Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

ครม. เคาะ 3 มาตรการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศ กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจสู้ภัยโควิด-19

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี โดยเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้การลงทุนของประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ครอบคลุมการลงทุนจากทุกแหล่งเงิน และสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 
  
1.) การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 คาดว่าจะมีโครงการตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ.2563-2570 จำนวน 10 โครงการ โดยประมาณการมูลค่ารวม 260,024.08 ล้านบาท และประมาณการวงเงินลงทุนที่คาดว่าจะลงทุนในปี 2565 รวม 52,320.63 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562

2.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ประมาณการแผนการใช้จ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย สำหรับการลงทุนโครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก และโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอนบน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออก รวมจำนวนทั้งสิ้น 9,983.98 ล้านบาท 

3.) การใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสิ้น 8 กระทรวง 11 หน่วยรับงบประมาณ 109 รายการ วงเงินรวม 91,705.5119 ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วว่าเป็นรายการลงทุนที่มีลักษณะการลงทุนเพื่อการวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิตและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมและสามารถใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

“ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรียังมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเร่งรัดดำเนินการตามแผนการลงทุนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) และแผนการลงทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พร้อมให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ พิจารณาโครงการรายจ่ายลงทุนเพื่อใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งแนวทางดังกล่าวยึดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงินขาดดุลของงบประมาณกำหนดไว้ จำนวน 700,000 ล้านบาท” นายอนุชา ฯ กล่าว

รัฐบาลยอมเฉือนรายได้ 12,015 ล. เว้นภาษีช่วยโควิด

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล สำหรับการนำเข้าและบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64-31 มี.ค. 65 โดยการขยายระยะเวลาดังกล่าว คาดว่าจะทำให้สูญเสียรายได้จากภาษีประมาณ 15 ล้านบาท แต่จะมีประโยชน์คุ้มค่าในการช่วยสนับสนุนการรักษา การวินิจฉัย และการป้องกันโควิด-19 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ  

ขณะเดียวกัน ครม.ยังเห็นชอบร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีอากรและการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ เพื่อสนับสนุนการลดภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยประมาณการการสูญเสียรายได้จากมาตรการนี้เป็นเงินจำนวน 12,000 ล้านบาท โดยมีประโยชน์คือผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีภาระทางการเงินลดลงและมีโอกาสที่จะซื้อทรัพย์สินคืนเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปในราคาที่ไม่สูงเกินจริง

กระทรวงแรงงาน ประกันสังคม เร่งอัดเม็ดเงิน 30,000 หมื่นล้านบาท เสริมสภาพคล่องการจ้างงานในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ให้สามารถรักษาการจ้างงาน ให้ผู้ประกันตนมีงานทำต่อเนื่องและอยู่ในระบบประกันสังคม โดยขณะนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้มีโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2563-2564) ในวงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท เพื่อให้สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม สามารถขอสินเชื่อกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการกู้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการเสริมสภาพคล่องสถานประกอบการ และเพิ่ม ผลผลิตแรงงาน ทั้งนี้ สถานประกอบการสามารถขอรับสินเชื่อได้ไม่เกิน 15 ล้านบาท ต่อสถานประกอบการ สำหรับระยะที่ 2 นี้ 

สถานประกอบการที่เคยเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ.2561-2563 มาแล้ว หากประสงค์จะยื่นขอสินเชื่อเพิ่มจากธนาคารเดิม วงเงินที่เคยได้รับสินเชื่อ เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อตามโครงการนี้ต้องไม่เกิน 15 ล้านบาท ต่อสถานประกอบการ โดยอายุสินเชื่อตามโครงการนี้มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะ 2 นั้น สถานประกอบการที่สนใจกู้ และมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี คงที่ 3 ปี และในกรณีสถานประกอบการที่สนใจกู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือใช้บุคคลค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปี และคงที่ 3 ปี สำหรับข้อกำหนดของสถานประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน และต้องรักษาจำนวนผู้ประกันตนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนผู้ประกันตน ณ วันที่ได้รับสินเชื่อตลอดอายุโครงการ 3 ปี ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบให้มีการเลิกจ้างลูกจ้างในสถานประกอบการ
          
