Wednesday, 26 June 2024
TheStatesTimes

'หวัง อี้' พบ 'ดอน' พูดคุยกันแบบพี่น้อง ย้ำสัมพันธ์ 2 ประเทศแน่นแฟ้น ไร้แรงกดดัน

เลขานุการ รมว.กต. เผยผลการหารือ 'หวัง อี้' กับ 'ดอน' ยินดีที่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทยคืบหน้า / จีนนำเข้าผลไม้จากไทยโดยเฉพาะทุเรียนและมังคุดจำนวนมาก / นักศึกษาไทยกลับเข้าไปเรียนในจีนได้แล้ว / ไทยให้ช่วยจัดการปัญหา Call Center

(6 ก.ค.65) นันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการหารือระหว่างนาย หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กับนายดอน ปรมัติวินัย รองนายกและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ว่า…

เมื่อ (5 ก.ค.65) รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ได้เดินทางเยือนไทยและได้เข้าประชุมหารือกับท่านดอน ปรมัติวินัย รองนายกและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ที่กระทรวงการต่างประเทศ นอกจากการประชุมทวิภาคีของทั้งสองประเทศแล้ว รัฐมนตรีของทั้งสองประเทศยังได้มีการหารือแบบที่เรียกว่า ‘4 Eyes Meeting’ คือ เป็นการคุยกันส่วนตัวสองต่อสอง ไม่มีลูกทีม ไม่มีคนจดบันทึกการหารือ หลังจากนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย 

อยากจะเล่าบรรยากาศการประชุม และหัวข้อการประชุมให้พวกเราได้รับทราบเท่าที่จะเล่าได้ เริ่มต้นฝ่ายจีนได้บอกก่อนเลยว่า ไทยจีนไม่ใช่อื่นไกล พี่น้องกันการคุยกันในวันนี้เป็นการคุยกันในบรรยากาศของพี่น้อง เป็นการประชุมที่เป็นอย่างมิตรภาพ ไม่มีแรงกดดัน ไม่มีการเรียกร้องอะไรจากฝ่ายไทย ไม่มีการชี้นิ้วสั่ง

จีนแสดงความยินดีที่การก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทยคืบหน้า จะทำให้สามารถเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจ 3 ประเทศและอีอีซีของไทย ซึ่งจะเป็นเส้นทาง Logisticที่สำคัญ

ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการตรงกันคือ เรียกร้องให้เกิดสันติภาพในโลกและภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องก้นในแก้ไขปัญหาอย่างสันติ

จับแล้ว!! แขกขาวอ้วนผอมปล่อยมุกหลอกแลกเงินตระเวนก่อเหตุหลายพื้นที่

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

กล่าวคือ ก่อนทำการจับกุมได้ปรากฏภาพข่าว คนร้ายเป็นชายชาวต่างชาติ 2 คน ลักษณะแขกขาวอ้วนหนึ่งคนและผอมหนึ่งคน มีพฤติกรรมก่อเหตุใช้เทคนิคหลอกว่ามาขอแลกเงินเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจคนขายและฉกฉวยเอาเงินไปโดยไม่ทันรู้ตัว โดยได้ก่อเหตุพื้นที่ จ.ระยอง 2 ครั้ง และ จ.สมุทรสงคราม 1 ครั้ง แม้ว่าเหตุดังกล่าวจะเป็นเหตุเล็กน้อย แต่ผู้ต้องหารายนี้เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งอาศัยช่องของการเข้าเพื่อท่องเที่ยวแต่มาตระเวนก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในวงกว้าง สตม. โดย บก.ตม.3 จึงไม่ได้นิ่งนอนใจรีบสั่งให้ดำเนินการสืบสวนในทันที

ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้เข้าไปทำการสืบหาข้อมูลโดยใช้เทคนิคสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดจนจนทราบว่าหลักแหล่งที่อาศัยและรถที่ใช้ก่อเหตุของคนร้าย แต่เนื่องจากไม่ใช่เหตุซึ่งหน้ายังไม่สามารถจับกุมได้ทันทีจึงได้ติดตามสะกดรอยหาหลักฐานเพิ่มเติม จนกระทั่งวันที่ 20 มิ.ย.65 ได้ติดตามคนร้ายทั้ง 2 คน มาถึงตลาดท่าใหม่ ต.ท่าใหม่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ชุดสืบสวนได้ซุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ก็พบว่าคนร้ายดังกล่าว ตระเวนพยายามขอซื้อของร้านค้าโชห่วยหลายร้าน ชุดสืบสวนได้ตามเข้าไปถามร้านค้าที่คนร้ายเข้าไปแต่ละร้านก็พบว่าคนร้ายยังไม่ทันได้ก่อเหตุได้สำเร็จ 

