Monday, 16 June 2025
TheStatesTimes

20 กุมภาพันธ์ ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันทนายความ’ หนึ่งในสถาบันด้านกระบวนการยุติธรรม

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ของทุกปี ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความทั่วประเทศถือเป็นวันทนายความ

วันนี้ในอดีต เมื่อปี พ.ศ. 2500 เป็นวันที่ทนายความในขณะนั้นมีแนวความคิดริเริ่มที่ต้องการให้วิชาชีพทนายความ ควรจะมีสถาบันที่เป็นตัวแทนของวิชาชีพทนายความ และเป็นอิสระควบคุมดูแลกันเอง จึงได้ประชุมกันก่อตั้งสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยขึ้น โดยจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

ต่อมาสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันใช้ความเพียรพยายามเรียกร้องและผลักดันร่างกฎหมาย พระราชบัญญัติทนายความเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2528 จึงประสบผลสำเร็จออกประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2528 และมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

ในวันทนายความของทุกปีสมาชิกสภาทนายความทั่วประเทศจึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อแสดงพลังสามัคคี และแสดงความพร้อมในการทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรม ตลอดจนหน้าที่เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายให้แก่ประชาชน ตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติทนายความ

21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ‘รัชกาลที่ 6’ ทรงประกาศใช้ ‘พุทธศักราช’ (พ.ศ.) เป็นศักราชประจำชาติ แทน ‘รัตนโกสินทร์ศก’ (ร.ศ.)

21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ประกาศยกเลิกใช้รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) หลังใช้มาได้เพียง 24 ปี (พ.ศ. 2432-2455)

รัตนโกสินทร์ศก หรือ รัตนโกสินทร์ศักราช (ร.ศ.) ถูกกำหนดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยเริ่มนับจากปีที่มีการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง คือ พ.ศ. 2325 นับเป็นรัตนโกสินทร์ศก 1 (ร.ศ. 1) แต่ในทางพระพุทธศาสนา ยังคงใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) ตามธรรมเนียมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระราชดำริว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา และเพื่อให้สอดคล้องกับประเทศต่างๆ ที่นับถือพุทธศาสนา จึงได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 131 (พ.ศ. 2455) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ ‘พระพุทธศักราช’ ในราชการทั่วไป โดยถือเอาวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 เป็นวันเปลี่ยนมาใช้พุทธศักราชตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ซึ่งก่อนหน้าที่จะใช้พุทธศักราชและรัตนโกสินทร์ศก ประเทศไทยเคยใช้ ‘มหาศักราช’ (ม.ศ.) และ ‘จุลศักราช’ (จ.ศ.) มาก่อน

นอกจากนี้ ประเทศไทย กัมพูชา และสปป.ลาว เริ่มนับ พ.ศ. 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วครบ 1 ปี ส่วนที่ศรีลังกาและเมียนมา เริ่มนับปีพุทธศักราชตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือเมื่อ 544 ปีก่อนคริสตศักราช พุทธศักราชของศรีลังกาและเมียนมาจึงเร็วกว่าไทย 1 ปี

สยองกันหมด!! ‘งานประกาศรางวัลเกาหลีใต้’ มีคน ‘ขี้แตก’ ‘ศิลปิน-แฟนคลับ’ กลายเป็นผู้ประสบภัยนั่ง ‘ปิดปาก-ปิดจมูก’

เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.) ประเทศเกาหลีใต้ มีการจัดงานประกาศรางวัล Hanteo Music Awards 2024 ซึ่งเป็นงานประกาศรางวัลด้านดนตรีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีการเชิญศิลปิน-ไอดอล มากมายไปร่วมงาน พร้อมเปิดให้แฟนคลับได้ตามเชียร์ติดขอบเวที

ในครั้งนี้ก็มีเหล่าไอดอลชื่อดัง อาทิ NCT DREAM, AESPA, ATEEZ, ZEROBASEONE, KISS OF LIFE เข้าร่วมงานในวันนั้นด้วย

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อมีรายงานว่าหนึ่งในผู้ชมที่อยู่ติดรั้วแถวแรกชิดเวทีที่เหล่าไอดอลนั่งอยู่อุจาระใส่หลุม ซึ่งในหลุมนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มารอเชียร์ไอดอล สร้างความโกลาหลไปทั้งงาน