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 และสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา เพื่อขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นสถานประกอบการนำไปติดต่อขอยื่นกู้ กับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ ปัจจุบันได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสือรับรองสถานะความเป็นสถานประกอบการในระบบ e-service ผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th/eservices/esv/index.jsp และเลือกหัวข้อ “ขอหนังสือรับรอง (โครงการสินเชื่อฯ)” หรือสแกน QR code ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดต่อยื่นคำขอสินเชื่อที่ธนาคารได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานเป็นโครงการฯ ที่ดำเนินงานตามระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม ว่าด้วยการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม พ.ศ.2559 ที่สามารถนำเม็ดเงินไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินกองทุนประกันสังคมมาลงทุน ทางสังคม เพื่อประโยชน์ทางอ้อมแก่นายจ้าง และผู้ประกันตนได้นอกจากจะช่วยเป็นทุนหมุนเวียน และเสริมสร้างสภาพคล่องในสถานประกอบการรักษาสภาพการจ้างงานแล้ว ยังทำให้เกิดทุนหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย

“จตุพร” ทบทวน 29 ปี พฤษภา 35 ย้ำชูโมเดลสามัคคี ปชช. ทุกฝ่ายต่อสู้เผด็จการโสมม มั่นใจ ปชช.สามัคคีกันชนะ รปห. เจ้าเล่ห์เภทุบายได้แน่ เหน็บ รบ. 7 ปี ปล่อยเกิดโกงกิน แล้วน่าไม่อายมาประกาศปราบทุจริตแห่งชาติ ลั่นเร่งไล่ “ประยุทธ์” ก่อนบ้านเมืองสูญเสียทุกอย่าง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยทบทวนบทเรียนการต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 35 ว่า เมื่อประชาชนทุกฝ่ายสามัคคีกัน จึงโค่นล้มเผด็จการเมื่อ 29 ปีได้สำเร็จ ดังนั้น การต่อสู้ในปัจจุบันจึงยึดโมเดลพฤษภามาขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

“ปัญหาในวันนี้จะเอาความรู้สึกส่วนตัวหรือเอาประเทศชาติเป็นสำคัญ ในการต่อสู้มีบาดแผลและความเจ็บปวดมากมาย แต่การต่อสู้ทั้งชีวิตเราไม่เคยมีเรื่องส่วนตัว หากประชาชนไม่สามัคคีก็ไม่วันชนะ อีกทั้ง เผด็จการคณะนี้มีความแยบยลยิ่งกว่าเผด็จการพฤษภา 35 หลายขุม และทหารยุคนั้นมีความเป็นนักเลง ส่วนยุคนี้คณะ รปห. ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย โสมม ปล่อยให้เกิดทุจริตคอร์รัปชัน แล้วมายกการปราบทุจริตเป็นวาระแห่งชาติหน้าไม่อายมากที่สุด”

นายจตุพร กล่าวว่า ตนผูกพันกับเดือนพฤษภาต่างกรรมต่างวาระกัน ในเหตุการณ์พฤษภา 35 นั้น มีจุดพลิกผันช่วงวันที่ 17-18-19 พ.ค. แล้วไปจบลงใน 21 พ.ค. ในการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนที่ ม.รามคำแหง 

รวมทั้ง ตนมักเสนอให้ใช้โมเดลพฤษภา 35 มาแก้ไขปัญหาวิกฤตของไทยในขณะนี้ เพราะประชาชนทุกฝ่ายรวมมือกันต่อสู้กับเผด็จการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ตระบัดสัตย์และต้องการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม ทหารที่ยึดอำนาจจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2534 นั้น แกนหลักได้คุมเหล่าทัพไทยไว้หมด และเรียกตัวเองภายใต้รหัส 0143 โดยมี พล.อ.สมพงษ์ คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะ รปห.ยึดอำนาจ 

นอกจากนี้ ยังมี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นแกนนำวางแผนยึดอำนาจครั้งนั้น เมื่อทำสำเร็จได้เสนอนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ มาเขียน รธน. เพื่อคืนอำนาจทางการเมืองและกลับสู่ประชาชนได้เลือกตั้ง 

อีกอย่าง นายมีชัย เขียน รธน. โดยเปิดประเด็นบรรจุมาตรา 27 ให้หัวหน้า รสช.มีอำนาจทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่ถูกประชาชนต่อต้าน และตนได้พบนายมีชัย ตามคำเชิญที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 2534 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นในมาตรานี้ ในที่สุดมาตรา 27 ก็ถูกยกเลิก โดยถอดออกจาก รธน. 