รวบหนุ่มอังกฤษ สวมข้อมูลบุคคลอื่นทำ Passport หนีหมายจับกบดานไทย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 
 
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

ด้วยหน่วยงาน NCA ( National Crime Agency) ประเทศสหราชอาณาจักร ได้ประสานขอความร่วมมือมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีชาวอังกฤษคือ นายเค (นามสมมติ) ได้นำข้อมูลส่วนบุคคลของนายบี (นามสมมติ) ชาวอังกฤษไปแสดงต่อหน่วยงานหนังสือเดินทางของอังกฤษเพื่อลวงทำหนังสือเดินทาง เพื่อเดินทางหลบออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจาก ทางการอังกฤษได้ออกหมายจับในคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต่อมาทางการอังกฤษตรวจสอบพบจึงได้ ยกเลิกหนังสือเดินทาง และประสานทางการไทยให้ติดตามควบคุมตัวเพื่อนำตัวกลับประเทศอังกฤษ และยังแจ้งอีกว่ายังมีการกระทำความผิดในรูปแบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นอาชญากรหลบหนีหมายจับและมากระทำความผิดในประเทศที่ตนเองพักอาศัยอยู่

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสั่งการให้ บก.สส.สตม. ติดตามควบคุมตัว โดยได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.สส.สตม.ได้ลงพื้นที่สืบสวนพบว่านายเค หรือนายบี (นามสมมติ) หลบซ่อนตัวที่วิลล่าหรูแห่งหนึ่งริมทะเลในจังหวัดภูเก็ต จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์ จนเป็นที่แน่ใจ จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบ จนยอมรับว่าหลบหนีออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจากมีหมายจับของศาลอังกฤษในคดียาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

รวบอินเดียทนแรงคิดถึงสาวไทยไม่ไหว แก้ไขข้อมูลเพื่อหลบ Blacklist

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล     แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายเอ็ม(นามสมมติ) อายุ 58 ปี สัญชาติ อินเดีย ซึ่งอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับหญิงไทย โดยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.แกลง จว.ระยอง มีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าเข้ามาในประเทศไทยโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ไปตรวจสอบยังสถานที่ดังกล่าวและเชิญตัวมาที่ กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สตม. ผลการตรวจสอบพบว่า นายเอ็ม (นามสมมติ) เป็นบุคคลเดียวกับ นายม้า (นามสมมติ) ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (จำนวน 60 วัน) และเป็นบุคคลห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 

รวบไต้หวัน OVERSTAY พบประวัติหนีคดีฉ้อโกงบิตคอยน์กว่า 200 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้พบเห็นชายชาวต่างชาติมีตำหนิรูปพรรณคล้ายกันกับผู้ต้องหาตามประกาศทางเว็บไซต์ของตำรวจไต้หวัน ชื่อนายซี(นามสมมติ)กระทำความผิดฐานฉ้อโกงเงินซื้อขายบิตคอยน์ โดยสายลับได้พบเห็นนายซี (นามสมมติ) ในซอยอาภาศิริ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ประสานงานสอบถามไปยังสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่านายซี (นามสมมติ) เป็นบุคคลเดียวกันกับที่ทางการไต้หวันต้องการตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายจางเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 วีซ่านักท่องเที่ยว 60 วัน ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว 

20 ล้านใบไม่พอแล้วมั้ง? หลังสลากดิจิทัล 5.17 ล้าน ขายวันเดียวหมด!! | NEWS GEN TIMES EP.59

✨ 20 ล้านใบไม่พอแล้วมั้ง? หลัง C5.17 ล้าน ขายวันเดียวหมด!!

✨ TikTok เสี่ยงถูกแบน จาก Play Store และ App Store หรือนี่จะเป็นเกมการเมืองที่สหรัฐฯ จะดัน IG Reel ของ Facebook เข้ามาแทนที่?

✨ นักกีฬาหญิง (แท้) มีเฮ!! สหพันธ์ว่ายน้ำนานาชาติ ประกาศห้าม 'คนข้ามเพศ' ลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ ของผู้หญิงอีกต่อไป!!

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

'อรุณี' ถาม ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไม่แสดงตนร่างกฎหมายประกอบการเลือกตั้ง คิดแต่รักษาอำนาจ ทำลายรัฐธรรมนูญ อย่าอ้างทำเพื่อประชาชน พฤติกรรมฟ้องค้ำยันอำนาจเผด็จการ 

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการผ่านร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ทั้ง 2 ฉบับที่กำลังพิจารณากันอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้ว่า ท่าทีที่ชัดเจนของพรรคร่วมรัฐบาลจะลงมติไปในการหาร 500 เนื่องจาก ส.ส.หลายคนในฝั่งรัฐบาลพร้อมใจกันไม่แสดงตนจำนวนมากทั้งที่อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นหน้าที่ในการพิจารณากฎหมายที่สำคัญเป็นกติกาในการปกครองประเทศ กลับละเลยเลยเล่นเกมการเมือง เพียงเพื่อต้องการรักษาอำนาจให้คงอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 

