Monday, 16 June 2025
TheStatesTimes

"อรรถวิชช์" เผย "พ.อ.สุชาติ"  ย้ายสังกัดมาพรรคกล้า ช่วยเสริมทัพภาคใต้ เชื่อมั่น "กรณ์ จาติกวณิช" ผู้นำแก้วิกฤตเศรษฐกิจ 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกระแสข่าว พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ ย้ายเข้าสังกัดพรรคกล้า ว่ามีการพูดคุยกันจริง โดย พ.อ.สุชาติ เห็นตรงกันกับพรรคกล้าว่า วิกฤตชาติที่ต้องเร่งแก้ไขคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง การฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดย พ.อ.สุชาติ ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และแสดงความจำนงสมัครสมาชิกพรรคกล้าแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางกฎหมาย 

"ผู้การเห็นพ้องว่า ยุคหน้าผู้นำต้องนำด้วยเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคใต้ ที่มีโอกาสหลายอย่าง แต่ขาดการบริหารจัดการและพัฒนาอย่างจริงจัง ก็เลยอาสามาช่วยงานลุยชุมชนในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับพรรคกล้า เพื่อช่วยคุณกรณ์จัดทัพ สำคัญที่สุดคือ ผู้การพร้อมมาลุยร่วมกันทำงานแบบพรรคกล้า ยึดหลักปฏิบัตินิยม และทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

“บิ๊กช้าง” ประธานร่วม ส่งมอบ 15 ยานเกราะล้อยาง ให้ภูฏาน "มาดามรถถัง" ปลื้ม ยานเกราะไทย ไปไกลถึง UN ครั้งแรก ยันไม่มีค่าคอม-แป๊ะเจี๊ยะ 

ที่กระทรวงกลาโหม(สรีสมาน) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธาน ในพิธีส่งมอบยานเกราะล้อยางแบบ 4x4  จำนวน 15 คัน ให้กับรัฐบาลราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อนำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพ  ในห้วงเดือนธันวาคมนี้ ณ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเป็นครั้งแรกที่นำไปใช้ในภารกิจของ UN   โดยมีนายคินซัง ดอร์จิ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏาน ประจำประเทศไทย  เข้าร่วมแสดงความยินดี 

โดยพล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่าเรามีสายสัมพันธ์อันดี กับภูฏาน  การส่งมอบไปใช้ในภารกิจสันติภาพครั้งนี้ ก็ถือว่าไทยมีส่วนร่วมในภารกิจสันติภาพของ UN ด้วย ทั้งนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไปสู่การพึ่งพาตัวเอง สู่ พาณิชย์ ส่งออก นำเงินตราเข้าประเทศ  ล็อตต่อไปก็ได้มีการเจรจากับบางประเทศที่มีความสนใจในรถรุ่นนี้ 

ขณะที่พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความสำเร็จ ของความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงกลาโหม กับบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์รับเบอร์ จำกัด บริษัทสัญชาติไทย   ในการส่งออก ยานเกราะล้อยาง FirstWin 4x4 ให้กับราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งเอกอัครราชทูตภูฏานประจำประเทศไทย ก็ได้ระบุ ว่าการที่เลือกใช้ยุทโธปกรณ์จากชัยเสรี เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพและสมรรถนะของบริษัทจากไทย อีกทั้งทั้งสองประเทศ ยังมีความผูกพันกัน  และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ใกล้ชิดกัน ในขณะที่ ราคา ก็ถือเป็นราคามิตรภาพ ซึ่งยืนยันว่าคุณภาพไม่ได้เป็นรองใคร 

และถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศให้สามารถส่งออกได้ รวมถึงผลิตใช้ภายในประเทศ ซึ่งก็มีการผลิตอยู่เรื่อยเรื่อยเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกองทัพ เช่น ปืนใหญ่ และระเบิด ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทชัยเสรี ที่ร่วมทุนกับ สปท. กำลังเจรจากับฟิลิปปินส์หากเจรจากันได้ก็จะเป็นออเดอร์ ที่ใหญ่พอสมควร ในลักษณะแบบจีทูจี  


ขณะที่ นางนพรัตน์ กุลหิรัญ หรือมาดามรถถัง เจ้าของบริษัทชัยเสรี  กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสส่งรถให้กับกองทัพภูฏาน  ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัท เพราะเราทำงานนี้มาตั้งแต่ปี 2517 รวม 54 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม และบริษัท ซึ่งรถเกราะของเรา ก็ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมทหารกระทรวงกลาโหม ทำให้เรามีความน่าเชื่อถือ ในขณะที่คุณภาพก็เป็นที่ยอมรับ และการส่งออกครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเราเคยส่งไปประจำการในกองทัพหลายประเทศแล้ว และยืนยันว่าไม่มีค่าคอมมิชชั่น หรือเงินใต้โต๊ะ

