Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ชลบุรี - กองเรือยุทธการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะเสด็จเตี่ย วันอาภากร ครบรอบ 98 ปี

วันนี้ 19 พ.ค.64 พลเรือเอก สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มอบหมายให้ พลเรือโท ชาญชัยยศ อัฑฒ์สุวีร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธี วางพวงมาลาถวายราชสักการะ และพิธีบวงสรวง พระบรมราชานุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์พระบิดาทหารเรือไทย ณ หน้ากองบัญชาการกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื่องในวันอาภากร หรือวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ โดยมีผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรงกองเรือยุทธการ คณะนายทหาร ข้าราชการ เข้าร่วมกระทำพิธี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ผู้ทรงเป็นรากฐานให้แก่ กองทัพเรือไทย ให้ดำรงอยู่ตราบจนปัจจุบัน

พระประวัติโดยย่อของ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2446 ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด ในปีพุทธศักราช 2436 ได้เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ผลการศึกษาปรากฏอยู่ในขั้นดีเยี่ยม มีพระวิริยะอุตสาหะ พระจริยวัตรที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ของครู อาจารย์ และเป็นที่ยอมรับของชาวอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาได้เสด็จกลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท ผู้บังคับการในตำแหน่ง นายธงผู้บัญชาการทหารเรือ และเมื่อปี พุทธศักราช 2448 ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงได้ปรับปรุงการศึกษาของ โรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้า ดังปรากฏทำให้ทหารเรือไทย มีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และผู้บังคับบัญชาทหารเรือได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ และเมื่อปีพุทธศักราช 2450 ทรงเป็นผู้บังคับการ เรือหลวงมกุฎราชกุมาร นำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนช่างกล ไปฝึกภาคต่างประเทศ ได้ทรงนำเรือแวะที่ประเทศสิงคโปร์ เปลี่ยนสีเรือจากสีขาวเป็นสีหมอก ให้เหมือนเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้กลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศอีกด้วย 

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างจริงจัง จนมีความรู้แตกฉาน ทรงเป็นหมอยาไทย รับรักษาประชาชนทั่วไป ด้วยน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี จนได้รับพระสมัญญาว่า “หมอพร” แห่งราชนาวีไทย


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
 

กาฬสินธุ์ – ประกาศเขตโรคระบาดทั้งจังหวัด พบสัตว์ป่วยโรค ‘ลัมปีสกิน’ หลายอำเภอ

จังหวัดกาฬสินธุ์ประกาศเป็นพื้นที่เขตโรคระบาด พร้อมห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ หลังพบโคและกระบือป่วยโรคลัมปีสกินหลายอำเภอ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่สำรวจและให้การช่วยเหลือเกษตรกร
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564  ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านทุ่งกระเดา หมู่ที่ 5 ต.กุดปลาค้าว อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ หลังจากได้รับแจ้งว่ามีโคและกระบือของเกษตรกรป่วยเป็นโรคลัมปี สกิน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่สำหรับประเทศไทย และเป็นกาแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกในหมู่บ้าน เบื้องต้นได้พบกับนางสมพร ปาวรี อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่1/1 หมู่ที่ 5 บ้านทุ่งกระเดา ต.กุดปลาค้าว อ.เขาวง  จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่เลี้ยงโคและได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกิน


โดยนางสมพร กล่าวว่า เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมาเริ่มมีการระบาดของโรคลัมปี สกินในหมู่บ้านข้างเคียง และได้มีการระบาดมายังหมู่บ้านของตน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าโรคลัมปี สกิน จะติดต่อมายังวัวของตนเองได้เร็วขนาดนี้  โดยปกติแล้วตัวเองเลี้ยงวัวอยู่ 5 ตัว ปัจจุบันวัวติดโรคลัมปี สกินแล้ว 2 ตัว ซึ่งเป็นแม่ลูกกัน และเป็นโรคลัมปี สกิน มาประมาณ 2-3วันแล้ว หลังจากที่รู้ว่าวัวทั้ง 2 แม่ลูกติดโรคระบาด ก็ได้ทำการแยกออกจากฝูงนำไปเลี้ยงไว้ที่อื่นก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการติดไปยังวัวที่เหลือ


นางสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับอาการของโรคลัมปี สกินนั้น จะมีตุ่มขึ้นตามตัวของวัว แต่เบื้องต้นมีไม่มาก แต่มีอาการซึม ไม่กินนม ไม่กินหญ้า หรือแม้แต่น้ำก็ไม่กิน อีกทั้งยังมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ตัวเองเกิดความวิตกกังวลว่าวัวที่ตัวเองเลี้ยงนั้นจะเสียชีวิตเหมือนกับวัวของคนอื่นที่เคยเป็นข่าว ทั้งนี้เบื้องต้นได้แจ้งไปยังปศุสัตว์อำเภอเขาวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแล เพื่อทำการรักษาแล้ว แต่ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์แจ้งว่ายังไม่มีวัคซีนหรือยาที่สามารถรักษาได้โดยตรง ได้แต่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ตนจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยมาให้คำแนะนำหรือช่วยแก้ไขบรรเทาปัญหาให้กับชาวบ้านด้วย เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้พื้นที่อำเภอเขาวงได้มีการระบาดของโรคลัมปี สกินในหลายตำบลแล้วเช่น ตำบลกุดปลาค้าว ตำบลคุ้มเก่า  ตำบลสระพัง หรือแม้กระทั่งในอำเภอติดกันอย่างอำเภอนาคู และอำเภอกุฉินารายณ์ก็มีสัตว์ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนมาก จึงอยากให้ช่วยนำไปพิจารณาเป็นปัญหาเร่งด่วนด้วย


ขณะที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้ลงนามในประกาศจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เรื่องกำหนดเขตโรคระบาด ชนิดโรคลัมปีสกิน ในสัตว์ชนิดโค กระบือ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ด้วย จ.กาฬสินธุ์พบว่ามีหรือสงสัยว่ามีโรคระบาดในสัตว์(ชนิด) โคเนื้อป่วยด้วยโรคลัมปีสกิน ซึ่งเป็นโรคระบาดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 โดยมีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดไปยังจังหวัดอื่นๆได้ จากการเคลื่อนย้ายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือพาหะของโรคระบาด


ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์จึงออกประกาศไว้ดังนี้ 1.ให้ท้องที่ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นเขตโรคระบาดชนิดโรคลัมปีสกินในสัตว์ชนิดโค กระบือ 2.ห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายสัตว์ ชนิดโค กระบือ หรือซากสัตว์ดังกล่าวเข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตโรคระบาด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากสัตว์แพทย์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประจำเขตนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย ทั้งนี้ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 22 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ


อย่างไรก็ตามล่าสุดทางนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ยังได้สั่งการให้สำนักงานปศุสัตว์ และอำเภอทั้ง 18 อำเภอ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจ ให้ความรู้ และให้การช่วยเหลือเกษตรกรในการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว

กสม. ชี้ผู้ต้องขังคือกลุ่มเปราะบาง หวั่นกระทบสิทธิในเรือนจำหลังสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก  แนะรัฐบาลฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันและลดความรุนแรง

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกสม. เปิดเผยว่า ในการประชุม กสม. ด้านการบริหาร เมื่อวันที่ 18 พพฤษภาคม 2564 กสม. มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสิทธิในสุขภาพและชีวิตของผู้ต้องขังในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 อันเนื่องมาจากสภาพความแออัดของเรือนจำและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังที่ต้องอาศัยในพื้นที่ปิดเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับและแพร่กระจายเชื้อ ประกอบกับเรือนจำต่าง ๆ ยังขาดแคลนอุปกรณ์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่ดูแลผู้ต้องขังได้อย่างทั่วถึง 

ผู้ต้องขังถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ประกอบกับองค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ประกาศแนวปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังว่า รัฐควรให้ความใส่ใจพิเศษต่อบุคคลที่ถูกคุมขังซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นในการติดโรคในกรณีมีการแพร่ระบาดและการติดเชื้อเกิดขึ้นแล้ว และการเว้นระยะห่างทางสังคมยากที่จะกระทำได้ โดยรัฐควรมีมาตรการพิเศษสำหรับทุกคนในการแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อวิกฤติโดยเร็ว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต กสม. จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคส่วนต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1.) ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาและดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำอย่างทั่วถึง ทั้งนี้หลังจากที่ได้มีการตรวจคัดกรอง แยกและรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อแล้ว

