Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

"เสรีพิศุทธ์" ซัด "เสกสกล-สนธิยา" ไม่มีความรู้ โร่แจ้งความ "ฮาร์ท สุทธิพงศ์" กับคนที่ไม่ใช่ตำรวจ พร้อมชวน ปชช.ฉีดวัคซีนลดการระบาด ซัด "ประยุทธ์" ใช้เงินฟุ่มเฟือย บำเรอทหาร ทำปชช.เดือดร้อน จ่อ ตรวจสอบเงินกู้ 7 แสนล้าน พร้อมเดินหน้าสอบบ้านพักบิ๊กตู่

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือนายสนธิยา สวัสดี ที่ปรึกษานายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท นักร้องชื่อดังว่า สิ่งที่นายสุทธิพงศ์พูดถึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เมื่อเรามาบริหารประเทศหากทำดีเขาก็ชม หากไม่ดีเขาก็ตำหนิ เราก็รับคำตำหนิมาแก้ไขไม่ใช่ไปดำเนินคดีกับเขา จากการที่ได้ดูคลิปพบว่านายเสกสกลและนายสนธิยาไม่ได้มีความรู้ เนื่องจากเบื้องต้นได้มีการบอกว่าถ้านายสุทธิพงศ์ยอมรับและมาพูดคุยกันจะถอนแจ้งความให้ แต่ในการแจ้งความมาตรา 112 ไม่สามารถถอนแจ้งความได้ ซึ่งข้อความของนายสุทธิพงศ์ไม่ได้มีข้อความพูดถึงพระมหากษัตริย์ แต่ไปตีความเอาเองและไปแจ้งความดำเนินคดีใส่ความคนอื่น ตนได้โทรไปถามผู้การ ปท.ว่า นายสนธิยาได้มาแจ้งความหรือไม่ ผู้การตรวจสอบและบอกว่ามายื่นหนังสือให้เด็กที่เดินไปมาด้านล่าง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ นายสนธิยาไปยื่นกับใครก็ไม่รู้ เหนื่อยหน่ายที่รัฐบาลใช้คนพวกนี้มาเป็นเครื่องมือ ใช้แต่คนไม่มีความรู้ หากไม่แก้ไขก็อยู่ไม่ได้ 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีน ซึ่งจากการติดตามพบว่าประชาชนยังคงเกิดความคลาแคลงใจว่าจะลงทะเบียนดีหรือไม่ จะฉีดวัคซีนดีหรือไม่ ฉีดแล้วจะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อปัจจุบันมี 110,000 กว่าคน และเพิ่มขึ้นวันละเกือบ 3,000 คน และยอดผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนี้ 600 กว่าคนแล้ว โดยเฉพาะในเรือนจำทั่วประเทศยอดผู้ติดเชื้อเป็น 10,000 คนแล้ว หากปล่อยคนเหล่านี้ออกมาก็จะมาระบาดมากขึ้นอีก ตนคิดว่าที่ทุกคนลังเลเพราะขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล ไม่ไว้วางใจจึงไม่กล้าไปลงทะเบียน ตนขอให้ประชาชนรีบลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีนกัน ซึ่งรัฐบาลกำหนดไว้ว่าบุคคลที่อายุ 60 ปีขึ้นไปฉีดแอสตราเซเนกา ส่วนบุคคลที่อายุน้อยว่า 60 ปีจะฉีดซิโนแวก ส่วนตนฉีดแอสตราเซเนกาตั้งแต่เดือนที่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้รีบลงทะเบียนฉีดวัคซีนโรคจะได้ไม่ระบาดเพิ่มมากกว่านี้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อวานได้ดูคลิปที่จ.ภูเก็ต เห็นคนต่อว่าทางจังหวัดที่บอกว่าถ้าจะเข้าไปจ.ภูเก็ต จะต้องตรวจคัดกรองโควิด-19 และต้องเสียค่ารักษา 450 บาท เนื่องจากเป็นนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดได้ออกมาอธิบายว่า สาเหตุที่ต้องเก็บเงินเพราะจ้างบริษัทเอกชนมาตรวจโควิด-19 แทนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่พอ และเงินหมดแล้ว ตนฟังแล้วก็รับไม่ค่อยได้กับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบอกว่างบประมาณหมดแล้วในการที่จะตรวจโควิดให้ประชาชน แล้วเงินไปไหน รัฐบาลกู้มาเป็นล้านๆ เอาไปทำประชานิยมหมด ไม่ว่าจะโครงการไทยช่วยไทย โครงการชิมช้อปใช้ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น 