ครอบครัวทหารในสหรัฐฯ นับแสน กำลังประสบปัญหาเรื่องปากท้อง

รายงานจากสำนักข่าวเอพี อ้างอิงการคาดการณ์ขององค์กรฟีดดิง อเมริกา (Feeding America) ระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐอเมริกา ที่เข้าประจำการเต็มเวลาจำนวนมากถึง 160,000 นาย กำลังประสบปัญหาในการเลี้ยงดูครอบครัวตนเอง

องค์กรฟีดดิง อเมริกา ซึ่งเป็นผู้บริหารเครือข่ายธนาคารอาหารทั่วประเทศ เผยว่า ปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารที่รุนแรงนั้น กำลังกัดกินสังคมสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงทหารของกองทัพด้วย องค์กรฟีดดิงฯ ได้คาดการณ์ว่า เมื่อปีที่แล้ว สมาชิกกองทัพสหรัฐฯ ระดับล่างร้อยละ 29 กำลังประสบปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร 

'ดีอีเอส' งัดไม้แข็งคุมออนไลน์ พร้อมมอบอำนาจถึงระดับตำรวจภูธร

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อหารือแนวทางดำเนินการในคดีสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เพื่อแก้ไขปัญหาการหลอกลวง ฉ้อโกง และธุรกิจผิดกฎหมายทางออนไลน์ ว่า ทุกหน่วยงานเห็นตรงกันว่า จะกระจายอำนาจรับผิดชอบเกี่ยวกับการสอบสวนคดีด้านนี้ไปยังสถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าไปแจ้งความได้เพื่อทำให้เกิดความรวดเร็วในการสอบสวน รวมทั้งลดจำนวนคดีสะสมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ด้วย

ทั้งนี้ในการดำเนินการดังกล่าว ถือว่าอยู่ในอำนาจของ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีอำนาจตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาลงนามมอบอำนาจนี้ให้กับตำรวจ บช.สอท. อย่างไรก็ตามในช่วงต่อจากนี้จะมอบอำนาจให้ถึงระดับตำรวจภูธร เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่การซื้อขายผ่านอี-คอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้จำนวนคดีด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก

‘วัชระ’ ยื่นขอเอกสารป.ป.ช.ใช้สู้คดี หลังถูกซิโน-ไทย ฟ้องหมิ่นเรียก 5 ล้าน

19 พ.ย. 64 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 63 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการขยายเวลาก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ครั้งที่ 5 ว่า การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ สัญญาก่อสร้าง 900 วันเป็นเงิน 12,280 ล้านบาท เงื่อนไขที่ระบุไว้ผู้ซื้อซองทราบทุกบริษัทคือ ต้องสร้างเสร็จภายใน 900 วัน ก่อสร้าง 24 ชั่วโมง คนงานต้องไม่ต่ำกว่า 4,000 คน ถ้าสร้างไม่เสร็จต้องจ่ายค่าปรับวันละ 12 ล้านบาทเศษ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมามีการขยายเวลาไปแล้วถึง 4 ครั้งรวม 1,864 วัน 

ในสมัยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติถึง 3 ครั้ง คือครั้งแรก 387 วัน ครั้งที่สอง 421 วัน และครั้งที่สาม 674 วันรวม 1,482 วัน สมัยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา 1 ครั้ง 382 วัน รวมทั้งสิ้นขยายสัญญามาแล้ว 4 ครั้ง จำนวน 1,864 วัน โดยนายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อนุมัติทั้งสิ้น ซึ่งส่อว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอย่างเห็นได้ชัดและทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างได้ยื่นฟ้องนายวัชระ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ละเมิด เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท 

เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้! วิกฤตตลาดหุ้น ‘สหรัฐ’ ! ‘รักษาหน้า’ จนฟองสบู่ ‘ใกล้แตก’! | Knowledge Times EP.38

????Knowledge Times BizView | EP.38
????เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้! วิกฤตตลาดหุ้น ‘สหรัฐ’ ! ‘รักษาหน้า’ จนฟองสบู่ ‘ใกล้แตก’!

จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร คนตกงาน ธุรกิจต่าง ๆ ปิดตัวลง ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างดูเหมือนจะเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น

โดยในภาค Main Street ซึ่งก็คือ ภาคเศรษฐกิจจริง อันมีธุรกิจที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นการทำธุรกิจแบบยั่งยืน โดยสหรัฐฯ นั้นย่ำแย่มานานจากผลของการระบาดจากโควิด-19 รวมไปถึงปัญหาการเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯ อันเป็นระบอบที่เน้นชนชั้นสูง ผู้นำทางการเงิน ชนชั้นในตลาดหุ้นเป็นหลัก หรือ The winner Takes All (ใครมือยาวสาวได้สาวเอา)

ในขณะเดียวกันที่ภาค Main Street ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 แต่ในด้านของตลาดหุ้นกลับดูเหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้น NASDAQ (แนสแด็ก) ตลาดหุ้นที่เกี่ยวกับ Tech Company ซึ่งราคาในตลาดหลักทรัพย์มีแต่ขึ้นกับขึ้น แต่ในความเป็นจริง นี่คือลักษณะของการเกิดฟองสบู่ เสียมากกว่า

ย้อนกลับไปในยุคที่สหรัฐฯ นั้นรุ่งเรืองมากที่สุด ซึ่งผลิตสินค้าโภคภัณฑ์มากมายในอดีต เช่น Ford ซึ่งในยุคนั้นสหรัฐฯ เน้นผลิตจากภาคการผลิตจริง ในช่วงยุค 60s 70s 

แต่หลังจากนั้นสหรัฐฯ มีความเชื่อว่าการอัดฉีดเงินเข้าไปในตลาดหุ้น เป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังกลายเป็นที่ทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้น และ CEO แต่ละบริษัทจะได้กำไรมากหรือน้อยไปขึ้นอยู่กับผลประกอบการ

จึงยิ่งทำให้คนไปเน้นตัวเลขที่ตลาดหุ้น มากกว่าการผลิตจริง แน่นอนว่าการที่จะสร้างกำไรมหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ต้องมีการตัดค่าใช้จ่ายของแต่ละบริษัท 

ซึ่งการตัดค่าใช้จ่ายในจุดต่าง ๆ นั้น ทำให้ภาคการผลิตจริงอ่อนแอ ไม่ว่าจะแรงงานครัวเรือน ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งลดค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ ผู้ถือหุ้นก็จะสร้างกำไรได้มากขึ้นเท่านั้น และในขณะเดียวกัน CEO ก็จะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นเช่นเดียวกัน

นี่จึงกลายเป็นจุดตัดของ ‘Main Street’ กับ ‘Wall Street’

ซึ่งถ้าหากพูดถึงภาค Main Street ของสหรัฐฯ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะมีการแพร่ระบาดของ Covid-19 หรือไม่ ต่างก็ถูกกดทับในเชิงโครงสร้างมาโดยตลอดอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลพวงจากวิธีคิดเหล่านี้

และยิ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม จึงทำให้ขณะนี้ในสหรัฐฯ มีคนตกงานไปแล้วกว่า 107 ล้านคน จากการรายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed อันเป็นผลพวงจากโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปในทุกจุดของโลก อันทำให้แรงงานต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ

แต่ในทางกลับกันภาค ‘Wall Street’ ที่ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นการที่หุ้นตกลง นั่นเป็นเสมือนการเสียหน้า อันมีความเชื่อว่าถ้าดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ต่ำเมื่อไหร่ แสดงถึงเศรษฐกิจที่ไม่ดี

เรียกว่าเป็น ‘ตลาดหุ้นแบบสุดโต่ง’ โดยที่แทบไม่ได้สนใจในภาค Main Street และที่ผ่านมา เพื่อรักษาหน้าตลาดหุ้น ‘ธนาคารกลางสหรัฐฯ’ ได้พิมพ์แบงก์จำนวนมหาศาล มาอัดฉีดในตลาดหุ้น 

แทนที่จะนำเงินมาอัดฉีดในระบบเศรษฐกิจจริง หรือนำไปทำประโยชน์อื่น ๆ แต่ปรากฏว่าในสมัยใหม่ ลัทธิที่ใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเข้าไปอัดระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในอดีตเงินส่วนนี้มักนำไปใช้ในการสร้างโปรเจกต์ยักษ์เพื่อสร้างงานให้กับคน รวมไปถึงการพิมพ์แบงก์ 

แต่ในปัจจุบันกลับนำเงินเข้าไปอัดในตลาดหุ้น ซึ่งเหตุผลที่สหรัฐฯ เลือกทำเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะนี่คือวัฒนธรรมที่ต้องรักษาภาพพจน์ของตลาดหุ้น เพราะมีความเชื่อว่าตัวเลขในตลาดหุ้นดีเท่าไหร่ นั่นยิ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ดี

