Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

ทอ. ยันเครื่องบินเมียนมา ยังไม่ได้ล้ำแดนไทย เผยเขตเฝ้าระวัง 50 ไมล์ไม่ได้ตายตัวขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ เมียนมาร์-ไทย เป็นมิตรที่ดี /แจงดราม่าใช้เครื่องบินโปรยน้ำดับฝุ่นพีเอ็ม ยันพิจารณาทางเทคนิค อยุ่ในขั้นเตรียมพร้อมหากรัฐบาลสั่ง 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี  โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงกรณีที่การสู้รบบริเวณชายแดนเมียนมาร์ได้รับสัญญาณหรือการแจ้งเตือนการลุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยหรือไม่ว่า  ขณะนี้ยังไม่ได้พบว่ามีเครื่องบิน หรือ อากาศยานที่มีเจตนารมณ์หรือเป้าหมายเข้ามาในประเทศไทย ยังคงประสานงานกับหน่วยป้องกันเฝ้าระวังในพื้นที่ตามปกติ  ยืนยันว่า รายงานล่าสุดก็ยังไม่มีบินล้ำเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ ภารกิจทอ.มีภาระหน้าที่ในการตรวจระบบเฝ้าระวังภัยทางอากาศ ป้องกันภัยคุกคามทั้งหมดของปะเทศ มีสถานีเรด้าร์รายงาน11 แห่งทั่วประเทศ ในด้านตะวันตกนั้น ทอ.มีระบบเฝ้าตรวจ เฝ้าระวัง ค้นหาพิสูจน์ และดำเนินการตามกระบวนการตลอด 24 ชม.

“ระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศไทย มีความพร้อม และเราเห็นภาพที่ต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งการให้ข้อมูลในลักษณะที่เป็นภาพ ไม่สามารถให้ได้ เพราะจะเกิดผลกระทบทั้งสองฝ่าย จะเป็นการชี้เป้าไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์กับไทย เขาไม่มีเจตนาลุกล้ำเข้ามา  และเป็นเรื่องภายในประเทศเพื่อนของเรา เขาเป็นมิตรที่ดีกับเรา ทั้งนี้ได้มีการประสานงานกันตลอด ตัวเลขเขตเฝ้าระวังเข้มข้น50ไมล์นั้นก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัว เป็นเรื่องลักษณะทางภูมิประเทศ การเฝ้าระวังทางอากาศต้องดูเจตนาว่าเราตั้งใจที่จะพุ่งเข้ามาสู่เป้าหมายอะไรหรือไม่อย่างไร เราก็พิสูจน์ฝ่าย หากเครื่องบินนั้นมีการส่งแผนการบินที่ชัดเจนเราก็เฝ้าระวังและเฝ้าดูไม่ให้กระทบต่อแนวชายแดยของไทย เขาก็ปฏิบัติภารกิจในแนวชายแดนของเขา”พล.อ.ต.ประภาส กล่าว 

'โอมิครอน' ทุบใช้จ่ายปีใหม่ซึมหนักรอบ 12 ปี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้มีเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 30,000 - 50,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่อยู่ที่ 120,000-140,000 ล้านบาท

“ในภาพรวมแม้คนส่วนใหญ่จะวางแผนท่องเที่ยวและสังสรรค์กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่จากปัญหาความกังวลแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้การท่องเที่ยวและสังสรรค์อาจจะไม่คึกคักมากนัก เพราะยังกลัวการติดเชื้อโอไมครอน ดังนั้น พฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงปีใหม่นี้ คนส่วนใหญ่จะเน้นสังสรรค์อยู่กับบ้านและหากจะท่องเที่ยวก็จะเน้นท่องเที่ยวที่ไม่ใกล้มากนัก แต่หากจะไปก็จะเน้นไปในพื้นที่ที่ดูแลด้านความปลอดภัยลดการติดเชื้อโควิดให้มากที่สุด”