แฟนคลับและศิลปินตรงนั้นกลายเป็นผู้ประสบภัย มีภาพของศิลปินที่เอามือปิดปากและจมูก เพราะน่าจะได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ออกมาเล่าว่า อยู่ข้างหลังคนที่อึแตก กำลังถ่ายรูปอยู่แทบอ้วก ต้องคอยตะโกนบอกคนข้างหลังว่าอย่าดัน มีอึ

ล่าสุด มีผู้ใช้ X บัญชีหนึ่ง อ้างว่าตนเองเป็นคนที่กระทำเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไปโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกผิดมากที่ทำลายวันดี ๆ ของทุกคน และพร้อมชดใช้ค่าเสียหาย หากทำให้เสื้อผ้าของใครเปื้อน

ก่อนมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้ อาจเกิดจากความตั้งใจก็เป็นได้ เพราะผู้ใช้ X รายนี้ ได้โพสต์คำว่า อึ ไปเมื่อ 3 วันก่อนที่จะจัดงาน

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้กลายเป็นที่พูดถึงสนั่นในโลกโซเชียล ทั้งในเกาหลีใต้และต่างประเทศ เพราะเป็นเหตุการณ์สยองขวัญ ชวนช็อก ที่ไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น

ตำรวจ ปส. แถลงจับ ทีมนักบินตายแทน 6 เครือข่าย รวม 17 ราย ยึดยาบ้า 12 ล้านเม็ด ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ตำรวจ ปส. แถลงจับ ทีมนักบินตายแทน 6 เครือข่าย รวม 17 ราย เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย  เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นให้เดินหน้าเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลการทุกเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับ รวมทั้งสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ                          

วันนี้ 19 ก.พ.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญนวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร์  เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.,พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน   ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1,พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส.และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงการจับกุมนักบิน 6 เครือข่าย 6 คดี ได้ผู้ต้องหารวม 17 คน ตรวจยึดยาบ้ารวมจำนวน 12,119,600 เม็ดยึดทรัพย์สินเครือข่าย 7 รายการ มูลค่า 2,917,550 บาท 

คดีแรก สืบเนื่องจากตำรวจ กก.1 บก.ปส.1  รับแจ้งจากสายลับมีกลุ่มเครือยาเสพติดในพื้นที่ภาคใต้ อดีตนักโทษคดียาเสพติด จะขึ้นไปรับยาเสพติดทางภาคเหนือมาจำหน่ายในพื้นที่ กทม. และ อำเภอหาดใหญ่ จว.สงขลา โดยใช้รถ 3 คันในการลำเลียงครั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าขบวนรถทั้งหมดจะไปรับยาเสพติดบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และกำลังเดินทางกลับ กระทั่งกลางดึกของวันที่ 7 ก.พ.67 ชุดจับกุมตรวจพบรถเป้าหมายจอดอยู่บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมืองกำแพงเพชร จว.กำแพงเพชร จึงเฝ้าติดตามจนข้ามไปช่วงสายของอีกวันหนึ่ง รถทั้ง 3 คัน คือ รถฮอนด้า ซีอาร์วี สีดำ หมายเลขทะเบียน 8 กฐ 16xx กรุงเทพมหานคร ขับรถไปหารถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผผ 377 สงขลา และ รถกระบะ หมายเลขทะเบียน กบ 5921 เพชรบุรี จึงได้ขับไปรวมตัวกันยังจุดนัดหมาย ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวขอตรวจค้นโดยมีนายสัญญา หรือตูน  , นายปิติ  หรือเจ๋ง  และนายนครินทร์ หรือเอ็ม เป็นคนขับรถทั้งหมด เบื้องต้นพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในรถฮอนด้า ซีอาร์วี สีดำ จำนวน 755,600 เม็ด  ส่วนรถอีก 2 คัน ทำหน้าที่เป็นรถนำ และรถคุ้มกัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างออกหมายจับ ผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด  