2.) ขอสนับสนุนให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตาม 10 มาตรการเชิงรุกในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำที่ได้ประกาศไว้ และควรพิจารณาเพิ่มเติมให้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำและครอบครัวอย่างเข้มงวด

3.) ขอให้กรมราชทัณฑ์ทำความเข้าใจกับญาติของผู้ต้องขังถึงข้อจำกัดเรื่องสิทธิในการเข้าเยี่ยม การเปิดเผยข้อมูลความเจ็บป่วยของผู้ต้องขังที่ติดเชื้อแก่ญาติ และเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารหรือเข้าเยี่ยมผ่านระบบ Video Conference เพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องขังได้รับเชื้อโควิด-19 จากบุคคลภายนอก 

“กสม. ขอให้สังคมเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นทางด้านสาธารณสุขที่รัฐควรต้องเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ผู้ต้องขัง และตระหนักว่าผู้ต้องขังต่างก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกัน” นายสุวัฒน์ กล่าว

‘ธนกร’ ขอบคุณ ‘พี่เบิร์ด-อั้ม-ชมพู่’ ช่วยรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน เหน็บ ‘ช่อ’ จิตใจทำด้วยอะไร ไม่ช่วยแล้วยังเล่นการเมืองบนชีวิตประชาชน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ทวิตเตอร์กรณีที่ชมพู่ น.ส.อารยา เอ ฮาร์เก็ต นักแสดงชื่อดัง รีวิวการฉีดวัคซีนซิโนแวคในอินสตาแกรมว่า อยากเชิญชวนไปดูคลิปดาราและการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งตั้งคำถามว่า ดารามีชื่อเสียงได้มาจากรัฐบาลหรือประชาชนว่า ตนผิดหวังกับน.ส.พรรณิการ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่นการเมืองแบบไม่สนใจชีวิตของประชาชนเลย ปากก็บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ทำการเมืองใหม่สร้างสรรค์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง การที่ดารานักแสดงหลายคนออกมาช่วยรณรงค์ให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนก็เพื่อช่วยประเทศชาติและประชาชนให้ฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ เป็นการรับผิดชอบต่อสังคม แต่น.ส.พรรณิการ์กลับออกมากระแนะกระแหน ออกมาด้อยค่าคนทำความดี ตรรกะวิบัติอย่างยิ่ง ไม่สมควรที่จะเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนเลย ที่ผ่านมาเครือข่ายของคณะก้าวหน้าก็ออกมาโจมตีรัฐบาลเช้า กลางวัน เย็น บิดเบือนข้อมูลวัคซีน แต่สุดท้ายส.ส.พรรคก้าวไกลเองก็ยังวิ่งไปฉีดเป็นลำดับแรก ๆ

นายธนกร กล่าวอีกว่า ตนอยากรู้จริง ๆ ว่า จิตใจ น.ส.พรรณิการ์ทำด้วยอะไร นอกจากไม่เคยคิดช่วย ยังเล่นการเมืองบนชีวิตของประชาชน วันนี้ตนเชื่อว่าพี่น้องคนไทยทั้งประเทศได้เห็นธาตุแท้ของน.ส.พรรณิการ์และเครือข่ายแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และศิลปินดารานักแสดงทุกคนที่ออกมาฉีดวัคซีน พร้อมทั้งช่วยเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ออกมาฉีดวัคซีน 

ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย เชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทุ่มเทแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ให้ได้ ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก ตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายช่วยกัน เราจะผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สมาคมแม่บ้าน บก.ทท. สนับสนุนสิ่งของอุปโภคบริโภค มอบให้ชาวชุมชนรถไฟมักกะสันที่เดือดร้อนจากโควิด-19

พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ จึงได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน นั้น

