกว่าเป็นเพราะรัฐประหารหรือถูกกลั่นแกล้ง และการได้รับการอภัยโทษหรือพักโทษ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณทักษิณจะกลายเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของรับโทษทัณฑ์ สิ่งที่คุณทักษิณทำไปนั้นผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง ซึ่งต่างจากการนิรโทษกรรมที่จะทำให้สิ่งที่กระทำกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความผิด

ดังนั้นจึงต้องถือว่าคุณทักษิณเป็น ‘ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย’ และเป็น ‘ผู้มีชื่อในทางเสื่อมเสีย’ อันอาจกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ซึ่งหากข้าราชการการเมืองคนใดไปคบหาหรือให้การสนับสนุน ก็จะต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดประมวลจริยธรรมข้างต้น และอาจเป็นสารตั้งต้นในการถูกดำเนินคดีทางจริยธรรมต่อไป

ผมจึงอยากฝากให้นักการเมืองทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งแห่งหน ว่าคิดจะทำอะไร หัดเกรงอกเกรงใจประชาชนด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี”

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ลั่น!! ประเทศนี้อยู่ยาก ชี้!! ขื่อแปบ้านเมืองมันผุไปหมดแล้ว

(19 ก.พ. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า เอากันให้เต็มที่ เอาที่สบายใจ ตัวอย่างก็มีแล้ว นักการเมืองโกงกิน คอร์รัปชั่นยิ่งมากยิ่งดีให้ได้หมื่นแสนล้าน มีเงินซื้อได้ทุกอย่าง money buy anythings ซื้อได้ทั้งขี้ข้าและยุติธรมม ไม่ต้องกลัวคุกกลัวตาราง หนีไปหาความสุขเมืองนอกสักพัก ค่อยกลับมารับโทษ นอนโรงพยาบาลไม่กี่วันก็ได้กลับบ้าน

"อย่าซื่อแบบป๋าบุญทรงที่ถูกหลอก หลอกให้รอแล้วรอเล่า หรือพี่เปรมที่กล้าหาญรับโทษ ขื่อแปบ้านเมืองมันผุไปหมดแล้ว แถมซ่อมก็ไม่ได้รื้อไม่ได้ อ้างกฎหมายให้อำนาจมัน กฎหมายมันบิดตะกูดไปหมด ซ้ายก็ได้ขวาก็ดี ฉห. แล้ว ประเทศนี้อยู่ยาก" อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ระบุ

'รัสเซีย' ฮึกเหิม!! เผด็จศึกเบ็ดเสร็จเมือง 'อัฟดิอิฟกา' ความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ครั้งใหญ่ของยูเครน

เมื่อวันอาทิตย์ (18 ก.พ. 67) กองทัพรัสเซียได้ประกาศชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือเมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) ทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งถือเป็นเมืองหน้าด่านสู่แคว้นโดเนตสค์ ที่ปัจจุบันเป็นเขตยึดครองโดยรัสเซีย 

การสู้รบในเมืองอัฟดิอิฟกา ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา โดยกองทัพรัสเซียพยายามที่จะกัดดัน รุกคืบ เพื่อยึดเมืองอัฟดิอิฟกาให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

และแล้ว หลังจากที่ปะทะกันอย่างหนักในอัฟดิอิฟกา มานานถึง 2 ปี กองทัพยูเครน นำโดย พลโท โอเล็กซานดร์ ซีร์สกี ผบ.ทบ.ยูเครนคนล่าสุด ได้ตัดสินใจถอนกำลังออกมาจากเมืองนี้แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพากองทหารออกจากพื้นที่ปิดล้อมของรัสเซีย และรักษาชีวิตพลทหารยูเครน ที่มีอยู่จำกัด จึงถือว่าฝ่ายกองทัพรัสเซียสามารถยึดเมืองนี้ได้แล้วอย่างสมบูรณ์ ซึ่งรัฐบาลมอสโควก็ได้ประกาศชัยชนะอีกครั้งในรอบ 9 เดือนหลังจากพิชิตเมืองบัคมุทได้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว

เมืองอัฟดิอิฟกาสำคัญกับรัสเซียอย่างไร?

