Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

คอกระท่อม เตรียมปลูก-กินเสรี หลังพิจารณาปลดล็อคพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติดให้โทษเสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม คาดเสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้อย่างแน่นอน

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ....ได้แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ...เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีสาระสำคัญของการยกเลิกพืช กระท่อมออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษดังนี้

1.) ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีหลักการเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 และยกเลิกบทกำหนดโทษ และอัตราโทษสำหรับความผิดที่เกี่ยวกับพืชกระท่อม ตลอดจนยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับการประกาศให้ท้องที่ใด เป็นท้องที่ทำการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เปิดกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติดให้โทษต่อไป และประชาชนผู้บริโภคพืชกระท่อมได้โดยไม่มีความผิด และไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย เว้นแต่จะนำไปผสมเป็นสารเสพติดชนิดอื่น เช่น นำไปต้มเป็นน้ำกระท่อม 4 × 100

2.) ที่ประชุมได้กำหนดระยะเวลาการประกาศใช้กฎหมายหลังจากประกาศในราชกิจจานุเษกษา จากร่างเดิมที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ 180 วันลดเหลือ 90 วัน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้พืชกระท่อมได้อย่างเสรีและรวดเร็วที่สุดและในระหว่างที่กฎหมายฉบับนี้รอการบังคับใช้ ก็จะประสานงานขอความอนุเคราะห์ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ได้พิจารณาใช้ดุลพินิจในการจับกุมโดยอนุโลม

3.) การกำหนดเงื่อนไขระยะเวลา 90 อวัน ที่มีผลบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ก็เพื่อรอการจัดทำร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. ...ขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ตนในฐานะที่เป็นผู้ผลักดันการยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดมาโดยตลอด จะเสนอร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อมขึ้นมาด้วย เพื่อประกบกับร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ฉบับของรัฐบาลด้วย

สำหรับผลของการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่....พ.ศ....ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้แก้ไขมีผลบังคับใช้ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนใน 3 ประการ คือ

1.) เป็นการลดภาระการใช้จ่ายภาครัฐ จากจำนวนคดีเกี่ยวกับพืชกระท่อมทั้งหมด ที่มีจำนวนประมาณ 76,000 คดี และมีคดีพืชกระท่อม 15,925 คดีต่อปี ถ้ากฎหมายบังคับใช้เร็วขึ้น90วัน จะลดคดีพืชกระท่อมลงได้ 3981 คดี

2.) เป็นการช่วยเหลือประชาชนไม่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี เสียค่าปรับ จำคุก เสียประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด

3.) เป็นการส่งเสริมให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ขอเรียนให้ทราบว่าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ได้พิจารณาเสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม ซึ่งจากการประสานงานภายในทราบว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมในสัปดาห์หน้า จึงคาดหมายว่าจะ เสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้อย่างแน่นอน

สมาคมคราฟท์เบียร์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลังกทม.ห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้าน

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มสมาคมคราฟท์เบียร์ประเทศไทยโดย นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัวดิ์ ( นายกสมาคม Craft Beer ประเทศไทย) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องขอเสนอมาตรการการบรรเทาและเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่

นายอาชิระวัสส์ กล่าวว่า เนื่องด้วยคำสั่งของกรุงเทพในการห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้านอาหารส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งประเทศทางสมาคมฯมีความเข้าใจถึงความปรารถนาดีและกังวลในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม

โดยปัญหาที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญมีดังต่อไปนี้

1.) ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าไม่สามารถระบายสินค้าเบียร์สดซึ่งเป็นสินค้าที่มีต้นทุนสูงและมีอายุสินค้าสั้นได้

2.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเบียร์สดในบรรจุภัณฑ์อื่นๆเพื่อให้ลูกค้านำกลับไปบริโภคที่บ้านได้เนื่องจากผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตมาตรา 157 ทำให้ต้องสูญเสียสินค้าไปโดยใช่เหตุ

3.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้เนื่องจากผิดกฎหมายห้ามซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์แม้แต่กฎหมายนี้จะยังคงมีปัญหามีความคลุมเครือและไม่ชัดเจนเช่นไม่สามารถให้คำนิยามคำว่าอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกทั้งยังไม่มีคู่มือให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