กองบัญชาการกองทัพไทย โดย กรมกิจการพลเรือนทหาร จัดกำลังพล และจิตอาสาพระราชทาน นำสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภค จำนวน 600 ชุด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย นำไปแจกจ่ายให้กับชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน จำนวน 600 ครัวเรือน ณ จุดประสานงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)

กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงเคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน โดยจะใช้ทุกศักยภาพที่มีในการดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมทั้งจะดำเนินการช่วยเหลือในพื้นที่อื่น ๆ อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย


 

ชาร์จ แมเนจเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจ 5 ปี จับมือพันธมิตร สร้าง Ecosystem ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการใช้งานทั้งกลุ่มชาร์จตามบ้าน-ชาร์จที่จุดหมายปลายทาง-ชาร์จตามสถานี ปักหมุดเบอร์หนึ่งธุรกิจชาร์จรถ EV ครบวงจร 

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า “SHARGE มองว่าภายใน 5 ปี การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมเร่งหาทางลดการสร้างมลภาวะ ในประเทศไทยเองก็พบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาเรือนกระจกมาจากภาคการขนส่งถึง 27% ประเทศไทยจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดการตื่นตัวในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการขนส่งจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว (BEV) ที่จะเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์โดยตรง ซึ่งรถ BEV จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์สันดาปมาสู่รถ EV อย่างยั่งยืนนั่นคือการมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับเพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหัวชาร์จได้อย่างทั่วถึง 

SHARGE จึงได้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อเข้ามาสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศต่อการเติบโตของรถ EV ด้วยการเป็นผู้ให้บริการด้านการชาร์จรถ EV อย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จสำหรับติดตั้งตามที่อยู่อาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ รวมถึงการพัฒนาสถานีชาร์จ (EV Charging Station) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินว่าภายใน 5 ปี (ปี 2563-2568) SHARGE จะสามารถสร้างยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท จากการขายเครื่องชาร์จ 16,000 เครื่อง โดยเป้าหมายรายได้ดังกล่าวจะมาจากการขายอุปกรณ์ให้กับโครงการที่พักอาศัย 30% และ 70% มาจากยอดขายไฟฟ้า จากหัวชาร์จที่กระจายอยู่ 250 แห่ง ให้บริการหัวชาร์จในแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ตลอดเส้นทางกรุงเทพ หัวหิน พัทยา และเขาใหญ่ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้ SHARGE ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ให้บริการด้านธุรกิจการชาร์จรถ EV ในทุกรูปแบบมากกว่า 30% 

ภายใต้โรดแมป 5 ปี จะดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

• NIGHT : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐฯ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า

• DAY : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน  โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%

• ON THE GO : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด

สำหรับกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้ง 3 กลุ่มนั้น SHARGE ได้จับมือกับพันธมิตรที่หลากหลายกลุ่มธุรกิจเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงจัดหาโซลูชันการชาร์จ EV ให้กับพันธมิตร เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบเฉพาะเจาจง โดยเริ่มจากกลุ่ม NIGHT ที่ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย 5 ราย ในการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จให้กับโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ทำให้ปัจจุบันมีหัวชาร์จครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 25,000 ครัวเรือน ที่อยู่ในแผนที่จะมาใช้บริการติดตั้งอุปกรณ์จากชาร์จ ซึ่งจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จตามที่อยู่อาศัยนี้จะสนับสนุนให้ SHARGE ก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของผู้ให้บริการได้ 

ส่วนกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่ม DAY นั้น SHARGE ได้จับมือกับศูนย์การค้าและค่ายรถยนต์ชั้นนำกว่า 7 ราย (ศูนย์การค้า 5 แห่ง ค่ายรถยนต์ 2 แห่ง) ในการติดตั้งหัวชาร์จที่ศูนย์การค้าและโชว์รูม ซึ่งล่าสุดได้ทำการติดตั้งหัวชาร์จที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม และดูแลงานด้านระบบการให้บริการการชาร์จแบบครบวงจรให้กับโชว์รูมรถยนต์ปอร์เช่ โดยภายในปีนี้จะติดตั้งเพิ่มอีก 10 แห่งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหัวชาร์จแบบชาร์จเร็ว (Quick Charge) 8 แห่ง

