Saturday, 14 June 2025
TheStatesTimes

'บิ๊กตู่' เป็นปลื้ม กระแส ใช้จ่าย 'คนละครึ่ง เฟส 3 -ยิ่งใช้ยิ่งได้' โค้งสุดท้าย เชื่อ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ แน่นอน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มกระแสการใช้จ่ายของประชาชนผ่านมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ที่รัฐบาลมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน ช่วยกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยความคืบหน้า (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 41.2 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 191,685.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.13 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 169,488.9 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 86,115 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 83,373.9 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 90,799 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,445.8 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 184.5 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.55 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 17,123.1 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.43 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,443 ล้านบาท

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด มีจำนวนกว่า 75,000 ราย ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ ผ่านเว็บไซต์  www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอป พลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ

‘ไตรรงค์’ ดึงสติ นักเรียนนอก (คอก) ซัด อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้ บริบทไทย-ตปท. ต่างกัน

24 พ.ย. 64 ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความ เรื่อง #นักเรียนนอก (คอก) #ผู้เห็นขี้ดีกว่าไส้ มีเนื้อหา ว่า.

1.) รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขโดยนักการเมือง ก็ได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว (เป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว) เราก็ต้องรอกฎหมายลูก 2 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งกับกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ทั้งหมดทั้งปวง ผลของการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายลูกฉบับใหม่ทั้ง 2 ฉบับนั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์แสดงให้โลกได้เห็นว่า การเมืองไทยมันจะพัฒนาขึ้นหรือว่ามันจะเลวลง อันจักเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองและประชาชนผู้มีและใช้สิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยมีคุณภาพสูงขึ้นหรือต่ำลง 

ถ้าเกิดเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เคยเกิดขึ้นหลังการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ขึ้นมาอีกก็แสดงว่าการเมืองของเรามันเลวลง กล่าวคือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถกลั่นกรองเอาคนดีเข้าสภาได้มากกว่าคนไม่ดี ถ้าประชาชนเห็นแก่เงิน ยอมขายเสียง นักการเมืองเห็นแก่เงิน (ยอมขายตัว) มากกว่าอุดมคติและผลประโยชน์ของประชาชน การเมืองก็จะเลวลง การโกงกิน คอร์รัปชัน ก็จะมีมากขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะการเมืองชั่วร่วมกับราชการชั่วจะเป็นตัวถ่วงและขัดขวางความเจริญในทุก ๆ ด้าน นี่คือการมองในแง่ร้าย (เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) แต่อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ถ้าทั้งประชาชนและนักการเมืองยังจำความผิดพลาดในอดีตได้ และไม่หน้าด้านทำซ้ำอีก ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้ ก็ต้องรอดูกันต่อไป

2.) เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับแก้ไขโดยนักการเมือง (เพียงไม่กี่มาตรา) ได้ถูกประกาศใช้บังคับแล้วก็ทำให้หวนคิดถึง ร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยประชาชนแสนกว่าคนที่ถูกรัฐสภาคว่ำไปเรียบร้อยแล้วนั้น ถ้าสมมุติว่าประเทศไทยเกิดมีรัฐธรรมนูญเช่นว่านั้นขึ้นมาจริง ๆ เราก็จะมีเพียงสภาเดียวที่มีอำนาจเหนือองค์กรอิสระและสถาบันศาลทั้งมวล มันก็จะเกิดความหายนะไม่แตกต่างจากที่ได้วิเคราะห์เอาไว้ในข้อ 1.) กล่าวคือ ประเทศไทยก็จะมีเผด็จการรัฐสภา การเมืองชั่วร่วมกับราชการชั่วก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่อความเจริญของประเทศในทุก ๆ ทาง อาจจะหนักกว่าเดิมที่เคยเกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2540 เพราะการซื้อสิทธิขายเสียงจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากมีทุนที่โกงสะสมไว้มีมากกว่าเดิม ลองดูในปัจจุบัน เพียงแค่เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ยังซื้อกันถึงเสียงละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท

เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสคนมีเงินย่อมกล้าจะลงทุนในระดับพันล้านหรือหมื่นล้านเพราะถ้ามีเสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเองได้ก็สามารถจะโกงกินได้เป็นแสน ๆ ล้าน มันต้องมีคนกล้า ด้านเสียอย่าง มีปัญหาม๊ะ?