"ในยามนี้เราต้องประหยัด เราไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย ยังต้องกู้เขาทุกปี ก็ยังถลุงสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะงบประมาณของทหาร เป็นไปได้อย่างไรที่งบประมาณของกองทัพมากกว่างบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอื่น ๆ จะไปรบกับใคร เมื่อวานคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติงบ 387 ล้านบาทให้กองทัพอีกแล้ว เอาไปทำอะไร บอกว่าจะเอาไปช่วยตรวจโควิด แล้วคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงทำไมปล่อยให้ขาดแคลน งบการตรวจโควิดเป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุขต้องให้เขาเต็มที่ มันไม่ถูกต้อง เอางบประมาณต่าง ๆ ไปเป็นงบกลางมาก ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ใช้งบฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะบำรุงบำเรอความสุขทหารมากเหลือเกินตลอด 7 ปีที่ผ่านมาจนประชาชนเดือดร้อนไปกันหมด เพราะฉะนั้นที่จะตรวจโรคระบาดหรือโควิดต่าง ๆ ต้องบริการประชาชน” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ให้เปิดดูรัฐธรรมนูญมาตรา 47 ระบุไว้ว่า บุคคลย่อมได้รับสิทธิในการป้องกันและรักษาโรคระบาดติดต่อจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โควิดเป็นโรคระบาดหรือไม่ รัฐต้องดูแลป้องกันและรักษาให้อย่างเต็มที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น จากกรณีที่จ.ภูเก็ตที่มีการเก็บเงินค่าตรวจโควิด-19 ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากมีเรื่องเกี่ยวกับโรคระบาดและรัฐบาลยังเก็บเงินประชาชน ให้มีหนังสือร้องทุกข์มาที่ตน ตนจะนำเรื่องเข้าบรรจุเป็นวาระเพื่อสอบสวนต่อไปว่าทำไมรัฐบาลไม่ดำเนินการตามกฎหมาย

เมื่อถามถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขบอกว่าสามารถวอล์กอินไปฉีดวัคซีนได้ แต่เมื่อวานนี้พล.อ.ประยุทธ์มีการเบรกไม่ให้มีการวอล์กอิน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่นายอนุทินจัดการ คนเป็นผู้นำต้องไว้ใจให้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง แต่จะไว้ใจได้หรือไม่อยู่ที่คนว่าตั้งใครไป หากตั้งเพราะการเมือง คนนี้อยากอยู่กระทรวงไหนก็ยอม เพราะต้องการเป็นนายกฯ ต่อก็จะไม่ประสบความสำเร็จ 

เมื่อถามว่าคิดว่างบกองทัพควรจะตัดออกหรือไม่หากเข้าสู่สภาฯ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนเพิ่งได้รับเอกสารงบประมาณที่รัฐบาลเสนอมา แต่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อศึกษาแล้วจะมอบหมายหน้าที่ให้สมาชิกพรรคต่อไปว่าจะอภิปรายกระทรวงไหน 

เมื่อถามว่างบสำหรับซื้อยุทโธปกรณ์ยังมีอยู่จะจัดการเป็นพิเศษหรือไม่ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าทุกพรรคโดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านไม่ยอมเด็ดขาด การบริการหน่วยงานต่าง ๆ มีอยู่ 2 เรื่อง คือบริหารคนกับบริหารเงิน งบประมาณของประเทศต้องใช้ไปที่คนเป็นหลัก เพราะประเทศจะพัฒนาได้ก็ด้วยคนที่มีศักยภาพ เพราะฉะนั้นงบประมาณต่าง ๆ จะต้องเอาไปลงที่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ไม่ใช่ไปลงที่กองทัพ ซึ่งต้องคุยกันในสภาต่อไป 

เมื่อถามว่ามีอะไรฝากถึงกองทัพหรือไม่ ว่าเหตุใดถึงยังเสนอเรื่องงบในการซื้อยุทโธปกรณ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้คงแก้อะไรไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์เป็น รมว.กลาโหม ก็ต้องเอาทหารไว้ ฉะนั้นงบประมาณต่าง ๆ ก็จะลงไปที่ทหารซึ่งไม่มีความจำเป็น ตนก็พยายามจะตรวจสอบการจัดทำงบประมาณ ของกองทัพ ตนรู้ดีว่าทหารทุจริตโกงกินอย่างไร รอให้มีโอกาส ถ้าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงให้เอาตนไปเป็นรมว.กลาโหมแล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่ใช่ภายใต้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 

เมื่อถามว่าจะตรวจสอบเงินกู้ 7 แสนล้านอย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่าเมื่อเงินที่กู้มาเอาไปทำอะไรบ้าง หากไม่ชอบมาพากล รัฐบาลทำให้เสียหายอีก ตนก็จะนำมาเป็นวาระ วอนรัฐบาลอย่าทำให้มีปัญหา บริหารงานอย่างตรงไปตรงมา เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 

เมื่อถามถึงกรณีที่จะมีการตรวจสอบบ้านพักพล.อ.ประยุทธ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จะเข้าไปตรวจสอบแน่นอนเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น ตนทำงานแบบตำรวจก็ต้องลงไปดูที่เกิดเหตุ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้ทำหนังสือ