คดีที่ 2 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ได้สืบสวนติดตามกลุ่มเครือข่ายที่มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ จนพบว่ามีเครือข่ายนายยอดชาย   มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ ต่อมาช่วงบ่ายวันที่ 7 ก.พ.67 รับแจ้งว่ากลุ่มเครือข่ายจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.นครพนม  เจ้าหน้าที่จึงแบ่งกำลังออกไปตรวจสอบตามเส้นทางที่ได้รับแจ้งและพื้นที่คาดว่าจะเป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ กระทั่งเวลา 18.00 น. ของวันเดียวกัน พบรถตรงตามที่รับแจ้งขับขี่อยู่บนถนนสาย 2094 บริเวณบ้านข้าวแป้ง ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย                 จว.สกลนคร จนขับมาถึงบริเวณสะพานข้ามลำน้ำพุง ต.เต่างอย อ.เต่างอย จว.สกลนคร เจ้าหน้าที่พบมีการชะลอความเร็วชุดจับกุมจึงได้เข้าแสดงตัวและขอตรวจสอบรถ 2 คัน ทันที ระหว่างนั้น คนขับรถฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 3กช 5xx กรุงเทพมหานคร ได้ขับรถพุ่งชนรถตำรวจชุดจับกุมและขับหลบหนีไป ก่อนจะจับกุมตัวผู้ต้องหาได้บริเวณท้ายหมู่บ้านจันทร์เพ็ญ ต.จันทร์เพ็ญ อ.เต่างอย จว.สกลนคร คือนายอภิสิทธิ์ ตรวจค้นรถพบยาซุกซ่อนอยู่ในห้องโดยสารของ รวม 4,000,000 เม็ด  ขณะที่รถอีซูซุ รุ่นดีแมกซ์ หมายเลขทะเบียน 70xx ภูเก็ต มีนายยอดชาย  เป็นผู้ขับขี่ และมี น.ส.ต้า โพทิลาด สัญชาติลาว นั่งโดยสารมาด้วย  

คดีที่ 3  เมื่อวันที่ 9 ก.พ.67 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ร่วมกับ บก.ขส. ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีเครือข่าย “ปลาส้มศรีสงคราม” ซึ่งเป็นกลุ่มนายสมพงษ์  มีความเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.ธาตุพนม จว.นครพนม โดยจะนำรถยนต์ฮอนด้า Accord สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎถ 21xx กรุงเทพมหานคร เข้าไปลำเลียงยาเสพติด กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 10 ก.พ.67 พบรถเป้าหมายอยู่บน ถนนภูพาน-สมเด็จ พื้นที่ จว.สกลนคร ต่อเนื่อง จว.กาฬสินธุ์ จึงกระจายกำลังเฝ้าติดตามในเส้นทางที่คาดว่ารถจะผ่านบนถนน หมายเลข 213 อ.ภูพาน - อ.สมเด็จ - อ.เมือง - อ.ยางตลาด จว.กาฬสินธุ์ - อ.กันทรวิชัย - อ.เมืองมหาสารคาม – อ.บรบือ - อ.กุดรัง จว.มหาสารคาม เมื่อรถมาถึง  พื้นที่  อ.หนองสองห้อง จว.ขอนแก่น รู้ตัวว่าถูกติดตามจึงได้พยายามเร่งความเร็วหลบหนี จนมาจับจับกุมตัวได้บริเวณริมถนนหน้าบ้านเลขที่ 81 ม.8  ต.หินตั้ง อ.บ้านไผ่ จว.ขอนแก่น ทราบชื่อคือ นายสมพงษ์ ตรวจค้นรถพบยาบ้า 524 ก้อน บรรจุอยู่ในกระสอบ ซุกซ่อนอยู่ในห้องโดยสาร และกระโปรงท้ายรถ รวม 12 กระสอบ  รวมยาบ้าทั้งหมด 5,240,000 เม็ด  