อันที่จริง เมือง อัฟดิอิฟกา ก็ไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่ มีประชากรราว ๆ 3.1 หมื่นคน (ก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ซึ่งตัวเมืองมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของเมือง บัคมุท แต่ชาวยูเครนก็รู้จักเมืองเล็ก ๆ นี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ตั้งโรงงานบริษัทโค้กที่ใหญ่ที่สุดในยูเครนมานานตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต 

แต่ขนาดไม่สำคัญเท่าทำเล เนื่องจากเมืองนี้เป็นเหมือนประตูทางเข้า ที่มีถนนวิ่งตรงสู่ใจกลางแคว้นโดเนตสค์ เขตยึดครองสำคัญของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย ดังนั้นการที่กองกำลังยูเครนยกพลมาปักหลักสู้ตายที่เมืองนี้ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงพล และเสบียงขนส่งจากโดเนตสค์เข้าสู่พื้นที่ตอนกลางของยูเครน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ ที่ยูเครนพร้อมยกกองทัพบุกมาโจมตีใจกลางโดเนตสค์ของฝ่ายรัสเซียได้โดยง่าย 

นอกจากนี้ เมืองอัฟดิอิฟกายังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของยูเครนฝั่งตะวันออก ที่นอกจากจะมีเขตอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตโค้กที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และยังเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปแล้ว ยังมีเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของ รีนาท อาห์เมตอฟ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในยูเครนอีกด้วย 

ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่รัสเซียจะทุ่มเททั้งเวลา และทรัพยากรด้านการทหารนานถึง 2 ปี เพื่อบุกโจมตีเพื่อยึดอัฟดิอิฟกาให้จงได้ แม้ต้องถล่มเมืองนี้จนราบเป็นหน้ากลอง ไม่เว้นแม้แต่โรงงานโค้กที่ชาวยูเครนแสนภูมิใจก็ยังไม่เหลือซาก จนสามารถปักธงรัสเซียได้สำเร็จ บนความสูญเสียทหารอย่างมากมายทั้ง 2 ฝ่าย 

แม้หากประเมินพื้นที่ที่รุกคืบได้เพิ่มมีแค่ 29 ตารางกิโลเมตร กับจำนวนทรัพยากรที่เสียไป อาจดูไม่คุ้มค่า แต่สิ่งที่รัสเซียได้มามากกว่าดินแดน ก็คือขวัญกำลังใจทหาร ที่กลับมาฮึกเหิมได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการตอกย้ำ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน ว่าแผนการตอบโต้กองทัพรัสเซีย ที่ถูกใช้เป็นแคมเปญหาทุน และ ความช่วยเหลือด้านอาวุธจากต่างประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดหวัง แม้แต่เมืองอัฟดิอิฟกา ที่เซเลนสกี้เพิ่งไปเยี่ยมเยือน ให้กำลังใจทหารแถวหน้าเมื่อช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมานี้เอง ผ่านไปแค่เดือนกว่า ๆ กลายเป็นของรัสเซียไปเสียแล้ว 

การพิชิตพื้นที่เล็ก ๆ ในเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ จึงกลายเป็นความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ของกองทัพยูเครน ที่ทำให้ชาติพันธมิตรตะวันตกต้องออกมาขยับตัวกันอีกคร้้ง เริ่มจาก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงความกังวลเมืองเห็นว่ากองทัพยูเครนมีแววพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียในอัฟดิอิฟกา และได้กล่าวโทษความเพิกเฉยของสภาคองเกรซในการอนุมัติงบประมาณ และอาวุธเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน 

ด้านเดนมาร์กประกาศยกคลังแสงปืนใหญ่ทั้งหมดที่มีในกองทัพส่งไปให้ยูเครน เมื่อเห็นฝ่ายยูเครนกำลังเพรี่ยงพร่ำเพราะขาดแคลนอาวุธ อีกทั้งยังเรียกร้องใช้ชาติพันธมิตรยุโรป สละยุทโธปกรณ์ของตัวเองไปให้ยูเครนที่มีความจำเป็นต้องใช้ก่อน