4.) ปัญหามาตรา 32 พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เพียงห้ามให้ร้านค้าโพสต์ประชาสัมพันธ์หรือขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทาง Social Media แต่ยังรวมไปถึงการเขียนถึงสินค้าแม้จะไม่มีรูปประกอบซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิดตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้มีผู้ประกอบการร้านค้าไม่น้อยกว่า 600 ร้าน และผู้ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย มูลค่าความเสียหายขั้นต่ำที่เกิดขึ้นเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท ต่อเดือน

ทางการจีนเตรียมพิจารณานโยบายแบนชาวฮ่องกงที่ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ หรือ BN(O) มีผลให้ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานรัฐบาล หรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง งานนี้ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่เปิดโควต้าให้คนฮ่องกงย้ายถิ่นฐานไปอยู่อังกฤษถึงกว่า 3 ล้านสิทธิ์

South China Morning Post สำนักข่าวใหญ่ของฮ่องกงได้รายงานข่าวว่า ทางการจีนกำลังพิจารณานโยบายที่จะแบนชาวฮ่องกงผู้ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ ที่เรียกว่า British National (Overseas) หรือ BN(O) พาสปอร์ต ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงอาจเพิกถอนสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งด้วย

มาตรการใหม่นี้ มีจุดประสงค์เพื่อตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่ได้เปิดโควต้าให้ชาวฮ่องกงผู้มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ และกำลังจะเริ่มรับใบสมัครในวันที่ 31 มกราคม 2021 นี้แล้ว

และชาวฮ่องกงที่ได้รับสิทธิ์นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต ที่เป็นเหมือนเอกสารรับรองชาวฮ่องกงว่าเคยมีสถานะเป็นพลเมืองในเขตอาณานิคมอังกฤษมาก่อน

โดยมีขั้นตอนว่ารัฐบาลอังกฤษจะออกวีซ่าชั่วคราวให้ก่อน 1 ปี เรียนได้ ทำงานเต็มเวลาได้ หลังจากนั้นค่อยหาช่องทางไปยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในภายหลัง

ข่าวนี้ทางรัฐบาลอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ออกมายืนยันด้วยตัวเองเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2020 หลังจากที่มีข่าวว่าจีนได้ประกาศกฎหมายความมั่นคงใหม่บนเกาะฮ่องกง ที่ทางอังกฤษมองว่าผิดข้อตกลงที่จีนจะยอมให้ฮ่องกงปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ ต่อไปจนถึงปี 2047

ด้วยเงื่อนไขพิเศษของอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้ชาวฮ่องกงสามารถลี้ภัยไปอยู่ที่เกาะอังกฤษได้ จึงทำให้ชาวฮ่องกงที่เคยถือ BN(O) พาสปอร์ต แต่หมดอายุไปแล้ว หรือยังไม่เคยยื่นคำร้องของสถานะ BN(O) มาก่อนเลย แห่ไปต่อคิวที่สถานทูตอังกฤษ เพื่อขอพาสปอร์ต BN(O) กันยาวเหยียด และสร้างความไม่พอใจกับทางการจีนมานานแล้ว จึงมีข่าวว่าจีนอาจทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้นโยบายเปิดรับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นของอังกฤษ

มาวันนี้ มีข่าวสะพัดมาจากสำนักข่าวใหญ่ในฮ่องกง ว่าทางจีนอาจจะใช้นโยบายที่จะบีบให้ชาวฮ่องกงต้องตัดสินใจเลือกข้างให้ชัดเจนไปเลยว่า หากจะไปอยู่กับอังกฤษก็ต้องทิ้งสิทธิพลเมืองในประเทศ เช่น การสมัครทำงานในหน่วยงานของรัฐ ดำรงสถานะทางการเมือง หรือแม้แต่การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หลังจากที่มีข่าวนี้ออกมา ทางรัฐบาลจีนก็ยังไม่ได้ชี้แจง หรือตอบโต้ใด ๆ แต่ทั้งนี้ สส. ฝ่ายอนุรักษ์ที่โปรปักกิ่ง มีความเห็นว่า เป็นนโยบายที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ และพาสปอร์ต BN(O) ก็มีมาตั้งนานแล้วและเป็นสิทธิ์ของชาวฮ่องกงทุกคนที่เกิดก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 1997 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่อังกฤษจะคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 สามารถถือครองได้

ส่วน แครี่ ลัม ผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็กล่าวว่าหากพบว่ามีฝ่ายใดที่มีเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นจากสิ่งที่เคยตกลงกันไว้ อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องออกมาตอบโต้

