Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

'โฆษกรัฐบาล' เผย 'นายกฯ' ขอพรรคร่วมรัฐบาล ช่วยกันทำงานเต็มที่ เพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องการเมือง วอน อย่าหยิบยกมาเป็นประเด็น

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอความร่วมมือให้พรรคร่วมรัฐบาลช่วยกันทำงานเต็มที่เพื่อประเทศชาติและประชาชน ว่า นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือจากทุกพรรคร่วมรัฐบาลให้ช่วยกันทำงานในทุกเรื่อง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยไม่ได้เฉพาะแค่ว่าเรื่องการเมืองเท่านั้น  และไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าขอความร่วมมือจากพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว แต่ขอความร่วมมือจากทุกพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาพรรคร่วมรัฐบาลเองก็ช่วยกันทำงานเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่อยากให้มีการหยิบยกประเด็นนี้ไปขยายผลว่า นายกฯ ขอความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลเฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น

เลขาฯ อนุทิน สวนเดือด ‘ธีรรัตน์’ จอมบิดเบือน ตั้งตนเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ แต่ยังทำตัวน้ำเน่า

เลขาฯ อนุทิน สวนเดือด ‘ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์’ จอมบิดเบือน ปมกราฟิกยกเลิกสิทธิ์รักษาฟรี ผู้ป่วยโควิด-19 ซัด ตั้งตัวเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ แต่ยังทำงานแบบน้ำเน่า 

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว ถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพบนเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย ระบุว่าอย่าด่วนปลดโควิด-19 จากสิทธิ์รักษาฟรี คนไทยยังลำบาก ผู้ติดเชื้อรายวันยังสูง โดยปรากฏหน้าของ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทยอยู่ในภาพว่า การทำกราฟิกออกมาเช่นนี้คือการบิดเบือนข่าวสารอย่างน่ารังเกียจที่สุด ในความเป็นจริง สิ่งที่ภาครัฐจะปฏิบัติ คือการเอาโควิด-19 ออกจากบริการ UCEP (ยูเซ็ป) หรือการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ แล้วให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์การรักษาที่มีแทน ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม สิทธิ์ข้าราชการ ซึ่งแปลว่ารัฐยังดูแลท่านอยู่ แต่ข้อความที่ น.ส.ธีรรัตน์นำเสนอออกมานั้น ทำให้คิดไปได้ว่ารัฐเทประชาชนแล้ว รัฐทิ้งประชาชนแล้ว จะรักษาโควิด-19 ต้องจ่ายเพิ่ม ไม่ฟรี ทั้งที่ความจริง นี่คือการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ระบาด ไปจนถึงการรักษาสถานภาพทางการเงิน และที่สำคัญประชาชนไม่ต้องไปจ่ายอะไรเพิ่มเลย

“สงคราม” แนะ “บิ๊กตู่” ทบทวนสิทธิ์รักษาโควิดฟรี ชี้ ข้ออ้างหมดเงินฟังไม่ขึ้นอัดรัฐบาลอย่าผลักภาระให้ประชาชน 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 (ศบค.) มีแนวคิดในการยกเลิกการรักษาฟรีให้ประชาชน ที่ติดเชื้อโควิด อ้างว่า ใช้งบประมาณสูงมากมาก ที่ผ่านมา รัฐบาลทุ่มเงินให้ฟรีหมดไม่มีประเทศไหนทำ ในสถานการที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะแตะ วันล่ะ 14,000-15,000 คน แบบนี้ รัฐบาลไม่สามารถรับภาระได้ 

อยากเตือนไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ที่อ้างว่างบประมาณไม่พอนั้น อยากทราบว่าเงินกู้ 1.5 ล้านล้านบาท ที่มาขออำนาจสภาไปกู้มานำไปใช้อะไรหมด เงินส่วนนี้ควรนำไปใช้เพื่อบริการประชาชน เพราะเป็นเงินของประชาชน หรือนำเงินกู้ไปซื้ออาวุธให้กองทัพ รวมทั้งหากไม่รักษาให้ประชาชน ฟรีก็เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ตามาตรา 47 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ และบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นรัฐจะมาโยนภาระให้กับประชาชนไม่ได้ 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า จากเดิมเมื่อประชาชนหากติดเชื้อโควิดแล้วสามารถรักษาได้ทุกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชน หากยกเลิกสิทธิรักษาโควิดฟรีทุกที่เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังผลักภาระให้ประชาชน ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังกลับมาพบผู้ติดเชื้อยอดทะลุ 10,000 รายต่อวันอีกครั้ง

“อนุทิน”แจง ปมยกเลิก โควิด-19 ออกจากยูเซ็ป ยัน รัฐยังดูแลอยู่ตามสิทธิ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค(ก.บ.ภ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ(ก.น.จ.) ครั้งที่ 1/2565 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า นายกฯย้ำให้ติดตามงาน เพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 จึงให้ความมั่นใจ ว่ากระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมแม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

เช่น กรณีนำโรคโควิด 19 ออกจากบริการ UCEP (ยูเซ็ป)หรือการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ไม่ได้หมายความว่ายกเลิก แต่จะทำให้โควิด-19 เป็นโรคปกติ ไม่ใช่โรคฉุกเฉิน หากใครติดโควิด-19 แล้วมีอาการหนักสามารถเข้ารักษาฉุกเฉินได้ในสถานพยาบาลทุกที่ สปสช.ดูแลครบ และสิทธิบัตรทอง ใช้ได้ทุกที่อยู่แล้ว แต่การไปแปลความว่าจะยกเลิก ไม่จ่าย ไม่ดูแล ยืนยันว่าไม่ใช่ ถึงอย่างไรรัฐก็จ่ายตามสิทธิ์ที่ทุกคนมีอยู่ หากใครฉุกเฉินหรือมีอาการหนัก เรารักษาอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะโควิด-19 อย่างเดียว 

“อนุทิน” หยอดคำหวาน “หนู”ช่วยอยู่แล้ว ยัน ไม่ถอนตัวรัฐบาล ลั่น มาด้วยกันไปด้วยกัน กั๊ก ปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวกระทบซักฟอก แย้ม ขอดูรายละเอียดก่อน

การเมือง/ทำเนียบ/14 ก.พที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระบุว่า “หนูช่วยหน่อยนะ”หลังการประชุมศบค.เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามตนเรื่องนี้ว่า “พี่พูดกับหนูเมื่อไหร่”จึงตอบไปว่าจำไม่ค่อยได้ แต่เป็นธรรมดา หาก พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ช่วยก็ต้องช่วยกันทำงาน เป็นหน้าที่อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า หนูช่วยหน่อยนะ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้ช่วยเรื่องอะไร แต่เป็นการช่วยทำงาน ช่วยให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพูดคุยดังกล่าวยืนยันตัวเลข 260 เสียงรัฐบาล กับนายกฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตัวเลขนี้ไม่รู้มาจากไหน ยืนยันจะพยายามทำให้เกิดความมีเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด
 
เมื่อถามว่าในการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 แม้ไม่มีการลงมติ พรรคภูมิใจไทยจะช่วยเหลือรัฐบาลอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องสนับสนุน
นายกฯเต็มประตูอยู่แล้ว นายกฯยังไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ผิดไปจากนโยบายที่ได้แถลง ทุกอย่างเป็นไปตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่นายกฯ ทำทุกอย่างถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ เราเป็นรัฐบาลด้วยกันก็ต้องสนับสนุน ต้องช่วยกัน
 
เมื่อถามว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 15 ก.พ.นี้ จะมีวาระพิจารณาประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่เห็นวาระการประชุม เมื่อถามย้ำว่า หากครม.พิจารณา แล้วผลไม่เป็นไปตามที่พรรคภูมิใจไทยต้องการ จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวย้อนว่า ให้เกิดขึ้นก่อน  ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว หากพิจารณาแล้วไม่ว่าผลจะออกมาทิศทางใด จะยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องดูว่าจะเสนอเข้ามาในรูปแบบไหน จะไปพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคม ส่วนรายละเอียดต้องให้ผู้เกี่ยวข้องนำมาชี้แจงในที่ประชุมครม. 