อย่างไรก็ตาม มาตรา 27 นั้น เป็นเพียงเกมลับลวงพราง เพราะความจริงแล้ว นายมีชัย ได้ซ่อนมาตราเกี่ยวกับที่มา "นายกฯ" ซึ่งไม่ได้มาจาก ส.ส. หรือจากเลือกตั้ง แม้ฝ่ายประชาชนชุมนุมที่ลานโพธิ์ ม.ธรรมศาสตร์ เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง แต่นายชวน หลีกภัย ยุคนั้น บอกให้ไปแก้ไขที่สภา กระทั่งการชุมนุมยุติลง แล้วนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป  

ในช่วงนั้น คณะ รสช.ได้ตั้งพรรคสามัคคีธรรม รวบรวมนัการเมืองเขี้ยวลากดินมาสังกัด พร้อมส่งตัวแทนไปคุมพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคม แล้วพรรคสามัคคีธรรม ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 เมื่อมีนาคม 2535 แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะเจอข้อหายาเสพติดเล่นงาน จนสถานการณ์พลิกกลับทันที 

เกมการตั้งนายกฯ คนใหม่มาสู่ตัวเลือกคือ พล.สุจินดา ซึ่งเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่า คณะ รสช.จะไม่เป็นนายกฯ แต่ต้องมารับเป็นนายกฯ ถึงกับร่ำไห้ลาออกจาก ผบ.ทบ. พร้อมบอกว่า ต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ จากนั้นขบวนประชาชนเริ่มรวมตัวต่อต้าน นับตั้งแต่ เรืออากาศตรี ฉลาด วรฉัตร อดอาหารประท้วงหน้ารัฐสภา 

การชุมนุมของประชาชนในรหัส "นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง" รวมตัวครั้งใหญ่เมื่อ 17 พ.ค. ผู้คนเต็มถนนราชดำเนิน แล้วขยับเคลื่อนขบวนไปหน้ารัฐสภา แต่ถูกกำลังตำรวจ ทหาร พร้อมรถฉีดน้ำดับเพลิงแรงดันสูงมาสกัดที่ห้าแยกผ่านฟ้า แล้วในคืนนั้นประชาชนถูกกระสุนยิงจำนวนมาก 

ฝ่ายประชาชนถูกทหารยกกำลังปราบปรามอีกในบ่ายวันที่ 18 พ.ค. โดยบุกจับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำการชุมนุม ม็อบแตกกระเจิง ผู้คนกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ประชาชนถูกไล่ล่าถูกยิงล้มตายจำนวนมาก จนคนไปรวมตัวกันที่ ม.รามคำแหงในวันที่ 19 พ.ค. โดยประกาศเป็นสมรภูมิต่อต้านสุดท้าย เพื่อเป็นพื้นที่เรือนตายของฝ่ายประชาชน 

การต่อต้านที่ ม.รามคำแหง มีข่าวลือจะถูกทหารบุกปราบเด็ดขาด สถานการณ์ตรึงเครียดตลอดเวลา แต่ประชาชนยังต่อสู้พร้อมตาย มีคนมาร่วมชุมนุมมากมาย แน่นลามไปถึงถนนพระราม 9 และอีกด้านไปถึงแยกบางกะปิ

กระทั่ง ในหลวง ร.9 เรียกพล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้าในวันที่ 20 พ.ค. ทำให้บรรยากาศคลี่คลายลง จนมีการสลายชุมนุมในวันที่ 21 พ.ค. จากนั้น พล.อ.สุจินดา ลาออกจากนายกฯ แลอีก 2 วันก็ได้แก้ไข รธน. 

นายจตุพร กล่าวว่า ตนนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพื่อต้องการบอกว่า เมื่อ 29 ปีที่ผ่านมานั้น ฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชน ได้จับมือกันต่อต้านเผด็จการ รปห.เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นเมื่อประชาชนแตกแยกแล้ว อำนาจจะตกอยู่กับเผด็จการ ซึ่งสิ่งนี้เป็นโลกแห่งความจริง 

"มาใน พ.ศ.นี้ ผมจึงเชิญชวนว่า การสามัคคีประชาชน คือการสู้กับเผด็จการให้สำเร็จ ยิ่งเผด็จการแก้ปัญหาทุกมิติไม่ได้ และแก้การระบาดโควิดไม่ได้ ก็มาเปิดประเด็นปราบการทุจริตใหม่ แล้ว 7 ปีที่ผ่านมาใครเป็นรัฐบาล ก็คือประยุทธ์ แล้วการแก้ทุจริตเป็นวาระแห่งชาติจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นอะไรได้ เพราะการโกงเองหรือปล่อยให้คนอื่นโกง ก็เลวพอกันในทางปฏิบัติ" 

