Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

‘ยุน ซุกยอล’ คว้าชัยเลือกตั้ง ขึ้นแท่นว่าที่ผู้นำ ‘เกาหลีใต้’ คนใหม่

ยุน ซุกยอล (Yoon Suk-yeol) ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยม คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ด้วยคะแนนเฉียดฉิวไม่ถึง 1% ขึ้นแท่นว่าที่ผู้นำประเทศคนใหม่ในปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่าเป็น “แผ่นดินไหวการเมือง” สำหรับเกาหลีใต้ ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจนโยบายเศรษฐกิจและข่าวคราวอื้อฉาวต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ชัยชนะของ ยุน นับเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่สำหรับพรรคพลังประชาชนเกาหลีใต้ (People Power Party) ซึ่งอยู่ในสภาพซวนเซมาโดยตลอด หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย ถูกรัฐสภาขับพ้นตำแหน่งเมื่อปี 2017

ยุน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้ามาปราบการทุจริตรับสินบน ส่งเสริมความยุติธรรม และสนับสนุนการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างเปิดกว้าง ขณะเดียวกันก็ประกาศจะ “รีเซต” ความสัมพันธ์กับจีน และแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือ

ยุน ยังต้องเตรียมมาตรการรับมือวิกฤตที่ท้าทายหลายอย่าง ทั้งปัญหาช่องว่างระหว่างคนต่างเพศและต่างช่วงวัย, ความไม่เท่าเทียมทางสังคม รวมไปถึงราคาที่พักอาศัยที่พุ่งสูงขึ้น

ศึกเลือกตั้งคราวนี้นับว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ยุคใหม่ โดย ยุน นั้นเฉือนเอาชนะ อี แจ-มยอง (Lee Jae-myung) จากพรรครัฐบาลเดโมเครติกปาร์ตีไปด้วยคะแนน 48.6% ต่อ 47.8% จากผลการนับคะแนนที่ผ่านไปแล้ว 99.8% เมื่อเวลา 5.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ (10 มี.ค.)

อี ได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับคู่แข่งของเขาแล้ว

“ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้อย่างที่ทุกคนคาดหวัง” อี ระบุในงานแถลงข่าว พร้อมโทษว่าเป็นเพราะตนเอง “ยังมีข้อบกพร่องอยู่”

ความพ่ายแพ้ของ อี แจ-มยอง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่านโยบายต่างๆ ที่เป็น “มรดก” ของประธานาธิบดี มุน แจอิน จะได้รับการสานต่อหรือไม่ โดยเฉพาะการเจรจากับเกาหลีเหนือ ซึ่งแทบจะหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2019

ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่จะต้องเตรียมรับมือวิกฤตความสัมพันธ์กับเปียงยาง ซึ่งกระแสข่าวระบุว่ามีแผนจะส่งดาวเทียมสอดแนมขึ้นสู่อวกาศ และคาดว่าผู้นำโสมแดงอาจจะสั่งฟื้นการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) หรืออาวุธนิวเคลียร์ภายในปีนี้ หลังจากที่ระงับไปตั้งแต่ปี 2017

ยุน ประกาศจะสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และการแข่งขันกับจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของเกาหลีใต้

ด้านทำเนียบขาวได้มีถ้อยแถลงแสดงความยินดีต่อ ยุน พร้อมระบุว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน รอคอยที่จะได้ร่วมงานกับเขาเพื่อสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ดูยอน คิม ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เพื่อความมั่นคงอเมริกันใหม่ (Center for a New American Security) ในกรุงโซล ชี้ว่า การก้าวสู่อำนาจของ ยุน “ทำให้คาดหวังได้ว่า ความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้จะราบรื่นและเข้าขากันมากยิ่งขึ้น ทั้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ จีน ภูมิภาค รวมถึงกิจการระดับโลก”

สำหรับศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้คราวนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ราว 77% จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 44 ล้านคน แม้สถานการณ์โควิด-19 ในเกาหลีใต้จะยังคงหนักหนาสาหัส โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่สูงถึง 342,446 รายเมื่อวันพุธ (9 ก.พ.) ก็ตาม