เมื่อถามว่าผลการพิจารณาเรื่องสายสีเขียว จะส่งผลต่อท่าทีของ ภูมิใจไทยในสภาฯหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คนอนุมัติเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว คือ ครม. ต้องรอให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อน ยังไม่ทราบว่าหากรัฐมนตรีได้ฟังการหารือของสองหน่วยงาน ที่นำเหตุผลมาว่ากัน ผลจะออกมาอย่างไร อาจจะยังไม่มีข้อสรุปออกมาก็ได้ ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งของรัฐบาล เป็นเพียงความเห็นที่ไม่ตรงกันของสองหน่วยงาน เป็นของเรื่องของการทำงาน ไม่เกี่ยวกับการเมือง

“พรรคกล้า” ทำบุญครบ 2 ปี “กรณ์” ย้ำเดินหน้าการเมืองคุณภาพ ถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ลั่นไม่ได้เป็นพรรคสำรองของใคร พร้อมเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

ที่ทำการพรรคกล้า ถ.รัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม จตุจักร กทม. พรรคกล้า จัดงานทำบุญครบรอบ 2 ปี วันก่อตั้งพรรค โดยทำบุญทำพิธีศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ โดยมีผู้บริหารพรรค สมาชิกพรรค ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.จากภาคต่างๆ ผู้เสนอตัวสมัคร ส.ก. และผู้สนับสนุนพรรค มาร่วมงานจำนวนมาก

โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันดี เป็นวันแห่งความรัก เป็นวันครบรอบวันจดทะเบียนชื่อพรรค เป็นวันเริ่มต้นเส้นทางทำงานการเมืองคุณภาพ เวลาผ่านไป 2 ปี พรรคกล้ามีโอกาสช่วยเหลือประชาชน ทำภารกิจสำคัญให้กับบ้านเมืองมากมาย ทั้งที่ยังไม่มีใครมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ได้พิสูจน์ตัวเองในสนามการเมืองมาหลายสนาม จึงมีความพร้อม ความมุ่งมั่นตั้งใจ และใกล้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะมีโอกาสได้เสนอแนวความคิดและตัวบุคลากรคุณภาพ ให้ประชาชนมีโอกาสได้เลือก ในสนามเลือกตั้งใหญ่ที่คิดว่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า พรรคกล้ายึดหลักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต้องเข้มแข็ง โดยเฉพาะความเป็นชาติคือสังคมต้องเข้มแข็ง ความขัดแย้งทั้งหมดที่ผ่านมา ต้องก้าวข้ามให้ได้ เศรษฐกิจต้องเข้มแข็ง ซึ่งวันนี้ประชาชนสัมผัสได้ถึงความเดือดร้อนเรื่องปากท้อง และหลักการที่พรรคฯ ยึดถือมาตลอดคือหลักเสรีนิยมประชาธิปไตย ยอมรับในความเป็นอิสระส่วนบุคคล ที่จะคิดจะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้อื่น ไม่มีผลกระทบในแง่ลบต่อสังคม ยอมรับความแตกต่างความหลากหลาย ยึดหลักเสียงข้างมากแต่ต้องให้เกียรติเสียงข้างน้อย