"จุรินทร์" ลงพื้นที่ดินแดง เปิดโครงการ “เตียงปันสุข” มอบถุงยังชีพ ช่วยผู้ประสบภัยโควิด และเชิญชวนปชช.ลงทะเบียนฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ศูนย์ลานกีฬาชุมชนห้วยขวาง เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค นายธนา ชีรวินิจ อดีต ส.ส.กม. เขตดินแดน ห้วยขวาง พรรคประชาธิปัตย์

ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งเป็นเขตหนึ่งที่มีผู้ติดเชื้อโควิดสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ ในระยะเวลาที่ผ่านมา พร้อมเปิดโครงการ “เตียงปันสุข” ที่มีนายสิทธิวัฒน์ ชีรวินิจ เป็นผู้บริหารโครงการ และได้มีการมอบเตียงปันสุขไปแล้ว 50 กว่าเตียงทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมอบถุงยังชีพให้กับผู้ที่ต้องกักตัว และผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

นายจุรินทร์ ยังได้เชิญชวนประชาชน ลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ซึ่งตนก็เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว โดยไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ และรอเข้ารับวัคซีน เข็มที่ 2 ปลายเดือนนี้ และมั่นใจว่า จะไม่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น โดยพรรคได้จัดทีมยุวประชาธิปัตย์ มาอาสาช่วยลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีน ผ่านแอพพลิเคชั่น และไลน์ "หมอพร้อม" ให้แก่ประชาชน ผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถลงทะเบียนเองได้ เพื่อรอเข้ารับการฉีดวัคซีน

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดรถโมบายล์ พาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน ยังได้นำสินค้าราคาถูก ที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภค ทั้งอาหารสด ของชำ ผักและผลไม้ มาจำหน่ายให้กับประชาชนในราคาถูกอีกด้วย 

กองทัพเรือ จัดงานวัน “อาภากร” ประจำปี 2564

วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย เนื่องในวันอาภากร ณ พระอนุสาวรีย์ฯ หน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน ถนนอิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร โดยมี นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ราชสกุลอาภากร ซึ่งภายหลังพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ กองทัพเรือ และราชสกุลอาภากร ได้จัดให้มีพิธีทักษิณานุประทานอุทิศถวาย ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี

พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เจ้าจอมมารดาโหมด ในปีพุทธศักราช 2439 เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้มีพระวิริยะอุตสาหะจนผลการศึกษาปรากฏอยู่ในขั้นดีเยี่ยม และมีพระจริยวัตรที่งดงามเป็นที่รักใคร่ของ ครู อาจารย์ เป็นที่ยอมรับนับถือของชาวอังกฤษที่ได้ศึกษาอยู่ในคราวเดียวกัน เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาเป็นนายทหารสัญญาบัตร ในราชนาวีอังกฤษแล้ว ได้เสด็จกลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ ในปีพุทธศักราช 2443 รับพระราชทานยศเป็น “นายเรือโทผู้บังคับการ” ในตำแหน่ง นายธงผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ปีพุทธศักราช 2448 ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ทหารเรือไทยมีความรู้ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และเป็นผู้บังคับบัญชาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ

ในปีต่อมาทรงมีพระดำริ ในการจัดตั้งโรงเรียนนายช่างกล เพื่อรับผิดชอบเครื่องจักรในเรือ และในโรงงานบนบกแทนชาวต่างประเทศที่จ้างไว้ ในปีพุทธศักราช 2450 ทรงเป็นผู้บังคับการเรือหลวงมกุฎราชกุมาร นำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายช่างกล ไปฝึกภาคต่างประเทศ ได้ทรงนำเรือแวะที่สิงคโปร์และเปลี่ยนสีเรือมกุฎราชกุมาร จากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือ ตราบจนปัจจุบัน 

นอกจากจะคุณูปการอเนกอนันต์แก่กองทัพเรือแล้ว พระองค์ยังมีพระปรีชาสามารถในด้านการแพทย์แผนโบราณของไทย โดยในปีพุทธศักราช 2454 ขณะทรงออกจากราชการเป็นเวลา 6 ปีเศษ เพื่อทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างจริงจัง จนมีความรู้แตกฉาน ทรงเป็นหมอยาไทย รับรักษาประชาชนโดยทั่วไปด้วยน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี จนได้รับพระสมัญญานามว่า “หมอพร”
     
ในปีพุทธศักราช 2460 ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กลับเข้ารับราชการทหารเรืออีกครั้ง และในปีพุทธศักราช 2462 พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษให้ดำเนินการจัดซื้อเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ และทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือหลวงพระร่วง เดินท างจากประเทศอังกฤษกลับมายังประเทศไทย นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทยเดินเรือได้ไกล
ข้ามทวีป ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2465 พระองค์ได้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานที่ดินพื้นที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือ และหน่วยกำลังรบต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งมาจนถึงปัจจุบัน