คดีที่ 4 จากการสืบสวนของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบมีเครือข่ายผู้ค้าและลำเลียงยาเสพติด เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า จากชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง จว.เชียงราย  จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก จากพื้นที่ชายแดนเข้ามายังพื้นที่ตอนในของ จว.เชียงราย โดยจะนำมาพักไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว กระทั่งบ่ายวันที่ 3 ก.พ.67 ตำรวจพบรถยนต์เป้าหมายขับจากสี่แยกห้วยปลากั้ง มุ่งหน้าหมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย  และขับออกจากพื้นที่โดยใช้ถนนเส้นทาง ดอยฮาง - แยกฮ่องอ้อ และอยู่บนถนนบายพาสรอบเมืองเชียงราย ก่อนจะขับไปจอดที่ไหล่ทางถนนของถนนหน้าสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยพบรถอีกหนึ่งคันจอดอยู่ด้านหน้าและรถทั้งสองคันขับออกจากบริเวณดังกล่าว ตามกันไปในลักษณะนำทางตลอดเส้นทาง ชุดจับกุมจึงแบ่งกำลังติดตาม กระทั่งรถทั้งสองคันเลี้ยวซ้ายที่แยกต่างระดับขัวไชยนารายณ์ ขับไปตามถนน เชียงราย-เทิง ชุดจับกุมจึงประสานเจ้าหน้าที่หน่วยบริการประชาชน ห้วยสักของ สภ.เมืองเชียงราย  ให้ช่วยหยุดรถเป้าหมายขณะทำการตั้งตรวจตรวจบริการประชาชน พบ นายบัญชา แช่เท้า ขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผธ ๕๗xx  เชียงราย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่อีกชุดได้ติดตามรถอีกคันคือรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บล 42xx ลำปาง สกัดจับไว้ได้ขณะจอดบริเวณไหล่ทางก่อนถึงตัวตลาดสดห้วยสัก พบ นายธวัชชัย เป็นคนขับ ตรวจค้นในห้องโดยสารรถ พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารด้านหลังรวม 1,000,000 เม็ด

คดีที่ 5 ก่อนการจับกุม ตำรวจ บก.สกส.ได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มเครือข่ายมักลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคเหนือตอนบน มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ จว.แพร่ และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะใช้เส้นทาง ต.แม่ยาว - เมืองเชียงราย - อ.ป่าแดด จว.เชียงราย - จว.พะเยา - จว.แพร่ ในการลำเลียง กระทั่งกลางดึกของวันที่ 6 ก.พ.66 ชุดจับกุมสามารถสกัดจับรถเครือข่าย 2 คัน ได้บริเวณป้อมตำรวจป่าแดด ต.ป่าแดด อ.ป่าแดด จว.เชียงราย คือ หมายเลขทะเบียน กต 96xx เชียงราย ใช้ลำเลียงยาเสพติด และ รถหมายเลขทะเบียน ขค 93xx เชียงราย ใช้นำทาง/สำรวจเส้นทาง  จับผ็ต้องหาได้ 4 คน คือ นายเมืองชัย  / น.ส.นามิอือ / นายธนวัฒน์ และ นายอำนวย  ส่วนยาบ้าพบซุกซ่อนภายในช่องว่างใต้เบาะที่นั่งและด้านหลังพนักพิงผู้โดยสารแถวหลังของรถ จำนวน 50 มัด รวม 100,000 เม็ด จากนั้นขยายผลคุมตัวไปตรวจค้นบ้านเช่าไม่มีเลขที่ในซอย หมู่บ้านนอร์ทเทิร์น ซึ่งเป็นของ นายธนวัฒน์ พบทรัพย์สินรวม 7 รายการ อาทิ อาวุธปืนพกสั้น  เครื่อง กระสุน รถจักรยานยนต์ สร้อยคอทองคำ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ 2,917,550 บาท

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 9 ก.พ.67  ตำรวจ กก.1 บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. และตำรวจ สภ.ด่านช้าง จว.สุพรรณบุรี จับกุม 4 ผู้ต้องหา 4 คน คือ นาย สาโรจน์ / นายแรนันต์  ละใบ/ นายบุขฆอรี่ และ นายมานพ หลังเครือข่ายนี้ได้ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือตอนบน และนำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้รถตู้หมายเลขทะเบียน 1 นจ 90xx กรุงเทพมหานคร ในการซุกซ่อนลำเลียง และขับขี่มาตามเส้นทาง ต.ตับเต่า อ.เทิง จว.เชียงราย ต่อเนื่อง จว.กำแพงเพชร -จว.นครสวรรค์-จว.อุทัยธานี -  จว.สุพรรณบุรี - จว.นครปฐม - จว.สมุทรสาคร - จว.เพชรบุรี – ลงในยังพื้นที่ภาคใต้ จนจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้บริเวณหน้าสถานีตำรวจ สภ.ด่านช้าง จว.สุพรรณบุรี พร้อมยาบ้า 1,040,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังคารถตู้ซึ่งดัดแปลงเป็นช่องลับ 