3) แต่ที่น่าแคลงใจที่สุดอยู่ข้อหนึ่งก็คือว่าทำไมคนไทยที่ไปเรียนในต่างประเทศที่เจริญกว่าประเทศไทย เช่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จึงเกิดมีกลุ่มที่มีความคิดอยากจะลอกแบบทั้งระบบการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม และจารีตประเพณี ของพวกฝรั่งตาน้ำข้าวมาใช้กับประเทศไทยทั้ง ๆ ที่บริบท (context) มากมายแตกต่างกันลิบลับ พวกนักเรียนนอกเหล่านั้นคงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนโง่ไม่มีสมองคงจะต้องมีสาเหตุมาจากเหตุผลอย่างอื่น เช่น บางคนขาดประสบการณ์จึงถูกครอบโดยคนที่มีอาวุโสกว่า บางคนอาจจะไม่สามารถอ่านหัวใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศออก เพราะสายเลือดความเป็นนักการเมืองนักปกครองไม่มีใน DNA ของพวกเขา คือ ธรรมชาติมิได้สร้างเขามาเพื่อการนี้ก็ได้หรือว่ามีเหตุผลอื่น ๆ ที่เราไม่อาจเข้าถึงความในใจส่วนที่ลึกที่สุดของเขาได้ เช่นมาจากความรู้สึกอาฆาตมาดร้ายต่อบางสิ่งบางอย่างที่ฝังใจมาเป็นเวลานาน หรือต้องทำตามคำสั่งหรือตามความต้องการของใครที่อยู่เหนือกว่าแต่แอบอยู่ในที่มืดหรืออาจจะต้องทำตามคำสั่งของต่างชาติ (มหาอำนาจ) ที่ต้องการทำลายอธิปไตยของชาติไทยเพื่อประโยชน์บางประการของพวกเขาเพราะไม่รู้จึงต้องสันนิษฐานไว้หลาย ๆ ทาง

4.) เพราะว่าโดยหลักการแล้วการที่เราไปเรียนหนังสือในต่างประเทศนั้น เราเพียงเพื่อไปแสวงหาความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่ประเทศเหล่านั้นเขามีมากกว่าประเทศเราหรือของเขาก้าวหน้ากว่าที่ประเทศเรามี ไม่ว่าจะด้านการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ และสังคม เราไปเพื่อเรียนให้เข้าใจ นำสิ่งที่เข้าใจมาประยุกต์ใช้กับประเทศของเราเท่าที่พอเหมาะพอสม เพื่อให้ประเทศของเรามีทิศทางในการพัฒนาที่ดีขึ้นเพียงเท่านั้น

ผมเองเริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษหลังจากที่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว เรียกว่าเริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษตอนอายุ 21 ปี โดย ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ในขณะนั้นได้จ้างครูฝรั่งจากสถาบัน A.U.A. มาสอนพวกเรา 10 คนที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วย เพื่อเตรียมพร้อมด้านภาษาอังกฤษก่อนจะถูกส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยการสนับสนุนของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ หลังจากเรียนภาษาอังกฤษกับ A.U.A. ได้ประมาณ 1 ปี ตัวผมเองถูกมูลนิธิดังกล่าวส่งให้ไปเรียนปริญญาโทในโครงการปริญญาโทที่มูลนิธิฯ ได้จัดตั้งไว้ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงหลายท่านถูกจ้างให้มาสอน