ส่วน ฝรั่งเศส และ เยอรมัน เพิ่งเซ็นข้อตกลงฉบับใหม่ที่จะมอบเงินช่วยเหลือด้านการทหารให้ยูเครนเพิ่มอีกในปี 2024 นี้ โดย เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส อนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มให้ยูเครนอีก 3 พันล้านยูโร ส่วน โอลัฟ ช็อลทซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ตั้งใจที่จะอัดฉีดให้ถึง 2.8 หมื่นล้านยูโร ผ่านกองทุนของสหภาพยุโรป ที่จะทำให้เยอรมันกลายเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา

นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างแค่ รัสเซีย กับ ยูเครนมานานแล้ว แต่เป็นการวัดพลังกันระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่ใช้ยูเครนเป็นสนามรบตัวแทน แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นสงครามแล้ว ทุกฝ่ายย่อมคาดหวังชัยชนะ และเมื่อลองได้ร่วมลงทุนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามรบเล็ก หรือใหญ่ ขอชนะไว้ก่อนดีที่สุด

‘คนไทยในสหรัฐฯ’ อวยสังคมมะกันไม่มี ‘กับดักความกตัญญู’ ถ่มถุย ‘สังคมไทย’ พ่อแม่ไม่รู้จักพอ ต้องรอเงินจากลูกๆ ทุกเดือน

เมื่อไม่นานมานี้ จากเพจ ‘SAM Motoring’ ได้นำเสนอคลิปจาก ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่พูดถึงกรณีคนไทยในสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงประเด็น ‘กับดักความกตัญญูของสังคมไทย’ ไว้ว่า… 

‘สิ่งนี้คือความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง ‘สังคมอเมริกัน’ และ ‘สังคมไทย’ นั่นก็คือที่อเมริกาจะไม่มีวัฒนธรรมเกี่ยวกับดักความกตัญญู ซึ่งก็คือเรื่องการส่งเงินให้กับพ่อแม่ในทุก ๆ เดือนนั่นเอง โดยพ่อแม่นั้นจะไม่มานั่งขอเงินหรือเอาเงินจากลูก ๆ ซึ่งเป็นเพราะว่าพวกเขาก็มีเงินเก็บจากการทํางานอยู่แล้ว และพวกเขาได้มีการวางแผนทางการเงินมาตั้งแต่หนุ่มสาว ซึ่งมันจะต่างจากสังคมไทยโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหลาย ๆ ครอบครัวที่ลูกจะต้องส่งเงินให้พ่อแม่ทุก ๆ เดือน แล้วพ่อแม่บางคนลูกให้เงินแล้วแต่ก็คือยังไม่รู้จักพอ…’

ซึ่งด้าน ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ได้แสดงว่าคิดเห็นและมุมมองต่อคลิปนี้ว่า…

สิ่งแรกที่อยากจะพูดคือต้องขออนุญาตเห็นต่างจากคลิปนี้โดยสิ้นเชิง เริ่มข้อแรกต้องถามก่อนว่า ‘ความกตัญญู’ เป็น ‘กับดัก’ ขนาดนั้นเลยเหรอ? ดังนั้นสิ่งที่เราอาจจะต้องมาทําความเข้าใจกันก่อนก็คือ…การที่คุณจะดูแลมนุษย์คนนึงตั้งแต่เด็กจนโต อย่างการส่งเขาเรียนหนังสือ การดูแลเอาใจใส่ต่าง ๆ ดังนั้น นี่จึงเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาก และเป็นสิ่งที่ไม่ได้ง่ายเลย