จากตัวเลขของทางการอังกฤษ เปิดเผยว่าในปี 2020 มีชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ตที่ยังใช้การได้จริงอยู่ประมาณ 350,000 เล่ม จากประชากรฮ่องกงผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอพาสปอร์ตพิเศษชนิดนี้กว่า 2.6 ล้านคน และเชื่อว่าจะมีชาวฮ่องกงนับล้านกลับมาขอ BN(O) พาสปอร์ตเพื่อลี้ภัยหนีไปอยู่อังกฤษ

แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพาสปอร์ตของพลเมืองอังกฤษ แต่สถานะของพาสปอร์ตนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับพาสปอร์ตของคนอังกฤษจริง ๆ แม้แต่น้อย เพราะให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงเดินทางไปพำนักที่อังกฤษได้เพียงชั่วคราวแค่ 6 เดือนเท่านั้น ก่อนที่รัฐบาลของ บอริส จอห์นสัน เพิ่งจะมาขยายระยะเวลาให้เป็น 1 ปี และสามารถทำงานเต็มเวลาได้ ที่จะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สามารถยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในเวลาต่อมา ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ และโอกาสของแต่ละบุคคล ไม่ได้การันตีว่าจะได้เป็นพลเมืองทุกคน

แต่ก็มีบางส่วนแย้งว่า นโยบายจำกัดสิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต มีความละเอียดอ่อน และเป็นเหมือนบทลงโทษถึงกลุ่มคนที่ไม่สมควรได้รับ

เพราะหากมองว่า สำหรับกลุ่มชาวฮ่องกงที่ไม่มีใจจะอยู่ในระบอบของจีนแล้ว เขาคงไม่สนใจ ถ้ามีโอกาสแล้วยังไงก็ไปอยู่แล้ว และนโยบายนี้จะไม่มีผลอันใดเลยกับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นเหล่านี้ แต่กับชาวฮ่องกงที่ยังอยู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าเลือกแล้วที่จะอยู่ หรือ อยู่เพราะเลือกไม่ได้ก็แล้วแต่ จะกลายเป็นผู้ที่โดนบีบหนักที่สุด ซึ่งก็ดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/3117625/national-security-law-beijing-mulling-public-office-ban

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-considers-banning-uk-passport-holders-from-office

https://www.bbc.com/news/uk-politics-53246899

พรรคก้าวไกล ดัน 4 มาตรการกู้ชีพ SMEs – ท่องเที่ยว ยื่นแก้ไข 'พ.ร.ก.ซอฟท์โลน' อุ้มธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน พร้อม ‘สินเชื่อคืนภาษี 10 ปี’ พยุงภาคท่องเที่ยว คลายภาระและความตึงเครียดหลังวิกฤติโควิดระลอกใหม่ระบาด

ที่อาคารรัฐสภา นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นร่างแก้ไขพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร หวังรัฐเร่งเพิ่มมาตรการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุน ผ่อนคลายภาระและความตึงเครียดหลังวิกฤติโควิดระลอกใหม่ระบาด โดยมี นายเเพทย์ สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับร่างกฎหมายดังกล่าว

นายวรภพ กล่าวว่า ธุรกิจ SMEs กัดฟันต่อสู้กับวิกฤติมาตั้งแต่ปีก่อน ถึงตอนนี้อ่อนแรงและกำลังจะหมดความหวัง เงินเก็บถูกใช้จนเกือบหมด หลายคนต้องหันไปหมุนเงินกับหนี้นอกระบบ กลายเป็นวังวนหนี้รอบใหม่หรือกำลังจะกลายเป็นอีกปัญหาที่พัวพันเข้ามาอีกในอนาคต สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ SMEs ยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล วันนี้ตนเเละพรรคก้าวไกลจึงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อขอให้สื่อมวลชนช่วยกันกดดันให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการความช่วยเหลือพี่น้อง SMEs รอบใหม่ที่ตอบโจทย์มากกว่าเดิม รวมถึงเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