ในปีแรกที่เข้าเรียนผมจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใด ๆ ในชั้นเรียนเลย เพราะไม่มั่นใจในภาษาพูดของตนเอง ต่อเมื่อจบปริญญาโทแล้วได้ทุนต่อไปทำปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา (มหาวิทยาลัยฮาวาย) ภาษาพูดของผมก็แข็งแรงขึ้น (ประกอบกับเผอิญมีแฟนสาวเป็นชาวอเมริกันที่ต้องพูดกันทุกวัน) ผมก็เลยกลายเป็นคนที่มีปัญหากับอาจารย์ผู้สอนมากเพราะถ้าผมไม่เห็นด้วยกับที่อาจารย์สอนผมก็จะยกมือขอแสดงความเห็นในทุก ๆ เรื่อง หรือถ้าเห็นว่าอาจารย์สอนไม่ค่อยชัดเจน ผมก็ไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ (คุณดำรง พุฒตาล เคยไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยฮาวายได้ฟังกิตติศัพท์เรื่องการเป็นคนเจ้าปัญหาในชั้นเรียนของผม ท่านนำมาเขียนเล่าให้คนไทยฟัง ขณะนั้นผมเป็นโฆษกรัฐบาลของ พล.อ.เปรมฯ)

แม้ระยะหลังเมื่อผมหาเวลาว่างจากงานการเมือง พอจะสมัครเข้าไปเรียนในโครงการสั้น ๆ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้างที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเขาเปิดสอนผมก็เลือกไปเรียนทั้งที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard ในสหรัฐอเมริกา) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge ในอังกฤษ) และคณะเศรษฐศาสตร์ (London School of Economics แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ)

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างไร? ให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน | Click on Clear THE TOPIC EP.93

???? ถอดรหัสจากตัวจริง!! ด้าน ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ ไปกับ ‘คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน’ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย !!

???? ใน Topic : ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างไร? ให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน!!!

จับประเด็น เน้นความรู้ในรายการ Click on Clear THE TOPIC

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

‘แอมเนสตี้’ ชื่อนี้มีอะไร?! | MEET THE STATES TIMES EP.41

????‘แอมเนสตี้’ ชื่อนี้มีอะไร?!
????ล้วงลึก ‘แอมเนสตี้’ องค์กรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือ ประโยชน์ส่วนตน?

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

ตามรอยพระบาทยาตรา ‘อีสานม่วนซื่น รื่นเริงลมหนาว’ | MEET THE STATES TIMES EP.42

???? ตามรอยพระบาทยาตรา!! “อีสานม่วนซื่น รื่นเริงลมหนาว เคล้าคลอเสียงแคน”
???? จากฟ้า สู่ดิน!! ถิ่นอีสานมีสุข...ตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 

???? ในรายการ MEET THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน

???? ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

“บิ๊กตู่” พอใจภาพรวมการลงทุนก่อนสิ้นปีดีขึ้น “พาณิชย์” เผยอนุญาตต่างชาติลงทุนในไทยแล้ว 213 ราย รวม 11,554 ล้านบาท ขณะที่ “BOI” เปิดมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG เกือบ 7 แสนล้านบาท

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภาพรวมด้านการลงทุนในไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุน ดังนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2564 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 213 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 11,554 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 5,000 คน

โดยชาวต่างชาติ 3 อันดับแรก ที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น 82 ราย (ร้อยละ 38) สิงคโปร์ 33 ราย (ร้อยละ 15) และ ฮ่องกง 20 ราย (ร้อยละ 9) และลงทุน ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ ธุรกิจบริการเป็นที่ปรึกษา บริหารจัดการ และให้บริการเดินรถและซ่อมแซมบำรุงรักษารถไฟความเร็วสูง ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินในประเทศไทย ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม วางระบบและทดสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโครงการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าอัจฉริยะระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านประกันภัย บริการออกแบบวิศวกรรม จัดซื้อจัดหา ก่อสร้าง ทดสอบและตรวจสอบท่อลำเลียงเชื้อเพลิงก๊าซรวมถึงสถานีควบคุมและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น

นายธนกร กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI รายงาน ว่าการกำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลให้สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. - ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท)
 

รมว.แรงงานรับข้อสั่งการนายก เร่งนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MoU แก้ปัญหาขาดแรงงาน เริ่ม 1 ธ.ค. 64