ดังนั้นเมื่อมีการอัดฉีดเงินเข้าไปอยู่ตลอด จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐฯ นั้นมีภาพที่ดี เพราะมักใช้ตัวเลขดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของบริษัท Tech ยักษ์ใหญ่ แล้วอัดเงินเข้าไปตรงจุดนี้ให้เยอะ ๆ เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้มาลงในตลาดหุ้นสหรัฐ 

ซึ่งเป็นเทคนิคในการล่อใจนักลงทุนทั่วโลก ด้วยการเอาหุ้นบริษัท Tech ยักษ์ใหญ่เป็นหลักในการฉีดเงินเข้าไป เพื่อให้เกิดอุปทานหมู่และเงินจากทั่วโลกก็จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่หากมองเนื้อในที่แท้จริง มีเพียง 20% เท่านั้น ที่ราคาตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ นั้นดีจริง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่สมดุล

ดังนั้น การอัดฉีดเงินเข้าไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงย่อมทำให้เกิดฟองสบู่ขึ้น ซึ่งในขณะนี้ก็กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขาดรากฐานจากความเป็นจริง 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แท้จริงแล้วรากฐานอาจไม่ได้แข็งแรงและมั่นคงอย่างที่คิด แต่การอัดฉีดเงินเข้าไปมหาศาล เพื่อสร้างภาพพจน์ออกมาให้ดูดี และดึงดูดนักลงทุนนี้ แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่อาจใช้ได้ผลในระยะหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่ ‘ฟองสบู่’ อาจจะ ‘แตกสลาย’ ลงเมื่อไหร่ก็ได้ 

รัฐบาลเงาเมียนมา เตือน!! ‘ถ้าไม่กลัวสงครามก็มา’ หลังรัฐบาลทหารเมียนพร้อมเปิดประเทศ

รัฐบาลทหารเมียนมา ภายใต้การนำของนายพล ‘มิน อ่อง หล่าย’ เตรียมเปิดประเทศ เดินหน้าเศรษฐกิจอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 นี้ โดยเริ่มจากการเปิดชายแดนที่ด่านประเทศไทย และจีน หลังจากนั้นก็จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบได้ไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของปี 2565

กระทรวงข่าวสารและสารสนเทศของพม่าได้ประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์ว่า จะเริ่มผ่อนปรนมาตรการเข้าเมืองบริเวณด่าน ‘รุ่ยลี่’ ที่ชายแดนมณฑลยูนนานของจีน และด่านท่าขี้เหล็ก เกาะสอง และทิกิ ที่ติดกับชายแดนไทย

โดยเชื่อมั่นว่า หลังจากที่เปิดประเทศแล้ว จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาแน่นอน เนื่องจากพม่ามีแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต สวยงาม น่าดึงดูดใจมากมาย ซึ่งทางการพม่าจะจัดเตรียมกองกำลังทั้งทหาร ตำรวจ เข้ามาดูแลความปลอดภัยในเขตแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ 

ส่วนปัญหาเรื่องการระบาดของ Covid-19 ในประเทศนั้น ทางการพม่ากล่าวอย่างมั่นใจว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และได้เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ที่ตอนนี้ได้รับวัคซีนบริจาคมาเป็นจำนวนมากจากจีน และอีกหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐบาลของนายพล มิน อ่อง หล่าย แสดงความมั่นใจอย่างมากในการเปิดประเทศ แต่ทว่า รัฐบาลเงา ที่เรียกตนเองว่า National Unity Government of the Republic of the Union of Myanmar หรือ NUG ก็ได้ออกมาประกาศว่า ‘อย่ามาพม่า’ ในช่วงเวลานี้อย่างเด็ดขาด 

ด้าน นาย ทิน ทุน เนียง หนึ่งในรัฐมนตรีของรัฐบาลเงา NUG ได้กล่าวย้ำผ่านสื่อว่า “นี่ไม่ใช่เวลาที่นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวนะครับ!” ซึ่งเรื่องนี้ดูจะทำให้ภาพของเปิดประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเมียนมาของรัฐบาลของ นายพล มิน อ่อง หล่าย อาจไม่เป็นดั่งที่คาดหวังไว้ก็เป็นได้

‘สุริยะ’ สั่งเร่งฟื้นฟูผู้ประกอบการใต้ฝั่งอันดามัน ชู 4 ประเด็นเร่งด่วน - ยกระดับ BCG Model