นายวรภพ กล่าวต่อไปว่า พรรคก้าวไกลขอให้รัฐบาลพิจารณาใน 2 มาตรการที่จะช่วยเหลือ SMEs ได้จริง มาตรการแรก คือ การแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เพราะมาตรการในปัจจุบันล้มเหลวในการช่วยเหลือ จากวงเงิน 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 ผ่านมาแล้ว 9 เดือน สินเชื่ออนุมัติไปเพียง 123,000 ล้านบาท หรือเพียง 25% เท่านั้นเอง หากนับเป็นรายจำนวนคืออนุมัติไปเพียง 74,000 ราย หรือเพียง 2% จาก SMEs 3.1 ล้านราย ทั่วประเทศ จึงสะท้อนว่า ยังมี SMEs อีกจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงมาตรการนี้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ขาย ห้างร้านขนาดเล็ก ทั้งนี้ เงื่อนไขของ พ.ร.ก.ซอฟท์โลนไม่ได้จริงใจในการช่วยตั้งแต่แรก โดยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีสินเชื่อกับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะได้รับ วงเงิน ทำให้เกิดการกีดกันผู้ประกอบการจำนวนมากออกไปเพราะไม่เคยกู้เงินกับธนคารมาก่อน

นอกจากนี้ เงื่อนไขที่กำหนดว่า รัฐบาลจะชดเชยให้ธนาคารและให้ระยะเวลาผ่อนชำระคืนภายใน 2 ปี หมายถึงว่า กรอบการจ่ายหนี้มีระยะเวลาสั้น ยอดผ่อนต่อเดือนเพื่อชำระหนี้คืนจะสูงมาก ซึ่งอาจสูงเกินกว่าที่ธุรกิจจะสามารถผ่อนคืนได้ในช่วงวิกฤตแบบนี้ กลายเป็นเงื่อนไขที่ธนาคารปฏิเสธไม่ปล่อยวงเงินมาให้ธุรกิจที่กำลังลำบาก เพราะมองว่ามีความเสี่ยงต่อกการผิดชำระหนี้สูงมาก ส่วนมาตรการของรัฐบาลที่ให้ บสย.(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) มาช่วยชดเชย ตามโครงการ PGS Soft Loan Plus เมื่อเดือน ส.ค. 63 เพื่อแก้ปัญหาระยะเวลาผ่อนก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ เพราะได้กำหนดชดเชยความเสียหายเพียง 30% ซึ่งทำให้จากวงเงิน 57,000 ล้านบาท ได้ถูกอนุมัติไปได้เพียง 3,000 ล้านบาทเท่านั้น

“ดอกเบี้ย 2% คือ อีกหนึ่งเงื่อนไขปัญหา เพราะธนาคารไม่มีแรงจูงใจในการปล่อยกู้ให้กับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยไม่ชดเชยกับความเสี่ยงต่อการเสียหายและดำเนินการของธนาคารเอง SMEs ที่เข้าไม่ถึงหนี้ในระบบจึงก็ต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ เกิดเป็นวงจรหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลกำลังปล่อยให้ SMEs รายย่อยต้องรับมือกับหนี้นอกระบบตามลำพัง”

นายวรภพ กล่าวระบุถึงข้อเสนอว่า เพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอเป็น ร่างแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เพื่อให้เป็นมาตรการที่ช่วยเหลือ SMEs ได้จริง มีสาระสำคัญ 4 ประเด็นคือ

หนึ่งให้ SMEs ที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับธนาคารสามารถขอกู้ซอฟท์โลนได้ และกำหนดให้ธนาคารแห่งต้องกันวงเงินสำหรับ SMEs ขนาดเล็ก ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ธุรกิจที่มีประวัติการจ่ายภาษี เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาให้ทั่วถึงมากที่สุด

สอง เพิ่มระยะเวลาผ่อนซอฟท์โลนจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อให้ SMEs สามารถผ่อนชำระต่อเดือนได้น้อยลง และธนาคารมั่นใจได้ว่า ผู้กู้จะสามารถอยู่รอดข้ามวิกฤตนี้และชำระหนี้คืนธนาคารได้

สาม เพิ่มเพดานอัตราดอกเบี้ย จาก 2% เป็น 5% สำหรับผู้กู้ที่มีวงงินสินเชื่อกับธนาคารอยู่แล้ว และเพดานดอกเบี้ย 7.5% สำหรับผู้กู้ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคาร เพื่อให้ SMEs ขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงซอฟท์โลนได้มากขึ้น ทั้งนี้ คนทำธุรกิจจะรู้ว่า ดอกเบี้ยไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการขอกู้ สภาพคล่องคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ ถ้า SMEs เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ก็จะต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงกว่ามากอยู่ดี