ทั้งนี้จากผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ออกมายังพบว่า การใช้จ่ายเทศกาลปีใหม่อยู่ 85,796 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 6.2% ต่ำสุดในรอบ 12 ปีนับจากปี 2554 เพราะเดิมหากไม่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมินว่า น่าจะมีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ไม่ต่ำกว่า 120,000-140,000 ล้านบาท

ก.แรงงาน ผนึกกำลัง สถาบันฯ จิตรลดา เอ็มโอยูปั้นกำลังคนคุณภาพ ป้อนตลาดงานในอนาคต

ที่ห้องประชุมเทพรัตนพิทยากร ชั้น 4 อาคาร 605 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการพัฒนากำลังคนด้านพัฒนาฝีมือแรงงานและการส่งเสริมการมีงานทำระหว่างสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กับกระทรวงแรงงาน โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมลงนาม นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ 

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันทนีย์ ผาสุข รองอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.สุรพันธ์ ตันศรีวงษ์ คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ดร.นวลอนงค์ ธรรมเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมด้วย การลงนามในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากำลังคนด้านฝีมือแรงงานให้กับประชากรในวัยทำงานให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะและทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการทำงานเพื่อเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะฝีมือแรงงานที่สูงขึ้น รองรับต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต ภายใต้ภารกิจการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและนักศึกษาได้มีงานทำที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และความถนัดให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

นายสุชาติ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานขอขอบคุณสถาบันเทคโนโลยีจิตรดาที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนากำลังแรงงานและการส่งเสริมการมีงานทำ โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการพัฒนากำลังคนด้านฝีมือแรงงานและการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดากระทรวงแรงงานได้สนองรับนโยบายของรัฐบาลตามยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างแรงงานที่มีสมรรถนะสูง ให้เป็นแรงงานที่สามารถปรับตัวรับมือกับการทำงาน งานใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นใช้ดิจิทัลในการทำงาน ยกระดับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน Up– skill, Re-skill, New – skill โดยบูรณาการความร่วมมือภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน รวมถึงสถานประกอบการในการผลิตแรงงานที่สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน

“กระทรวงแรงงาน พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การประเมินความรู้ ความสามารถ และแลกเปลี่ยนการใช้ทรัพยากร เช่น ครู อาจารย์ วิทยากร เครื่องมืออุปกรณ์ เป็นต้น เพื่อยกระดับทักษะและศักยภาพฝีมือแรงงานให้ทัดเทียมกับนานาชาติ รวมทั้งให้การสนับสนุนและส่งเสริมการให้บริการจัดหางาน การประกอบอาชีพอิสระ การแนะนำแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการได้พนักงานที่มีฝีมือ มีความรู้ ความสามารถ ที่ตรงต่อความต้องการ ลดการขาดแคลนแรงงาน และรองรับการขยายระบบเศรษฐกิจในอนาคตได้ การลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานให้เกิดเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น”

 

แบงก์รัฐออกมาตรการช่วยแก้หนี้ระยะยาว มีผล 1 ม.ค.65

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดกรอบดำเนินการและสร้างกลไกผลักดันให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ เร่งให้ความช่วยเหลือและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นการแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ได้อย่างตรงจุดในระยะยาว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อให้ลูกหนี้สามารถดำเนินธุรกิจหรือใช้ชีวิตประจำวันต่อไปได้ ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม 

สำหรับมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยแนวทางและมาตรการดำเนินการในการช่วยเหลือและแก้ไขหนี้ในระยะยาว ดังนี้ 1. แนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ที่เป็นการยกระดับแนวนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติเดิม เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติของการจัดทำนโยบาย การกำกับดูแล และกระบวนการพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ มีการควบคุมภายในที่รัดกุม ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สามารถใช้ดุลยพินิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้อย่างแท้จริง 

วันนี้เมื่อ 31 ปีที่แล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทาน ชื่อดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทยว่า ‘ไทยคม’