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้กราบบังคมทูลออกจากราชการเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน พุทธศักราช 2466 เนื่องจากพระองค์ทรงมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรพระโรคภายในอยู่ด้วย โดยทรงประทับอยู่ทางใต้ของปากน้ำเมืองชุมพร ขณะที่พระองค์ประทับอยู่นี้ก็เกิดพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในวันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2466 สิริพระชนมายุ 43 พรรษา

ด้วยพระกรณียกิจตลอดระยะเวลาที่ทรงรับราชการทหารเรือ ส่งผลให้กองทัพเรือ มีความเจริญก้าวหน้า สามารถทำหน้าที่รั้วของชาติทางทะเลได้อย่างเข้มแข็งสืบต่อมา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง กองทัพเรือจึงได้ประกาศขนานพระนามเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และได้กำหนดให้วันที่
19 พฤษภาคมของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็น “วันอาภากร” โดยกำหนดจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระกรุณาคุณของพระองค์ท่านเป็นประจำทุกปี

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในปีนี้  จึงได้มีการปรับลดจำนวนผู้ร่วมงานและการเพิ่มมาตรการเว้นระยะห่าง จาก จากเดิมที่มีผู้ร่วมพิธีประกอบด้วย  หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆของกองทัพเรือ ราชสกุลอาภากร สมาคมภริยาทหารเรือ องค์กรภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เหลือเพียงในส่วนของ กองทัพเรือ โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ และ คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ผู้แทนราชสกุลอาภากร โดย หม่อมราชวงศ์ จิยากร อาภากร เสสะเวช ประธานกรรมการมูลนิธิ ราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และสมาคมภริยาทหารเรือ โดย นางจุฬารัตน์ ศรีวรขาร นายกสมาคมภริยาทหารเรือ ทั้งนี้ ยังคงไว้เฉพาะพิธีการสำคัญ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระกรุณาคุณ ตลอดจนถวายเป็นพระกุศลแด่ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  องค์บิดาของทหารเรือไทย ที่ทรงมีพระกรุณาคุณต่อกองทัพเรือเป็นอเนกอนันต์


กองประชาสัมพันธ์
สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ

เอกชนยื่นหนังสือถึง “บิ๊กตู่” ชง 5 ข้อแก้ปัญหาเหล็กแพง

นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมฯ เหล็ก เปิดเผยว่า ผู้แทนกลุ่ม 7 สมาคมฯ เหล็ก ได้ยื่นหนังสือเรื่องขอความอนุเคราะห์พิจารณาข้อเสนอแนวทางบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าเหล็ก ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเน้นย้ำข้อเสนอ 5 ข้อ คือ

1.) สร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน

2.) กลุ่มผู้ผลิตในประเทศจะรายงานข้อมูลการผลิต

3.) สนับสนุนให้ภาครัฐพิจารณาปรับเงินชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่าเค)

4.) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ และ

5.) เร่งนำเสนอ และผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมเหล็ก 4.0

เชื่อมั่นว่า หากนายกรัฐมนตรีสนับสนุน และมอบนโยบายตามข้อเสนอของ 7 สมาคมฯ เหล็กให้กับภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่การผลิตจะสามารถบรรเทาผลกระทบผู้ใช้สินค้าเหล็กได้

นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้สินค้าวัสดุก่อสร้างที่ใช้สินค้าเหล็กเป็นวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาสินค้าเหล็กเช่นกัน แต่เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการปรับราคาขึ้นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก และอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศยังมีส่วนช่วยชะลอการขึ้นราคาขายในประเทศ เนื่องจากราคาขายเป็นไปตามต้นทุนการผลิตที่สามารถจัดหาได้ ไม่ได้ปรับตามราคาซื้อขายตามราคาตลาดโลกทันที

"พิจารณ์" จัดหนัก งบลวงพรางกองทัพ ชี้ มีงบผูกพันซื้ออาวุธต้องจ่ายกว่า 2 หมื่นล้าน ถาม จะดีกว่าไหมถ้าจะมี รบ. ใหม่ ที่จัดงบประมาณเห็นหัวปชช.มากกว่านี้

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่กำลังจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาว่า งบประมาณจะลดลงเหลือ 3.1 ล้านล้านบาท หรือลดลง 5.7% จากปี 64 ซึ่ง 5 อันดับแรกของกระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุด พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือพูดได้ว่าการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์ ยังเป็นเหมือนเดิม แม้เราจะอยู่ท่ามกลางวิกฤติโควิด

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ได้เผยแพร่ภาพเปรียบเทียบถึงงบประมาณด้านสาธารณสุขว่าเพิ่มขึ้นและมากกว่ากลาโหม ทั้งยังพยายามอธิบายอีกว่า กลาโหมลดงบประมาณลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบ 63-65 ซึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างน่าละอาย เพราะมันเป็นการลวงว่าลด แต่ไม่ได้ลด หากย้อนกลับไปในปีงบ 63 งบกลาโหม 2.317 แสนล้าน ถูกตัดลดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งที่ 1 เพื่อการจัดทำ พ.ร.บ.โอนงบประมาณกลางปี โดยนำเงินจากหลายกระทรวงไปรวมกันเป็นงบกลางแก้โควิด กระทรวงกลาโหมสามารถลดงบประมาณได้ถึงเกือบ 2 หมื่นล้าน ทำให้สุดท้ายงบในปีนั้นลดลงมาเหลือ 2.137 แสนล้าน