สี่ เพิ่มอัตราการชดเชยความเสียหายกรณีหนี้เสีย จากเดิม 60 - 70% เป็นไม่เกิน 80% เพื่อให้ธนาคารมั่นใจและกล้าปล่อยกู้ให้กับ SMEs ขนาดเล็ก ธุรกิจที่เดือดร้อน ให้รอดจากวิกฤตนี้ได้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดความเสียหาย ธนคารก็จะได้รับเงินชดเชยจากรัฐช่วยเยี่ยวความเสียหายได้

นายวรภพ กล่าวอีกว่าว่า ตนและพรรคก้าวไกล ได้พยายามอภิปรายปัญหานี้ให้รัฐบาลทราบตั้งแต่ เดือน พ.ค. ปีที่แล้ว และคาดหวังว่ารัฐบาลจะรีบเปิดสภาและเลื่อนการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลนเพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยเร็วที่สุด

สำหรับมาตรการที่สอง คือ ขอให้รัฐออกโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการสินเชื่อคืนภาษี 10 ปี เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพสามารถข้ามวิกฤตได้ทุกราย โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวที่เข้าไม่ถึงทั้งมาตรการซอฟท์โลนและโครงการสินเชื่อธนาคารรัฐ เพราะธนาคารต่างประเมินความเสี่ยงของธุรกิจในสภาวะวิกฤตนี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องช่วยเหลือธุรกิจในยามวิกฤต เพราะพวกเขาคือธุรกิจที่มีศักยภาพ หากเป็นธุรกิจที่มีประวัติจ่ายภาษีมาตลอดก็ต้องทำให้เขาอยู่รอด ก้าวข้ามวิกฤต และกลับมาเป็นกลไกเศรษฐกิจหลักของประเทศหลังวิกฤตได้

“อยากให้มี โครงการสินเชื่อคืนภาษี 10 ปี ให้กับ SMEs โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อจากยอดรวมภาษีที่ธุรกิจจายให้รัฐมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีบุคคลธรรมดา ให้เป็นสิทธิของธุรกิจในการขอกู้ได้ทันที ซึ่งเรื่องฐานข้อมูลภาษีมีที่กรมสรรพากรอยู่แล้ว สามารถทำได้รวดเร็ว ทันที และตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่าธนาคารของรัฐทั้ง 7 แห่งมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะช่วยเหลือ SMEs ตามโครงการสินเชื่อ 10 ปี ได้เลย เรื่องนี้จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบนำไปพิจารณาและออกมาตรการมาช่วยเหลือ SMEs โดยเร็วที่สุด”นายวรภพ กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (15 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 271 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,262 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 รวมยอดผู้เสียชีวิต 69 ราย รักษาหายเพิ่ม 717 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,660 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,533 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 271 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากฟิลิปปินส์ 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,ฮังการี 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,เยอรมนี 6 ราย ,อียิปต์ 1 ราย ,เช็ก 1 ราย ,เบลเยี่ยม 1 ราย ,ซูดาน 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,คูเวต 1 ราย , ตุรกี 3 ราย

เป็นคนไทย 13 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 81 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 73 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 426 ราย รักษาหายแล้ว 381 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.11 แสน เสียชีวิต 25,246 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.48 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.13 แสน ราย เสียชีวิต 578 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.33 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.16 แสน ราย เสียชีวิต 2,912 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.95 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.59 แสน ราย เสียชีวิต 9,739 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,029 ราย รักษาหายแล้ว 58,757 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,531 ราย รักษาหายแล้ว 1,369 ราย เสียชีวิต 35 ราย

มีข่าวสะพัดในโลกออนไลน์จากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังถึง 'เราชนะ' ที่อาจจะเข้ามาเยียวยา ผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' หรือ 'บัตรคนจน' 14 ล้านคน ให้เฮแบบรับ 2 เด้ง ไม่ต้องลงทะเบียน ก็ได้เงินเข้าอัตโนมัติเดือนละ 4,000 บาท 2 เดือน แต่ดูเหมือนเรื่องนี้ อาจมีพลิก!

เพราะดูเหมือนทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดของโครงการ 'เราชนะ' เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 19 มกราคมนี้ ซึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ม.ค.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนมกราคม และผู้ผ่านการตรวจสอบสิทธิจะได้เงินอย่างช้าสุดน่าจะไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า คนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง โชเฟอร์แท็กซี่ มัคคุเทศก์ คนขายลอตเตอรี่ และเกษตรกร ได้เงินคนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน

สรุปแล้วคือต้องรอถึงการประชุมครม.รอบหน้า จึงน่าจะตอบได้ชัดว่าใครได้ ใครอด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข่าวสะพัดเล็ดรอดออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีข่าวสะพัดอีกระลอกในโลกออนไลน์ให้คนไทย 'คอตก' กันเป็นแถบ หลังคาดว่าโครงการนี้จะจ่ายจาก 'ฐานอาชีพ' หรือ 'พื้นที่' โดยแนวคิดที่มีการพูดคุยกัน คือ อาจยึดเกณฑ์จากการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ซึ่งใน 28 จังหวัดนี้ ถือว่าครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมได้รับผลกระทบ จึงยังมีการดีเบตกันอยู่ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่จัดเตรียมงบประมาณไว้ 200,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องต้น เงินที่ให้นี้ อาจเป็นรูปแบบการให้สิทธิผ่านแอปพลิเคชัน แล้วไปทยอยใช้ตามร้านค้าตามจุดต่างๆ เหมือนกับโครงการคนละครึ่ง โดยไม่ต้องจับเงินสด

อย่างไรเสีย ทั้งหมดก็ยังไม่มีการยืนยันใดๆ ออกมาจากปากเจ้ากระทรวงการคลังทั้งสิ้น แต่ถ้าหากอนุมัติเพียงแค่ 28 จังหวัดจริง คงทำให้ผิดหวังกันทั้งประเทศแน่นอน

โดนอีกหนึ่งราย!! กระสุนสั่งลา จาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่กำลังจะกลายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ล่าสุดสั่งแบน ‘Xiaomi’ ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่จากจีนเพิ่มอีกหนึ่งราย ตามรอย 'Huawei' และ ‘ZTE’ ที่โดนแบนไปแล้วก่อนหน้านี้

เหตุการณ์นี้เกิดจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ที่ได้เสนอชื่อ บริษัท จีน 9 แห่งให้ติดบัญชีดำด้านการลงทุน ซึ่งรวมถึง Xiaomi ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน โดยสหรัฐกล่าวหาว่าเป็น “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” ที่ดำเนินการไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายของมาตรา 1237 ของพระราชบัญญัติการให้อำนาจในการป้องกันประเทศปีงบประมาณ 2542

สหรัฐฯให้คำจำกัดความ “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” เป็น “บุคคลใด ๆ ที่ระบุในสิ่งพิมพ์ของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมหมายเลข VP-1920-271-90 ลงวันที่กันยายน 1990 หรือ PC-1921-57- 95 ลงวันที่ตุลาคม 1995 และการปรับปรุงสิ่งตีพิมพ์เหล่านั้นเพื่อวัตถุประสงค์ของส่วนนี้” รวมทั้ง“ บุคคลอื่นใดที่ – (i) เป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยกองทัพปลดปล่อยประชาชน และ (ii) มีส่วนร่วมในการให้บริการทางการค้าการผลิตการผลิตหรือการส่งออก”

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า Xiaomi เกี่ยวพันกับเงื่อนไขที่ว่าอย่างไร เนื่องจากส่วนใหญ่บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์นักลงทุนชาวอเมริกันจะต้องถอนการถือครองในแต่ละ บริษัท ที่อยู่ในบัญชีดำภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นั่นเป็นเพราะคำสั่งของผู้บริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 โดยห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนใน บริษัท ใด ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รายการของ DOD บริษัทที่เคยอยู่ในบัญชีดำนี้ ได้แก่ Huawei และ SMIC

สิ่งนี้หมายถึงอนาคตของ Xiaomi อยู่ในความไม่แน่นอนทันที เนื่องจากแม้ว่าจะไม่ใช่การห้ามการค้าทั้งหมด แต่ก็เป็นไปได้ว่า บริษัท ได้รับเงินลงทุนจำนวนมากจาก บริษัท ในสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น Qualcomm Ventures ได้ลงทุนต่อสาธารณะใน Xiaomi ดังนั้น ภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน Qualcomm อาจจำเป็นต้องยกเลิกการถือครอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Xiaomi แต่โชคดีสำหรับบริษัทที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน

หาก Xiaomi ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อเอนทิตีของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (เช่นเดียวกับ Huawei และ DJI ) บริษัทจะถูกห้ามไม่ให้ดำเนินธุรกิจใด ๆ กับ บริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ บริษัทใดๆ ที่ใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักซึ่งรวมถึงโรงหล่อชิปและ บริษัท ออกแบบชิปจำนวนมากก็จะถูกห้ามการค้ากับ Xiaomi

ตำแหน่งของ Huawei ในรายชื่อเอนทิตีทำให้ความสามารถในการขายสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android ในต่างประเทศถูกทำลายเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต GMS ตำแหน่งดังกล่าวยังทำให้ความสามารถของ HiSilicon ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ Huawei เกิดอุปสรรคในการออกแบบชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM รุ่นใหม่

โชคดีสำหรับ Xiaomi พวกเขามีเวลาเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

“ไม่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นเรามีแผน B แต่เหนือสิ่งอื่นใดเรากำลังลงทุนอย่างมากในผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายรายในจีน และเราเชื่อว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจของเราไม่ควรถูกกำหนดโดยการตัดสินใจของนักการเมือง

จนถึงตอนนี้เราได้เลือกใช้ส่วนประกอบที่ดีที่สุดในผลิตภัณฑ์ของเราและเราจะดำเนินการต่อไปในอนาคต” Abi Go ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Xiaomi กล่าว

แต่ในโชคร้ายยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ อาจเป็นไปได้ว่าฝ่ายบริหารของว่าที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อาจลบ Xiaomi ออกจากบัญชีดำนี้ แม้ว่าจะยังไม่รับประกันข่าวดังกล่าวก็ตาม

นับจากวันนี้ไป เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ของคนที่เป็นสาวก Xiaomi เลยทีเดียว เพราะสมาร์ตโฟน Xiaomi รุ่นใหม่ๆ ก็อาจจะใช้บริการ YouTube, Google Maps ไม่ได้ เหมือนแบบที่ Huawei เป็นอยู่ตอนนี้

กรมสรรพากรต่อเวลาให้อีก 3 ปี กรณี ‘ขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีผ่านออนไลน์ 8 วัน’ นับแต่วันครบกำหนดยื่นแบบแต่ละประเภท เริ่มตั้งแต่ 1 ก.พ.64 ถึง 31 ม.ค. 67 หนุนทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน ช่วยลดและป้องกันแพร่ระบาด COVID – 19

นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้ประกาศขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

โดยขยายเวลาต่อไปอีก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี และการนำส่งภาษีตามประมวลรัษฎากรสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และ ภ.ง.ด.94) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.51 ภ.ง.ด.52 ภ.ง.ด.54 และ ภ.ง.ด.55) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) และภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ www.rd.go.th

ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือนำส่งภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0”

โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชน ใช้บริการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ในทุกขั้นตอน เพราะง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)และสำหรับผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม การใช้บริการชำระภาษี หากชำระภาษีผ่าน QR Code หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตามเงื่อนไขของธนาคาร”

จัดหนัก แรมโบ้-สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อัด ปิยบุตร แสงกนกกุล เล่นการเมืองไม่เลิก หลังจุดชนวนยกเลิก ม.112 ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพราะมีปัญหาในทุกมิติว่า

“ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายปิยบุตร ในสมองถึงยังคงวนเวียนกับการเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา112 เพราะขณะนี้เป็นช่วงที่ประเทศต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากสถานการณ์โควิด-19 แทนที่ควรให้หยุดพูดในเรื่องนี้ก่อนและหันมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ในสมองกลับคิดแต่จะวางแผนในเรื่องก้าวล่วงสถาบัน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "การที่นายปิยบุตร ระบุว่าขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เสียงสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 มีมากกว่าเดิมเยอะ ประชาชนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน นั้นก็อยากถามกลับว่า แล้วประชาชนที่ไม่สนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา112 มีจำนวนมากมากมายมหาศาลเต็มแผ่นดินเช่นเดียวกันนายปิยบุตรก็รู้แก่ใจ ซึ่งตนเองมั่นใจว่ามีมากกว่าหลายเท่า อย่ามาเดาเข้าข้างตัวเองแบบมั่วๆ เอาเอง คนไทยเกือบทั้งแผ่นดินต้องการมีมาตรา112 ให้คงอยู่และต้องการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดกับคนที่ฝ่าฝืนกระทำผิดมาตรา112 เอามาลงโทษตามกฎหมายให้ได้เด็ดขาด"