ยุน รับปากว่าจะทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน เพื่อเยียวยาการเมืองที่แตกแยกและสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติ

“การแข่งขันได้จบลงแล้ว” ยุน กล่าว พร้อมทั้งฝากถ้อยคำขอบคุณไปยัง อี และผู้สมัครคู่แข่งรายอื่นๆ “เราทุกคนต้องจับมือกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อประชาชนและประเทศชาติของเรา”

ว่าที่ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่ยังบอกกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า การสร้างความสามัคคีภายในชาติคือสิ่งที่รัฐบาลของเขาจะให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่ง และประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยไม่แบ่งแยกภูมิภาค ขั้วการเมือง หรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม

ที่มา: รอยเตอร์
https://mgronline.com/around/detail/9650000023651

'กรมอนามัย' ร่วมกับเครือข่าย แก้ปัญหาขยะติดเชื้อล้น แนะทิ้งถูกวิธี ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเทศบาลนครนนทบุรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขยะติดเชื้อล้นแนะทิ้งให้ถูกวิธีตามหลักสุขาภิบาล 

วันนี้ (9 มีนาคม 2565) นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังแถลงข่าว ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและเทศบาลนครนนทบุรี บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาประเด็น “การบริหารจัดการและแนวปฏิบัติ ในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” ณ ห้องประชุมสมบูรณ์ วัชโรทัย อาคาร 1 ชั้น 2 กรมอนามัย ว่า อธิบดีกรมอนามัย (นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย) มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

โดยเฉพาะมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นในชุมชน ทั้งจากศูนย์แยกกักในชุมชนและการแยกกักที่บ้าน เนื่องจากทุกครอบครัวสามารถซื้อชุดตรวจ ATK เพื่อนำมาใช้ตรวจโควิด-19 ด้วยตัวเองได้ จึงก่อให้เกิดมูลฝอยทั่วไป และมูลฝอยติดเชื้อจากครัวเรือนมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณมูลฝอยติดเชื้อเกิดขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน 2565 เฉลี่ยประมาณ 789 ตัน/วัน ขณะที่ศักยภาพระบบการกำจัดรวมมูลฝอยติดเชื้อในภาพรวมของประเทศ สามารถกำจัดได้เพียง 342.3 ตัน/วันเท่านั้น จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ปัญหาการสะสมตกค้าง ณ แหล่งกำเนิด กระบวนการเก็บขนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และไม่สามารถให้บริการได้ครอบคลุม   

นายแพทย์อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้ประสานความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เทศบาลนครนนทบุรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการที่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทำให้สามารถจัดหาสถานที่กำจัดเพิ่มเติม จำนวน 11 แห่ง มีศักยภาพการกำจัด 1,189 ตันต่อวัน เมื่อรวมกับระบบกำจัดมูลฝอยติดเชื้อเดิมทำให้ภาพรวมของประเทศมีศักยภาพของระบบกำจัดมูลฝอยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 1,532 ตันต่อวัน เพียงพอและสามารถรองรับปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

อีกทั้ง การบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่กรมอนามัยจัดทำขึ้น เป็นการบริหารจัดการที่ให้ความสำคัญตั้งแต่ กระบวนการคัดแยก เก็บขน และกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือในการจัดการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อในพื้นที่รับผิดชอบ

“ทั้งนี้ มูลฝอยที่เกิดขึ้นในชุมชนที่เกิดจากการแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation ให้ทำการคัดแยกขยะ เพื่อเป็นการลดปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่ต้องกำจัด โดยคัดแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1) มูลฝอยที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือ สารคัดหลั่ง เช่น เอกสารกำกับชุดตรวจ และกล่องบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ขยะประเภทนี้ให้เก็บรวบรวมทิ้งถังขยะทั่วไปที่มีฝาปิดมิดชิด 2) มูลฝอยที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่ง เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชู ภาชนะใส่อาหารพร้อมบริโภค (แบบใช้ครั้งเดียว) และชุดตรวจ ATK (ตลับหรือแผ่นทดสอบ หลอดใส่น้ำยา ฝาหลอดหยด ไม้ Swap) เป็นต้น ถือเป็นมูลฝอยที่มีความเสี่ยงสูง ให้แยกจัดการเป็นมูลฝอยติดเชื้อ เพราะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้