ดร.อรุณี กล่าวต่ออีกว่า การกระทำของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค คือการแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งในการไม่เคารพในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 91 กำหนดไว้ชัดเจนว่าคะแนนที่เลือกพรรคการเมืองต้องเป็นสัดส่วนสัมพันธ์กันโดยตรง ต้องใช้สูตรการคำนวนหาร 100 ใน ส.ส ระบบบัญชีรายชื่อ เท่ากับสิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลคิดจะทำอยู่กำลังทำลายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านอาจต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องนี้กรณีสูตรหาร 500 สะท้อนชัดเจนว่า พรรคร่วมรัฐบาลมั่นใจในอำนาจที่มากล้น เพราะคิดว่าจะแทรกแซงองค์กรอิสระได้ ใช่หรือไม่ โดยไม่สนใจหลักการและความถูกต้องรวมถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรมตลอดระยะ 8 ปีที่ผ่านมา 

เริ่มต้นผิด หมดสิทธิ์ไปต่อ!! Drive your business with data insights ลองมาเข้าใจลูกค้าเชิงลึกด้วย Data กันเถอะ

“Customer Insights ของเรื่องนี้คืออะไร!?!” 

คำถามที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่ในเอเจนซี่โฆษณาเท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในระบบนิเวศของการทำธุรกิจ ที่ล้วนแล้วแต่ต้องหาสิ่งที่เรียกว่า Customer Insights ให้เจอกันแทบทั้งนั้น!! 

แน่นอนว่า เวลาเราจะตีโจทย์การตลาด เรามักจะเริ่มจากความเข้าใจตลาด เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคก่อน เพราะถ้าไม่เข้าใจคนซื้อ ก็ขายของยาก ทำให้ขายของได้ไม่ตรงจุด 

นั่นจึงมีสิ่งที่เรียกว่า Customer Insights ออกมาอยู่คั่นกลาง เพื่อให้เราไปทำความเข้าใจผู้บริโภค ‘เชิงลึก’ ก่อน ต้องรู้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร เขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เขาคิดอะไรอยู่ อะไรที่จะทำให้กระตุ้นให้เขาซื้อสินค้าของเรา 

แต่ทั้งหมดที่พูดมา ไม่ใช่แค่รู้ในภาพรวมของตลาดที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว ต้องเจาะลงไประดับผู้บริโภคแต่ละกลุ่มย่อย ๆ หรือให้ดีต้องรู้จักผู้บริโภคเป็นรายคนเลย เพื่อให้เราสามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงจุดตรงใจ และถูกที่ถูกเวลาให้กับผู้บริโภคได้

>> Insights ผิด ชีวิตเปลี่ยน พาธุรกิจไปผิดทาง

แต่ปัญหาคือ เราจะหา Customer Insights เหล่านี้มาได้ยังไง เพราะมันก็ไม่ได้หาได้ทั่วไป 

โดยปกติแล้ว Insight ที่แม่นยำ มักจะเกิดจากความเข้าใจในตัวผู้บริโภค ตัวบุคคล หรือกลุ่มนั้นๆ ซึ่งต้องขอบอกว่ามาจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัส ในแบบที่หลาย ๆ ครั้งก็หาอ่านก็ไม่ได้ 

เราต้องเจอ ต้องลอง ต้องเจ็บก่อนถึงจะเข้าใจ 

แต่คำถาม คือ แล้วถ้าเราไม่ได้มีประสบการณ์ตรง จะมีวิธีไหนที่ทำให้เราเข้าถึง Insights ได้บ้าง? 

คนที่จะบอก Insights กับเราได้ดีที่สุดก็คือผู้บริโภคเองนั่นแหละ แต่วันนี้มันมีวิธีที่ง่ายขึ้น คือ Customer Insights ไหลเวียนอยู่รอบตัวเรา แค่คลิกเชื่อมต่อเข้าหาโลกอินเทอร์เน็ต

ปัจจุบัน ข้อมูลพฤติกรรมต่างๆ เริ่มถูกบันทึกเข้าไปในโลกออนไลน์ ผ่านการทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยข้อมูลพวกนี้ จะกลายเป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งต่อเอเจนซี่และนักการตลาด เช่น... 