ดาวเทียมไทยคม นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนองพระราชดำริ ในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหิน ซึ่งนำเอาดาวเทียมไทยคม เข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน

เจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติดวงแรกอย่างเป็นทางการว่า ”ไทยคม” (“THAICOM”) มาจากคำว่า Thai Communications หรือ ไทยคมนาคม เพื่อเป็นสัญลักษณ์การเชื่อมโยงประเทศไทยกับเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ 

ซึ่งภารกิจหลักในการให้บริการของดาวเทียมไทยคมคือด้านการสื่อสารโดยเน้นสร้างการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายดาวเทียมทั้งบรอดแคสต์และบรอดแบนด์

จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้จัดส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรแล้วทั้งสิ้นจำนวน 8 ดวง โดยมีดาวเทียมที่ยังคงให้บริการอยู่จำนวน 5 ดวง คือ ไทยคม 5 ไทยคม 6 ไทยคม 7 และล่าสุดคือ ดาวเทียมไทยคม 8 ซึ่งเป็นดาวเทียมบรอดแคสต์ ให้บริการถ่ายทอดสัญญาณรายการโทรทัศน์ ครอบคลุมประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกา อยู่ในตำแหน่งวงโคจรหลัก “Hot Bird” ที่ 78.5 องศาตะวันออก โดยมีจานหันเข้ารับสัญญาณจำนวนมาก

ศาลอาญายกคำร้องปล่อยตัว 4 แกนนำ เหตุกลัวกระทำผิดซ้ำ

ศาลอาญายกคำร้องปล่อยตัว ‘เพนกวิน-อานนท์-ไมค์-ไผ่’ 4 แกนนำราษฎร เพราะเคยปล่อยชั่วคราว แต่ได้กระทำการฝ่าฝืนเงื่อนไข

(24 ธ.ค. 64) 13.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำสั่งขอปล่อยชั่วคราวคดีดำ อ. 286/64 และคดีดำอ.287/64 ที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายภานุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มราษฎรเป็นจำเลยฐานดูหมิ่นสถาบันฯ

2 กระทรวง ผนึกกำลัง!! สนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ จากอุบัติเหตุทางถนน เป็นของขวัญปีใหม่ 2565

ณ ห้องประชุมอาคารสโมสร กระทรวงคมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกันในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ อันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนระหว่าง กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์

โดยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคมและประธานกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

นายอนุทิน กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างสังคมแห่งโอกาส ที่มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน “ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเฉพาะการดูแลคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และได้รับการพัฒนาศักยภาพไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมียุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

โดยการสร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ทุกเพศภาวะและทุกกลุ่ม สร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตและการมีส่วนร่วมเป็นพลังในสังคมสำหรับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้พิการและผู้สูงวัย พัฒนาระบบบริการสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการบริการในแต่ละระบบ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงหน่วยบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ

โดยในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในโอกาสนี้จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม สนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือแก่ผู้พิการ เพื่อให้ผู้พิการสามารถดำรงชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพได้ใกล้เคียงกับบุคคลทั่วไป

 

ปทุมธานี - ตำรวจปทุมธานี ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565

ลานเดินห้างสรรพสินค้าโลตัสรังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้มาเป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 โดยมีพล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี นำหัวหน้าสถานี.ทุกสภ.ที่สังกัดในจังปทุมธานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครภาคประชาชน อาสาสมัครมูลนิธิ รวม 280 นาย เข้าร่วม

นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ด้วยเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ 2565 ซึ่งพี่น้องประชาชนจะเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดกันเป็นจำนวนมาก และจะมีกิจกรรมฉลองปีใหม่ซึ่งในระหว่างนั้นก็อาจจะมีการกระทำผิดกฎหมาย และขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละมาระดมปล่อยแถมกวาดล้างอาชญากรรมในวันนี้ โดยเฉพาะตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ที่ได้จัดการปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมในครั้งนี้ขึ้น