“ราเมศ” ไม่เห็นด้วย แนวคิดรับเงินซื้อเสียง-จัดเลี้ยง ถูกกฎหมาย ย้ำ จุดยื่นปชป.การเมืองสุจริต ต้องไม่มีอะไรมาจูงใจเพื่อให้ลงคะแนน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.นำเสนอแนวคิดรับเงินซื้อเสียงไม่ผิดกฎหมาย สามารถจัดมหรสพ และจัดเลี้ยงได้ว่า ส่วนตัวรับฟังแนวความคิดที่หลากหลาย แต่โดยหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายปัจจุบันนั้นดีอยู่แล้ว ที่ป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ป้องกันการใช้เงินมาเป็นปัจจัยในการจูงใจประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง การจูงใจประชาชนตามหลักการประชาธิปไตยผู้ที่เสนอตัวเป็นผู้แทนราษฏร ต้องจูงใจด้วยความดี ด้วยความตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชน นำเสนอนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ภาคปฏิบัติในทางการเมืองสำคัญที่สุด การเมืองที่สุจริต ต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อามิสสินจ้าง เชื่อว่าทุกคนต้องการส่งเสริมและพัฒนาระบบประชาธิปไตยให้ดีขึ้นในวันข้างหน้า แม้ใช้เวลานานก็ต้องร่วมกันเริ่มต้นทำ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า การจะทำให้การป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ทำได้หลายกรณี กฎหมายเดิมใช้ได้ดีอยู่แล้ว การป้องปราม องค์กรที่มีหน้าที่ก็ต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น ส่งสายลับสายสืบไปตรวจไปดู การกันประชาชนเป็นพยานเพื่อจัดการกับนักการเมืองที่ซื้อเสียง มีประสิทธิภาพมากกว่าหากจริงจังในการแก้ปัญหาการซื้อเสียง อีกกรณี การที่จะให้จัดมหรสพ จัดเลี้ยงได้นั้น ทุกอย่างต้องมีเงินมาเป็นปัจจัยนำการเมืองสุจริต ซึ่งผิดหลัก แล้วคนดีที่ตั้งใจอาสาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองจะทำอย่างไร ความไม่เท่าเทียมจะเกิดขึ้น ฉะนั้นหากให้กระทำการกันอย่างอิสระเสรี ทุกอย่างจะปั่นป่วนไปหมด จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนรับจะไปแจ้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

'ขันที' ชายไม่เต็ม ‘ชาย’ คู่ราชสำนักจีน! | THE STATES TIMES STORY เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร EP.61

‘ขันที’ บุคคลที่ผู้คนต่างตราหน้าว่า เป็น ‘ชายไม่เต็มชาย’ แม้อาจฟังดูไม่รื่นหู ที่เรียกขานพวกเขาเช่นนี้ แต่นั่นก็เพราะลักษณะเด่นของพวกเขาที่ต้อง ‘แลก’ ความเป็นชาย เพื่อได้มาซึ่ง ‘หน้าที่’ ที่มีความสำคัญและอยู่คู่กับราชสำนักจีนมาอย่างช้านาน วันนี้ THE STATES TIMES STORY จะพาคุณผู้ฟัง ย้อนอดีต ตามรอยประวัติศาสตร์ตำนาน ‘ขันที’ ไปพร้อมๆ กัน

.

.