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญการพยายามใช้เรื่องหนึ่งมากลบเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ยิ่งในช่วง 7 ปี มีการทุจริตมโหฬารที่สุด แต่ไม่มีใครจัดการได้ เพราะเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน องค์กรปราบการทุจริตยังตั้งโดยคณะ รปห.ทั้งทางตรงและอ้อม ดังนั้น ใครทุจริตและเกิดในยุคใคร ซึ่งคำตอบคือประยุทธ์ ซึ่งไม่ได้ปราบปรามเลยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา 

ส่วนการจัดหาวัคซีนยังด้อยประสิทธิภาพ จึงทำให้ประยุทธ์ไม่น่าเชื่อถือในสายตาของประชาชนเห็นชัดเจนขึ้น ดังนั้น ถ้าประชาชนรวมตัวกันได้ ก็ไม่มีใครสู้กับประชาชนได้ และประชาชนควรตาสว่างได้แล้วในช่วง 7 ปีของประยุทธ์ 

"ถ้าประยุทธ์ เป็นคนมีศักยภาพแล้ว ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เกิด วันนี้พยายามอธิบายว่า อยู่เพื่อปกป้องสถาบัน แล้ววันนี้สถาบันได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในยุคใคร และใครใช้ประโยชน์สถาบันมาปกป้องตัวเอง มาทำลายกันมากที่สุด ลองคิดและตรวจสอบกันดูว่า ใครสร้างความเสียหายให้สถาบันมากที่สุด" 

พร้อมถามว่า การแก้ไขโควิดจนเกิดระบาด 3 ครั้งนั้น เป็นความบกพร่องของประยุทธ์นั่นเอง แม้ดึงเอาอำนาจตามกฎหมายของ รมต.มาไว้กับตัวเอง แต่ประยุทธ์ กลับขาดอย่างเดียวคือ ขาดน้ำยาในการทำงานแก้ปัญหา 

ดังนั้น การปล่อยปละละเลยให้คนใกล้ชิดไปแจ้งความ ม.112 แล้วมาต่อรองว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหายอมทำตามจะถอนแจ้งความให้ ซึ่งทำไม่ได้ในทางกฎหมาย จึงสะท้อนถึงการใช้อำนาจเลอะเทอะไปหมด

นายจตุพร ย้ำว่า ในวันนี้ครบรอบ 29 ปีพฤษภา 35 และพรุ่งนี้ (19 พ.ค.) ครบ 11 พฤษภา 53 และจากนั้นวันเสาร์ 22 พ.ค.จะครบ 7 ปีรัฐประหาร ดังนั้น เดือนพฤษภาจึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย ตนจึงหวังว่า บทเรียนพฤษภา 35 จะทรงคุณค่าระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและเผด็จการ ถ้าประชาชนไม่สามัคคีไม่มีวันชนะเผด็จการ 

"ผมในฐานะคนเดือนพฤษภา 35 ผมต้องการพฤษภาโมเดลเพื่อสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้ จึงขอส่งเสียงถึงประชาชนทุกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องชอบผม ขอพักความเกลียดผมไว้สักครู่ จัดการรัฐบาลประยุทธ์เสร็จ ค่อยมาเกลียดผมต่อ เพราะมิฉะนั้นบ้านเมืองนี้จะไม่เหลืออะไรเลย เราจะสูญเสียทุกอย่าง" 

กรุงเทพฯ - สภากาชาดไทย พร้อมเปิดสิทธิ์ให้ อสส. เข้าระบบแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อขอสนับสนุนชุดธารน้ำใจฯ

สภากาชาดไทย โดย สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร สนับสนุนให้อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร นำระบบแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” มาใช้ในการร้องขอการสนับสนุนชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 จากสภากาชาดไทย เพื่อนำไปมอบให้กับผู้กักกันโรค 14 วัน ที่เดือดร้อน ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค และยังไม่มีหน่วยงานอื่นให้ความช่วยเหลือในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและมีการยกระดับมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด
นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จะได้รับ User Account ในการเข้าระบบแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อทำการปักหมุดตำแหน่งของผู้กักกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านเครื่องอุปโภคบริโภคจากการกักตัว 14 วัน และยังไม่มีหน่วยงานอื่นให้การช่วยเหลือ จากนั้นข้อมูลจะผ่านกระบวนการคัดกรอง รวบรวม และส่งคำร้องมายังสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เพื่อให้การสนับสนุนชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ จะส่งมอบชุดธารน้ำใจฯ ให้กับศูนย์บริการสาธารณสุขต่อไป”