พร้อมยอมรับว่าแนวคอนเทนต์ที่ไม่ชอบที่สุดมันเริ่มเยอะขึ้นมาก ๆ ซึ่งก็คือการที่คนชอบบอกว่าฝรั่งมันเริศ ดีมาก ดีทุกอย่าง ส่วนทางคนเอเชีย ซึ่งขออนุญาตเน้นคํานี้ก่อนว่า ‘ความกตัญญู’ ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนไทยทําหรือนิยมกันเท่านั้น คือถ้าคุณทําการบ้านดี ๆ สิ่งที่คุณจะเข้าใจก็คือความกตัญญูตัวนี้มันอยู่ทั่วทวีปเอเชียเลย ไม่ว่าจะเป็นคนเกาหลี คนไทย คนอินโดนีเซีย หรือประเทศไหนก็แล้วแต่ เขานิยมเรื่องความกตัญญูเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งจุดที่ไม่ชอบที่สุดในคลิปดังกล่าวก็คือตอนที่พูดประมาณว่าพ่อแม่คนไทยเก็บเงินไม่เป็นกันเลย แล้วคนอเมริกันเขาเก็บเงินได้ เขาตั้งใจ เขาดูแลชีวิตตัวเอง เลยไม่ค่อยไปลําบากลูก ซึ่งเหตุผลดังกล่าวถือเป็นการเหมารวมคนไทยหรือพ่อแม่คนไทยที่ไม่น่ารักเลย ทั้ง ๆ ที่คนไทยหลายคนซึ่งมีลูกพวกเขาทํางานกันหนักมาก ทํางานแทบตาย แต่ว่าโอกาสในการหาเงินถามว่าเยอะมหาศาลไหม? คำตอบคือไม่… และไม่ว่าเขาจะเหนื่อยแค่ไหน ทำงานกี่ชั่วโมงแค่ไหนก็ตามสุดท้ายก็หาเงินได้ไม่เยอะอยู่ดี…ดังนั้น คุณอย่าลืมคํานี้เลยนะว่าชีวิตมันไม่แฟร์ โอกาสของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน จุดเริ่มต้นของแต่ละคนไม่เท่ากัน แล้วการเหมารวมคนเอเชียหรือคนไทยแบบนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่โอเคเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น คุณต้องจําคํานี้เอาไว้นะ นี่คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม คุณจะไม่มีวันเสียดายกับการให้กับคน คุณจะไม่มีวันเสียดายกับการเป็นคนใจดีหรือว่าช่วยเหลือคนซึ่งช่วยคุณมา สำหรับใครที่ออกมาบอกว่าเราจะสําเร็จถ้าเราไม่ให้พ่อแม่ เราจะสําเร็จถ้าไม่ช่วยใคร ต้องเห็นแก่ตัวอย่างเดียว ซึ่งคนที่พูดอย่างนี้ไม่สําเร็จอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่คุณจะเข้าใจเมื่อคุณโตขึ้นแล้วก็คือการช่วยเหลือคนอื่น การเป็นคนใจดี เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนน่ารัก มันมักจะดึงพลังงานอะไรดี ๆ เข้าตัวคุณตลอด แล้วมันจะดึงความสําเร็จเข้าตัวคุณอย่างแน่นอน 

หากถามว่ามันยังมีพ่อแม่บางคนหรือไม่ที่ไม่รักลูกตัวเอง ที่เอาเปรียบลูกตัวเองตลอด ที่เอาเงินจากลูกตัวเองแบบเกินเหตุ ถามว่ามีไหม? ตอบคือมี แล้วในกรณีแบบนี้เราควรที่จะให้เขายังต่อเนื่องไหม? คําตอบคือไม่…แต่ในวันนี้หากคุณมีพ่อแม่ที่รักและเอ็นดูคุณจริง ๆ มาโดยตลอด และคุณมั่นใจสิ่งนี้ 100% ก็จงให้เขาไปเถอะ เพราะเวลาที่คุณเหลือกับเขาน้อยกว่าที่คุณคิดตั้งหลายเท่า…

‘ธนาคาร TTB’ ไม่นิ่งนอนใจ!! หลังพบธุรกรรมผิดปกติ ลูกค้าถูกหักเงิน 33.28 บาท ทุกนาที เร่งคืนภายใน 5 วัน

(19 ก.พ.67) จากกรณีผู้ใช้บริการธนาคารได้โพสต์ข้อความผ่านเพจว่า “ลูกเพจแจ้งมาหลายคนว่า วันนี้คนใช้แอปออนไลน์ของธนาคารแห่งหนึ่ง มีการหักยอด 33 บาท แบบรัวยิก ทุก 1 นาที บางคนโดนหลายสิบยอด ใครเจอมั่ง”

โดยปรากฏว่ามีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และแสดงความเดือดร้อนไม่น้อย โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กบางราย ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ถูกตัดเงิน ไม่ได้กดติดตามอะไร บัญชีที่โดนเป็นบัญชีผ่อนบ้านอย่างเดียวด้วยนั้น