แบ่งพื้นที่ชัดเจน ! "อนุทิน" เผย รพ.แยกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากโรคทั่วไป ขอประชาชนมั่นใจมาตรฐานความปลอดภัย

ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวกับผู้สื่อข่าว ถึงรูปแบบการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด -19 ระบุว่า

ปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อนมากๆ ทางกระทรวงการจำแนกให้เป็นผู้ป่วยนอกตามนโยบาย "เจอ แจก จบ" ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นการช่วยกันดูแลระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพิ่มภาระให้กับ รพ.และบุลคลากรแพทย์ ทำให้เรามีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง และแดงได้มากขึ้น 

การจะทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เราต้องทำให้คนเข้าใจที่จะอยู่กับโรค เรากำลังเร่งเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถอยู่กับโรคได้ และเศรษฐกิจ ก็ต้องไปได้ เช่น วัคซีน เราเร่งการฉีดให้มากขึ้น เพื่อให้อัตราสูญเสียลดลง จนเข้าเกณฑ์โรคประจำถิ่น ที่ต้องมีอัตราเสียชีวิตต่ำกว่า 1 ใน 1,000 ราย หรือ ร้อยละ 0.1

ตั้งแต่ สธ.เปิดให้บริการผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกณฑ์สีเขียว เป็นผู้ป่วยนอก ตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูล คือ ร้อยละ 60 เป็นสายจากกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม จึงเปิดให้บริการเพิ่มเติมใน 14 จังหวัด ที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ  ได้แก่ นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี จันทบุรี ชลบุรี และ สมุทรปราการ 4 วันที่ผ่านมา ให้บริการสะสมแล้ว 8,000 ราย โดยสัดส่วนของการจ่ายยา คือ การจ่ายยารักษาตามอาการ ร้อยละ 50 ยาฟ้าทะลายโจร ร้อยละ 22 และยาฟาวิพิราเวียร์ ร้อยละ 28

“บิ๊กตู่”สั่งเร่งแก้กฎหมายฟอกเงินเอาผิดเครือข่ายบัญชีม้า สกัดเส้นทางโอนเงินแก๊งค์มิจฉาชีพ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานจากนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ ว่า ขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีม้าหรือบัญชีทางผ่านเพื่อรับโอนเงินระหว่างเหยื่อและมิจฉาชีพ จะต้องมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้จะสกัดเส้นทางการรับและโอนเงินในขบวนการของมิจฉาชีพ

“พล.อ.ประยุทธ์  ได้มีข้อสั่งการให้เร่งรัดกระบวนการแก้ไขกฎหมายให้ได้มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อให้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามการกระทำผิด เนื่องจากขณะนี้อาชญากรรมทางออนไลน์เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ นอกจากคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินแล้วยังมีรูปแบบอื่นๆ ซึ่งหากแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้ จะลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากอาชญากรรมเหล่านี้ได้มาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับว่านอกจากเพิ่มประสิทธิภาพของกฎหมายแล้ว หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องเร่งให้ความรู้กับประชาชนว่าการรับจ้างเปิดบัญชีม้า รวมถึงพฤติการณ์ใดๆ ที่เป็นการเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้มีบัญชีม้านั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย เพื่อประชาชนจะได้ไม่ทำความผิดหรือระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกหลอกลวงให้กระทำผิด”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“ประยุทธ์” หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ยืนยันไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนประเด็นด้านการศึกษา และวัฒนธรรม

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายโจเซฟ แอนโทนี คอตเตอร์ (H.E. Mr. Joseph Anthony Cotter) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสอำลาพ้นจากหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมบทบาทของเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ที่ได้ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตลอด 4 ปี โดยได้ผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน รวมถึงด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไอร์แลนด์ที่ดีต่อกันเสมอมา ซึ่งในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ไอร์แลนด์ พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสวันชาติของไอร์แลนด์ (St. Patrick's Day) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2565 โดยทราบว่าปีที่แล้วได้มีการจัดกิจกรรมเปิดไฟสีเขียวที่วัดอรุณฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี และเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะสานต่อความร่วมมือต่อไปทั้งในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19

ขณะที่ เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กล่าวยินดีว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งในตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลไทย และหน่วยที่เกี่ยวข้องที่ให้การต้อนรับและสนับสนุนความร่วมมือที่ดีเสมอมา โดยยืนยันที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย – ไอร์แลนด์ให้ใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการค้าการลงทุนใน EEC ด้านเทคโนโลยี อาหาร และเกษตรแปรรูป เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งยินดีผลักดันให้ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดับลิน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในมิติอื่น ๆ ต่อไป

โดยทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ไทยและไอร์แลนด์ยังมีศักยภาพระหว่างกันในอีกหลายมิติ โดยได้หารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านดิจิทัล และเป็นแหล่งของบริษัทยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของโลก จึงขอเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในสาขานี้เพิ่มเติม

18 ปี อุ้มหายกลางเมือง ‘ทนายสมชาย นีละไพจิตร’ ทนายและนักสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทย

ทนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นนักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทย ที่มักเข้าไปมีบทบาทเป็นทนายให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะคดีที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการก่อการร้ายจนจำเลยพ้นจากข้อหาได้เกือบทุกคดี ทำให้เขานั้นกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ผู้ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวบ้านชายแดนใต้’ หรือในอีกแง่หนึ่งที่บางคนอาจรู้จักเขาในฐานะ ‘ทนายโจร’

ไม่ว่าเขาจะถูกเรียกขานอย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายหลักของเขานั้นก็คือการช่วยเหลือคนเพื่อให้ได้รับความ ‘ยุติธรรม’ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้แต่น้อย หากแต่การเป็นทนายน้ำดีของเขาที่เข้าไปมีบทบาทพัวพันกับคดีความมั่นคงมากมาย อาจไปขัดต่อความคิดเห็นหรือขัดขาคนบางกลุ่ม จนทำให้เขาต้องประสบกับเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เขาต้องกลายเป็น ‘บุคคลสูญหาย’ ในที่สุด 

โดยย้อนกลับเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547 ทนายสมชายได้เดินทางไป โรงแรมชาลีน่า เพื่อรอพบเพื่อน หลังจากนั่งรอที่ล็อบบี้ของโรงแรม แต่เพื่อนมาช้ากว่ากำหนดมาก บวกกับความอ่อนเพลีย และอยากพักผ่อน จึงทำให้ทนายสมชายตัดสินใจเดินทางกลับ 

ในระหว่างเดินทางกลับด้วยรถยนต์ส่วนตัว ทนายสมชายได้ใช้เส้นทางถนนรามคำแหง เพื่อมุ่งหน้าไปค้างคืนที่บ้านเพื่อน แต่ระหว่างทางนั้นกลับมีรถยนต์ที่บรรทุกชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ตามมาอย่างกระชั้นชิด จนชนท้ายรถยนต์ของทนายสมชาย

ทำให้ต้องหยุดรถเพื่อลงมาพูดคุย หากแต่ว่าทนายสมชายกลับถูกทำร้ายและผลักเข้าไปในรถยนต์ของชายฉกรรจ์ และมีชายอีกคนขับรถของทนายสมชายขับหลบหนีออกไปพร้อมกัน และนั่นจึงกลายเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’ ที่มีผู้คนเห็นทนายสมชาย

"ผู้ช่วยฯต่อ ควง ผู้ช่วยฯโจ๊ก" นำทีม ศพดส.ตร. ลง พื้นที่ ภ.5 แถลงผลงาน ลุยจับขบวนการค้ามนุษย์ 3 เคสรวด 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ที่กองบัญชาตำรวจภูธร ภาค 5 จว.เชียงใหม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์  หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศพดส.ตร.พล.ต.ท.ต่อศักดิ์  สุขวิมล  ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศพดส.ตร ได้ร่วมกันแถลงว่า จากนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ให้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เพื่อยกระดับการจัดลำดับสถานการณ์การแก้ไขการค้ามนุษย์ในประเทศจาก Tier 2 watchlist เป็น Tier 1 นั้น    พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และพล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.,ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนจับกุมขบวนการ กลุ่มบุคคล หรือผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ  โดยมีการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน คือ ฝ่ายปกครอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด  ซึ่งในห้วงที่ผ่านนี้ สามารถดำเนินการเข้าจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิดได้จำนวน 4 คดี ดังนี้