โดยในปี พ.ศ. 2563 สภากาชาดไทย ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ดำเนินโครงการขยายผลและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานระบบฐานข้อมูลภัยพิบัติและระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อส่งเสริมการนำระบบแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” มาสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ ได้แจ้งขอชุดธารน้ำใจฯ ให้ผู้ถูกกักกันโรค ผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” และส่งความความช่วยเหลือไปแล้วมากกว่า 150,000 คน


สำหรับประชาชนที่มีจิตศรัทธาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับสภากาชาดไทยที่จะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน สามารถบริจาคได้ในโครงการ “พลังใจ 99 บาท ก้าวผ่านวิกฤต COVID-19” เพื่อมอบชุดธารน้ำใจช่วยเหลือประชาชนที่ต้องกักกันตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้และไร้ที่พึ่ง เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกัน และเยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการสแกน QR CODE ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารใน ระบบ E-DONATION หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 001-1-34567-0 หรือธนาคารกรุงไทย สาขาสุรวงศ์ ชื่อบัญชี "สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 023-6-06799-0 ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1664


 

มท.2 เติมของกินของใช้ตู้ปันสุขบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. ช่วงโควิด

ที่หน้ากระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พร้อมด้วยนายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง ข้าราชการในสังกัดกรมการปกครอง ร่วมเติมของอุปโภค-บริโภคในกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใยสู้ภัยโควิด-19” ให้กับประชาชนที่พักอาศัยชุมชนโดยรอบกระทรวงมหาดไทย เน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส คนไร้ที่พึ่ง และผู้ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนำเครื่องอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็น ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมกล่อง หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และของใช้จำเป็นต่าง ๆ ใส่ในตู้ปันสุข 

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ขอทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 D-M-H-T-T-A คือ D : Distancing เว้นระยะห่าง M : Mask wearing สวมหน้ากาก H : Hand washing ล้างมือสม่ำเสมอ T : Temperature ตรวจวัดอุณหภูมิ T : Testing ตรวจหาเชื้อโควิด-19 และ A : Application Thaichana ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ เพื่อป้องกันคนในครอบครัวและป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้คนในชุมชน สังคม โดยขอให้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง และขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ลงทะเบียนและไปฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ทั้งนี้ กรมการปกครองได้จัดกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และกำกับดูแลแถวให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด สำหรับประชาชนที่มารับสิ่งของ จะใช้วิธีแจกคูปองให้กับคนในชุมชนเพื่อคัดกรองคนที่จะมารับในเบื้องต้น ขณะที่ในช่วงของการรอรับสิ่งของบริจาคจะมีการเว้นระยะห่าง วัดอุณหภูมิเพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และจะดำเนินการโครงการนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายต่อไป

เชียงใหม่ - กรรมการส่งเสริมฯ ม.แม่โจ้ ร่วมกับ แอโร กรุ๊ป ยกระดับความปลอดภัยนำนวัตกรรมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโควิด ในโรงพยาบาลสนามศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติแม่โจ้

คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ บริษัท แอโร กรุ๊ป (1992) จำกัด เดินหน้ายกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด พร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ นำนวัตกรรมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (Sun Robot) เทคโนโลยีใหม่ เข้าทำการฆ่าเชื้อในพื้นที่โรงพยาบาลสนามศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติแม่โจ้ ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเดือนเมษายน 2564 จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ต้องขยายโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดย รศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดี ได้สนับสนุนให้ใช้สถานที่ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในการจัดทำโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโรงพยายาลสันทราย อำเภอสันทราย และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาดูแลมาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณสุข รวมถึงมีการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด 


ล่าสุด วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับการประสานงานจาก ดร.องอาจ กิตติคุณชัย บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยนำนวัตกรรมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (Sun Robot)  มาทำความสะอาด ซึ่งได้รับการวิจัยแล้วว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพสูง และใช้หุ่นสำเภาสำหรับการการยกของ เพื่อเสริมศักยภาพในการทำความสะอาดภายในโรงพยาบาลสนามศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติแม่โจ้ และช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 
หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (Sun Robot) และหุ่นสำเภา รถฟอร์คลิฟท์อัตโนมัติสำหรับการเคลื่อนย้ายสิ่งของ นำทางด้วยรีโมทคอนโทรล เป็นผลงานของบริษัท แอโร กรุ๊ป (1992) จำกัด โดย ดร.กฤษดา อัครพัทธยากุล กรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นผู้นำการให้บริการด้านนวัตกรรมหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร

นอกจากนี้ แอโร กรุ๊ปฯ ยังมีหุ่นยนต์สำเภา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารอัจฉริยะ นำทางด้วยระบบ Lidar Sensor, หุ่นยนต์สำเภา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ขนส่ง เคลื่อนย้าย และลำเลียงสินค้าแบบอัตโนมัติ นำทางด้วยแถบแม่เหล็ก  และหุ่นยนต์แม่ไทร ซึ่งเป็นหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ ควบคุมทางไกล แสดงผลการรักษา, วีดีโอคอลพูดคุยกับผู้ป่วย, ส่งอาหาร และส่งยาเป็นต้น 


การทำงานของหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี แบบ 360 องศา ส่งผลให้สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้สูงถึง 99.9% ในเวลารวดเร็ว และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของคณาจารย์ นักศึกษา บุคลากร และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต่อไป


ภาพ/ข่าว  นภาพร /เชียงใหม่
 

ขอนแก่น - ผู้ว่าฯขอนแก่น สั่งเข้มทุกมาตรการป้องกันโควิด เรือนจำ-สถานพินิจ-ศูนย์ฝึกอบรมฯ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งจังหวัด ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงชัดเจน นักโทษแรกรับต้องกักกันตัวอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนให้ครบ ขณะที่ผู้คุมขังเริ่มทยอยรับ

 เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 19 พ.ค.2564 นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ในพื้นที่ 26 อำเภอของจังหวัด มีพื้นที่ที่คุมขังผู้ต้องหาและสถานพินิจฯ รวมไปถึงศูนย์ฝึกอบรม ฯ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งหมด 5 แห่ง มีผู้ที่ถูกคุมขังกว่า 7,000 คน ซึ่งขณะนี้ผู้บัญชาการเรือนจำกลางขอนแก่น,ผู้บัญชาการทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น,ผู้บัญชาการเรือนจำ อ.พล,ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองและเด็กและเยาวชนขอแก่นและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 4 ขอนแก่น ได้สรุปรายงานมาตรการคุมเข้มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อได้รับทราบแล้ว และที่สำคัญคณะทำงานได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามและเน้นย้ำในทุกมาตรการที่การ์ดห้ามตกแม้แต่วินาทีเดียวและให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ซึ่งพบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานอยู่ภายใน 5 หน่วยงานได้รับวัคซีนไปแล้วมากกว่าร้อยละ 80 และมีการปฎิบัติตามมาตรการป้องกันย่างเข้มงวด


 “ จากการระบาดของกลุ่มคัสเตอร์ที่คุมขังนักโทษในหลายจังหวัด ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงของการพักผ่อนยามค่ำคืนที่นอนชิดติดกันเนื่องจากสภาพพื้นที่ที่จำกัด ขณะที่พื้นที่ขอนแก่น มีผู้ที่ถูกคุมขังและถูกควบคุมตัวรวมกว่า 7,000 คน ดังนั้นมาตรการป้องกันและควบคุม ทุกแห่งมีการดำเนินการอย่างเข้มงวด มีการออกคำสั่งให้สวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา,การเยี่ยมผ่านระบบวิดีโอคอลหรือระบบไลน์ รถส่งสินค้าจากภายนอก จะต้องทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทั้งเข้าและออกภายในเรือนจำทุกครั้ง โดยไม่อนุญาตให้คนขับจากภายนอกขับรถเข้าไปภายในเด็ดขาดเพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าไปภายในเรือนจำ และที่สำคัญคือนักโทษแรกรับ จะต้องได้รับการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด ตามระเบียบที่กรมราชทัณฑ์กำหนดและมีการกักตัวจากเดิม 14 วันเป็น 21 วันตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด”


 ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า มาตรฐานด้านสุขอนามัยในพื้นที่คุมขัง และสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆภายในเรือนจำและสถานที่ควบคุมทั้ง 5 แห่ง ได้เน้นย้ำในเรื่องของความสะอาดและการจัดจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือและจุดล้างมือ ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ขณะที่แผนเผชิญเหตุรับมือหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคณะทำงานได้กำหนดแนวทางรับ-ส่งผู้ป่วยแบบเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลใกล้กับสถานที่ควบคุมเป็นจุดแรก รวมทั้งการจัดเตรียม รพ.สนาม แห่งที่ 2 พุทธมณฑลอีสานสำหรับการรับมือกับผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามแม้ขณะนี้ยังคงไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในเรือนจำและสถานที่ควบคุมภายในจังหวัด แต่การป้องกันและควบคุมยังคงเป็นไปอย่างรัดกุมและมีการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำที่ขณะนี้เริ่มทยอยฉีดวัคซีนไปแล้วบางส่วนอีกด้วย