​จากการสอบถามไปยัง ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) ทราบว่า ธนาคารได้รับทราบเรื่องผู้เสียหายที่โดนหักเงินจากบัญชีทีละ 33.28 บาท และตัดยอดอย่างสม่ำเสมอ 1 นาทีครั้ง โดยบางคนโดนไป 60 ยอด

ทั้งนี้ธนาคารไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง แต่เบื้องต้นพบว่าเป็นธุรกรรมที่เกิดจากบุคคลภายนอก โดยที่ผู้ถือบัตรไม่ได้ใช้บัตรเดบิตรูดซื้อจริง อย่างไรก็ดีทางธนาคารจะทำการปรับปรุงรายการและคืนให้ภายใน 5 วันทำการ

รู้จัก ‘กิจการไฟฟ้ากองทัพเรือ’ คุณค่าที่ถูกนักการเมืองหยิบมาโจมตี ทั้งที่ ‘เงินขายไฟ’ ช่วยต่อลมหายใจทางการศึกษามากว่า 50 ปี

เรียกว่าเป็นอีกด้านที่น้อยคนจะได้รู้!! กับ ‘กิจการไฟฟ้ากองทัพเรือ’ ที่โดนนักการเมืองโจมตีอย่างหนัก แต่น้อยคนนักที่รู้ ‘เงินขายไฟ’ คือ ลมหายใจ ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้บุตรหลานข้าราชการและประชาชน ผ่าน ‘โรงเรียนสัตหีบ’ ทั้ง 2 แห่ง มากว่า 50 ปี

จากกรณีที่มีนักการเมืองได้หยิบยก ประเด็นกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ซื้อกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาจ่ายให้แก่หน่วยราชการและประชาชนในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า การดำเนินกิจการดังกล่าว ไม่ใช่ภารกิจของกองทัพเรือ เพราะเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง และไม่ควรจะมีกิจกรรมทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ทว่า นอกจากมิติด้านความมั่นคงแล้ว การรายได้ที่เกิดขึ้นจากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือนั้น ทางกองทัพเรือ ได้นำกำไรส่วนหนึ่งไปเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการและทหารชั้นผู้น้อย โดยเฉพาะในด้านการศึกษาของบุตรหลานข้าราชการทหารเรือและประชาชนทั่วไปในพื้นที่สัตหีบ

ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ทราบว่า กองทัพเรือ ได้บริหารกิจการโรงเรียนที่ชื่อว่า ‘โรงเรียนสัตหีบ’ ซึ่งได้ก่อตั้งอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 เพื่อให้การศึกษาแก่บุตรหลานของข้าราชการ ลูกจ้าง และคนงาน ในสังกัดกองทัพเรือที่ย้ายมารับราชการที่สัตหีบ จากนั้นในปี พ.ศ. 2480 จึงได้จดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์ชื่อ ‘โรงเรียนสถานีทหารเรือสัตหีบ’ 

และได้ เปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่ตามมติของสภากองทัพเรือเป็น ‘โรงเรียนสัตหีบ’ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2502 ในช่วงแรกจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจัดการศึกษาระดับอนุบาล ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี 2 แห่ง ได้แก่...

1. โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ
- เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3
- ผู้บริหาร ครู และบุคลากร จำนวน 127 คน
- นักเรียนจำนวน 1,498 คน

2. โรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ
- เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล 1 - ประถมศึกษาปีที่ 6
- ผู้บริหาร ครู และบุคลากร จำนวน 96 คน
- นักเรียนจำนวน 963 คน
รวมนักเรียนทั้ง 2 เขต เป็นจำนวน 2,461 คน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงเรียนทั้ง 2 แห่งนี้ จะบริหารงานจดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์ และมีการบริหารงานแบบเอกชน แต่การเก็บค่าเล่าเรียนจากผู้ปกครองนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชนทั่วไป นั่นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ เป็นบุตรหลานของข้าราชการในสังกัดกองทัพเรือ 

ทั้งนี้ อดีตครูที่เคยสอนในโรงเรียนสัตหีบ ได้ให้ข้อมูลว่า ค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือในแต่ละปีนั้น ทราบมาว่า ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ได้จากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ทำให้โรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านการเรียนการสอน และอาคารสถานที่ ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ที่กิจการไฟฟ้าฯ ได้ดำเนินงานมา