‘สุริยะ’ สั่งการ ‘ดีพร้อม’ ฟื้นฟูผู้ประกอบการพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน พร้อมชู 4 ประเด็นเร่งด่วนหนุนอุตฯ ศักยภาพ พร้อมรุกนโยบายเสริมแกร่ง ‘BCG Model’

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งติดตามการดำเนินงานผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พร้อมมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมให้พื้นที่ดังกล่าวมีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular-Green Economy รวมถึงการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของพื้นที่ ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 

1.) เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 
2.) การยกระดับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน 
3.) การดึงอัตลักษณ์ประจำถิ่นกระตุ้นความต้องการของตลาด 
และ 4.) การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าชุมชน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) ณ จังหวัดกระบี่ และได้มีการติดตามการดำเนินงานในส่วนของการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล โดยในการดำเนินงานดังกล่าว ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กำกับและมีบทบาทการยกระดับศักยผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม  

ขณะเดียวกัน ยังร่วมรับฟังความต้องการของผู้ประกอบการ พร้อมนำไปปรับเป็นแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งเขตเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เร่งปฏิบัติงานด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular-Green  Economy : BCG Model รวมถึงสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ การขยายช่องทางการตลาดออนไลน์ และพัฒนานวัตกรรมการผลิตในธุรกิจที่มีศักยภาพเพื่อก้าวไปสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาดีพร้อม มีแนวทางและแผนการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน รวมถึงได้มีการติดตามการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี ซึ่งมีอยู่กว่า 5 แสนราย ไม่ว่าจะเป็น การประมง การปศุสัตว์ การทำเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การประกอบธุรกิจอาหารและเกษตรแปรรูป รวมถึงวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าและมีอานิสงส์ต่อการจ้างงานของประชากรในพื้นที่ โดยหลังจากได้รับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดีพร้อมได้เร่งเตรียมฟื้นฟูและยกระดับผู้ประกอบการด้วยแนวทางที่สำคัญหลากหลายรูปแบบ ดังนี้   

‘มก.- อปท.’ ร่วมลงนามความร่วมมือพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น

​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ 5 ปี กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดทำและพัฒนาหลักสูตรสำหรับใช้ในการจัดฝึกอบรมพัฒนาข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้มีความรู้ ทักษะสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งและมีความเป็นมืออาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นที่ยอมรับเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชน

19 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.00 น. - 15.00 น. ณ ห้องกำพล อดุลย์วิทย์ ชั้น 2 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเป็นผู้ร่วมลงนาม โดยมี ดร.อัศวิน โชติพนัง ที่ปรึกษาผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม รศ.สุวิสา พัฒนเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม นาศศิน พัฒนภิรมย์ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ดร.ยุพวัลย์ ทองใบอ่อน รองผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ร่วมในงานครั้งนี้ด้วย เพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย จัดทำ และพัฒนาหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นทุกตำแหน่ง การพัฒนาหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และความร่วมมือด้านการจัดโครงการฝึกอบรม สัมมนา หรือกิจกรรมพัฒนาความรู้ ทักษะและสมรรถนะในการบริหารงานและการปฏิบัติงานให้กับข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2569

ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ได้ให้ความไว้วางใจร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสี่ยง มีความเชี่ยวชาญ มีผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และมีประสบการณ์ในการดำเนินงานทางวิชาการ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านวิชาการ การจัดทำโครงการและงบประมาณ รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยมีสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำและพิจารณากลั่นกรองร่วมด้วยทุกโครงการ

​ในส่วนของความร่วมมือในการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมนั้น เป็นหลักสูตรภาคบังคับของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น 

แบ่งเป็น ประเภทอำนวยการท้องถิ่น ได้แก่ หลักสูตรนักบริหารงานการเกษตร ประเภทวิชาการ ได้แก่ หลักสูตรนักวิชาการเกษตร หลักสูตรนักวิชาการประมง หลักสูตรนักวิชาการสวนสาธารณะ หลักสูตรนักวิชาการสิ่งแวดล้อมหลักสูตรนักวิชาการสุขาภิบาล หลักสูตรนายสัตวแพทย์ 

ย้อนรอยความขัดแย้ง ‘คณะราษฎร’ | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร EP.45

“ปรีดี พนมยงค์” แกนนำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ‘ระบอบประชาธิปไตย’ ได้รับการยกย่องว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร โดยเป็นผู้ร่างคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top