ข้อมูลจากแคชเชียร์ หรือที่มักจะเรียกว่า Point of Sale (POS) ที่บ่งบอกได้ว่า เราขายของอะไรไป ขายเมื่อไร ขายเท่าไร ขายใครไปบ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อให้เกิด Insights ได้มากมาย และตราบใดที่ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค เราก็จะสามารถมองเห็นพฤติกรรมของเค้าได้จากสิ่งนี้มากขึ้นๆ ไม่ว่าจะผ่านหน้าร้าน, เว็บไซต์, ไลน์, โซเชียลมีเดีย ฯลฯ เพียงแค่เราต้องจัดวางเครื่องมือการเก็บข้อมูล Insights นั้นๆ ให้ถูกวิธี

ยกตัวอย่างในช่วงโควิด เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคกับการสั่งอาหารอย่างมาก โดยพฤติกรรมหลายๆ อย่างยังคงเหมือนเดิม แม้จะเปิดเมืองแล้วก็ตาม เช่น เราพบว่าพฤติกรรมของคนที่ชอบสั่งอาหารให้มาส่งที่บ้าน แตกต่างกับคนที่ชอบสั่งแล้วไปรับหน้าร้านอย่างมาก คือ กลุ่มที่ชอบสั่งอาหารให้มาส่งมักจะสั่งเป็นเวลาและสั่งสำหรับกินกันหลายคน ส่วนอาหารที่สั่งก็จะไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง 

...หรือ สิ่งที่ลูกค้าสั่งมากที่สุดอย่างหนึ่งในข้อมูลที่เราเห็น คือ ซอสมะเขือเทศเป็นซองๆ โดยเฉพาะการสั่งกลับบ้าน (ไม่ชอบกินซอสมะเขือเทศมากก็น่าจะขอเพิ่มเพื่อเก็บไว้ใช้กับอย่างอื่น) แต่ถ้ารับกลับบ้าน ลูกค้ากลับไม่ขอซอสมะเขือเทศเพิ่มเยอะเท่า เป็นต้น 

'ตรีชฎา' ชี้!! เพิ่มเบี้ยคนชราหลักร้อยไม่พอกิน เตือนความจำรัฐบาล หาเสียงไว้ก็ต้องทำให้ได้

นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติงบกลางของปี 2565 ที่เคยเห็นชอบหลักการไปแล้วเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษ ผู้สูงอายุรวมกว่า 8,300 ล้านบาท ตั้งแต่ 100-250 บาทต่อคนต่อเดือนตามช่วงอายุ เป็นเวลา 6 เดือนนั้น มองว่า การช่วยเหลือผู้สูงอายุและประชาชนเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากขณะนี้พี่น้องประชาชนกำลังประสบภาวะเศรษฐกิจกันอย่างถ้วนหน้าจากการบริหารที่ผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ  

แต่การอุดหนุนเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุควรดำเนินการเร็วกว่านี้ และอุดหนุนให้เท่ากับที่พรรคร่วมรัฐบาลได้เคยหาเสียงเอาไว้ในการเลือกตั้งปี 2562 โดยพรรคพลังประชารัฐ หาเสียงเอาไว้ว่าจะปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทุกช่วงอายุเป็น 1,000 บาทต่อเดือน พรรคประชาธิปัตย์เคยหาเสียงจะปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงเป็น 1,000 บาทต่อเดือน พรรคชาติพัฒนา ตอนหาเสียงจะปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็น 2,000 บาทต่อเดือน 

จนปัจจุบันรัฐบาลอยู่มาเกือบครบวาระ 4 ปี แต่สิ่งที่พี่น้องประชาชนคนสูงอายุได้รับกลับได้ไม่ครบถ้วนตามที่หาเสียงเอาไว้ ผู้สูงอายุ 60-79 ปี ได้เบี้ยคนชรารวมเพียง 700-850 บาท และจะได้รับจำนวนนี้จนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้เท่านั้น กลายเป็นว่าไม่ใช่เงินอุดหนุนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเบี้ยหัวแตกที่ไม่พอยาไส้ในยุคข้าวยากหมากแพงตอนนี้ 

นางสาวตรีชฎา กล่าวอีกว่า พรรคการเมืองคือศูนย์รวมบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่มีแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมที่คล้ายคลึงกัน โดยมีเป้าเดียวกันที่จะขจัดทุกข์ บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชน การที่ประชาชนลงคะแนนเลือกบุคลากรของพรรคใด ประชาชนย่อมมุ่งหมายให้พรรคการเมืองไปดำเนินการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้เป็นจริง

นายกฯ ขับรถ EV รอบตึกไทยคู่ฟ้า ส่งทูตสวิตฯ ในโอกาสพ้นหน้าที่

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ (6 ก.ค. 65) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artierda) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าอำลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินลงมาส่ง นางเฮเลเนอ ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า และเมื่อเห็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า อีวี ยี่ห้อ มินิคูเปอร์ เอส สีแดง ทะเบียน ท 76-1002 ที่คณะเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ใช้เป็นยานพาหนะมาที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยกัน 4 คน เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน และยังเป็นรถที่นางเฮเลเนอ ใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในเมืองไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top