แน่นอนว่า งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนในส่วนนี้ ได้ก่อเกิดประโยชน์และเพิ่มโอกาสทางด้านการศึกษาให้กับคนในพื้นที่สัตหีบ นับตั้งแต่อดีตจวบถึงปัจจุบัน มีนักเรียนที่จบการศึกษาไปแล้วหลายหมื่นคน ทั้งที่เป็นบุตรหลานข้าราชการและบุตรหลานของคนทั่วไป ซึ่งหลายคนเติบใหญ่เป็นคนคุณภาพและเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ได้จาก ‘เงินขายไฟ’ ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

นราธิวาส - ผู้แทน UN ถก ผอ.สำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ประเด็นข้อกฎหมาย ยืนยันเข้าใจดีต่อกรณีการดำเนินคดีกลุ่มภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมอ้างแสดงอัตลักษณ์การแต่งกายชุดมลายู

พันเอก เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมให้การต้อนรับ Mr. Dip Magar Human Rights Officer and Thailand Team Leader OHCHR. คณะผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในโอกาสเข้าพบหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนการเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พุทธศักราช 2565 การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจับกุมผู้กระทำผิดภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ณ ห้องรับรอง อาคาร 3 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โดยมี พันตำรวจเอกจารุวิทย์ วงศ์กิตติพร รองผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า คณะเจ้าหน้าที่ ร่วมให้การต้อนรับ Mr. Dip Magar เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนและหัวหน้าทีมประเทศไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกล่าวว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ(OHCHR) มีความสนใจต่อ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พุทธศักราช 2565 นับเป็นความสำเร็จของประเทศไทยต่อการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ พร้อมทั้งเสนอความร่วมมือระหว่าง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ด้านปัญหา เทคนิคต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรม ผลิตหลักสูตร ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ให้ความสนใจต่อกรณีการร้องเรียน จากกลุ่มองค์กรภาคสังคมต่างไปยื่นเรื่องต่อ UN เพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐานในการแสดงออก เช่น ด้านการแต่งกายชุดมลายู ซึ่งในประเด็นนี้ทางยูเอ็นยืนยันเข้าใจดีต่อประเด็นดังกล่าว 

ด้าน พันเอก เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ให้ความสำคัญกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.๒๕๖๕ ดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมและมีการบรรยายให้ความรู้ต่อเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวังต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเรื่องการแต่งกายชุดมลายู นักจัดกิจกรรม ณ หาดวาสุกรี นั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และแนะนำว่า เรามี พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ.๒๕๕๙ ในการส่งเสริมฯด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ ผู้แทนUN ได้ฝากขอบคุณทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าที่ชี้แจงสร้างความเข้าใจ และสร้างความมั่นใจว่าจะปฏิบัติภายใต้กรอบกฎหมายโดยเคร่งครัด ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และกล่าวทิ้งท้ายว่า การพบปะหารือครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าจะสร้างความใกล้ชิดในการประสานการปฏิบัติงานร่วมกัน ในโอกาสต่อไป
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร/อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

ผลวิจัยล่าสุดระบุ!! ฉีดวัคซีน mRNA 'ไฟเซอร์-โมเดอร์นา' เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

(20 ก.พ.67) ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Warat Gap' ระบุว่า...

การวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับผลของวัคซีนโควิด ซึ่งใช้กลุ่มตัวอย่างถึง 99 ล้านคน มากที่สุดเท่าที่เคยทำมา ยืนยันว่า คนที่ฉีดวัคซีน mRNA (ไฟเซอร์-โมเดอร์นา) เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และคนฉีดวัคซีน Viral Vector (Astra Zeneca) เพิ่มความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดสมองตีบ

โดยกลุ่มผู้รับวัคซีนที่เกิดอาการมากที่สุด คือกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนโมเดิร์นน่า 2 เข็ม รองลงมาคือคนฉีดวัคซีนโมเดิร์นน่า 1 เข็ม และ 4 เข็ม 

...วัคซีนเทพอ่ะนะ คนที่เรียกร้อง ด่าทอรัฐบาลตอนนั้น ไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรหน่อยเหรอครับ 

https://www.msn.com/en-us/money/other/largest-covid-vaccine-study-yet-finds-links-to-health-conditions/ar-BB1iuvvi 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top