สำหรับเดือน 1 ตุลาคม 2566 – 14 กุมภาพันธ์ 2567 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 99 คดี ผู้ต้องหา 170 คน ของกลาง ยาบ้า 132,494,672 เม็ด, ไอซ์ 2,892.26 กก. เฮโรอีน 79.47 กก. ,โคเคน 18.97 กก. และคีตามีน 1,201.22 กก. และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 606 ล้านบาท

เพชรบูรณ์ คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ทบ. ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือประชาชน มทบ.36 และภาคีเครือข่ายพื้นที่เพชรบูรณ์

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บริเวณสนามบิน กองพลทหารม้าที่ 1 ค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ พล.ต.อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก เป็นประธานการลงพื้นที่เยี่ยม ตรวจสอบประเมินผลในการปรับปรุงหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบกให้มีความพร้อม ทั้งสำรวจความต้องการยุทโธปกรณ์ การจัดทำบัญชีรายละเอียดในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลไปประกอบรายงานต่อผู้บังคับบัญชา และพิจารณาให้การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่หน่วยยังขาดแคลน เพื่อให้มั่นใจว่ากองทัพบก และหน่วยงานต่างๆ ในด้านการบรรเทาสาธารณภัย จะมีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อมีเหตุสาธารณภัยต่าง ๆ ขึ้นในพื้นที่

โดยมี พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 36 คณะผู้บังคับบัญชา คณะหัวหน้าส่วนราชการ และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 36  สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเพชรบูรณ์ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16 (นพค.16) กองพันทหารม้าที่ 26 กรมทหารม้าที่ 3  กองพันทหารม้าที่ 18 กรมทหารม้าที่ 3 กองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 โรงพยาบาลค่ายพ่อขุนผาเมือง องค์การบริหารส่วนตำบลสะเดียงและมูลนิธิร่มโพธิ์ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป

โดยในโอกาสนี้ พล.ต.อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก ได้กล่าวให้โอวาท และให้กำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานสาธารณภัย 
เน้นย้ำให้ปฎิบัติงานร่วมกันเป็นทีมเวริ์คโดยไม่มีใครเป็นพระเอกคนเดียวตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาและขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง รอบครอบ และมีความปลอดภัย ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างสุดความสามารถ ซึ่งทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดสาธารณภัยต่างๆขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยแล้งโดยมีสาเหตุมาจากธรรมชาติได ้แก่ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลและภัยธรรมชาติและยังมีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ได ้แก่ การทำลายชั้นโอโซน ผลกระทบ ของภาวะเรือนกระจก การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและการตัดไม ้ทำลายป่า ซึ่งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่อาจจะต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ภายในประเทศ ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้มีดำริให้คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม และติดตามประเมินผลการเตรียมความพร้อมของหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบก ตลอดจนหน่วยงานภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ที่จะร่วมกันปฏิบัติงานหากเกิดเหตุ

‘วราวุธ’ ไม่สน!! ใครจะวิจารณ์มี ‘นายกฯ’ 2 คน เชื่อ!! ศักยภาพการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว

(19 ก.พ. 67) ที่กระทรวงพม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ และปล่อยตัวกลับบ้าน ทำให้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อ่อนกำลังลง ว่า เรื่องนี้หากใครจะมองว่าเกี่ยว ก็เกี่ยวได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วตนคิดว่าการทำงานของรัฐบาลตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้เดินหน้าไปมากพอสมควร ซึ่งตนพูดในนามของกระทรวงอื่นไม่ได้ แต่พูดในนามของกระทรวงพม. ที่ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอยู่นั้น ก็ได้ดำเนินการไปหลายเรื่องอย่างมาก ดังนั้นศักยภาพในการทำงานของรัฐบาลคงไม่น่าขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงบุคคลเดียวไม่ว่าจะอยู่โรงพยาบาล อยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่ใด ตนคิดว่าศักยภาพในการทำงาน ของรัฐบาลขึ้นอยู่กับตัวนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คนมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า บางคนมองว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ นายวราวุธ กล่าวว่า อันนี้ตนเห็นต่าง เพราะการทำงานของครม. ตามที่ตนเคยได้พูดไปแล้วคือปัญหาของประชาชนมีอยู่ทุกวัน ดังนั้นบทบาทภารกิจการทำงานของทุกกระทรวงย่อมเดินหน้าเต็มที่เหมือนเดิม อย่างเช่นกระทรวงพม. ที่พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลอยู่ ถึงจะอย่างไรก็แล้วแต่ เราทำงานกันจนนาทีสุดท้าย เพื่อการแก้ไขปัญหาสังคมที่มีอยู่มากมาย