แต่ในช่วงที่ผ่านมาเรื่องนี้ขาดหายไปจากการเมืองไทย และทำให้เราติดกับดักความขัดแย้ง ทำให้ประเทศชาติไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ส่วนหลักการปฏิบัติ เรามุ่งมั่นลงมือทำ ด้วยหลักปฏิบัตินิยม อยู่บนโลกความเป็นจริง เอาผลลัพธ์เป็นที่ตั้ง โดยเป้าหมายหลักคือเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ ส่วนเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการสร้างโอกาสให้กับพี่น้องประชาชน คือการให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ตอบโจทย์ปัญหาความท้าทาย ทั้งหมดนี้คือแนวความคิดความตั้งใจของพรรคฯและนโยบายทั้งหมดที่จะนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน

ส่วนการส่งผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นายกรณ์ กล่าวว่า เป้าหมายพรรคฯตอนนี้อยู่ที่สนามเลือกตั้งใหญ่เป็นหลัก เพราะรัฐบาลยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เมื่อใด ดังนั้นในวันที่รัฐบาลมีความชัดเจน พรรคกล้าก็จะมีความชัดเจน ซึ่งตนพูดเรื่องนี้มาโดยตลอดว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หรือเลือกตั้งใหญ่ก่อน แต่พรรคกล้าก็มีการเตรียมชุดความคิดในแง่นโยบายว่าอยากจะทำงานให้คนกรุงเทพฯ การพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ ทำมาหากินโดยสะดวก มั่นใจว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญมากในการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองในฝันของพวกเราทุกคน

สำหรับการเตรียมความพร้อมเลือกตั้งสนามใหญ่นั้น นายกรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้มีปัญหาความเดือดร้อนที่ประชาชนรอคอยการแก้ไข แต่ดูเหมือนรัฐบาลขาดสมาธิ ขาดความคิดใหม่ๆ ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน สถานการณ์รอบตัวลักษณะนี้ อดคิดไม่ได้ว่าการเลือกตั้งอาจจะเร็วกว่าที่คิดก็ได้ ซึ่งเราก็ต้องเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเดือนนี้หรือเดือนหน้า ก่อนหรือหลังเดือนพฤษภาคม ปีนี้หรือต้นปีหน้าก็ตาม มีเวลาเหลืออีกไม่มาก ซึ่งผลการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา สะท้อนว่าประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง และบ่งบอกว่าพรรคกล้ามาถูกทางแล้ว ที่นำเสนอทางเลือกใหม่และว่าที่ผู้สมัครคนใหม่ ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดคือสิ่งที่สังคมต้องการ

นายกรณ์  กล่าวถึงการวางเป้าหมายส่งผู้สมัครส.ส.ว่า ด้วยกติกาการเลือกตั้งและความเป็นพรรคการเมืองใหม่ การส่งผู้สมัครส.ส.ลงทุกเขตคงเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นก็จะเลือกเขตที่มองว่ามีโอกาส มีผู้สมัครที่พร้อม และเป็นผู้สมัครที่มีชุดความคิดตรงกับอุดมการณ์ของพรรคชัดเจน ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเราไม่ดันทุรังส่งผู้สมัครที่ไม่พร้อม แต่เบื้องต้นยังไม่ได้ประเมินถึงจำนวนว่าจะส่งผู้สมัครส.ส.เท่าไหร่ แต่เชื่อว่าพรรคกล้าจะเข้าไปเป็นส่วนสำคัญ ในสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลรอบหน้า ขอย้ำว่าพรรคมีความตั้งใจเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ได้ตั้งพรรคมาเพื่อเป็นพรรคสำรองของใคร และจะเสนอหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

‘อนุทิน’ ยันไม่ถอนตัวรัฐบาล ลั่น สนับสนุน ‘บิ๊กตู่’ เต็มประตู

“อนุทิน” หยอดคำหวาน “หนู” ช่วยอยู่แล้ว ยัน ไม่ถอนตัวรัฐบาล ลั่น มาด้วยกันไปด้วยกัน กั๊ก ปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวกระทบซักฟอก แย้ม ขอดูรายละเอียดก่อน