ในครั้งนั้น กระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงที่ตัดลดงบได้มากที่สุด แสดงให้เห็นว่าแผนงานมีความสำคัญเร่งด่วนน้อย สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้และเบิกจ่ายไม่ทัน แต่พอมาปี 64 กระทรวงกลาโหมของบมากถึง 2.236 แสนล้าน ก่อนที่จะถูกตัดลดในชั้นกรรมาธิการ ทำให้คงเหลือได้รับงบประมาณ 2.145 แสนล้าน หรือเพิ่มขึ้น 1 พันล้านบาทจากปี 63 ดังนั้น จึงเป็นการแอบอ้างอย่างหน้าด้านว่า กลาโหมลดงบจากปี 63 ที่ 2.317 แสนล้าน เหลือ 2.145 แสนล้าน เพราะในความเป็นจริงคือ งบเพิ่มขึ้นในปี 64

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับใน ร่าง พ.ร.บ.งบ 65 แม้งบกลาโหมจะลดลง 5.24% แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าภาพรวมงบประมาณทั้งหมดที่ลด 5.66% อีกทั้งงบบุคคลกรของกลาโหมกลับเพิ่มขึ้น 1.7% แสดงให้เห็นว่า ถึงกองทัพอยากจะลดงบยังไงก็ลดไม่ลง ด้วยกำลังทหารที่มากเกินกว่าจะจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ ตามเอกสารงบประมาณเล่มขาวคาดแดงของกลาโหม ด้วยข้ออ้างด้านความมั่นคง จึงทำให้ไม่สามารถเห็นรายการอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบยอดงบประมาณในโครงการผูกพันข้ามปีของเอกสารงบประมาณปี 63-64-65 ทำให้เชื่อได้ว่า กองทัพเรือยังคงเดินหน้าจัดซื้อเรือดำน้ำต่อไป แม้ประเทศชาติจะอยู่ในวิกฤติงบประมาณ มิหนำซ้ำเมื่อส่องดูงบซื้ออาวุธแบบปีเดียว กองทัพบกตั้งงบเพิ่มขึ้น 9.23% และ กองทัพเรือเพิ่มขึ้นถึง 2.6 เท่า จากปี 64 ในส่วนของงบซื้อยุทโธปกรณ์ที่ผูกพันข้ามปี ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ ยังมีโครงการใหม่ที่ผูกพันงบตั้งแต่ปี 65-67 รวมมูลค่าโครงการตลอด 3 ปี อีก 9,073 ล้านบาท โดยเป็นปีงบ 65 จำนวน 882 ล้าน และ 933 ล้าน ตามลำดับ นอกจากนั้น ทั้ง 3 เหล่าทัพบวกกับกองบัญชาการกองทัพไทย ยังมีงบซื้อยุทโธปกรณ์ที่ผูกพันข้ามปี ค้างตั้งแต่ปี 60-69 อีก 70 โครงการ และเป็นงบที่ต้องจ่ายในปีงบ 65 กว่า 24,218 ล้าน 

“ผมเชื่อว่าการระบาดของโควิด-19 จะยังไม่จบจนกว่าเราจะได้วัคซีนครบจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จะดีกว่าไหมถ้าเราจะจัดลำดับความสำคัญใหม่ ไม่ซื้อเรือดำน้ำแต่นำงบไปเพิ่มให้กับงบบัตรทองที่ถูกตัดไป 1,800 ล้านบาท จะดีกว่าไหมถ้าเราจะยอมทนใช้อาวุธเก่าไปอีกสักปี เพื่อนำงบไปช่วยนักเรียนที่ต้องเลิกเรียนกลางคันเพราะพ่อแม่ตกงานผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งถูกตัดงบไป 432 ล้านบาท จะดีกว่าไหมถ้าเราจะไม่ซื้ออาวุธใหม่ที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศผู้ผลิตอาวุธ แต่นำเงินไปลงทุนอบรมทักษะใหม่ ๆ ให้คนที่ตกงานจากภาคท่องเที่ยว ให้พวกเขาหางานใหม่ได้ง่ายขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเราจะมีรัฐบาลใหม่ ที่จัดงบประมาณแบบเห็นหัวประชาชนมากกว่านี้” นายพิจารณ์ กล่าว