ขณะที่กลุ่ม ON THE GO ได้ร่วมมือกับพันธมิตรคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการพัฒนาสถานีชาร์จและร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสถานีบริการน้ำมัน 1-2 รายรายในการปรับปรุงสถานีแบบเดิมให้กลายเป็นสถานีชาร์จรถ EV ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมสำหรับเปิดให้บริการ ครอบคลุมไปถึงหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, ชลบุรี, ระยอง, อยุธยาและภูเก็ต 

จุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือเราเป็นผู้ให้บริการ Total Solution ในด้าน ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM’ เชื่อมโยงผู้ใช้บริการทั้งรูปแบบ NIGHT, DAY, ON-THE-GO ด้วยแอปพลิเคชัน SHARGE ที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานอย่างครอบคลุมทุกพฤติกรรมการใช้งาน อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถ EV ในการค้นหาและจองสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั้งของชาร์จ และเครือข่ายพันธมิตรในแหล่งไลฟ์สไตล์ทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชันได้ 

“อย่างไรก็ดีเป้าหมายการเติบโตยอดขายของ SHARGE นั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่คาดว่าจะมีการใช้รถ EV รวมทุกประเภทในปี 2568 ที่ 1,055,000 คัน และชาร์จได้คาดการณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะสนับสนุนให้ตลาดอุปกรณ์ชาร์จรถ EV ขยายไปสู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทในเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ มองว่าการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการใช้รถ EV เป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้” นายพีระภัทร กล่าว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมว.พม. เปิดกิจกรรม "เรามีเรา" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ปล่อยขบวนรถ ลงพื้นที่ 8 เขต กทม. ช่วยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19

วันนี้ 19 พฤษจิกายน 2564 ที่กระทรวง พม. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. เพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเปราะบางในชุมชนจำนวน 8 พื้นที่ใน 8 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นายจุติ กล่าวว่า วันนี้กระทรวง พม. เปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. ลงไปยังชุมชนในหลายพื้นที่ เพื่อนำถุงยังชีพ น้ำดื่ม และเจลแอลกอฮอล์ ไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยการลงพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขตในกรุงเทพฯ ซึ่งวันนี้ ขบวนรถ พม. ได้ลงพื้นที่นำร่อง 8 เขต ประกอบด้วย

1.) ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร เขตราชเทวี

2.) อาคารเอนกประสงค์ วัดประชาระบือธรรม ถนนพระราม 5 เขตดุสิต

3.) หมู่บ้านเอื้ออาทร ศูนย์ สนง. ออมทรัพย์มั่นคง ถ.รามอินทรา 71 ซ.คู้บอน 27 แยก 37 เขตบางเขน

4.) โรงเรียนผู้สูงอายุแฟลต 64 ซ.ประชาสงเคราะห์ 19 เขตดินแดง

5.) ที่ทำการชุมชนโรงปูน เขตห้วยขวาง

6.) มัสยิดบางมะเขือ ซ.ปรีดี 4 สุขุมวิท 71 เขตวัฒนา

7.) ศูนย์ประสานงาน ชุมชนหมู่บ้านพลับพลา 30ไร่ ซ.รามคำแหง 21 เขตวังทองหลาง และ

8.) วัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขตบางแค

นายจุติ กล่าวด้วยว่า สำหรับถุงยังชีพที่ประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและชาวชุมชน กระทรวง พม. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายที่ได้ร่วมมือร่วมใจบริจาคสิ่งของจำนวนมาก รวมทั้งเงินบริจาค ได้แก่  

1.) Mr. Tatsuya Nozaki ประธาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด

2.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

3.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

4.) สถาบันอนุสรีรวมใจให้กันและมูลนิธิพุทธรังษี

5.) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 62

6.) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 63

7.) บริษัท เอ - พลัส ชัพพลาย จำกัด 8.บริษัท ชาญกิจเทรดดิ้ง จำกัด

9.) เอ็มบีเค กรุ๊ป และ

10.) โลตัส

นายจุติ กล่าวอีกว่า ตนขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันในวันนี้ ในนามของรัฐบาลและในนามของตัวแทนประชาชนคนไทยที่วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนไทยไม่ทิ้งกัน เรายังจะต้องต่อสู้กับโควิด-19 ไปอีกสักพัก เพื่อเอาชนะมันไปด้วยกันทั้งประเทศให้ได้ สำหรับของที่มาบริจาคทุกบาททุกสตางค์หรือของทุกชิ้นที่ทุกคนเสียสละความสุขส่วนตัวมามอบให้กับคนที่ไม่มี ให้กับผู้ที่มีความอยากลำบากมากกว่า นี่เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญและน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เราจะนำสิ่งของที่ทุกท่านบริจาคมาทุกชิ้นไปมอบให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง

ขอนแก่น – พล.ร.3 โดย ร.8 แสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทหารของหน่วย ที่สามารถผ่านการทดสอบ ผ่านเข้าศึกษา ณ โรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) ได้สำเร็จ

ที่ค่ายสีหราชเดโชไชย ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.) ประกาศการรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็น นักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปีการศึกษา 2564 (นนส.ทบ.) ประจำปี 2564 นั้น มีกำลังพลของหน่วยกรมทหารราบที่ 8 ได้เข้ารับการทดสอบขั้นที่ 2 (ภาควิชาการ) จำนวน 4 นาย ที่สามารถผ่านการทดสอบผ่านเข้าศึกษา ณโรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) ค่ายโยธินศึกษามหามงกุฏ จ.ประจวบคีรีขันธ์  


ซึ่งก่อนเดินทางนั้นทางด้านกองพลทหารราบที่ 3 โดย กรมทหารราบที่ 8  พันเอก ณรงค์ วิชญาณวรวุฒิ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8(ผบ.ร.8) ได้แสดงความยินดีพร้อมทั้งได้มอบขวัญและกำลังใจให้กับน้อง ๆ ทหารของหน่วย จำนวน 4 นาย ที่สามารถผ่านการทดสอบ ผ่านเข้าศึกษา ณโรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) และกล่าวให้โอวาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพล โดยได้เน้นย้ำการใช้ความรู้ความสามารถที่หน่วย ไปปรับใช้ในชีวิตการเป็นนักเรียนให้เกิดประโยชน์ การปฏิบัติตัวในการเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก และตั้งใจศึกษาเรียนรู้ ให้มีมุ่งมั่นพยายามศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับการศึกษานำมาต่อยอดความรู้สู่การเป็นกำลังพลหลักในการพัฒนาหน่วยทหารในกองทัพบก สร้างความภาคภูมิ ให้ตนเองและครอบครัว เป็นแบบอย่างความสำเร็จในการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกและบรรจุ เป็นนายทหารประทวนสังกัดกองทัพบกของหน่วยต่าง ๆ รวมถึงการรับราชการทหารซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคง ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว ในอนาคตต่อไป


ภาพ/ข่าว  ขอบคุณภาพจาก ร.8 / ไทบ้าน  นิวส์ (พรพิพัฒน์  เพ็ชรสังหาร)
 

กาฬสินธุ์ – ส่งทีมนักรบชุดขาว เสริมทัพโรงพยาบาลบุษราคัมกรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด

โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ส่งทีมนักรบชุดขาวบุคลากรแพทย์ พยาบาล เข้าเสริมทัพสนับสนุนการปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด-19 ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย  รวมมีผู้ป่วยสะสม 100 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 68 ราย
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณหน้าอาคารอุบัติเหตุฉุกเฉินหลังเก่า โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นายเลิศบุศย์ กองทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกันส่งทีมแพทย์ พยาบาล  นักรบชุดขาวโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด-19


ทั้งนี้ นายเลิศบุศย์ กองทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ ได้เข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมมอบช่อดอกไม้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล  นักรบชุดขาวโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ นำโดยมีนายแพทย์ณัฐพล  สัตย์ซื่อ นายแพทย์ชำนาญการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เป็นหัวหน้าทีม ในครั้งนี้