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่14 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระบุว่า “หนูช่วยหน่อยนะ” หลังการประชุมศบค. เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามตนเรื่องนี้ว่า “พี่พูดกับหนูเมื่อไหร่” จึงตอบไปว่าจำไม่ค่อยได้ แต่เป็นธรรมดา หาก พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ช่วยก็ต้องช่วยกันทำงาน เป็นหน้าที่อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า หนูช่วยหน่อยนะ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้ช่วยเรื่องอะไร แต่เป็นการช่วยทำงาน ช่วยให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การพูดคุยดังกล่าวยืนยันตัวเลข 260 เสียงรัฐบาล กับนายกฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตัวเลขนี้ไม่รู้มาจากไหน ยืนยันจะพยายามทำให้เกิดความมีเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด

เมื่อถามว่าในการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 แม้ไม่มีการลงมติ พรรคภูมิใจไทยจะช่วยเหลือรัฐบาลอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องสนับสนุน นายกฯ เต็มประตูอยู่แล้ว นายกฯ ยังไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ผิดไปจากนโยบายที่ได้แถลง ทุกอย่างเป็นไปตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่นายกฯ ทำทุกอย่างถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ เราเป็นรัฐบาลด้วยกันก็ต้องสนับสนุน ต้องช่วยกัน

เมื่อถามว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 ก.พ.นี้ จะมีวาระพิจารณาประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่เห็นวาระการประชุม เมื่อถามย้ำว่า หากครม. พิจารณา แล้วผลไม่เป็นไปตามที่พรรคภูมิใจไทยต้องการ จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวย้อนว่า ให้เกิดขึ้นก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว หากพิจารณาแล้วไม่ว่าผลจะออกมาทิศทางใด จะยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องดูว่าจะเสนอเข้ามาในรูปแบบไหน จะไปพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคม ส่วนรายละเอียดต้องให้ผู้เกี่ยวข้องนำมาชี้แจงในที่ประชุมครม. 

ตร.เตือน 3 ภัย!! ‘หลอกรักออนไลน์’ ช่วงวาเลนไทน์ รักมาก เปย์มาก สุดท้ายใจสลาย!!

วันที่ 14 ก.พ. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ด้วยในวันที่ 14 ก.พ. ของทุกปี เป็นวันเทศกาลวาเลนไทน์ หรือที่เรียกกันว่าเทศกาลแห่งความรัก ที่คู่รักทั่วโลก รวมถึงคู่รักในประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้ในการแสดงออกถึงความรัก ด้วยการส่งดอกไม้ ของขวัญ เงิน ให้คนรักเนื่องในโอกาสพิเศษนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาศัยโอกาสจากเทศกาลแห่งความรัก มาหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากพี่น้องประชาชน โดยอาชญากรรมออนไลน์ที่คนร้ายเป็นชาวต่างชาติใช้ความรักในการหลอกลวงเหยื่อหลัก ๆ มี 3 ประเภท ดังนี้

1. Romance Scam หลอกรักให้เปย์ แล้วเททิ้ง

คนร้ายเป็นแก๊งชาวผิวสี เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอมโดยใช้รูปผู้อื่นส่วนใหญ่จะปลอมเป็นชาวยุโรป อเมริกัน หรือชาวตะวันออกกลาง ที่หน้าตาดี หล่อ รวย หน้าที่การงานดี มีการใช้ชีวิตที่หรูหราเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป้าหมายคือหญิงไทยอายุ40ปีขึ้นไป)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันโดยอ้างว่าภรรยาเสียชีวิตหรือหย่าร้าง อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับหญิงไทย โดยถูกใจเหยื่อมากใช้วิธีการแชทเรียกเหยื่อหวานหยดย้อย เช่น Darling, Sweetheart,My love พอเหยื่อหลงเชื่อและหลงรัก ก็จะเริ่มหลอกลวงเพื่อหวังเงินจากเหยื่อ