“จุรินทร์” แจงยิบ พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้าน นำไปใช้ในสามส่วน เตรียมพร้อมถก งบฯ 65 เชื่อไม่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ศูนย์ลานกีฬาชุมชนห้วยขวาง เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงรายละเอียดกระแสข่าวที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้เพิ่มติม วงเงิน 700,000 ล้านบาทว่า วงเงินดังกล่าว จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 30,000 ล้านบาทแรก จะใช้สำหรับแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม, การจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ และ 400,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชดเชยเยียวยาเพิ่มเติม และ 270,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นก็มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และรัฐบาลก็ต้องเข้าไปกำกับดูแลให้เป็นไปตามนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยทั้งในการแก้ปัญหาโควิด และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปในเวลาเดียวกัน กับการใช้งบประมาณประจำปี ซึ่งเป็นการไปเสริมกัน ส่วนว่าครม.เห็นชอบต่อ พ.ร.ก.ดังกล่าวแล้วหรือไม่นั้น ขอให้นายกรัฐมนตรี หรือโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจง

นายจุรินทร์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565 วาระแรก ในวันที่ 31 พ.ค.-2 มิ.ย.นี้ ว่า โดยมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ แม้ฝ่ายค้าน จะเตรียมการอภิปรายอย่างเข้มข้น เพราะฝ่ายค้าน มีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว และเมื่อมีการพิจารณางบประมาณ ฝ่ายค้านก็จะต้องตรวจสอบติดตามตามปกติ ซึ่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ก็จะมีหน้าที่ชี้แจงรายละเอียดงบประมาณของแต่ละกระทรวง โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา นายกฯ ก็ได้มีการกำชับให้แต่ละกระทรวงได้ลงลึกไปดูในรายละเอียด และทำหน้าที่ชี้แจงในส่วนงบประมาณของแต่ละกระทรวงโดยรัฐมนตรีเป็นผู้ทำหน้าที่หลัก ส่วนท่านนายกฯ ก็จะได้ชี้แจงในภาพรวม

เมื่อถามถึงความกังวลในการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ที่สภาฯขึ้นได้  รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประธานสภาฯ ทราบอยู่แล้ว และได้มีการสั่งการ เตรียมการมาโดยลำดับอยู่แล้ว ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกติกาที่ได้กำหนดไว้ ก็คิดว่ามีความปลอดภัยในระดับที่น่าจะมั่นใจได้ 

เมื่อถามว่าได้กำชับให้ ส.ส.ของพรรคทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าประชุมสภาฯ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องฉีดวัคซีน หรือมีใบรับรองผลการตรวจโควิด ซึ่งประธานสภาฯก็ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบแล้ว สำหรับผู้ติดตาม ส.ส. ผู้ช่วยรัฐมนตรีจะต้องฉีดวัคซีนอย่างไรนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ต้องลงทะเบียนหมอพร้อมให้เป็นไปตามคิว เพราะพรรคไม่มีนโยบายให้ใครไปลัดคิว และใช้สิทธิพิเศษอะไร

พล.อ.ประวิตร พอใจผลงาน ไม่มีพื้นที่ประกาศภัยแล้งปี 63/64 ประชุม กอนช. สั่ง กองทัพ ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ช่วยขับเคลื่อน 10 มาตรการ รับมือฤดูฝนปี 64 มุ่งช่วยเหลือ ปชช./เกษตรกร/อุตสาหกรรม เน้นสร้างการรับรู้ปชช.มากขึ้น ควบคู่ระวังโควิด-19 ขอให้ทุกคนปลอดภัย

เมื่อ 19 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ผอ.กอนช. ได้เป็นประธาน การประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับ ผวจ.ทั่วประเทศ ณ ห้องประชุม กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ สทนช. 

ที่ประชุมได้รับทราบ สถานการณ์แหล่งน้ำทั่วประเทศ ณ 11 พ.ค. 64 มีปริมาณน้ำทั้งประเทศ 38,620 ล้าน ลบ.ม. (47%) ปริมาณน้ำใช้การ 14,537 ล้าน ลบ.ม. และรับทราบ การขับเคลื่อน 10 มาตรการรับมือสถานการณ์ฤดูฝนปี 64 ซึ่งผ่าน ครม.แล้ว ได้แก่

1.) การคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และฝนน้อยกว่าค่าปกติ

2.) การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก

3.) ทบทวน,ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่-กลาง และเขื่อนระบายน้ำ

4.) ซ่อมแซม,ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ำ

5.) ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ

6.) ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา

7.) วางแผนเครื่องจักรเครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนพื้นที่น้อยกว่าค่าปกติ

8.) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ และปรับปรุงการส่งน้ำ และฝนน้อยกว่าค่าปกติ

9.) การสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ และ

10.) การติดตามประเมินผล  

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำทุกจังหวัด ที่ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จนกระทั่งไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้งเลย ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายให้ สทนช., กห.,มท., กษ., ทส., กทม. และทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นในการขับเคลื่อนทั้ง 10 มาตรการ เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้ ให้เกิดการเชื่อมโยงกันทั้ง 76 จังหวัดไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และปลอดภัยกัน ทุกคน

สุโขทัย - ส่งด้วยใจให้ทีมแพทย์ ทำอาหารเสริมทัพเจ้าหน้าที่ ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ด้วยกัน