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยและติดตามสถานการณ์ปัญหาลักลอบเข้าเมืองอย่างใกล้ชิด โดยมีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานเตรียมวิธีการนำเข้าแรงงานตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว พร้อมกับเตรียมความพร้อมให้นายจ้าง และสถานประกอบการในประเทศมีแรงงานในกิจการเพียงพอ สอดรับกับการเปิดประเทศ 

“กระทรวงแรงงานรับข้อสั่งการท่านนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่าขณะนี้มีความพร้อมที่จะนำเข้าแรงงานตาม MoU แล้ว โดยจะเปิดให้นายจ้างยื่นคำร้องขอนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ (Demand) วันที่ 1 ธ.ค. 64 นายจ้างที่มีความพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่กักตัวสามารถดำเนินการได้ทันที โดยมีค่าใช้จ่ายรวมในการนำเข้าฯ ระหว่าง 11,490 – 22,040 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน ในส่วนคนต่างด้าวหากยังฉีดวัคซีนไม่ครบ กระทรวงแรงงานจะเป็นผู้จัดหาวัคซีน และฉีดให้ในวันสุดท้ายของการกักตัว และจะประสานสาธารณสุขจังหวัดปลายทางเพื่อนัดหมายฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แก่คนต่างด้าวด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย 8 ขั้นตอนนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศตาม MoU โดยมีขั้นตอน ดังนี้

1.นายจ้างยื่นแบบคำร้องกับสำนักงานจัดหางานในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ได้แก่ แบบ นจ.2 หนังสือแต่งตั้ง สัญญาจ้างงาน และเอกสารนายจ้าง
 
2.การจัดส่งคำร้องความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว โดยกรมการจัดหางาน/สจจ. สจก. 1-10 มีหนังสือแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวผ่านสถานเอกอัครราชทูตประเทศ
ต้นทางประจำประเทศไทยไปยังประเทศต้นทาง

3. ประเทศต้นทางดำเนินการรับสมัคร คัดเลือก ทำสัญญา และจัดทำบัญชีรายชื่อคนงานต่างด้าว (Name List) ส่งให้กรมการจัดหางานผ่านสถานเอกอัครราชทูตประเทศต้นทาง
ประจำประเทศไทย และกรมการจัดหางานส่งให้นายจ้าง

4. นายจ้างที่ได้รับบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว (Name List) แล้วยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว พร้อมด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
   4.1 บัญชีรายชื่อคนต่างด้าวที่ประเทศต้นทางรับรอง 
   4.2 แบบ บต.31 หรือ บต.33 พร้อมเอกสารและหลักฐาน 
   4.3 หลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือใบรับรองแสดงประวัติการเคยติดเชื้อมาก่อนในช่วงไม่เกิน 3 เดือน
   4.4 หนังสือยืนยันการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการกักตัว ได้แก่ ค่าสถานที่กักกัน ค่าตรวจโรคโควิด-19 ค่าบริการทางการแพทย์ ค่ารักษากรณีติดเชื้อโควิด-19 รวมถึงกรณีป่วยฉุกเฉินหรือโรคอื่นระหว่างกักตัว/กรมธรรม์ที่คุ้มครองการรักษาโรคโควิด -19
   4.5 หลักฐานยืนยันว่ามีสถานที่กักตัวตามที่ราชการกำหนด
   4.6 หลักฐานที่ยืนยันว่ามียานพาหนะเพื่อรับคนต่างด้าวไปยังสถานที่กักตัว
   4.7 กรณีเข้าประกันสังคมซื้อประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย 4 เดือน
   4.8 กรณีเข้าประกันสังคม นายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน
  - ชำระค่าคำขอและค่าใบอนุญาตทำงาน (2 ปี) 1,900 บาท
  - วางเงินประกัน (กรณีนายจ้างดำเนินการด้วยตนเอง) หลักประกัน 1,000 บาท/คนต่างด้าว 1 คน

5. กรมการจัดหางานมีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ประเทศต้นทางของคนต่างด้าวเพื่อพิจารณาออกวีซ่า (Non - Immigrant L-A) ให้แก่คนต่างด้าวตามบัญชีรายชื่อ และหนังสือแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่ออนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามที่นายจ้างได้แจ้งไว้ โดยจะอนุญาตให้นำเข้าตามจำนวนสถานที่
รองรับในการกักตัว 