โดยจะใช้วิธีการต่าง ๆ ได้แก่ อ้างว่าจะส่งทรัพย์สินมีค่ามาให้ จากนั้นจะมีผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นคนไทยจะติดต่อเหยื่อโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรหรือบริษัทส่งของระหว่างประเทศ มีการเรียกเก็บภาษีหรือค่าปรับจากเหยื่อ , อ้างว่าป่วยแต่ประกันสุขภาพมีปัญหา ขอให้เหยื่อโอนค่ารักษาพยาบาลมาให้ , อ้างว่าได้รับมรดกจำนวนมากแต่ต้องมีการจ่ายภาษีมรดกก่อน ขอให้เหยื่อช่วยโอนเงินมาให้ และ อ้างว่าได้รับสัมปทานหรือทำสัญญากับภาครัฐ จะได้ผลกำไรจำนวนมาก ขอให้เหยื่อโอนเงินมาจ่ายให้กับภาครัฐก่อนทำสัญญา เป็นต้น เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะสูญเงินทั้งหมดไป

2. Hybrid Scam หลอกรักชวนลงทุน

คนร้ายเป็นแก๊งชาวจีน เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้รูปหญิงสาวสวยชาวเอเซีย น่าเชื่อถือ ลักษณะเหมือนนักธุรกิจ เข้ามาเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป็นผู้ชายอายุ30ปีขึ้นไปที่เข้าใจระบบการลงทุนออนไลน์)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พอเหยื่อหลงเชื่อหรือหลงรัก คนร้ายก็จะบอกกับเหยื่อว่ามีธุรกิจใหม่น่าลงทุน ผลตอบแทนสูง เช่น การเทรดค่าเงินต่างประเทศ อ้างว่าได้กำไรแน่นอน จากนั้นจะส่งลิงก์แอพพลิเคชัน มาให้เหยื่อติดตั้งในโทรศัพท์ และเริ่มมีการนำเงินมาลงทุน แรก ๆ จะได้กำไรจริง จากนั้นจะชักชวนเหยื่อให้เพิ่มวงเงินการลงทุน เมื่อเทรดแล้วได้กำไร การจะนำเงินออกจากระบบต้องจ่ายภาษี 30-40% เช่น ถ้าลงทุนได้กำไร 1,000,000 บาท ต้องโอนเงินประมาณ 400,000 บาท เจ้าระบบก่อน เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าระบบแล้ว ก็จะไม่สามารถถอนเงินออกได้ทำให้เหยื่อหลงเชื่อสูญเงินเป็นจำนวนมาก

3. Sextortion หลอกให้ถ่ายคลิปช่วยตัวเองแล้วเอามาแบล็คเมล์ (Blackmail) 

คนร้ายเป็นแก๊งชาวฟิลิปปินส์ เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้รูปหญิงสาวสวย เซ็กซี่ เข้ามาเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป็นผู้ชาย ที่มีหน้าที่การงานมั่นคง มีฐานะดี เป็นที่นับถือในสังคม เป็นคนรักครอบครัว)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พอเหยื่อหลงเชื่อจะขอ วิดีโอคอล ชักชวนให้เหยื่อถ่ายคลิปวิดีโอ ช่วยตัวเองหรือภาพลามกของเหยื่อส่งมาให้กับคนร้าย จากนั้นจะบันทึกภาพหรือคลิปของเหยื่อไว้ นำมาข่มขู่เอาเงิน หากไม่ยินยอมจะขู่ว่าปล่อยคลิปดังกล่าวสู่สาธารณะ หรือส่งให้ภรรยา ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนของเหยื่อ จนเหยื่อต้องจำใจโอนเงินไปให้คนร้ายเพราะไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียง

‘ครูธัญ’ ยินดีหน่วยงานตระหนักรู้ความเท่าเทียม หลังเขตบางขุนเทียน จัดจดทะเบียนคู่รัก LGBTQ+