 
คดีที่ 1  พื้นที่ อ.เมือง  จ.ลำปาง ก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ มูลนิธิ HUG PROJECT และสภ.เมืองลำปาง  ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งทราบว่า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์โฆษณาขายบริการทางเพศ  โดยให้ผู้สนใจแอดไลน์สอบถามผ่านทางคิวอาร์โค้ดไลน์  และมีการโพสต์ภาพหญิงที่ขายบริการทางเพศ พร้อมให้ไอดีไลน์ติดต่อตรง  ซึ่งต่อมาชุดปฏิบัติการได้ทำการสืบสวนจนกระทั่งทราบว่ามีรูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคือ พ่อเล้าจะทำการโพสต์โฆษณาว่าสามารถจัดหาหญิงมาค้าประเวณีได้  แจ้งประกาศลงในทวิตเตอร์ เมื่อมีลูกค้าสนใจติดต่อเข้ามาผ่านไอดีไลน์ตามที่แจ้งไว้  พ่อเล้าจะส่งข้อมูลของหญิงที่จะมาให้บริการทางเพศให้ลูกค้าทราบ  โดยคิดค่าบริการทางเพศ ราคาประมาณครั้งละ 1,500 - 2,000 บาท ซึ่งลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีพ่อเล้า  หรือใช้วิธีจ่ายเป็นเงินสดให้กับเด็กหญิงที่ไปให้บริการ  จากนั้นพ่อเล้าจะทำการหักหัวคิว ไว้ประมาณ ครั้งละ 500 บาท  ซึ่งภายหลังสามารถพิสูจน์ทราบว่า  พ่อเล้า คือ เยาวชนชาย อายุ 16 ปีเศษ เป็นแอดมินของทวิตเตอร์ดังกล่าว ทำหน้าที่คอยชักชวนติดต่อหาลูกค้า พร้อมนำเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำนวน 2 คน  มาส่งให้กับลูกค้า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ลำปาง ภายหลังสามารถทำการเข้าจับกุมพ่อเล้า  และเข้าช่วยเหลือคุ้มครองเด็กหญิง ได้จำนวน 2 คน  พร้อมขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ซื้อประเวณีได้อีก จำนวน 12 คน โดยกลุ่มผู้ซื้อประเวณีมีทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียง  ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

คดีที่ 2  พื้นที่ อ.ห้างฉัตร  จ.ลำปางก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ภ.5 ได้รับแจ้งจากผู้ปกครองของเด็กหญิงอายุประมาณ 14 ปีเศษ ว่าถูกชักชวนไปค้าประเวณี และอยากให้เข้ามาช่วยเหลือเด็ก จากนั้น ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ภ.๕ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ    จ.ลำปาง และ สภ.ห้างฉัตร ได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือคุ้มครองเด็กหญิงดังกล่าว และทำการสืบสวนเรื่อยมาจนกระทั่งทราบว่า ยังมีเด็กหญิง อายุ 13 ปีเศษ อีก 1 คน ที่มีพฤติกรรมถูกชักชวนไปค้าประเวณีเช่นกัน  จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือคุ้มครองอีก 1 คน  ภายหลังจากการฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คน ทำให้ทราบรูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิด คือ พ่อเล้า ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาก่อน ของเด็กหญิงทั้ง 2 คน ได้เข้ามาชักชวนติดต่อให้ไปพักอาศัยอยู่ด้วยกัน  จากนั้นพ่อเล้าได้พูดจาโน้มน้าวเด็กหญิงว่า เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วต้องช่วยกันทำมาหากิน  พร้อมกับแจ้งว่าให้เด็กหญิงทั้ง 2 ไปรับงานค้าประเวณี กับลูกค้าในลักษณะเพศสัมพันธ์หมู่ ที่โรงแรมในเขต อ.ห้างฉัตร  จ.ลำปาง  โดยพ่อเล้าได้มีการโพสต์เสนอขายประเวณีเด็กทั้ง 2 คน ผ่านทวิตเตอร์ เมื่อมีลูกค้าสนใจและติดต่อมายังพ่อเล้า พ่อเล้าจึงได้พาเด็กหญิงทั้ง 2 คน ไปส่งที่โรงแรม  หลังจากที่ลูกค้าร่วมประเวณีกับเด็กหญิงทั้ง 2 คนแล้ว จึงโอนเงินเข้าบัญชีของพ่อเล้า เป็นจำนวน 3,500 บาท โดยพ่อเล้าได้แบ่งเงินให้เด็กหญิงทั้ง 2 เพียงคนละ 300 บาทเท่านั้น  ภายหลังสามารถทำการเข้าจับกุม พ่อเล้า ซึ่งเป็นชายไทย อายุ 23 ปี พร้อมขยายผลจับกุมผู้ซื้อประเวณี ซึ่งเป็น ชายไทย อายุ 44 ปี นักธุรกิจ ในพื้นที่ จ.ลำปาง ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 