นายแพทย์ณัฐพล  สัตย์ซื่อ กล่าวว่า ทีมบุคลากรที่เดินทางไปสนับสนุนการปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร ช่วยภัยโควิด-19 ครั้งนี้ มีทั้งหมด 6 คน โดยมีทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทุกคนต่างเต็มใจและพร้อมที่จะเดินทางไปสนับสนุน การทำงาน เพื่อร่วมคลี่คลายสถานการณ์โรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ให้มีสถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ว โดยยืนยันว่าจะนำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาและประสบการณ์ที่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ไปร่วมกับทุกหน่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร อย่างเต็มความสามารถต่อไป


ด้านนพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า บุคลากรของโรงพยาบาล รวมทั้งชาวกาฬสินธุ์จะเป็นกำลังใจ และขอให้ทุกคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ได้มีกำลังใจ ซึ่งการที่เราเข้ามาอยู่ในหน่วยงานสาธารณสุข เราจะต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ขอให้กำลังใจผู้ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ทุกคนทั่วประเทศ เราจะสู้ไปพร้อมกันและเราจะชนะไปพร้อมกัน ทีมกาฬสินธุ์ทุกคนมีขวัญกำลังใจ และมีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มที่


ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ล่าสุดศูนย์อำนวยการต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จ.กาฬสินธุ์รายงานสถานการณ์พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย  โดยผู้ป่วยเดิม 99 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 100 ราย หายป่วยวันนี้ 2 ราย หายป่วยสะสม 68 ราย ยังคงรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 31 ราย และ เสียชีวิต 1 ราย โดยทางจังหวัดยังคงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกท่านได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 4 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ให้กักตัวในที่พำนัก 14 วัน หรือตามระยะเวลาพำนักที่น้อยกว่า และให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ (ผอ.รพ.สต./กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน) หรือ อสม.

นครพนม - ผบ.ร.3 พัน.3 ส่งมอบน้ำใจเพื่อเป็นกำลังใจให้นักรบชุดขาว – อัศวินเสื้อกาวน์ เป็นชุดป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับ สสอ.เมือง และโรงพยาบาลจังหวัดนครพนมฟรี !!

ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากวิกฤตไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สะท้อนถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของไทยต้องรับมือกับภาระที่ยิ่งใหญ่กับสถานการณ์ระบาดเพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ โดยต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจตรวจรักษา เฝ้าระวัง ตลอดจนควบคุมการระบาดของโรคให้ส่งผลกระทบกับคนไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความเสียสละ ความอดทนของคุณหมอ พยาบาล 


ในวันนี้นั้น เพื่อเป็นการทำงานอย่างอุทิศตนอย่างหนักของแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่เราได้เห็นได้รับรู้ทุกวัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาพี่น้องประชาชนชาวไทยให้ดีที่สุด ทางด้านกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 นำทีมโดย พันโท ศรณณัฐ  นวลมณี  ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 (ผบ.ร.3 พัน.3) ได้นำนายทหารฝ่ายอำนวยการ เข้ามอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในการตรวจคัดกรองหาเชื้อ Covid-19 อาทิ ชุด PPE  หน้ากาก N95 ถุงมือยางทางการแพทย์  Face shield  เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มอบให้กับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม  (สสอ.เมือง จ.นครพนม) และโรงพยาบาลนครพนม  พร้อมทั้งมอบอาหารปรุงสุกและ เครื่องดื่ม ให้บุคลากรทางการแพทย์  ผู้ซึ่งเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤต Covid-19 อย่างปลอดภัย 
การกระทำครั้งนี้เพื่อส่งมอบน้ำใจเพื่อเป็นกำลังใจให้บุคคลากรทางการแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่อุตส่าห์ทำงานหนักตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงในอนาคต ให้ฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ และกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 พร้อมยืนเคียงข้างในทุกโอกาส


ภาพ/ข่าว  ขอบพระคุณภาพจาก ร.3 พัน.3 / ไทบ้าน  นิวส์ (พรพิพัฒน์  เพ็ชรสังหาร)
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top