ซึ่งได้มีฝ่ายทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครภาคประชาชน อาสาสมัครมูลนิธิ ซึ่งอยากนำเรียนท่านผบช.ภ.1 ว่าในจังหวัดปทุมธานีของเราได้กำหนดการดูแลความมั่นคงของพี่น้องประชาชนไว้จำนวน 4 ข้อ

1. นโยบายของรัฐบาลและนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้สั่งการทางจังหวัดปทุมธานีจะทำตามอย่างเคร่งครัด

2. ปัญหายาเสพติดให้โทษที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อพี่น้องประชาชนซึ่งจังหวัดปทุมธานีเป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่ยาเสพจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาพักและจำหน่าย และส่งต่อไปนั้น พื้นที่อื่นตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีก็มีการกวาดล้างกันอย่างต่อเนื่อง 

ตร.เตือน!! ‘การยิงปืนขึ้นฟ้า’ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน มีโทษตามกฎหมาย ตำรวจพร้อมดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด!!

ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีการสูญเสียชีวิตจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ชอบยิงปืนขึ้นฟ้าเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ด้วยความคึกคะนอง ซึ่งในบางเหตุการณ์ก่อให้เกิดการสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สิน นั้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในช่วงของเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2565 ที่ทุกครอบครัวต่างพากันเฉลิมฉลองเพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มักจะมีเหตุการณ์การยิงปืนขึ้นฟ้า อาจจะเป็นเพราะความเชื่อส่วนบุคคลที่คิดว่าเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดี หรือเคราะห์กรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการเปิดรับโชคลาภเงินทอง

เป็นการกระทำที่ขาดการยั้งคิดยั้งทำ เพราะกระสุนปืนที่ยิงออกไปนั้นจะไปหล่นใส่บุคคลให้ได้รับอันตรายบางรายถึงขั้นเสียชีวิต หรือหล่นใส่หลังคาบ้านเรือนประชาชนจนได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าเป็นความผิด และมีโทษตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

 

ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” สุดทันสมัย เทคโนโลยี 5G - เชื่อมโยงข้อมูล Real Time – บริหารเหตุวิกฤต!!

วันที่ 25 ธันวาคม 2564 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ไปตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้คำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่และการนำเทคโนโลยีส่วนขยายมาใช้ในการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดปริมาณคดีอาชญากรรม โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการ ศปป.ตร.

“ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ "ควบคุมและบริหารงาน" ป้องกันปราบปรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ "ทันกับสถานการณ์" มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติ เพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนางานป้องกันปราบปราม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการ "เฝ้าติดตาม" การปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันปราบปราม สามารถ "เชื่อมต่อสัญญาณภาพสด" ในขณะปฏิบัติหน้าที่ จาก "กล้องประจำตัวเจ้าหน้าที่สายตรวจ" / "กล้องติดรถยนต์สายตรวจ" จากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ รวมถึง "กล้อง CCTV" 

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตั้งไว้ใน "หัวเมืองสำคัญ" พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงจุดล่อแหลมต่าง ๆ ทั่วประเทศ มายัง ศปป.ตร. สามารถเฝ้าระวังเหตุและ "บริหาร จุดตรวจ จุดสกัด ไม่ให้ซ้ำซ้อน" และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเกิด "เหตุวิกฤต" ด้านอาชญากรรม ศปป.ตร. สามารถ "ยกระดับ" การปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารสถานการณ์ให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถ "บริหารจัดการแก้ไขเหตุวิกฤต" นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังกล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มาสังเกตการณ์ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องการปฏิบัติและ "นำเทคโนโลยีส่วนขยาย" มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและยังได้รับชมการสาธิตการปฏิบัติระหว่าง ศปป.ตร. กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ปฏิบัติการจริง โดยใช้ยุทธวิธีตำรวจสายป้องกันปราบปรามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top