เมื่อถามถึงกรณีเสียงวิจารณ์ที่ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 2 คน หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากจะบอกว่ามี 3 หรือ 4 คน หรือ 5 คน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบางครั้งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีทีมที่ปรึกษาคอยให้คำปรึกษา หรือแม้แต่รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงก็ยังมีที่ปรึกษา เช่นตนก็มี น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา เป็นที่ปรึษา รวมถึงคณะที่ปรึกษาอีกหลายคน จึงไม่น่าแปลกใจที่นายกรัฐมนตรีจะมีที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ จะปรึกษาใคร ก็เป็นสิ่งที่ท่านพึงใช้วิจารณญาณของตนเอง แต่การที่จะมีนายกรัฐมนตรีหลายคน ตนก็ยังเห็นต่างอยู่ว่า มีคนเดียวอยู่เช่นเดิม 

เมื่อถามว่าเสียงวิจารณ์ต่างๆ เหล่านี้จะทำให้คณะรัฐมนตรีบั่นทอนในการทำงานหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่สำหรับตนไม่บั่นทอนแน่นอน เพราะปัญหาของประเทศชาติปัญหาของพี่น้องประชาชนคือกำลังที่จะทำให้ตนสามารถเดินไปข้างหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนๆ ข้าราชการในกระทรวงพม.ในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

'นายกฯ' ชวนคนไทยสวมเสื้อเหลือง เนื่องในปีมหามงคล นัด!! ทุกหน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจ-เอกชน พร้อมใจทุกจันทร์

(19 ก.พ. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า “เนื่องในปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ผมในนามรัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทุกหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ ในทุกๆ วันจันทร์ และโอกาสที่เหมาะสม เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านครับ”

‘บัวขาว’ เข้ารับปริญญาโท ม.แม่โจ้ สุดภูมิใจ!! นับเป็นใบที่ 5 ในชีวิต

(19 ก.พ.67) ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ นักมวยชื่อดังขวัญใจทั่วโลก วัย 41 ปี เข้ารับปริญญาใบที่ 5 ของตัวเอง หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารสาธารณะ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยเฟซบุ๊กเพจ Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ได้โพสต์ภาพที่ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ พร้อมด้วย ‘โค้ชดวง’ นายประวิทย์ สวัสดิรักษา และ ‘ยิ้ม’ ธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้ม ผู้จัดการส่วนตัว เข้าร่วมรับปริญญา ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในรหัส 62 แม่โจ้รุ่น 84 สิงห์ไพร รุ่น 15 ซึ่งมีข้อความระบุว่า

“ขอเเสดงความยินดีกับร้อยโท สมบัติ บัญชาเมฆ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารสาธารณะ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (รหัส 62 แม่โจ้รุ่น 84) สิงห์ไพร รุ่น 15 18 กุมภาพันธ์ 2567”

ทั้งนี้ นับเป็นปริญญาใบที่ 5 ในชีวิตของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ ต่อจากใบที่ 1 ปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต (ปริญญาตรี) สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (บธ.บ.) มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต เมื่อปี 2560, ใบที่ 2 ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาโท) สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา (วท.ม.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2556, ใบที่ 3 ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอก) สาขาวิชายุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิภาค (กลุ่มการศึกษาและจัดการภูมิปัญญา) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เมื่อปี 2557