6. เมื่อคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต้องแสดงหนังสือยืนยันการอนุญาตให้เข้ามาทำงาน ใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าไม่เป็นโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR และ ATK (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง) หลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือใบรับรองแสดงประวัติการเคยติดเชื้อในช่วงไม่เกิน 3 เดือน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลา 2 ปี จากนั้นจึงเดินทางไปยังสถานที่กักตัว โดยยานพาหนะที่นายจ้างแจ้งไว้ (ไม่เดินทางร่วมกับบุคคลอื่น และหยุดพัก ณ สถานที่ใดๆ ก่อนถึงสถานที่กักกัน) 

รมว.สุชาติ มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝึกทักษะอาชีพชายแดนใต้

กระทรวงแรงงาน มุ่งฝึกทักษะอาชีพขับเคลื่อนชายแดนใต้ เปิดฝึกอบรมกว่า 10 หลักสูตร ตั้งเป้า 800 คน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายประทีป ทรงลำยอง  อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นประธานพิธีมอบชุดเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรม โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2564 เพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์เครื่องมือในการเริ่มต้นประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส

นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวภายหลังจากการเป็นประธานว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งบูรณาการพัฒนาทักษะฝีมือในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อยอดการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน โดยน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ

ซึ่งกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้จังหวัดชายแดนใต้ทั้งจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และส่วนหนึ่งของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา เป็นพื้นที่มีเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการลงทุนประกอบธุรกิจในหลายๆ ด้าน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และส่งเสริมแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินโครงการจัดให้มีการฝึกอบรมสาขาอาชีพต่างๆ กว่า 10 หลักสูตร  ตามความต้องการของแรงงานและประชาชนในพื้นที่ สอดรับกับวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพในชุมชน เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่างเชื่อมไฟฟ้า ช่างเดินสายไฟภายในอาคาร ช่างปูกระเบื้อง เทคนิคงานปูน (ผลิตภัณฑ์ไม้เทียม) ช่างไม้เครื่องเรือน ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ การทำขนมไทย การทำขนมอบ เป็นต้น ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 60 ชั่วโมง

“ทปษ.นายกฯ” ย้ำ​ สลน.ซื้อไอโฟน​ 12​ กว่าร้อยเครื่อง​ เป็นครุภัณฑ์ราชการ​ จัดซื้อถูกต้อง​ ให้ จนท.ทำงานราบรื่น​ แจง​ "บิ๊กตู่" ไม่ได้ซื้อแจก​ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึงกรณีสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.) เผยแพร่สัญญาซื้อขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อแอปเปิ้ล รุ่นไอโฟน 12 จำนวน 111เครื่อง แบ่งเป็นความจุ 128 GB 23 เครื่อง และ ความจุ 64 GB 88 เครื่อง ราคารวม 2,681,355 บาท ว่า ขอชี้แจงถึงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโทรศัพท์เคลื่อนที่ของสลน.

การจัดซื้อดังกล่าวถือเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์ เช่นเดียวกับการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ ทุกคนทราบดีว่าจะมีอายุการใช้งาน ปัจจุบันโทรศัพท์ไอโฟน 7 ที่ใช้อยู่นั้น มีอายุเกิน 4 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ที่ใช้คือเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน เพื่อประสานงาน ส่งข่าว ให้กับสื่อมวลชน และในจำนวน 111 เครื่องนั้น มีจำนวน 80 กว่าเครื่อง นำไปให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ

เพื่อใช้งาน เช่น​ ประสานงานวิปรัฐบาล ประสานงานกับส.ส.จำนวนมาก และไอโฟน​7 ที่ใช้ในปัจจุบันก็มีสภาพชำรุด ขอให้เข้าใจว่าครุภัณฑ์ที่สลน.ตั้งงบขึ้นมา เพื่อดำเนินงานของบจากสภาในหมวดครุภัณฑ์ ถือเป็นความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องใช้ โดยเฉพาะในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ส่วนอีก 23 เครื่องนั้น แจกจ่ายให้กับผู้ใหญ่ ที่เข้ามาทำงาน อย่างข้าราชการการเมือง เช่น​ นายกรัฐมนตรี คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แต่หลายคนก็ไม่ได้รับ นายกฯก็ไม่ได้รับ โดยให้เหตุผลว่าให้นำไปให้ทางราชการ นำไปใช้ประโยชน์ ให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้กัน ขอประชาชนอย่าได้วิตกกังวล ส่วนเรื่องที่วิจารณ์กันว่า นำงบประมาณของรัฐไปซื้อไอโฟนแจกจ่ายเจ้าหน้าที่นั้น ขอยืนยันไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อยี่ห้อใด ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยยึดเรื่องการใช้งานเป็นหลัก นอกจากนี้ มีการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติแล้วว่า อยากได้โทรศัพท์ยี่ห้อใดและรุ่นไหน 

'เทพไท' เสนอ วิธีแก้เผ็ดพวกซื้อเสียง ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ให้นับคะแนนรวมจุดเดียว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คลิปใน Facebook ส่วนตัวว่า หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้มีผลบังคับใช้แล้วจำเป็นจะต้องมีการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นมาอย่างน้อย 2 ฉบับคือ พ.ร.ป.เกี่ยวกับพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมีการยกร่างขึ้นมาจากหลายส่วน ทั้ง กกต.พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้นำเสนอต่อสังคมให้ได้รับรู้ และแสดงความคิดเห็นกัน

ส่วนตัวขอเสนอความเห็นเกี่ยวกับการนับคะแนนการเลือกตั้ง ลงใน พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย เพราะการเสนอให้มีการนับคะแนนรวมกันที่จุดว่าที่ว่าการอำเภอในเขตเลือกตั้ง กำหนดให้อำเภอละ1แห่ง ถ้าเขตเลือกตั้งใดมี2อำเภอ ก็ใช้จุดนับคะแนน2แห่ง ถ้ามี 3 อำเภอ ก็ใช้จุดนับคะแนน 3 แห่ง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ใช้ผู้นำท้องถิ่นเป็นหัวคะแนน เดินซื้อเสียงจากชาวบ้าน ถ้าหากยังมีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งประจำหมู่บ้าน ก็สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการซื้อเสียงของผู้สมัครได้

ทำให้บรรดาหัวคะแนน และประชาชนผู้ใช้สิทธิ์ที่ขายเสียง ก็ไม่กล้าที่จะหักหลัง ไม่เลือกคนซื้อเสียง กลัวจะเป็นอันตราย จากลุ่มอิทธิพลของคนซื้อเสียง แต่ถ้าเป็นการนับคะแนนรวมกันที่อำเภอ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า หน่วยเลือกตั้งใดเลือกผู้สมัครคนใดมากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้ผู้สมัครที่ต้องการซื้อเสียงก็ไม่กล้าลงทุนซื้อเสียงอีก เพราะไม่มีหลักประกันว่า จะซื้อเสียงได้เข้าเป้าตามความต้องการ และประชาชนที่ถูกซื้อเสียง ก็สามารถที่จะรับเงินแล้วไม่เลือกก็ได้ มาตรการนี้จะเป็นการดัดหลังนักการเมืองซื้อเสียง ให้หมดสิ้นไปจากระบบการเมืองไทย 

ส่วนการกลัวว่าการนับคะแนนรวมที่อำเภอ จะมีการเปลี่ยนหีบเลือกตั้ง ระหว่างขนส่งหีบนั้น สามารถแก้ปัญหาได้โดยให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สามารถใช้สิทธิ์ส่งผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง ติดตามลำเลียงหีบบัตรไปส่งที่จุดนับคะแนนประจำอำเภอได้ และการป้องกันการเปลี่ยนหีบคะแนนเลือกตั้ง สามารถทำได้ง่ายกว่าการซื้อเสียง ที่กำลังระบาดอย่างหนักไปทั่วประเทศในขณะนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top