นายนิมิตร อาศัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย จ.สุโขทัยพร้อมคณะผู้บริหารครู อาจารย์ และบุคลากรในสถานศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย ร่วมกันขอมีส่วนสนับสนุนให้กับเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ในสถานการณ์โควิด-19 วันละ 200 กล่อง ตั้งแต่วันที่ 7-31 พฤษภาคมนี้ และเดินทางไปร่วมกันมอบยัง รพ.สวรรคโลก รพ.ศรีสังวร รพ.สุโขทัย พร้อมร่วมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์  ให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ด้วยกัน 


ซึ่งโครงการนี้ สืบเนื่องจาก "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่รับผิดชอบดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำกับงานด้านอาชีวะเกษตร ได้เล็งเห็นถึงขีดความสามารถ ความพร้อมของคณะผู้บริหาร ครู บุคลากร และนักศึกษาของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย จ.สุโขทัย ซึ่งก็มีความสามารถในการผลิตพืชผักทางการเกษตรฯ เลี้ยงสัตว์ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป และผลผลิตอื่น ๆ มากมาย และมีครูอาจารย์มีคุณภาพและมีฝีมือมากในเรื่องการผลิต และการสร้างอาชีพทางการเกษตร รวมถึงฝีมือในการปรุงและทำอาหาร ประกอบกับเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในระลอกใหม่นี้ส่งผลกระทบในสังคมไม่น้อย

ทางผู้บริหารวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย จ.สุโขทัย จึงได้ร่วมใจกันทำกิจกรรมดังกล่าวขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งในความห่วงใยประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และเป็นกำลังใจ แก่บุคลากรทางการเเพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ตรวจหา รักษา ดูแล ช่วยเหลือ และเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบผู้ติดเชื้อ COVID-19 และประชาชนที่เดือดร้อนในโรงพยาบาลของจังหวัดสุโขทัย


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย
 

โฆษก กมธ.ติดตามเงินกู้แก้ปัญหาโควิด19 หนุนรัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่ต้องปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารงบ ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพดีขึ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก.จำนวน 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูปัญหาโควิด-19 กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาโควิด-19 ว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินก้อนนี้มาใช้ ตนก็เห็นด้วย เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่ 3 มีผลกระทบไม่ใช่เฉพาะเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลกู้รอบแรกมาแล้ว 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู และด้านสาธารณสุข ตามที่ได้มีการติดตามเงินกู้ก้อนนี้ก็มีการเบิกจ่ายเกือบเต็มวงเงินกู้แล้ว

ดังนั้นหากจะต้องกู้มาอีก 7 แสนล้านบาท รัฐบาลจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลไกในการใช้เงิน ทั้งเรื่องของหน่วยงานที่จะควบคุมเงินกู้ การตรวจสอบ การเบิกจ่าย ที่จะต้องทำให้ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปถึงมือประชาชน และสามารถที่จะฟื้นฟู เยียวยาได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นการขับเคลื่อนการแก้ไขทางเศรษฐกิจก็จะไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังและกำหนดไว้ 

“ถ้ามีความจำเป็นก็ต้องกู้ แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ กลไกที่รัฐบาลจะต้องทำอย่างไรให้การใช้เงินกู้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาจากที่ตนเป็นกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินกู้ ต้องยอมรับว่าการใช้เงินยังล่าช้า เบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และยังไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชน มีหลายโครงการที่ทำแล้วไม่สำเร็จ และหลายโครงการที่จะต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เบิกจ่ายงบล่าช้าเนื่องจากความไม่ชัดเจนของโครงการ เเละที่สำคัญการใช้จ่ายงบเงินกู้ไม่เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลและพี่น้องประชาชนคาดหวังไว้" นายอัครเดช กล่าว

ศ.ดร.กนก เชื่อ รัฐคุมโควิด-19 บุกเรือนจำได้ เหตุเป็นพื้นที่ปิด ห่วงเด็ก ไร้วัคซีน จี้รัฐเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็ก แนะ ศธ.เพิ่มหลักสูตรใช้ชีวิตในยุคโควิด

ศ.ดร.กนก เชื่อ รัฐคุมโควิด-19 บุกเรือนจำได้ เหตุเป็นพื้นที่ปิด ห่วงเด็ก ไร้วัคซีน จี้รัฐเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็ก แนะ ศธ.เพิ่มหลักสูตรใช้ชีวิตในยุคโควิด เชื่อมระบบ ออนไลน์ ออนไซด์ และ ออนแฮนด์ ห่วง เวป ครูพร้อม ไม่พร้อมจริง เหตุขาดการบูรณาการ ย้ำต้องตั้ง War Room ในศธ. บริหารในภาวะวิกฤต วอน ระดมฉีดวัคซีน ให้ครู 4 แสนคน