 

‘หมอยง’ ย้ำชัด ผู้หายป่วยจากโควิด ยังต้องฉีดวัคซีน เพราะยังกลับมาติดเชื้อได้อีก ชี้ ชี้ ถ้าเพิ่งหายป่วย 3-6 เดือน ควรได้รับอย่างน้อย 1 ครั้ง

19 พ.ค. 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘โควิด-19 วัคซีน ผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 จำเป็นที่จะต้องให้วัคซีนหรือไม่’ มีเนื้อหาว่า ในปัจจุบันทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรคโควิด-19 เมื่อหายแล้วสามารถเป็นกลับซ้ำได้อีก ส่วนใหญ่จะเป็นหลัง 3 เดือนไปแล้ว ผู้ที่เป็น Covid-19 แล้วจึงมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีน หลัง 3 เดือนไปแล้ว

จากการศึกษาเบื้องต้นที่ลงพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine พบว่าการให้วัคซีนในผู้ที่หายป่วยจาก Covid-19 แล้ว การให้เพียงครั้งเดียวจะมีระดับภูมิต้านทานกระตุ้นได้สูงเท่ากับคนธรรมดาที่ไม่เคยป่วยและให้วัคซีนครบ 2 ครั้ง ผู้ที่หายป่วย ควรได้รับวัคซีนหลังจาก 3 เดือนนับจากการติดเชื้อ ส่วนจะให้ 1 ครั้งหรือ 2 ครั้ง ยังไม่ได้สรุปออกมาชัดเจน

แต่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าภูมิต้านทาน ของผู้ที่หายป่วยแล้วจะเริ่มลดลงหลัง 6 เดือนและลดลงไปเรื่อย ๆ ทางศูนย์ที่ดูแลอยู่ ขณะนี้ทำการศึกษาในผู้ที่หายป่วยในช่วง 3-6 เดือนจะให้วัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง และผู้ที่หายป่วยเกินกว่า 6 เดือนหรือเป็นปีแล้วจะให้วัคซีนให้ครบ 2 ครั้ง และกำลังตรวจผลภูมิต้านทาน รวมทั้งระบบหน่วยความจำ ของภูมิต้านทานอย่างละเอียด เพื่อจะได้ใช้เป็นคำแนะนำ ขณะนี้โครงการได้เริ่มแล้วดำเนินไปได้ด้วยดี และอยากเชิญชวนคนที่หายป่วยในระลอกที่ 3 นี้ เข้าร่วมโครงการได้รับวัคซีนด้วย โทร 02 256 4929

ดังนั้นอยากจะสรุปว่า ผู้ที่หายป่วยแล้วควรได้รับวัคซีนป้องกัน Covid อย่างน้อย 1 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่หายป่วยมาแล้ว ถ้าเพิ่งหายป่วยในช่วง 3-6 เดือน ควรได้รับอย่างน้อย 1 ครั้ง และผู้ที่หายมาแล้วเกินกว่า 6 เดือนขึ้นไป ก็ควรจะได้รับวัคซีนให้ครบ 2 ครั้ง ทั้งนี้เพราะประเทศของเรามีวัคซีนในปริมาณที่จำกัด และมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่มีการติดเชื้อใน รอบที่ 3 และกำลังจะหายป่วย

ที่มา : https://www.facebook.com/yong.poovorawan


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

พกยาบ้า รอลูกค้าในกระท่อมกลางนา ถูกตำรวจรวบถึงที่ สารภาพสิ้น ซื้อขายผ่านช่องทางเฟซบุ๊ค

เมื่อเวลา 10.0 น.วันที่ 19 พ.ค. 2564 พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ จงกลรัตน์ ผกก.สภ.เวฬุวัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น  พร้อมด้วย พ.ต.ท.ปรเมษฐ์ ปัดทุมแฝง รอง ผกก.สส.สภ.เวฬุวัน จ.ขอนแก่นนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุม นายอนุชา อนุศรี หรือต้อง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 ม.7 ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง ยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน จำนวน 10 ถุง รวมยาบ้า 2,000 เม็ด ซึ่งห่ออยู่ในกระดาษไขและพันด้วยเทปกาวอีกชั้นหนึ่ง และโทรศัพท์มือถือวีโว่สีดำ จำนวน 1 เครื่อง


พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ จงกลรัตน์ ผกก.สภ.เวฬุวัน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบกลุ่มวัยรุ่นมั่วสุมเสพย่าบ้าและขายยายบ้าที่กระท่อมกลางทุ่งนาฝั่งทิศใต้บ้านโคก ม.12 ต.สำราญ  จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบจากนั้นจึงไปตรวจสอบ เมื่อถึงกระท่อมนาดังกล่าวพบนายอนุชา หรือต้อง อนุศรี นั่งอยู่เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น พบยาบ้าทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าสะพายข้างสีดำ ที่นายต้องสะพายอยู่ จึงทำการคุมตัวมาทำการสอบสวน
"นายต้อง ให้การรับสารภาพว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของตัวเองจริง เพราะช่วงโควิด-19ระบาด หางานทำไม่ได้ ว่างงาน ไม่มีรายได้ เพื่อนแนะนำให้รับยาบ้ามาขาย จึงได้ทำการติดต่อซื้อขายยาบ้าจากนานแมนหรือเซียงผี โดยการติดต่อกันทางโทรศัพท์มือถือ และทาง Facebook Messenger ( ขอสงวนชื่อ “Mraphlslt Tamuang) โดยล่าสุดได้ติดต่อกันเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาได้ติดต่อซื้อยาบ้าจำนวน จำนวน 2,000 เม็ด ในราคามัดละ 40,000 บาท  โดยให้นำยาบ้ามาส่ง ด้วยการวางซุกซ่อนไว้ที่หลังโรงเรียนบ้านโคกนางามปลาเซียม ต.สำราญ อ.เมืองขอนแก่น จากนั้นก็ส่งข้อความมาบอกจุดที่ซุกซ่อนยาบ้าไว้เพื่อให้ไปรับ เมื่อรับแล้วยังไม่ต้องจ่ายเงิน โดยให้นำยาบ้ามาจำหน่ายก่อน ชำระเงินภายหลัง โดยโอนเงินค่ายาบ้าเข้าทางบัญชีแห่งหนึ่ง (ธนาคารกสิกรไทย หมายเลขบัญชี 0863786606 ชื่อบัญชี “ณัฐกานต์ อึ้งทอง”)"


พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์  กล่าวต่ออีกว่า  ผู้ต้องหายังรับสารภาพอีกว่า กระทำการในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว   2 ครั้ง โดยนำยาบ้ามาขายต่อในราคาเม็ดละ 50 บาท ถ้า 10 เม็ด จะจำหน่ายในราคา 300 - 500 บาท ส่วนโทรศัพท์มือถือก็เอาไว้เพื่อติดต่อซื้อขายยาบ้ากับลูกค้ายาบ้า และก่อนจะถูกจับกุมได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ขณะนั่งรอลูกค้ามารับยาบ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามภายหลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1. (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)  


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวตรวจค้นในกระท่อมกลางทุ่งนาของนายต้อง อยู่นั้น  ได้มีนายอัษฏาวุธ  สุขยี่ดา  หรือต้น อายุ 26 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 321 ม.9 ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น มาหานายต้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจค้น พบยาบ้าจำนวน 27 เม็ดในถุงพลาสติสีน้ำเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกง  จึงได้จับกุมตัวไปสอบสวนซึ่งจากการสอบสวน นายต้น ให้การรับสารภาพว่ายาบ้า27 เม็ด นำมาส่งให้ลูกค้า ที่นัดไว้ โดยรับยาบ้ามาจากเอเย่นชาว สปป.ลาว ที่ให้เครือข่ายนำมาส่งให้ที่บ้านครั้งละ 1,000-2,000เม็ด  เมื่อขายหมดจึงให้จ่ายเงิน  ซึ่งได้ทำการรับยาบ้ามาขายตั้งแต่ต้นปี  โดยใช้กระท่อมนาแห่งนี้เป็นจุดนัดพบ ทั้งเสพและขายยาบ้า  โดยก่อนจะถูกจับ มีลูกค้านัดรับยาบ้าที่กระท่อม ขณะเดินทางมาถึง ไม่พบลูกค้า แต่พบตำรวจจึงถูกจับกุมตัวได้  อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนรับตัวพร้อมของกลางไปดำเนินคดีตามกฏหมายในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย


 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top