‘ปักธงสมรสเท่าเทียม’ โดยภาครัฐ ‘ครูธัญ’ ชม สำนักงานเขตบางขุนเทียน จัดจดทะเบียนสมรสคู่รัก LGBTQ+ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก ชี้ ยอมให้แสดงสัญลักษณ์ แม้ยังไม่มีผลทางกฎหมาย คือความก้าวหน้า

วันที่ 14 ก.พ. 65 ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ พ.ศ. …. หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม กล่าวชื่นชมสำนักงานเขตบางขุนเทียน ที่จัดกิจกรรมจดทะเบียนสมรสคู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ ที่ศูนย์การค้า The Bright พระราม 2 โดยระบุว่า เป็นอีกกิจกรรมที่สามารถสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นความหลากหลายทางเพศได้ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือการจดทะเบียนในวันนี้จะยังไม่มีผลทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี ตนรู้สึกมีความยินดีที่หน่วยงานราชการมีความตระหนักรู้และให้ความสำคัญต่อประเด็นความไม่เท่าเทียมที่ยังมีอยู่ในสังคม โดยเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตี มีส่วนในการร่วมเปลี่ยนแปลงผลักดัน แม้ในเชิงสัญลักษณ์ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ  

ยะลา - 31 คู่รักจดทะเบียนสมรส!! ในงาน "เบตงที่รัก รักที่สุด ใต้สุดสยาม @รักใต้ไอหมอก" จุดชมวิวทะเลหมอก สกายวอร์คอัยเยอร์เวง

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 14 ก.พ.65 ที่จุดชมวิวทะเลหมอก สกายวอร์คอัยเยอร์เวง (SKY WALK AYERWENG) หมู่4 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่ใครเดินทางมาถึงอำเภอเบตงต้องเดินทางขึ้นไปชมความงามของทะเลหมอก และเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวว่าทะเลหมอกสวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ พร้อมทั้งยังสามารถชมทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นทะเลหมอกที่สวยงามที่สุดในภาคใต้ นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้เป็นประธานเปิดงานจดทะเบียนสมรส "เบตงที่รัก รักที่สุด ใต้สุดสยาม @รักใต้ไอหมอก" ประจำปี 2565 

โดยมีนายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง  พร้อมด้วย นางมุกดา ยังอภัย ณ สงขลา นายกกิ่งกาชาดอำเภอเบตง หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน นักท่องเที่ยว และ คู่รัก จำนวน 31 คู่ เข้าร่วม

สำหรับจุดที่จัดให้มีการจดทะเบียนสมนส คือ บริเวณทางเดินบนสกายวอร์คอัยเยอร์เวง มีนายอำเภอเบตง เป็นนายทะเบียน จดทะเบียนให้คู่รักทุกคู่ เมื่อถึงเวลาคู่รัก ทั้ง 31 คู่ ซึ่งมีทั้งหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน ในพื้นที่บุคคลที่ราบสูง และ ชนเผ่าอัสรี อีก 3 คู่ แต่งกายด้วยชุด บ่าวสาว ชุดไทย ชุดมลายู ชุดจีนชุดสวยงาม เสื้อผ้าคู่ เดินจูงมือคู่ของตน ผ่านซุ่มดอกไม้ ซุ่มลูกโป่ง ที่จัดไว้อย่างสวยงาม เพื่อมารับช่อกุหลาบจากผู้ร่วมงาน แขกผู้มีเกียรติ ที่แต่งกายสวยงามด้วยตีมสีแดง สีชมพู ชุดสวยงามต่าง ๆ เช่นกัน 

หลังจากที่คู่รักทุกคู่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คู่รักทั้งหมดก็ลงมาบริเวณลานด้านล่างเพื่อมาร่วมกิจกรรมจับสลาก พร้อมรับของรางวัล ที่ทำอำเภอเบตงจัดขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top