ตามด้วยใบที่ 4 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอก) การจัดการการกีฬา มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต เมื่อปี 2565 และล่าสุดใบที่ 5 ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารสาธารณะ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (ปริญญาโท) ในปี 2567 นี้ โดยมีแฟนคลับของยอดนักชกชาวไทยรายนี้ร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเป็นจำนวนมาก

‘ไทย’ คว้าอันดับ 7 ดัชนีของเอเชียแปซิฟิก ด้านความเป็นเลิศการศึกษา ‘STEM’

นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนสำคัญสูงสุดในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยล่าสุด Center for Excellence in Education (CEE) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรได้สร้างดัชนีความพร้อมด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกในการเปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนประเทศต่าง ๆ 

สำหรับดัชนีความเป็นเลิศของ CEE ในด้านการศึกษา STEM จะประเมินว่านักเรียนมีความพร้อมทางวิชาการสำหรับการแข่งขันระดับโลก โดยจะเปรียบเทียบผลงานโอลิมปิกวิชาการโดยรวมตามประเทศ คำนวณค่าเฉลี่ยและการจัดอันดับตามประเทศที่เข้าร่วม และตรวจสอบผลงานของนักเรียนในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ STEM ทั้ง 5 รายการ

ทั้งนี้ ดัชนีฯ ดังกล่าวช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและนักการศึกษามีเครื่องมือสำคัญในการวัดว่านักสร้างสรรค์รุ่นต่อไปของแต่ละประเทศมีอนาคตดีเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สร้างนวัตกรรมทั่วโลก โดยการพัฒนาเศรษฐกิจจีนมีความเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของจีนในการแข่งขัน STEM Olympiads การทบทวนวิธีที่จะฝึกอบรมผู้นำรุ่นต่อไปจะต้องรวมเครื่องมือนี้ไว้ด้วย

สำหรับ ดัชนีฯ นี้จะแสดงข้อมูลต่อไปนี้ตามผลรวมของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนานาชาติในสาขาชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และสารสนเทศ (IT) โดยในการจัดอันดับดัชนีฯ พบว่า อันดับ 1. ได้แก่ จีน อันดับ 2. เกาหลีใต้ อันดับ 3. สิงคโปร์ อันดับ 4. เวียดนาม อันดับ 5. ญี่ปุ่น อันดับ 6. ไต้หวัน อันดับ 7. ไทย อันดับ 8. อิหร่าน อันดับ 9. อินโดนีเซีย อันดับ 10. อินเดีย อันดับ 11. ออสเตรเลีย และอันดับ 12. ฮ่องกง

ซึ่งดัชนีฯ ยังเผยให้เห็นว่าในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศในเอเชียได้เข้ามาครองการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ส่งผลให้ผลงานของนักเรียนจากยุโรปลดลง ตัวอย่างเช่น เยอรมนี เป็นประเทศแรกในปี 1989, 1988 และ 1982 แต่หลังจากนั้นก็ถูกเขี่ยออกจาก 30 อันดับแรก แม้ว่าจะมีประชากรเพียง 1/8 ของเยอรมนี แต่ฮังการีก็ยังคงรั้งอันดับที่ 20 ได้ ซึ่งถือเป็นการลดลง จากอันดับ 1 หรือ 2 ที่ได้รับในทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 

โดยน่าประหลาดใจที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่า 6 ล้านคน (น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของฮังการี) สามารถเสมอกับเวียดนามเป็นอันดับที่ 5 ได้ การทบทวนผลงานของทีม USA ตั้งแต่ปี 1993 ถึงปัจจุบันเผยให้เห็นอันดับเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นแนวโน้มแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากการจัดอันดับอันดับที่หกโดยประมาณเป็นอันดับสองหรือสามรองจากจีน

นอกจากนี้ การแข่งขันที่ดุเดือดในธุรกิจระดับโลกได้ผลักดันให้นักศึกษามีความเป็นเลิศในการแข่งขันทางวิชาการเพื่อที่จะโดดเด่น จากข้อมูลของ DiGennaro รัฐบาลส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนโครงการโอลิมปิกวิชาการในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการฝึกอบรมและทรัพยากรอื่นๆ เช่น ครูและนักเรียน อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