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "สถาบันที่เป็นที่เคารพและศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ แต่นายปิยบุตรคิดแต่จะเข้าข้างตัวเองว่ามีคนสนับสนุนจำนวนมาก แต่ไม่สนใจความคิดหรือจิตใจของคนทั้งประเทศ สิ่งที่นายปิยบุตร พูดคือความคิดที่คนไทยอ่านออกว่า เป้าหมายคือการจวบจ้วงก้าวล่วงคิดล้มล้างสถาบัน คนไทยไม่ได้โง่อย่ามาวางแผนคิดทำลายสถาบันเลย คนไทยไม่ยอมแน่นอน"

“และที่นายปิยบุตรบอกว่าไม่ควรมีใครถูกจำคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก และจะปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นั้น ขอให้นายปิยบุตรกลับไปดูพฤติกรรมของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยว่าเป็นอย่างไร และการดูหมิ่นกล่าวให้ร้ายคนอื่นนั้นนายปิยะบุตรถือเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่ ทั้งนี้การชุมนุมก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า นายปิยบุตรเป็นถึงอาจารย์ แต่กลับทำตัวไม่มีเหตุผล เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเอง โดยไม่สนใจที่จะฟังเสียงคนอื่น ไม่สนใจในสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น คนแบบนี้ตนเองมองว่าไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ หรือแม้แต่จะเป็นนักการเมืองที่ถือเป็นผู้แทนของประชาชน "จำไว้ ถ้าอยู่อย่างปกติเหมือนคนทั่วไปมาตรา112 ไม่เคยเดินไปเล่นงานใครก่อน มีแต่นายปิยบุตรและพวกที่เดินมาหามาตรา112 เองต่างหาก กฎหมายจึงต้องบังคับใช้ เป็นเพราะนายปิยบุตรและพวกในหัวสมองในจิตใจ ไม่เคยจงรักภักดีและไม่เคยหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ จึงต้องการยกเลิกมาตรา112 อย่าคิดว่าคนไทยที่รักสถาบันจะโง่ ตามความคิดนายปิยบุตรไม่ทัน และคนไทยที่รักสถาบันปกป้องสถาบันจะไม่มีวันยอมให้ยกเลิกมาตรา112 เด็ดขาด"

วิษณุ ปัดตอบทุกกรณี หลังรถไฟฟ้าฟรีสถานีส่วนต่อขยายสถานีหมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-สมุทรปราการ จะสิ้นสุดในวันที่15 ม.ค.และราคาจะกำหนดไปแตะเพดานที่ 158 บาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่ารถไฟฟ้าจะให้บริการฟรีในสถานีส่วนต่อขยายสถานีหมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-สมุทรปราการ วันที่15 ม.ค.เป็นวันสุดท้าย และราคาจะกำหนดที่ 158 บาท ว่า

เรื่องนี้ไม่รู้และเพิ่งได้ยิน และในวันนี้ที่เชิญตัวแทนฝ่ายต่างๆ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กทม. สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี มาอัพเดตข้อมูลเรื่องรถไฟฟ้า ยังไม่เห็นมีใครพูดเรื่องนี้และเมื่อหารือก็ทราบว่าติดขัดที่ตรงไหน และได้สอบถามแล้วว่ารออะไรในเวลานี้ โดยเรื่องนี้ยังไม่สามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ทันภายในสัปดาห์หน้า เพราะมีข้อติดขัดอยู่ แต่ติดขัดเรื่องอะไรไม่บอกและบอกไม่ได้ ห้ามบอก

ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อติดเกี่ยวกับเรื่องราคาค่าโดยสารที่ยังสรุปไม่ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ติดขัดและจะต้องมีการชี้แจง เมื่อถามย้ำว่าต้องให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ใช่ และหน่วยงานที่จะต้องพิจารณาเยอะ แต่ละหน่อยก็ยังไม่ได้ตอบมา โดยสรุปสุดท้ายครม.จะเป็นผู้พิจารณา และคาดว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ความชัดเจนภายในเดือนม.ค.นี้

เมื่อถามว่าราคาค่าโดยสารจะมีการปรับลดหรือเพิ่มอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ตอบไม่ถูกในเรื่องนี้ เพราะหน่วยงานยังไม่ได้ตอบอะไรกันมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top