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่พุ่งสูงมากกว่าหนึ่งหมื่นคนในเรือนจำทั่วประเทศว่า ภาครัฐน่าจะควบคุมได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิด การควบคุมสถานการณ์ทำได้ง่ายกว่าพื้นที่เปิด แต่ยังต้องตระหนักว่าการแพร่ระบาดยังเป็นวิกฤต ซึ่งสิ่งที่เป็นห่วงคือการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทำให้ติดเชื้อเร็ว รุนแรง การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่สำคัญคือ เรายังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก จึงขอฝากไปยังรัฐบาลว่า ต้องเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็กได้แล้ว เพราะกว่าจะนำเข้าได้จริงต้องใช้เวลา 

“ทางกระทรวงศึกษาธิการ ตัดสินใจเลื่อนเปิดเทอมไปเป็นวันที่ 14 มิถุนายน จากเดิมกำหนดวันที่ 1 มิถุนายน ผมก็คิดว่าจะทำให้มีเวลาเตรียมเรื่องการเรียนการสอนมากขึ้น แต่ถ้าพูดตรง ๆ มีสองเรื่องที่ผมเห็นว่าน่าห่วงคือ เรื่องการเรียนรู้ของนักเรียนที่ต้องไม่เสียโอกาสจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการใช้ชีวิตของนักเรียน ทั้งอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียน ควรมีการสอนเพิ่มเพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักว่าควรใช้ชีวิตในภาวะวิกฤตเช่นนี้อย่างไร ซี่งในขณะนี้ถือว่ารมว.ศึกษาธิการ กำหนดนโยบายภาพรวมดีแล้ว คือไม่ทำแบบตัดเสื้อโหล ให้โรงเรียนแต่ละแห่งมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่ง แต่มีสิ่งที่น่าห่วงคือเวปครูพร้อมที่กระทรวงศึกษาธิการเพิ่งเปิดตัวให้บริการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะกลายเป็นเวปครูไม่พร้อม เพราะความสามารถของเวปที่จะรองรับคนจำนวนมากเข้าไปดู อาจเกิดปัญหาได้ จึงอยากให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย” ศ.ดร.กนก กล่าว 

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุด้วยว่า ตัวเลขนักเรียนที่ สพฐ.ดูแลเฉพาะชั้นประถมและอนุบาลมีมากถึง 6.5 ล้านคน ถ้าพ่อแม่ครึ่งหนึ่งเฮละโลเข้าไปดูในเวปครูพร้อม จะพร้อมจริงหรือไม่ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ และอย่าเข้าใจว่าเวปครูพร้อมคือคำตอบของทุกอย่าง เพราะเป็นเพียงการให้ข้อมูล ไม่ใช่การสอน ต้องมีระบบอื่นเข้าไปประกอบ เช่น ระบบออนไลน์ ออนไซด์ ออนแฮนด์ ระบบเหล่านี้สัมพันธ์กับเวปครูพร้อมหรือไม่ หรือว่าไปคนละทาง ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะเป็นปัญหา สร้างความสับสนได้ รมว.กระทรวงศึกษาธิการต้องบอกกับข้าราชการให้ชัด ถึงการบริหารในภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้เกิดวิกฤตด้านการเรียนการสอน จะทำงานแบบเดิมไม่ได้ เป็นพื้นฐานที่รัฐมนตรีต้องเปลี่ยนแนวคิด การกระทำของข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้ายังทำแบบเดิมทุกอย่างจะไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ 

“ส่วนเรื่องระบบออนไลน์ต้องปรับใหม่ โดยครูต้องอัดคลิปในทุกชั่วโมงที่สอนประมาณครึ่งชั่วโมง นำคลิปไปแขวนที่เวปครูพร้อม ในรายวิชา ซึ่งนักเรียนสามารถเปิดดูได้ เท่ากับนักเรียนได้ฟังบรรยายก่อนเข้าห้องเรียน จากนั้นเชื่อมสู่ออนไซด์ คือ เมื่อนักเรียนมาโรงเรียนก็สามารถถามครูที่ห้องเรียนในสิ่งที่สงสัยได้ ขณะที่ครูสามารถตั้งคำถามกับนักเรียน นำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันได้ ดังนั้นสองระบบนี้จึงต้องออกแบบคู่ขนานกัน แต่น่าเสียดายที่กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ทำตรงนี้ ส่วนออนแฮนด์นั้นใช้กับกรณีเด็กที่ด้อยโอกาส โดยครูต้องไปเยี่ยมที่บ้าน เอาเอกสารไปแจก แต่กระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร และที่อยากฝากรัฐบาลคือ การระดมฉีดวัคซีนให้ครูสี่แสนคน ก่อนเปิดเทอม และขอฝากถึงรมว.ตรีนุช ให้ตั้ง War Room ในกระทรวงศึกษาธิการได้แล้ว เพื่อติดตามผลการเรียนการสอนทุกวัน จะได้สั่งการแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จึงจะเป็นการบริหารในภาวะวิกฤต” ศ.ดร.กนก กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top