โดยประเทศจีนได้ลงทุนมหาศาลในการแข่งขันเหล่านี้ และอาจจะทำให้จีนได้เปรียบอย่างมากนอกเหนือจากการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สิ่งสำคัญ คือ ต้องเน้นว่าจีนใช้เงินจำนวนมากกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งลดลงในยุโรป

‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ หนุนขึ้นเงินเดือนครู กระตุ้นคุณภาพการสอน พร้อมฝากกำลังใจถึงเยาวชน “ขอให้ตั้งใจเรียน ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข”

หากเอ่ยชื่อ ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ภาพที่คนรู้จักจะแบ่งเป็น 2 ส่วน หนึ่งคือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และอีกหนึ่งนั้นคือ ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ ด้วยบุคลิกที่เรียบง่ายใจดี ที่มีการบริจาคทุนทรัพย์และจัดทำโครงการช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ให้กับโรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 และการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร 2020 ให้คนไทยได้ดูฟรี ช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด

ล่าสุด ได้สนับสนุนการศึกษาเด็กไทยทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อโครงการ ‘Aerosoft Give Scholarships มอบทุน 100 ล้าน สานฝันให้เด็กไทย’ ซึ่งดำเนินการภายใต้ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ แอโร่ซอฟ (Aerosoft) โดยได้มอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์กีฬาให้แก่ 

1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 
2. ศึกษาพิเศษ 
3. ศูนย์ศึกษาพิเศษ 
และ 4. ศึกษาสงเคราะห์ ทั่วประเทศ รวม 2,549 โรงเรียน มูลค่ารวมกว่า 100 ล้าน

คุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ได้กล่าวถึงการมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้ว่า ทางบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ฯ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพราะตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สําคัญที่จะช่วยสร้างคุณภาพคน และหวังว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับทุนในการศึกษาครั้งนี้ จะมีโอกาสสร้างสรรค์และต่อยอดทางการศึกษาเพื่อก้าวไปเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต

พร้อมกันนี้ คุณโกมล ยังกล่าวด้วยว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มเงินเดือนให้กับครูให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพราะเท่าที่ทราบรายได้ของวิชาชีพครูถือว่าค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับความสำคัญของภาระหน้าที่ของครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ซึ่งพบว่า ครูอัตราจ้างมีรายได้เพียงไม่กี่พันบาทต่อเดือนเท่านั้น จะว่าไปแล้วยังสู้ค่าแรงขั้นต่ำของพนักงานในโรงงานยังไม่ได้เลย 

“รายได้ของครูของบ้านเราถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ หรือเวียดนาม โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่ครูเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงอยู่ในอันดับต้น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณภาพการศึกษาของประเทศเหล่านั้นพัฒนาขึ้น จึงอยากจะฝากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหากเป็นไปได้ช่วยพิจารณาเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มเรือจ้าง เพื่อสร้างขวัญในการสั่งสอนและสร้างลูกศิษย์ที่มีคุณภาพให้กับประเทศไทยต่อไป และโดยส่วนตัวมองว่า หากรายได้ของครูยังต่ำเช่นในปัจจุบัน เป็นเรื่องค่อนข้างยากลําบากที่จะสามารถพัฒนาการศึกษาบ้านเราได้”

ขณะเดียวกัน คุณโกมล ยังฝากไปถึงนักเรียนที่ได้รับทุนในครั้งนี้ด้วยว่า ให้นำทุนที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษา และพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่ไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน ขอให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อสร้างรากฐานของชีวิตและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

“คุณตาโกมลคนนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับหลาน ๆ ทุกคนที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ และขอให้ทุกคนอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พวกเหล้ายาของไม่ดีอย่าลองอย่างเด็ดขาด รวมถึงการพนัน ซึ่งตอนนี้การพนันออนไลน์มีเยอะมากและเข้าถึงได้ง่าย ขอฝากไว้ว่าอย่าได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะถ้าหากหลงเข้าไปในบ่วงการพนันแล้วจะทำให้ชีวิตมีแต่ความเดือดร้อน ขอให้มุ่งพัฒนาตัวเองและตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้วยความมานะอดทน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสร้างโอกาสในชีวิตและมีรายได้ที่สูงขึ้น สามารถเลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่และมีชีวิตที่ดีในอนาคต” คุณโกมลกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top