คดีที่ 3  พื้นที่ อ.ฝาง  จ.เชียงใหม่ ก่อนจับกุม ชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครอง ร่วมกับ มูลนิธิ IMF ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งทราบว่า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์โฆษณาขายบริการทางเพศ  โดยหากมีผู้สนใจจะให้แอดไลน์ เพื่อส่งนัดหมายและส่งรายละเอียดของหญิงที่จะให้ไปค้าประเวณี  ซึ่งต่อมาชุดปฎิบัติการฝ่ายปกครอง ได้สืบสวนกระทั่งทราบว่ารูปแบบพฤติการณ์ในการกระทำความผิด คือ แม่เล้าจะทำการโพสต์โฆษณาว่าสามารถจัดหาหญิงมาค้าประเวณีได้  แจ้งลงในทวิตเตอร์ จากนั้นเมื่อมีลูกค้าสนใจจะติดต่อเข้ามาผ่านไอดีไลน์ตามที่แจ้งไว้  พร้อมมีการส่งข้อมูลของหญิงที่จะมาให้บริการทางเพศ  โดยคิดค่าบริการทางเพศ ราคาประมาณครั้งละ 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งลูกค้าผู้ซื้อประเวณีจะโอนเงินเข้าบัญชีแม่เล้า  จากนั้นแม่เล้าจะทำการหักหัวคิว ไว้ประมาณ ครั้งละ 200 – 500 บาท แล้วโอนเงินต่อให้เด็กหญิงที่มาค้าประเวณี  ภายหลังชุดปฎิบัติการฝ่ายปกครอง , มูลนิธิ IMF และ สภ.ฝาง ได้ร่วมกันเข้าช่วยเหลือเด็กหญิง อายุ 16 ปีเศษ และ อายุ 14 ปีเศษ ที่มาค้าประเวณีตามคำสั่งของแม่เล้า  พร้อมกับสืบสวนจนพิสูจน์ทราบและทำการจับกุมแม่เล้า ซึ่งเป็น เยาวชนหญิง อายุ 15 ปีเศษ แอดมินของทวิตเตอร์ดังกล่าว ทำหน้าที่คอยชักชวน และติดต่อหาลูกค้า ได้ที่ จ.ปทุมธานี  และขณะนี้อยู่ในระหว่างการขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ซื้อประเวณี

ภาคอุตสาหกรรมจับตาสินค้าต้นทุนราคาพุ่งต่อเนื่อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤตยูเครน-รัสเซีย ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ทำให้ราคาสินค้าจะมีการทยอยปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น แม้ที่ผ่านมาทุกกลุ่มอุตสาหกรรมพยายามตรึงราคา แต่เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละมีสต๊อกไม่เท่ากัน จึงอาจจะต้องมีการทยอยปรับขึ้นราคา 

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ก็ทำให้ราคาค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.25 บาท ดังนั้นถ้าน้ำมันเพิ่ม 10 เหรียญ ก็ทำให้ราคาค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.5 บาท ล่าสุดผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งเป็นตัวดัชนีของผู้บริโภค ก็มีการขอปรับขึ้นราคา เนื่องจากข้าวสาลี ที่เป็นวัตถุดิบผลิตที่สำคัญ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top